คาถาธรรม ๑๕

การดำเนินไปดี

คนผู้ยังมีชีวิตอยู่ ก็คือ ผู้ที่ยังดำเนินไปอยู่ การดำเนินไปดี ก็คือ ผู้มีปัญญา มีความมุ่งมั่น มีความเพียรพยายาม อุตสาหะ แล้วก็ดำเนินไป

ส่วนผู้หยุดอยู่ หรือ ผู้ท้อถอยนั้น คือ ผู้หมดกำลัง ผู้ไร้ปัญญา ผู้ไม่มีความพากเพียร

คนสองชนิดนี้ ไม่ต้องกล่าวให้ยาก แม้ความรู้สามัญ ก็เป็นที่รู้กันแล้ว

ดังนั้น เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ เราก็ควรคำนึงถึง การดำเนินไป หรือ การหยุดอยู่ การท้อถอยถดถอย ของชีวิตให้มาก ถ้าชีวิตของเรา ยังมีลมหายใจ แล้วทำไม เราจึงเป็นชีวิตที่หยุดอยู่ หรือ ถดถอย ให้เสื่อมต่ำ ให้ตกสู่ที่ไม่เจริญ อีกเล่า

๑ กรกฎาคม ๒๕๒๙


ยิ่งสงบ ยิ่งเบิกบาน

บุคคลผู้มีความสงบในจิต ที่ปฏิบัติดีแล้ว ชอบแล้ว ตามทฤษฎีของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั้น ยิ่งสงบเท่าใด ก็ยิ่งจะมี ความแคล่วคล่อง ว่องไว คือ ผู้ที่ยิ่งสงบ ก็ยิ่งเป็นผู้ที่ไม่หยุดอยู่ เป็นผู้ขยัน เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบาน ร่าเริง กระปรี้กระเปร่า เบากาย เบาใจ

ส่วนผู้สงบ ในทฤษฎีอื่น ลัทธิอื่นนั้น ส่วนมาก จะสงบ อย่างเป็นผู้ที่ มีความหนัก ความหนึด ความเนือย ยิ่งสงบ ก็ยิ่งหยุดอยู่ ยิ่งจะไม่ขับ ไม่เคลื่อน ยิ่งจะเป็นผู้ที่ ไม่มีกิจกรรม ไม่มีกิริยา เป็นการสงบ ประเภท ไม่ลึกซึ้ง ชั้นเดียว ดังนั้น ประโยชน์คุณค่า ของความสงบ สองชนิดนี้ จึงมีนัยที่ต่างกัน

ผู้ปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรง ตามทฤษฎีของ พระสัมมา สัมพุทธเจ้าแล้ว จะสังเกตได้ว่า เรายิ่งสงบ เรายิ่งเบิกบาน เรายิ่งสงบ เรายิ่งรู้ต่อโลก ต่อสัมผัส ต่อสังคมมนุษยชาติ ยิ่งเป็นผู้ที่ จะมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่ชัดแท้

ดังนั้น ผู้ที่สงบเช่นนี้
จึงเป็นผู้ที่ เป็นประโยชน์ตน อย่างยิ่ง
และ เป็นประโยชน์ท่าน อย่างที่สุด

๔ กรกฎาคม ๒๕๒๙


 

อิสรเสรีภาพ อย่างเต็มรอบ

มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งสิ้น ของศาสนานั้น แม้พระอานนท์ จะได้อุทานว่า เป็นเพียงครึ่งหนึ่ง ของศาสนา ก็ยังถูก พระสัมมา สัมพุทธเจ้า กำราบว่า ไม่ใช่เช่นนั้น มิตรดี สหายดี สังคม สิ่งแวดล้อมดีนั้น เป็นทั้งสิ้นของศาสนา เป็นทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ จริงๆ

ทำอย่างไร เราจะเข้าใจลึก ไปถึงคำว่า มิตตัง ทำอย่างไร เราจะเข้าใจลึก ไปถึงคำว่า สหายะ ทำอย่างไร เราจะเข้าใจลึก และรู้รอบ ไปกับคำว่า สัมปวังโก

มิตโต ก็ดี สหาโยก็ดี สัมปวังโก ก็ดี มีลักษณะที่แตกต่างกัน ละเอียด ทั้งกว้างลึกต่างกัน ผู้ที่มีสภาวะ ได้สัมผัส เรียนรู้ปฏิบัติ ประพฤติ จะเข้าใจถึง มิตตะ มิตโต ที่หมายเอาตนนั่นแหละ เป็นหลัก เรื่องของ จิตใจของตน เป็นหลัก ที่มีความเป็นมิตร ตนเองเป็นมิตร กับใครๆก็ได้ ใครๆ ก็เป็นมิตรของเรา สหาโย เราร่วมกับใครก็ได้ ใครๆก็ร่วมกับเรา ในสิ่งส่วน ที่เป็นประโยชน์ เป็นคุณค่า อย่างแท้จริง และ สังคม สิ่งแวดล้อม ทั้งหมด จะเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน สามัคคี สมานฉันท์ มีเมตตา กายกรรม มีเมตตา วจีกรรม มีเมตตา มโนกรรม มีลาภธรรมิกา มีการเฉลี่ยลาภ ตั้งแต่ ลาภที่เป็นวัตถุ จนกระทั่งถึง ลาภที่เป็นธรรมะ

มีศีลสามัญตา มีทิฐิสามัญตา มีความเห็นตรงกัน มีอุดมการณ์ ตรงกัน มีจุดมุ่ง จุดหมาย จุดเดียวกัน ตรงขึ้น ตรงขึ้นทุกวัน เป็นสัมมาทิฏฐิ และ มีศีลประพฤติ ตามขั้นตอน ผู้ก่อน ผู้หลัง ผู้เบื้องต้น ผู้ท่ามกลาง ผู้บั้นปลาย เข้าใจในศีล อธิศีล อริยกันตศีล ปาริสุทธิศีล และ ถึงที่สุด ซึ่งอเสขศีล

ดังนั้น ผู้ถึงซึ่ง มิตโต สหาโย สัมปวังโก และ เป็นผู้ปฏิบัติ ได้ทะลุ ครบรอบ ล่วงส่วน ในสิ่งทั้งหมดนี้ ก็จะได้เห็นถึงหมู่ชน ที่เป็นสังคม ที่เป็นหมู่กลุ่ม อันสมบูรณ์พร้อม ซึ่งความสมานสามัคคี อยู่อย่างสันติ และ มีภราดรภาพ มีสมรรถภาพ อันสมบูรณ์ด้วย บูรณภาพ ทุกผู้ มีอิสรเสรีภาพ อย่างเต็มรอบ

๕ กรกฎาคม ๒๕๒๙


 

