ชีวิตจำลอง

๑๐. ไม่ถึงคราว

ตอนอยู่ชั้นมัธยม ผมพบหมอดูซินแสคนหนึ่ง เป็นเจ้าของสวนกล้วยหอม ใกล้ๆวัดสำเหร่ ผมไม่ได้บอกให้แกดูผม สักหน่อย อยู่ดีๆ แกก็เอ่ยปาก ทำนายทายทักว่า ผมอายุสั้น ไม่เกิน ๒๕ ปีก็ตาย

ผมไม่รู้จะเถียงแกอย่างไร ไม่เคยเรียนรู้วิชาหมอดู ไม่ว่าจะเป็นการผูกดวง ดูลายมือ หรือดูโหงวเฮ้ง เคยเห็นมีใครๆ ไปดูหมอ กับตาผมบ่อยๆ แม่นบ้าง เกือบแม่นบ้าง ตาเรียนดูหมอมานาน ตั้งแต่สมัยอยู่วัด ตำรับตำรามีครบ ผมก็ไม่ได้ให้ตาตรวจ ดูโชคชะตาเสียด้วย คำทำนายของซินแส อาจถูกต้องก็ได้

เมื่อซินแส ซึ่งคนแถวนั้นเขายอมรับกันว่า ดูหมอแม่น บอกว่าผมอายุสั้น สั้นเป็นสั้น ผมจะไปแก้ไขได้อย่างไร ผมเรียนไปอยู่ไป อย่างปกติธรรมดาๆ ไม่วิตกทุกข์ร้อน เพียงเตือนตัวเองว่า ใกล้อายุ ๒๕ แล้วนะ ใกล้ตายแล้วนะ

พออายุเลย ๒๕ ก็โล่งอก รอดไปที ไม่ตายแล้ว แต่ก็ต้องตายอยู่ดี ไม่รู้จะตายเมื่อไร เท่านั้นเอง

เมื่ออายุ ๓๑ ขณะมียศร้อยเอก เป็นผู้บังคับกองร้อยสื่อสาร กองร้อยที่พี่จิ๋ว เคยเป็นผู้บังคับกองร้อยมาก่อน ผมได้รับคำสั่ง ให้เตรียมตัว ไปปฏิบัติราชการ ในประเทศลาว ชนิดที่ไม่เคยได้ยินข่าว วี่แววมาก่อนว่า ผมจะต้องไป

กลับจากลาวมาแล้ว จึงได้ทราบความจริงว่า คำสั่งขอตัวนายทหาร ไปปฏิบัติราชการพิเศษ ฉบับนั้น ขอผิดตัว ผู้ใหญ่ต้องการ นายทหารรุ่นพี่ ที่ชื่อเดียวกับผม คือ พลตรีจำลอง พรรคเจริญ แต่กลับกลายเป็น จำลอง ศรีเมือง ชื่อจำลอง จึงเป็นเหตุ

การไปปฏิบัติงานที่ลาวนั้น แรกทีเดียว ก็ไปปกครองตำรวจพลร่ม ที่เรียกว่า “พารู” ที่กองบังคับการ หน่วยผสม ๓๓๓ อุดร ทำหน้าที่ ติดต่อสื่อสาร กับชุดปฏิบัติการต่างๆ ในประเทศลาว จากนั้น ก็ย้ายเข้าไปทำงานในประเทศลาว แล้วแต่ผู้บังคับบัญชา จะสั่งให้ไปไหน ไปทั้งนั้น ไปอยู่สุวรรณเขต ปากเซ เมืองสุย

วันหนึ่ง “นายเทพ” คือ พลโทวิทูร ยะสวัสดิ์ ก็เรียกผมเข้าไปพบ

“โยธิน อั๊วจะให้ลื้อไปเป็นหัวหน้า ทีมแซต-๑๖ ที่ผาที ลื้อจะเป็นเหล่าสื่อสารหรือเหล่าไหน ไม่สำคัญ อั๊วดูที่ลักษณะผู้นำ ลื้อเป็นได้ เตรียมตัวเดินทาง”