ผู้มีธรรมสมควรแก่ธรรม

ตามทฤษฎีของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ก็ดูง่าย แต่จะปฏิบัติ ประพฤติ เพื่อให้เกิด เพื่อให้เป็น นั้นยาก โดยเฉพาะ กว่าเราจะเกิด สัมโพชฌงค์ ทั้ง ๗ อยู่อย่างต่อเนื่อง มีความเพียร ที่เกิด ความต่อเนื่องได้ เรียกว่า เกิดสาตัจจะนั้น ไม่ใช่ของง่ายเลย ถึงอย่างไร ก็ตาม แม้จะยากแสนยาก ปานใด เราก็จะต้องรู้ เข้าใจความหมาย ทั้งปวงให้ชัด ด้วยการเรียนรู้ ทางบัญญัติ หรือ ปริยัติให้พร้อม แล้วก็ฝึกตน ให้มีสติสัมโพชฌงค์ ให้มีธัมมวิจัย เพียรกระทำ ด้วยวิริยะ ด้วยโยคะ ด้วยติกขะ เพื่อให้เกิดสาตัจจะ ให้เกิดความเพียร เผากิเลส ที่ต่อเนื่อง อยู่เสมอ

เมื่อเราเรียนรู้ว่า สติสัมโพชฌงค์นั้น แตกต่างจาก สติสามัญ หรือ แตกต่างจาก ความไร้สติอย่างไร เราก็จะต้องพยายาม สร้างให้เกิด ด้วยความเพียร สร้างสติสัมโพชฌงค์ ให้เป็น และตัวจักร คือ ธัมมวิจัย สัมโพชฌงค์ ก็จะต้องเดินบท อยู่เสมอๆ เพียรให้เกิดคุณค่า มีโยคะ มีวิริยะ มีติกขะ ที่จะต้องให้เกิด ธัมมวิจัย ให้เกิดผลเป็นปีติ และ ปัสสัทธิ ให้ได้ อยู่เสมอๆ เราจึงจะได้ชื่อว่า ผู้สั่งสมสมาธิ สัมโพชฌงค์ หรือ ผู้สร้างสัมมาสมาธิ เกิดได้ผล อันเป็น สัมมาญาณ และ สัมมาวิมุติ หรือ จิตเจโตของเรา จะเกิดฌาน จนถึงขั้นอุเบกขา จิตจึงจะเกิดตาม

เมื่อผลเกิด เราจึงจะรู้ว่า เรามีความพ้นทุกข์ หรือ มีความเจริญ ด้วยญาณ ด้วยปัญญา ที่จะต้องตรวจสอบ ตรวจทาน พิจารณา เห็นความจริง ตามความเป็นจริง เมื่อได้ฟัง เมื่อได้ศึกษา ก็ต้องฟัง อย่างใส่ใจ ฟังอย่างพิจารณา ติดตามเอาเนื้อหา ให้ชัดเจน แล้วพากเพียร ปฏิบัติตาม ด้วยโยนิโสมนสิการ

เราจึงจะได้ชื่อว่า ธรรมานุธรรมปฏิบัติ เป็นผู้ปฏิบัติธรรม มีธรรมสมควรแก่ธรรม

๑๑ กรกฎาคม ๒๕๒๙


 

หมั่นตรวจดูผลการปฏิบัติ

พ่อค้า ผู้ทำการค้า เมื่อขายสินค้าได้แล้ว ก็ย่อมตรวจรายได้ หักกลบ ลบหนี้ กับทุนรอน ค่าใช้จ่าย และ ตรวจส่วนเหลือ ส่วนเกิน ที่เรียกว่า กำไร อยู่ทุกเมื่อ เพื่อจะได้รู้ว่า การค้าของตนนั้น มีผลกำไร หรือ ขาดทุน ฉันใด นักปฏิบัติธรรม ก็ต้องตรวจตรา ในการปฏิบัติ ธรรมของตน เพื่อจะได้รู้ทุน รู้กำไร ของตนๆ เช่นเดียวกัน

การค้า เมื่อตรวจดูผล ที่ตนทำอยู่เสมอ เพื่อความเจริญ เพื่อรู้ จุดบกพร่อง ผิดพลาด การปฏิบัติธรรม ก็ต้องตรวจตรา ดูการปฏิบัติ ดูผลปฏิบัติ ว่าเราปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติได้ผล เจริญดี หรือ ไม่เจริญเลย หากตรวจเสมอๆ เราก็ยิ่งจะช่ำชอง ยิ่งจะไม่ผิดพลาด และ มีการไหวทัน ต่อการผิดพลาด ที่จะเกิดขึ้นนั้น ได้ง่าย และเร็ว ความเจริญ จึงจะไม่ชะงักงัน และ เมื่อรู้ว่า เราปฏิบัติดีแล้ว เดินทางถูกแล้ว มีมรรค มีผลแล้ว ผลได้เหล่านั้น จะทำให้เรามั่นใจ มีกำลังใจ ปีติ ยินดี และ เชื่อมั่น ในการปฏิบัตินั้นยิ่งขึ้น

๑๒ กรกฎาคม ๒๕๒๙


 

ผู้เบิกบานอยู่เสมอ

ผู้รู้จักความจริงอย่างฉลาด อย่างน้อยที่สุด ก็ทำตน ให้เป็นผู้เบิกบาน อยู่เสมอ จิตใจของตนเอง ตรวจตรา สอดส่องดูเสมอ ถ้ามันไม่เบิกบาน เราก็จะต้องปรับปรุง ให้มันเบิกบาน ให้ได้ตลอดเวลา นั้นเป็น กำไรชิ้นแรก ของผู้ฉลาด ในความจริง

ใจเราดำ ใจเราคล้ำ ใจเราพอกไปด้วย ความอาฆาต มาดร้าย ความแก้แค้น หรือ แม้แต่ริษยา หรือที่สุด แม้แต่เพียง ความไม่พอใจ ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือ ในใครๆก็ตาม เราจะขจัดออก ให้รู้อาการนั้นว่า มีอยู่ ถ้าตามเหตุได้ ยิ่งดี และ พิจารณาให้เห็นจริง ว่าอยู่อย่างไม่มีภัย อยู่อย่าง ไม่มีโทสมูลนั้น เป็นความสุข เป็นความเบิกบาน ของมนุษย์ และเราไม่ควร จะไม่สบายใจ ไม่ชอบใจ ในสิ่งใดๆ เลยในโลก แม้แต่เขาผู้นั้น จะเป็นศัตรูที่ร้ายกาจ ของเราก็ตาม

ดังนั้น ความหม่นหมองใจ ที่มีศัตรู มีคนที่เราไม่ชอบ ที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ตาม ที่ทำให้เรา ไม่สบายใจ เราจะขจัด และ ปรับจิตใจ รู้จักสิ่งที่ เราเห็นว่า ยังไม่ดีนั้นๆ แล้วหาทาง ทำสิ่งดี ที่จะประสาน ที่จะสมาน สร้างสรร นำพากันเจริญ และเจริญไปสู่ ความเป็นมิตรสหาย ความสามัคคี ภราดรภาพให้ได้ นั่นคือ เป้าหมายใหญ่อันหนึ่ง ของการเป็น นักธรรมะ หรือ เป็นคนที่จะประเสริฐได้

๑๓ กรกฎาคม ๒๕๒๙


 

ผู้งามพร้อม ทั้งกาย วาจา และใจ

ความสำรวม ความสังวร หมายความว่า สภาพที่ผู้หนึ่งผู้ใด ระลึกรู้ตัว รู้ทั้งกายกรรม รู้ทั้งวจีกรรม โดยเฉพาะ รู้จักมโนกรรมของตน ในขณะ ทุกขณะ หรือ เพียรให้ตนรู้อยู่ ทุกขณะ ให้ได้มากที่สุด แล้วก็วิจัยธรรม แม้แต่เราจะเดิน จะย่าง จะก้าว จะแกว่งแขน จะไกวขา จะเอี้ยวหน้า เอี้ยวหลัง จะมีความประพฤติใดๆ ก็ดี เราจะพยายามปรับ พยายาม วิจัยธรรมไปพร้อม ปรับเข้าสู่สภาพ ที่ดีกว่า ดีที่สุด เห็นว่าสุภาพ เห็นว่าเป็นภาวะ ที่เกิดคุณค่า ประโยชน์แก่ตน และแก่ท่าน อยู่เสมอๆ นั่นคือ การสำรวม การสังวร

ศาสนาพุทธ ไม่ได้สอนแต่เรื่อง ของจิตใจ เท่านั้น แต่สอนทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทั้งสามส่วน ดังนั้น ผู้ใดประพฤติธรรมของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นั้นก็จะต้อง ประพฤติ ทั้งสามส่วน จะต้อง สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมใจ โดยแท้จริง

เมื่อเราศึกษาถึง กุศลกรรม อกุศลกรรม อย่างถูกทาง ถูกต้อง ซึ่งมันมัก จะสวนทาง กันกับ ทางโลกียะ อยู่มาก แต่เมื่อได้ศึกษา อย่างถูกต้องแล้ว เราจะเกิดความเข้าใจ ความเห็น ที่ถูกทาง แล้วเรา จะปรับตนเอง เข้ามาสู่จุด ที่เข้าใจ หรือ เห็นจริง ถูกทางว่า ดีกว่า ดีที่สุด นั้นๆได้

ดังนั้น ผู้ที่ปฏิบัติ ประพฤติ อบรมตน อย่างแท้จริง จึงจะงามพร้อม ทั้งกาย วาจา และใจ ทั้งงาม ทั้งมีคุณค่า มีประโยชน์ต่อตน และ ต่อผู้อื่น โดยรอบ

๑๔ กรกฎาคม ๒๕๒๙


 

ผู้เข้าถึง โลกนี้ โลกหน้า

พุทธบริษัท ย่อมประกอบ ไปด้วยบุคคล ประกอบไปด้วย องค์ประกอบอื่น ทั้งจารีต ประเพณี ทั้งพฤติกรรม คำสอน และ สภาพสัจจะ ที่เป็นมรรค เป็นผล จึงจะเรียกว่า พุทธบริษัท ที่สมบูรณ์

บุคคลที่เป็นพุทธมามกะ แท้จริงนั้น จะต้องเป็น ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ เป็นผู้เห็น ทานมีผล ที่แท้จริง อย่างเชื่อมั่น ด้วยปัญญา เป็นผู้ที่เห็น ยัญพิธี ย่อมมีผลที่แท้จริง อย่างชัดแท้ เป็นผู้ที่เห็น การสังเวย ย่อมมีผล อย่างรู้ลึกซึ้ง เห็นกรรมเป็นเรื่องจริง เห็นโลกนี้ โลกหน้า เป็นเรื่องจริง เข้าใจชัด เห็นชัด ในความเป็นพ่อ เป็นแม่ ในความเป็น สัตว์โอปปาติกะ และเห็นพระอริยะ ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ เห็นความจริง เข้าใจชัด ยิ่งเป็นผู้ที่ มีคุณธรรม นั้นเอง เป็นผู้มีทาน เป็นผู้มียัญพิธี เป็นผู้มีการสังเวย เป็นผู้มีกรรม เป็นผู้เข้าถึง โลกนี้ โลกหน้า เป็นผู้เป็นแม่ เป็นพ่อ เป็นผู้ที่เข้าถึง ความเป็นสัตว์ โอปปาติกะ เป็นพระอริยะ เสียเอง โดยความจริง ผู้นั้นก็ยิ่งเป็น พุทธมามกะ ที่แท้จริง ที่เป็นอริยบุคคล เป็นผู้ได้สาระสัจจะ แก่นสาร ของศาสนาพุทธ

พุทธมามกะ ที่มีเนื้อหาสาระ ดังนี้อยู่ มีมากเท่าใด ความเป็น พุทธบริษัท ก็ยิ่งมีเป็นมาก เท่านั้นๆ หากขาดความจริง เหล่านี้ พุทธบริษัท ก็ยิ่งหลวมออก และ ยิ่งเป็นเพียงชื่อ เป็นเพียงรูปแบบ หลวมๆ ปลอมๆ และ ที่สุด ก็เพี้ยนๆ กลายๆ

แต่ถ้าเป็นพุทธบริษัท ที่มีพุทธมามกะ เป็นพระอริยเจ้าจริง ที่รู้ยิ่ง เห็นจริงเอง ในโลกนี้ โลกหน้า และ ประกาศ ให้ผู้อื่น รู้ตามได้ มีภูมิธรรม ขั้นสูง สามารถชี้ สามารถนำพา ให้คนเข้าสู่ สัตว์โอปปาติกะได้ เป็นผู้ที่ ยังให้คนถึง ซึ่งสภาพพ่อ สภาพแม่ แล้วเลื่อนเข้า สู่โลกหน้า โลกนี้ อย่างชัดแท้ โดยกรรม เชื่อกรรม จนกระทั่ง มีการสังเวยอยู่แท้ มียัญพิธี มีรูปแบบ มีจารีต ประเพณี วัฒนธรรม สามารถเป็น ผู้นำพากันอยู่ ด้วยทาน เป็นผู้ให้ เป็นผู้ เสียสละอยู่ ตั้งแต่ลึกซึ้ง จนกระทั่ง ถึงหยาบ เป็นวัตถุรูป ให้ได้รู้ ได้เห็น แจ้งชัดอยู่จริงๆ สภาพของพุทธบริษัท ที่อบอุ่น มีภราดรภาพ มีสันติภาพ มีสมรรถภาพ ย่อมจะชี้ ย่อมจะแสดง ย่อมจะปรากฎ อยู่ในโลก โดยตน

พุทธมามกะนั้นๆ มีอิสรเสรีภาพ สมบูรณ์ โดยหมู่ โดยสังคม สิ่งแวดล้อม ก็จะเป็น บูรณภาพ อันชัดเด่น