ภูเขาชื่อ “ภูผาที” เป็นชัยภูมิสำคัญ เป็นที่ตั้งของสถานีเรดาร์ อันทันสมัย ที่จะส่งสัญญาณ นำเครื่องบินรบทุกชนิด ของสหรัฐ ในประเทศไทย เข้าโจมตีที่มั่นต่างๆ ของคอมมิวนิสต์ ทั้งในลาวและเวียตนาม ลาวคอมมิวนิสต์ และเวียดกง จึงจ้องจะเข้ายึดให้ได้

ข้าศึกเตรียมสะสมอาวุธหนัก และกำลังทหาร รอวันเข้าถล่มผาที โดยนำปืนใหญ่ และเครื่องยิงจรวด ไปเตรียมตั้งยิงไว้ รอบผาทีแล้ว ทุกจุดบนผาที อยู่ในรัศมีทำการยิง ของข้าศึกทั้งนั้น

ทหารไทย ได้รับการฝึกไปจากประเทศไทย เป็นอย่างดี เพื่อเข้าทำการรบโดยเฉพาะ ไม่ใช่สำหรับหาข่าว เหมือนชุดปฏิบัติการอื่นๆ มีหน้าที่ป้องกันพื้นที่บนผาที ร่วมกับ กองกำลังทหารลาวฝ่ายขวา คือแม้ว ของนายพลวังปาว โดยมีช่างเทคนิคชาวอเมริกัน เป็นผู้ควบคุมเรดาร์ สหรัฐให้การสนับสนุนทุกอย่าง ต่อทุกคนที่อยู่บนผาที

หัวหน้าชุดปฏิบัติการผาที เปลี่ยนมาหลายคน “ขวาน” หรือ พลตรีวรวิทย์ พิบูลศิลป์ เดินทางกลับเมืองไทย เพื่อเข้าโรงเรียนชั้นนายพัน ส่วนพ.อ.ปรีดี บุญสวัสดิ์ ซึ่งผมจำชื่อรหัสไม่ได้ ก็กำลังจะครบวาระ แปลกที่นายทหารทั้งสองคน เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับผม และสนิทกันเสียด้วย

ก่อนจะไปรับหน้าที่ ผมฟังการบรรยาย สรุปสถานการณ์ ที่หน่วยผสม ๓๓๓ ซึ่งลงท้ายด้วยคำยืนยัน ให้ผมอุ่นใจว่า แม้ข้าศึกจะเอาอาวุธ ไปตั้งล้อมไว้หมดแล้ว แต่ข้าศึก ก็ไม่สามารถจะขึ้นไปบนภูผาทีได้ เพราะเป็นภูเขาสูงชันมาก เราและลาวฝ่ายขวา อยู่ในชัยภูมิ ที่ได้เปรียบ ข้าศึกจะต้องสูญเสียอย่างหนัก

รุ่งเช้า ผมออกเดินทางทันที ไปคนเดียว ขึ้นเครื่องบินไปลงที่ โรงเรียนเสนาธิการลาว "โล่งแจ้ง” นอนค้างกับอาจารย์วินัย (พลตรีวินัย ศรีนวล) อาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ๑ คืน แล้วเดินทางต่อ ด้วยเฮลิคอปเตอร์ จากโล่งแจ้ง กำหนดจะไปลงบนผาที

เฮลิคอปเตอร์ บินวนอยู่เหนือผาทีหลายรอบ ลงไม่ได้ เพราะหมอกลงจัดมาก อากาศปิด จึงต้องเอาผมไปส่งที่เชิงดอย ให้เดินปีนเขาขึ้นไปเอง ปรีดีส่งทหารไปคอยนำทาง เดินปีนเขาขึ้นไปได้สักพัก ผมก็มั่นใจว่า ข้าศึกขึ้นไม่ยากเท่าใดนัก เพราะผมนอนคุย กับอาจารย์วินัย จนดึก นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง ผมยังปีนเขาไหว