ขอให้ท่านทั้งหลาย จงสังเกต อ่าน และเห็นความจริง เข้าถึงความจริง ดังกล่าวนี้เทอญ ท่านจะเห็น พุทธบริษัทนั้นๆ ปรากฎแก่ญาณ ของผู้ที่มีญาณ นั้นๆ แล

๒๕ กรกฎาคม ๒๕๒๙


 

ชีวิตประเสริฐ

ในชีวิตมนุษย์นั้น มีการศึกษาอยู่ สองอย่าง การศึกษา เพื่อสร้างสรร เพื่อกระทำ อะไรขึ้น ให้มีประโยชน์คุณค่า ในโลกนั้น อย่างหนึ่ง การศึกษา อีกอย่างหนึ่งนั้น คือ การศึกษา ถึงกิเลส แล้วก็วิธี ละกิเลส ล้างกิเลส จนกระทั่ง สามารถขจัดกิเลสนั้น ออกได้ จากตนจริงๆ ที่เราเรียกว่า ธรรมะ หรือ ศาสนา หรือ การศึกษา ทางจิตวิญญาณ การศึกษา ที่จะสร้างสรร จะมีความสามารถ ในการกระทำ ให้มีคุณค่า ประโยชน์ ในโลกนั้น ย่อมมีอยู่ เป็นธรรมดา ธรรมชาติ

ตั้งแต่เกิดมา พ่อแม่จะสอน สอนให้หยิบนั่น ยกนี่ ปรับตรงนั้น ขันตรงนี้ จนที่สุด แม้กระทั่ง ทำนา ทำไร่ ทำสวน สร้างนั่น สร้างนี่ ไม่ใช่พ่อแม่ ก็เพื่อนฝูง สิ่งแวดล้อม จนกระทั่ง ทุกวันนี้ กลายเป็น สถาบันการศึกษา ซึ่งรุ่งเรือง อยู่ในโลก

แต่ เขาก็ลืมการศึกษา ที่เป็นการศึกษา ทางจิตวิญญาณ ศึกษาเพื่อ ที่จะรู้จักกิเลส หรือ ศึกษาธรรมะ ลืมกันจริงๆ ลืมกันหมดโลกแล้ว หลักประกันชีวิตนั้น เมื่อคน มีความสามารถ ทางฝีมือ สร้างอะไรได้เก่ง และ เรียนรู้ สิ่งที่รู้นอกตัว ได้มาก คนนั้น ก็สามารถที่จะสร้างสรร มีผลผลิต มีแรงงาน ที่จะเอาไปแลกเปลี่ยน เอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ได้มากขึ้น แต่เมื่อกิเลส ไม่ได้ลดลง กิเลสมีแต่วัน จะพอกเพิ่ม มีความโลภ โดยไม่รู้ทัน ไม่รู้ตัว ความสามารถเหล่านั้น จึงเป็นพิษ เป็นภัย ต่อตนและสังคม ประเทศชาติ เพราะมันจะไป เอาเปรียบเขา และ จะไปโลภ เอามาให้แก่ตน แก่พรรคพวกของตน จนกระทั่ง ไม่มีที่จบที่สิ้น คนในโลก จึงเกิดมีช่องว่าง ระหว่างคนจน คนรวย และ กดขี่ ข่มเหงกันอยู่ ตลอดมา นานับกัปกาล

ดังนั้น ผู้รู้แล้ว ยิ่งเห็นความจำเป็น เห็นความสำคัญ ของการศึกษา ทางวิญญาณ ทางธรรมะ ทางการลด ละกิเลส ก็จะกระทำ สิ่งนั้น ให้แก่ตน และ แก่ประเทศชาติ ได้อย่างถูกต้อง เพราะฉะนั้น ธรรมะ หรือ การศึกษา ทางจิตวิญญาณ จึงยังมีอยู่ในโลก แต่ทว่า มีจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง เป็นการศึกษา ที่กลับซับซ้อน และ เติมคนหลอก คนลวง หรือ เอาเปรียบเอารัด อยู่ในโลก ได้ด้วยเช่นกัน ผู้จะศึกษา ให้มีคุณค่า ประโยชน์แก่ชีวิต ที่แท้จริง จะเป็นชีวิต ที่มีทั้งความรู้ ที่จะสร้างสม ให้แก่โลก และ มีหลักประกัน เพราะได้ลดความโลภ ความเห็นแก่ตัว จึงจะเป็น ผู้ที่เสียสละ สร้างสรร ทำความอุดม สมบูรณ์ ให้แก่ ประเทศชาติ หรือ มวลมนุษยชาติ ในโลกได้

ผู้ที่มีความรู้ ในการศึกษา ทั้งสองด้าน ดังนี้
จึงชื่อว่า ผู้เกิดมา มีชีวิตประเสริฐยิ่ง ในโลก

๓ สิงหาคม ๒๕๒๙


 

ครรลองแห่งชีวิต

มนุษย์ ผู้มีครรลองแห่งชีวิต ที่เป็นครรลอง เดินทางไปสู่ ความประเสริฐ อันแท้จริง ผู้ที่มี ความพากเพียรอยู่ และ ได้เดินไปตาม ครรลองนั้น การเดินของชีวิต แต่ละวัน ประกอบไปด้วย การศึกษา เมื่อผู้ใด เพียรมาก รู้ทิศทาง หรือ อยู่ในครรลอง ที่ถูกตรงมาก ก็จะประเสริฐ หรือ เจริญได้มาก ชีวิตจะมีคุณค่า ทั้งตนและผู้อื่น อยู่ตลอดไป จวบชีวิต จะหาไม่

สำหรับ ผู้ที่เพียรมาก แต่เดินทาง อย่างสับสน ครรลองแห่งชีวิต ยังไม่ค่อยตรง ก็จะมีภาวะ ลบล้างได้บ้าง เสียบ้าง ส่วนผู้ที่มี ครรลอง แห่งชีวิตดี ถูกต้อง ชัดเจน แต่ความเพียรน้อย ก็ยังสบาย ยังไม่ถูกลบ มากนัก แต่ทว่า การเดิน ก็เจริญไปได้ช้า

ดังนั้น เมื่อได้ศึกษา ได้เรียนรู้ ถึงครรลองของชีวิต ชัดเจนดีแล้ว จึงยังเหลือเพียง ความเพียร ความพยายาม ที่เราจะต้อง เสริมหนุน ให้แก่ตนเอง แต่ว่า คนเมื่อได้ดี ขี้มักจะหลงตัว ขี้มักจะระเริง ติดดี หรือ ติดส่วนที่มันสบาย มันเจริญนั้นๆ แล้วทำให้ ความเพียรนั้นหย่อน นี้เป็นจุด ที่เราจะต้อง สำนึกให้มาก ผู้ใดเข้าใจ ความหมายนี้ ดีแล้ว จึงควรจะพากเพียร อุตสาหะ หนุนตนเอง แม้เราจะสบาย เป็นสุข ก็ควรจะเร่งเพียรนั้นๆ ให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป เพื่อถึงปลายทาง หรือ อย่างน้อย ก็เพื่อประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน อันควรที่ จะพึงได้ พึงเป็น

ผู้ใด ได้แต่เสวย ได้แต่เสพ แม้จะอยู่ในสวรรค์
ผู้นั้น ก็ถือว่า เป็นผู้ประมาทอยู่
ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สรรเสริญเลย

๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๙


 

ผู้มีน้ำใจอันบริสุทธิ์

มนุษย์ ผู้ประสริฐ ก็คือ คนผู้สร้าง คนผู้ได้ให้ คนผู้มีน้ำใจ อันบริสุทธิ์ ดังนั้น เมื่อผู้ใด มีงาน มีหน้าที่ วันแต่ละวัน ไม่ต้องวุ่น ไม่ต้องยุ่ง ในเรื่องที่ จะต้องคิดว่า เราจะทำอะไร แต่มีงานให้เราทำ อย่างราบรื่น มีหน้าที่ ให้เราปฏิบัติ ให้เราก่อสร้าง อย่างดี สิ่งที่เราสร้าง มีประโยชน์ มีคุณค่า เป็นบุญ และ เราก็ได้ให้ ได้เสียสละ

ชีวิตที่ยังมีจิต ยังไม่บริสุทธิ์ เราก็ได้ปฏิบัติ เพื่อสู่ความบริสุทธิ์ นั้นอยู่ วันแล้ววันเล่า เจริญขึ้น ประเสริฐขึ้น ผู้ที่มีคุณค่า มีประโยชน์ ต่อโลก ต่อสังคม ต่อตน ด้วยประการฉะนี้ แม้จะยังไม่ใช่ ผู้ประเสริฐสุด ได้สร้าง สิ่งที่ดีที่สุด และได้ให้ ได้เสียสละ อย่างสะอาดที่สุด หรือ ยังเป็นผู้ที่ ยังไม่หมดกิเลส น้ำใจ จิตใจ ยังไม่สะอาด ถึงที่สุด ทว่า ก็ได้สร้าง ได้ก่อคุณค่า ประโยชน์ ได้ให้ ได้เสียสละ ได้กอปรบุญ ไปทุกวัน ๆ

มีทางปฏิบัติ มีการศึกษา มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เกื้อกูลกัน นำพากัน ให้ล้างละกิเลส ที่เราก็พากเพียร เพื่อความสะอาด หมดสิ้น ต่อเนื่องกันไป อยู่...อยู่

บุคคล ผู้เช่นนั้นแล ชื่อว่า เป็นผู้มีโชคที่สุด

๑๙ สิงหาคม ๒๕๒๙


 

ยิ่งสงบ ปานใด
จิตใจเรา ยิ่งเป็นอิสระเท่านั้น

พระเสขบุคคล หรือ ยิ่งเป็นพระอเสขะ ได้ศึกษา ปฏิบัติธรรมะ รู้แจ้ง มีของจริง ในความสุข ที่เป็น วูปสโมสุข ผู้ได้พบความสุข ที่จิตสงบ จากกิเลส ได้จริงนั้น ความสุขเช่นนั้น จะเป็นผู้ที่ รู้แจ้งทะลุ ถึงโลกียสุข รอบถ้วน และจะรู้ว่า วิมุติรสนั้น เหนือกว่าโลกียรส ขนาดใดๆ

ผู้ที่ได้ปฏิบัติ ฝึกเพียรเริ่มต้น และได้ผลขึ้นมาบ้าง จงพึงตรวจสอบ เรียนรู้ความจริง ดังกล่าวนั้น เหตุใด ปัจจัยใดก็ดี ที่เราได้ฝึกเพียร ได้อบรมตน ได้มรรค ได้ผล ขึ้นมาบ้างแล้ว เราจะเห็น ความเบา ความว่าง ความปลงภาระ ความสะอาดขึ้นมา

ธรรมรสนั้น เป็นอย่างนั้นๆ แม้ยังไม่ถึงวิมุติ ยังไม่สมุจเฉท ยังไม่สมบูรณ์ ก็ตาม เราก็จะรู้แจ้ง ในธรรมรส ของตนๆ ยังมีตัวอย่าง ของวิมุติรส ตามศีล ตามธรรม ที่เราได้พึงปฏิบัติ มาแล้วโดยจริง

ผู้แจ้งความจริงนั้น เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ บอกกัน ก็ได้บ้าง แต่ลิ้มรสนั้น เราจะพอใจหรือไม่ ก็อยู่ที่เจ้าตัว

เพราะฉะนั้น คำว่า ผู้เบา ว่าง ง่าย สบาย ผู้ที่มีธรรมรส ที่เป็นวิมุติรส เช่นนั้น จึงไม่ได้หมายความว่า เบา ว่าง ง่าย ที่ไร้ค่า ที่เบาคือ ไม่ทำอะไร ว่าง คืออยู่เฉยๆ ง่ายๆ ก็คือ ทำแต่สิ่งง่ายๆ อย่างมักง่าย

ทว่า เบา นั้นคือ เรื่องของภาระหนักในจิต กิเลสที่เป็นเจ้าเรือน อำนาจ ที่มันข่มขู่ และ เราก็ต่อต้านมัน ในขณะที่ เราได้ปฏิบัติ เราได้ต่อสู้ กับกิเลส หนักหนาอย่างไร นั่นคือ ความหนัก และ ได้ปลดปลง ได้ทำลายกิเลส จางคลายลงไป มากเท่าใด นั่นคือ ความเบา จนที่สุด เมื่อสะอาด เมื่อบริสุทธิ์ ก็จะเห็นความสงบ ความหมดฤทธิ์ ของกิเลส จึงเรียกว่า สงบยิ่ง

จะเห็นว่า ยิ่งสงบปานใด จิตใจเรา ยิ่งเป็นอิสระเท่านั้น และ ยิ่งมีกำลัง ยิ่งมีพลัง ดังที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสไม่ผิด ว่าวิมุตินั้น เป็นพลังของ สมณะ และ เป็นความสงบ ที่ยิ่งมีคุณค่า ยิ่งมีประโยชน์ เกื้อกูล เป็น พหุชนะหิตายะ และ ก่อความสุข แก่พหุชนอีก เป็นโลกานุกัมปายะ ถูกต้อง สอดคล้อง ตามคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกประการ

๒๑ สิงหาคม ๒๕๒๙


 

ผู้รู้แจ้ง เห็นจริง และ มีของจริง

ผู้ปฏิบัติ ที่เดินอยู่ในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ จะต้องเป็นผู้มี ความจริง ที่รู้ตัวอยู่จริง มีสติ ที่เป็น สติสัมโพชฌงค์ จริงๆ และ ได้ทำหน้าที่ ธัมมวิจัยจริงๆ