ขึ้นไปครึ่งทาง ถึงบ้านร้อยเอก เกียตู้ นายทหารแม้วฝ่ายเรา ซึ่งมีตำแหน่ง เป็นผู้บังคับกองโจร ลาดตระเวนเชิงเขา ธรรมเนียมลาว ก็เหมือนธรรมเนียมไทย คือนับถือครู โชคดีผมเคยไปสอนวิชาสื่อสาร ที่โรงเรียน เสนาธิการทหารลาว ร้อยเอกเกียตู้ เข้าเรียนด้วย จำผมได้ดี จึงยอมรับนับถือ

เกียตู้ มีภรรยา ๘ คน เอาผ้ากระสอบ มากั้นเป็นห้องๆ ๘ ห้อง เรียงกันเป็นตับ เกียตู้ให้ทหารยกข้าวมาเลี้ยง แม้จะอยู่ในป่าในดง ยังมีช้อนส้อมใช้ แปลกดี

คุยกับเกียตู้ได้สักพัก ผมก็ปีนเขาต่อ จนถึงที่ราบข้างบน อากาศเย็นมาก หมอกลงเป็นประจำ บางครั้ง ยืนห่างกัน ๕ เมตร มองหน้ากันไม่เห็น

แรกๆผมแปลกใจ ทำไมเข้าส้วม จึงต้องพกปืนด้วย สถานการณ์รุนแรงอะไรขนาดนั้น เชียวหรือ อยู่ๆไป จึงทราบความจริงว่า นอกจากหมอกจะลงจัด เป็นประจำแล้ว การรักษาความปลอดภัยข้างบนนั้น แทบจะไม่มี ผมพยายาม เอาลวดหนาม มากั้นเป็นสัดส่วน ก็ทำไม่ได้ เพราะกั้นแล้ว ชาวบ้านอดขึ้นไปกรีดฝิ่น ฝิ่นบนผาที ออกดอกงามสะพรั่ง

ผู้ใหญ่บ้านพาลูกบ้าน ไปร้องเรียนกับผมว่า สามีของเธอ เป็นทหารฝ่ายเรา ตายในสนามรบ แล้วเรายังใจร้าย ตัดทางทำมาหากิน ของภรรยาเขาอีกหรือ หัวหน้าชุดปฏิบัติการคนก่อนๆ คงพยายาม เช่นผมมาแล้ว และทำไม่ได้เหมือนกัน จึงอยู่อย่างเสี่ยงๆ ดวงดีก็อยู่ ดวงไม่ดีก็ไป เข้าส้วมต้องพกปืน เพราะไม่แน่ อาจจะไปจ๊ะเอ๋ กับข้าศึกในส้วม เมื่อไรก็ได้

คืนวันหนึ่ง พระจันทร์เต็มดวง ผมออกไปเดินด้านหลังบังเกอร์ ตรงนั้นเป็นลานกว้างๆ มีหิน โผล่ขึ้นมาเหนือดิน วางเรียงกัน ตามธรรมชาติ เป็นแถวๆ ดูๆ แล้วคล้ายไม้กางเขน ที่ปักในสุสาน ถ้าโชคร้าย ผมคงอยู่ที่สุสานตรงนั้นเอง

ข้าศึกคุกคามหนักขึ้น ระดมยิงที่มั่นของลาวฝ่ายขวา ซึ่งตั้งเป็นจุดๆ บนเนินเขาต่างๆ ห่างจากผาทีออกไป ไม่กี่กิโลเมตร เช่นที่ภูม้า ภูห้วยเฮ่า เป็นต้น ข่าวการเพิ่มเติมกำลังของข้าศึก เข้ามาถึงเราไม่ขาดสาย