บทบาทของสติ ที่จะดำเนิน เป็นสติปัฏฐาน ๔ ต้องเกิดอยู่จริงๆ และ มีผลถึง สัมมัปปธาน ๔ มีการสังวร มีการประหาร สิ่งที่ควรประหาร มีการเกิดผล ตามที่ตนได้กระทำ ประพฤติอยู่ และได้รักษา คุ้มครอง ให้สิ่งที่ควร จะรักษา คุ้มครองอยู่จริง มีวิริยะ มีอิทธิบาท สนับสนุน ส่งเสริมอยู่ มีความยินดี ในการประพฤติ ปฏิบัติ มีความเบิกบาน ร่าเริง และเป็นผู้ที่พอใจ เป็นผู้ที่ยินดี มีอริยกันตศีล เจริญในศีล เจริญอธิจิต เป็นจิตสะอาดขึ้น เป็นจิตที่ได้ลด ได้ละขึ้น

มีปัญญา มีญาณทัสสนวิเสส อันรู้ ได้พิจารณา มีวิมังสา สอดส่อง เห็นความจริง ตามความเป็นจริง เกิดผลอยู่ ตลอดเวลา

ทฤษฎีที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พาทำ จะมีบทบาท สอดร้อย สนับสนุน ส่งเสริม ให้เกิด อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา สู่ฌาน สู่วิมุติ และเห็นรู้ ตามเห็น ตามรู้ มีอนุปัสสี ตั้งแต่ อนิจจานุปัสสี ซึ่งเป็น การตามรู้ ความไม่เที่ยงของกิเลส และ เกิดวิราคานุปัสสี เห็นความจางคลาย ของกิเลส แม้ที่สุด เห็นความดับ ของกิเลส เป็นนิโรธานุปัสสี อย่างชัดแจ้ง มีของจริง เป็นจริง

สุดท้าย เราได้ดี เราก็ไม่ได้ยึดดี มีการสลัดคืน ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้อย่างสูงสุด เป็นปฏินิคสัคคานุปัสสี อย่างแท้จริง ได้ปฏิบัติ ประพฤติอยู่ ทุกลมหายใจ เข้า-ออก กระทำอย่างถูกต้อง ตามอานาปานสติ

ผู้ปฏิบัติ จะลึกซึ้ง จะเข้าใจสภาวธรรม ที่มีทฤษฎีของ พระพุทธเจ้านั้น สอดร้อย ส่งเสริม สนับสนุนกัน

โดยหลักของ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ นั้น สติปัฎฐาน ๔ ก็ดี สัมมัปปธาน ๔ ก็ดี อิทธิบาท ๔ ก็ดี ก็จะมีสภาพซ้อน มีสภาพสนับสนุน ส่งเสริม เข้าออก ออกเข้า อย่างลึกซึ้ง สร้างอินทรีย์ ๕ สร้างพละ ๕ ด้วยโพชฌงค์ ๗ เป็นวิธีของ มรรค องค์ ๘ อยู่ทั้งสิ้น ทั้งมวล

ผู้ปฏิบัติ เป็นประจำ ชีวิต มีสติ ที่รู้ตัวรู้ตน กระทำถูกทิศ ถูกทาง เกิดปีติ และสู่ ปัสสัทธิ สั่งสมลง เป็นสมาธิ ที่สุด มีจิตอาศัย เป็นอุเบกขา และได้สลัดคืน เป็นปฏินิคสัคคานุปัสสี อยู่เสมอๆ จนรู้ยิ่ง เห็นจริงว่า บาปคืออะไร กุศลคืออะไร จนเราเอง ละเว้นบาปทั้งปวง ได้สนิท ยังกุศล ให้ถึงพร้อมได้จริงๆ

ผู้รู้แจ้ง เห็นจริง และ มีของจริง ถึงปานฉะนี้แล คือ ผู้ประสบ ผลสำเร็จ อันสูงสุดนั้น สำหรับ การเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว

๑ กันยายน ๒๕๒๙


 

ดูตนไม่มีตัวตน

จงคอยดูตน อย่างคนมีดวงตา
จนในดวงตานั้น ไม่มีตัวตน

๒ กันยายน ๒๕๒๙


ผู้รู้จริง

ผู้รู้จริงนั้น เห็นความผิดของผู้ผิด เป็นความถูกแล้ว
ส่วนผู้ยังไม่รู้จริง เห็นความถูกของผู้ถูก เป็นความผิด

๔ กันยายน ๒๕๒๙


 

ธรรมะทำให้เป็นผู้เจริญ

คนสบาย ก็คือ คนที่มีที่อยู่สบาย
คนสบาย ก็คือ คนที่มีบุคคล ผู้อยู่ร่วมสบาย
คนสบาย ก็คือ บุคคลที่มีอาหารสบาย และ
คนสบาย ก็คือ คนที่มีธรรมะสบาย

ผู้สบายได้แล้ว คือ ผู้เจริญแล้ว
ผู้เจริญย่อมรู้ที่อยู่ที่ควรอยู่
ที่อยู่ที่ควรอยู่ของผู้เจริญนั้น
ย่อมเป็นที่อยู่ ที่ไม่เป็นมลพิษ ที่ไม่เป็นภัย
ย่อมเป็นที่อยู่ ที่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะ
จะอยู่อย่างสบาย จะอยู่อย่างเจริญ

ผู้ที่เจริญแล้ว ย่อมรู้จักบุคคลที่จะอยู่ร่วม
และ บุคคลที่จะอยู่ร่วมนั้น
ก็จะต้องพากันเจริญ
อยู่กันอย่างสบาย อย่างแท้จริง
ย่อมไม่สร้างความต่ำ
ย่อมจะพากันสร้างความสูง
สร้างสิ่ง ที่เป็นกุศล
มีแต่บุญ มีแต่กุศลร่วมกัน
พากันดำเนินไปเท่านั้น

คนเจริญ ย่อมรู้จักอาหารที่เจริญ
และ ยังอยู่ด้วยอาหารที่พาเจริญ
พร้อมกันนั้น ก็ย่อม จะทั้งสร้าง และ
นำพากันให้รู้จัก อาหารอันเจริญนั้นอยู่

ที่สุด คนเจริญย่อมมีธรรมะอันเจริญ
สิ่งสูงสุดของมนุษย์ ก็คือธรรมะ
ผู้ที่ไม่รู้ธรรมะ ไม่ทรงไว้ ซึ่งธรรมะ
ย่อมเป็นทุกข์ ย่อมไม่เจริญ
ดังนั้น ผู้ศึกษาธรรมะ ประพฤติธรรมะ
ได้ผลของธรรมะ และ
อาศัยธรรมะนั้น มีชีวิตอยู่
ย่อมเป็นผู้ที่เจริญ อย่างยิ่ง
และ เป็นผู้ประเสริฐ ในโลก

๘ กันยายน ๒๕๒๙


 

สังคมมนุษย์ประเสริฐ

มนุษย์ผู้มีจิตมักน้อย ได้จริง มีจิตใจพอ หรือ มีจิตสันโดษ ได้จริง มีจิตสงบจากกิเลส ได้จริง และ มีจิตใจ ที่ไม่หลงสวรรค์ จิตใจไม่ซัดส่าย ออกไปคลุกคลี เกี่ยวข้องกับโลกียะ มีจิตใจ เป็นผู้ที่ขยัน ปรารภความเพียรอยู่จริง มนุษย์ผู้นั้น ย่อมจะมีชีวิต เป็นอยู่สุขโดยแท้ ในประมาณหนึ่ง เพราะได้ศึกษาศีล ได้มีสมาธิ ได้มีปัญญา เป็นเครื่องฝึกฝน อบรมมาจริง จึงเกิดวิมุติจริง มีวิมุตติญาณทัสสนะ ได้แท้

เมื่อผู้ที่ปฏิบัติถูกทาง ของศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมมีผลของวิมุติ และ วิมุตติญาณทัสสนะ นั่นเอง จึงเป็นผู้มักน้อยได้ เป็นผู้สันโดษได้ มีจิตสงบ อย่างถูกธรรม ของศาสนา พระพุทธเจ้า มีความไม่คลุกคลี เกี่ยวข้องทางจิต แม้จะอยู่กับโลก อยู่กับโลกีย์ แต่จิตก็ไม่เกี่ยว ไม่ข้อง ไม่ติด ไม่ยึดในโลกีย์ เพราะมีลักษณะ หลุดพ้น ที่แท้จริง และเป็นคน ปรารภความเพียร เป็นคนมีความขยันอยู่ เป็นลักษณะของ คนเจริญ

ดังนั้น ผู้ที่มีความจริง ในความมักน้อย ในความสันโดษ ในจิตที่สงบ จากกิเลสแท้ ประมาณใด ประมาณหนึ่งแล้ว ผู้นั้นจะอยู่เป็นสุข ไม่ว่าในสถานที่ใดใด

ยิ่งอยู่ในสถานที่ ที่มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี อีกด้วยแล้วไซร้ มนุษย์นั้น ผู้นั้น ย่อมไม่ไปไหนจาก มวลมิตรดี สหายดี สังคม สิ่งแวดล้อมดี นั้นเลย เพราะมนุษย์ผู้นั้น ย่อมมีปัญญา ความรู้ ที่รู้ยิ่ง เห็นจริงว่า สังคมสิ่งแวดล้อม อย่างนั้น เป็นสังคมสิ่งแวดล้อม ของมนุษย์ ที่เป็นกัลยาณมิตร หรือ เป็นมนุษย์ที่มี สังคมสิ่งแวดล้อม ที่อยู่กันอย่าง สังคมมนุษย์ประเสริฐ มนุษย์อารยะ อย่างแท้จริง

๙ กันยายน ๒๕๒๙


 

ชีวิตที่อยู่บนสวรรค์

ผู้ฉลาด ตั้งตนอย่างมีความสุข ขั้นแรกที่สุด จะมีสติรู้ตัว รู้ว่าการมีใจ เบิกบาน แจ่มใสนั้น ไม่มีใครในโลก มาทำให้เราได้ เราทำของเราเอง เรากำหนด ฝึกฝนของเราเอง เรารู้รสของเราเอง

ดังนั้น ผู้รู้เบื้องต้น ว่าเราจะมีความสุขนั้น ก็คือ เราจะต้องเป็น ผู้เบิกบาน แจ่มใส อุปสรรคในโลก มีอยู่ไม่รู้จบ

แม้เป็นพระอรหันต์เจ้า ก็ยังต้องมีอุปสรรค อุปสรรคเป็นแต่เพียง สิ่งประกอบ ของการงาน เท่านั้นเอง จะมีหนัก มีเบา ปานใดก็ตาม ผู้ที่เข้าใจดีแล้วว่า อุปสรรค คือ องค์ประกอบของการงาน ย่อมจะไม่ ท้อถอย และ ไม่รู้สึกหนักอก หนักใจ ฉันใด ถ้าเราเป็นผู้ที่มี กำลังใจกล้า เข้าใจความจริงว่า องค์ประกอบของ จิตมนุษย์นั้น จะมีอุปสรรค ให้เรากระทำ สม่ำเสมอ ผู้ได้พบอุปสรรค และ ได้ฝ่าฟัน อุปสรรค มามากๆ จะเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญ เป็นผู้ที่เข้าใจโลก เข้าใจมนุษย์ เข้าใจสิ่งที่ตนเอง จะกระทำกับมัน อย่างรอบรู้

ดังนั้น ผู้ใดยิ่งพบ อุปสรรคมาก ย่อมยิ่ง เป็นผู้มี ความสามารถมาก ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ไม่ใช่เรื่อง ควรจะท้อถอย

ก่อนอื่น เราพึงทำใจ ให้เบิกบาน และ ก็รับรู้ในวาระ ที่เรากำลัง จะดำเนิน กิจการงานต่อไป เรื่อยๆ และ เลือกเฟ้นกระทำ สิ่งที่สำคัญก่อน สิ่งที่จำเป็นก่อน ให้รู้ความสำคัญ ในความสำคัญ รู้ความจำเป็น ในความจำเป็น และ เราก็กระทำไป ตามกำลัง ตามแรง ที่เราสามารถทำได้ อย่างสบายใจ ไม่ต้องไปกังวล อุปสรรคใด ที่จะดาหน้า กันเข้ามา เราก็แบ่งรับ และแบ่งสู้ ไปเรื่อยๆ อย่างเบิกบาน ร่าเริง

ผู้กระทำได้ ดังนี้ จะรู้สึกว่าชีวิตนี้
เป็นชีวิต ที่อยู่บนสวรรค์ นั่นทีเดียว

๑๒ กันยายน ๒๕๒๙


 

ความสุขอันสงบ ที่สูงส่ง

เมื่อได้ประพฤติถูกทาง ก็จะเห็นผลแห่ง ความละ จาง คลาย ของกิเลส เมื่อจิตก็สงบ ปัญญาก็มีพร้อม จะรู้แจ้งว่า ความสันโดษ หรือ ความพอ ในใจ ของตนๆ นั้น มีได้จริง จิตมีสันโดษ เป็นความหยุด เป็นความพอ ซึ่งทำให้จิตนั้นสงบ ไม่ดิ้นแส่

จิตที่พอ ไม่ใช่จิตที่ไม่มีกำลัง จิตที่พอ เป็นจิตที่มีปัญญารู้ ว่าสิ่งที่เรา ไม่ควรดิ้นรน ต้องการมาเสพสมนั้น ก็คือ ความพอที่แท้จริง ดังนั้น ตนเอง ไม่ดิ้นรน มาให้ตนเอง ตนไม่ต้องเสพ ตนไม่ต้องสุข เพราะได้มาเสพ จิตจึงมีความสงบ ความสุข ในรสสงบ อย่างนี้

ผู้ที่มีจริง ทั้งจิตที่หลุดได้ ไม่มีกิเลส ทั้งปัญญา ที่เข้าใจได้ว่า เราไม่ประสงค์จะเสพ เราพอ เรารู้แล้วว่า ชีวิตไม่จำเป็น ไม่ต้องมีรส เพราะรสไม่จริง รสอร่อย ที่เคยถูกลวงมานั้น ดับ จาง คลาย ไปสนิท ผู้มีความเป็นจริง ดั่งนี้ จึงจะรู้ความสุข อันสงบที่แท้จริง ความสงบ ความสุข ที่เกิดจากความสงบ ทางจิตอย่างนี้ ผู้มีจริงเท่านั้น จะรู้จริง ผู้ไม่มีจริง จะเดา จะคาดคะเนเอา ไม่ได้เลย ผู้พึงได้สันโดษ ในสิ่งต่างๆ ที่โลกเขาลวง เขามอมเมายั่วยุ ผู้ใดรู้ได้มาก ปฏิบัติตน ลด ละ ได้มากจริงๆ แม้กระทั่ง สันโดษในความสมใจ ที่ตนเองมีดี กระทำดี และ ต้องการที่จะได้รับ สรรเสริญก็ดี หรือ ทำดีแล้ว ยังหลงติดดี นำดีนั้นไปเบ่ง ข่ม มีอำนาจต่อผู้อื่นอยู่ ก็เป็นรสในใจ ของตนก็ดี ซึ่งเป็นมานสังโยชน์

ถ้าผู้ใด กระทำได้จริงแล้ว ผู้นั้นยิ่งจะเห็น ความสุขอันสงบ ที่สูงส่ง แต่ก็จะเป็น ผู้มีปัญญาอันยิ่ง รู้ความจริงว่า ชีวิตนั้น มีคุณค่า ประโยชน์อย่างไร ชีวิตนั้น แม้จะเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ขยัน หมั่นเพียร สร้างสรร เกื้อกูล ต่อพหุชน อยู่อย่างไร ก็ยังเป็นความสุข อันสงบ ที่แตกต่างจาก ความสุข ที่เป็นโลกีย์ อันเราเคย มากันทุกคน เป็นความสุขที่วิเศษ ที่ภาษาบาลี เรียกว่า วูปสโมสุโข นั้นแล

๑๕ กันยายน ๒๕๒๙


 

วัฏสงสาร

เรียนรู้ อย่างถูกทฤษฎีแล้ว จะเป็นผู้ที่รู้จัก วัฏสงสาร รู้จักการตัด วัฏสงสาร และ จะเป็นผู้ที่มีคุณค่า ประโยชน์ เป็นผู้ประเสริฐ หากจะเหลือการสืบต่อ จะเป็นมนุษย์ จะวนเวียน เกิดอีกต่อ และ ต่อไป ก็ยังมีสิทธิ์ ที่จะเป็นมนุษย์ ผู้ประเสริฐ ผู้มีคุณประโยชน์ แก่โลกอยู่ ตลอดกาลนาน

และ เราจะตัดวัฏสงสาร ดับสิ้น ดับสูญ ณ บัดใด เมื่อใดอีก เราก็มีสิทธิ์ ด้วยความรู้แจ้ง รู้จบ ตรัสรู้จริง ตามที่ พระบรมศาสดา ได้พบแล้ว และ นำมาประกาศแล้ว ท้าทายให้พิสูจน์ นั้นแล้ว เป็นความจริง ทุกประการ

๒๐ กันยายน ๒๕๒๙


 

ผู้ได้จิตที่สงบ

บุคคล ผู้ที่รู้จักความจริง ในความมักน้อย และ ยังทรงความมักน้อย นั้นๆ อยู่อย่างพอใจ บุคคลที่มีจิต ถึงจุดสันโดษ ที่แท้จริง และ เป็นบุคคล ที่เห็นความสงบ เป็นที่อาศัย อันน่าพอใจยิ่ง

คำว่า ความสงบ ก็คือจิต ไม่ได้หมายถึงสิ่งนอก ผู้ได้จิตที่สงบจริง รู้แจ้งชัดในจิต ที่ปราศจากกิเลส แต่ก็เป็นจิตที่ สร้างสรร ขยัน เพียร เป็นจิตที่ แคล่วคล่อง ว่องไว มีเมตตา กรุณา มุทิตา ที่แท้จริง สร้างคุณค่า ประโยชน์อยู่ ทว่า ไม่ได้หลง ในคุณความดี ไม่ได้หลง สวรรค์ อันเป็นสวรรค์ ที่แท้จริง ไม่ใช่สวรรค์ลวงๆ นั้นๆด้วย

เป็นคนที่อยู่ได้กับ ทุกๆสภาพ แม้นรก แม้สวรรค์ แต่ก็ไม่หลงสวรรค์ ไม่ติดสวรรค์ และ ไม่ได้เจ็บปวด พ่ายแพ้กับนรก เป็นผู้ปรารภ ความเพียร เป็นผู้ขยันอยู่ เข้าใจในสภาพ เหล่านี้ดีจริงๆ และมีสภาพเหล่านี้ เกิดในตนจริงๆ คือ อัปปิจฉะ มักน้อย สันตุฏฐิ สันโดษ ปวิเวกะ สงบระงับ อสังสัคคะ ไม่คลุกคลีเกี่ยวข้อง กับกิเลส ในจิตวิญญาณ นั้นๆจริงอีก และ ยอดขยัน ผู้กระทำได้ดังนี้ หรือเป็นดั่งนี้ มีสภาพอย่างนี้ เกิดในตนจริง ก็แน่นอนว่า จะต้องเป็น ผู้มีศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ และ วิมุตติญาณทัสสนะ นั้นแน่แท้

ดังนั้น ผู้มีความจริง เป็นความจริง อยู่อย่างนี้ ถึงจะกล่าว จะพูด ก็จะเป็นไป ในลักษณะ ทั้งสิบอย่าง สิบข้อนี้ อยู่เสมอ เป็นเรื่องราว ที่เป็นธรรมดา ของผู้กล่าวนั้น คนที่เห็นจริง ในสภาพที่เป็น ความดี ความประเสริฐ ความอาศัย อย่างเป็นสุขเกษม ก็ย่อมจะประสงค์ ให้ผู้อื่น ได้มีความสุขเกษม ได้เห็นจริง ตามความจริง ที่ตนได้นั้นๆด้วย อย่างแท้จริง สิบข้อ สิบอย่างนี้ จึงได้ชื่อว่า กถาวัตถุสิบ ซึ่งหมายความว่า การพูดที่เป็นเรื่องราว ดังความหมาย ที่กล่าวมาแล้ว คร่าวๆ ทั้งสิบนั้น อยู่เสมอๆ ของผู้ที่เข้าใจแจ้ง และ มีความจริง ดังที่กล่าว ไปแล้วนั้น

๒๒ กันยายน ๒๕๒๙


คาถาธรรม ๑๖ / คาถาธรรม ๑ / คาถาธรรม ๒