จากข่าวที่ยืนยันหลายกระแส ข้าศึกจะเข้าทำลาย ที่มั่นผาทีให้ได้ โดยจะยกกำลังขนาดกรม เข้าโจมตี และได้เตรียมขุดหลุม ฝังตัวเองไว้แล้ว ตายเป็นตาย

เมื่อสถานการณ์คับขันขึ้น แม้วหรือลาวฝ่ายขวา มีการเปลี่ยนตัวแม่ทัพนายกอง บนผาทีทั้งหมด ยกเว้นเชิงผา ร้อยเอกเกียตู้ อยู่ในตำแหน่งเดิม ผู้บังคับบัญชาใหญ่ที่สุด ที่เปลี่ยนมาใหม่คือ พันตรีซัวย่า ลูกน้องนายพลวังปาว ชื่อคล้ายแบตเตอรี่

ทหารไทยรับผิดชอบที่ ที่ข้าศึกขึ้นง่าย ส่วนทหารลาว รับผิดชอบที่ ที่ข้าศึกขึ้นยาก ผมตรวจตรา การเสริมที่มั่นของทหารไทย ให้แข็งแรง ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ชุดปฏิบัติการย่อยๆของเรา อยู่ห่างไกลกัน บางครั้งต้องเดินฝ่าดง ที่มีต้นไม้ขึ้นครึ้ม และเปลี่ยว ผมไปไหน ก็มีสุนัขพันธุ์แม้วตัวหนึ่ง เดินตามเป็นเพื่อนไปด้วย ต่างกับพันตรีซัวย่า จะไปไหนมาไหน มีทหารนำหน้า ๒ คน ตามหลังอีก ๒

ผมตระเวนเยี่ยมเยียน ให้กำลังใจชุดปฏิบัติการทุกชุด เน้นว่า เวลาปะทะกับข้าศึก ขอให้สู้จนขาดใจ คนเรา ถ้าถึงคราวก็ตาย จะตายทั้งที ขอให้เป็นผีมีศักดิ์ศรี อย่าหนี ทำตัวเป็นผีขี้ขลาด

ผมซ้อม เตรียมรับศึกเต็มที่ ซ้อมเหมือนรบจริงๆ นับตั้งแต่เริ่มปะทะ ใครจะต้องทำอะไร ที่ไหน เช่น ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นคนยิง เครื่องยิงลูกระเบิด หรือเป็นคนยิงปืนครก อย่างที่ชาวบ้านเราเรียกกัน ออกจากบังเกอร์ รีบวิ่งไปที่หลุมปืน งัดเอาเครื่องยิงลูกระเบิด ที่ซ่อนไว้ใต้ดิน ขึ้นมาตั้งยิง จับเวลาไว้อย่างถี่ถ้วนว่า ตั้งแต่ออกคำสั่งยิง จนถึงกระสุนนัดแรก ออกจากลำกล้องปืน จะใช้เวลาเท่าไร

นายทหารติดต่อชาวอเมริกัน ที่ประจำกองกำลังทหารไทย พอใจในการซ้อมมาก มั่นใจในความสามารถ ของทหารไทย และถ้าฝ่ายไทย มีความจำเป็น ภายในเวลา ๕ นาที เครื่องบินรบของอเมริกัน ก็พร้อมที่จะมาช่วยทิ้งระเบิด ทำลายข้าศึก

การซ้อมใหญ่ ผ่านไปได้ไม่นาน ผมก็เกิดลางสังหรณ์ ซึ่งในชีวิต ไม่เคยเป็นอย่างนั้นเลย ผมสังหรณ์ว่า อีก ๒ วัน จะต้องปะทะ ข้าศึกอย่างหนัก จึงออกคำสั่ง ให้ทุกคนออมกำลังเอาไว้ ใครไม่ติดการเข้าเวร ให้พักผ่อนให้เต็มที่ ตุนแรงไว้สู้ข้าศึก

ค่ำลง ผมปิดวิทยุหมด นอน ไม่รับฟังข่าวใดๆทั้งสิ้น มั่นใจอย่างไรบอกไม่ถูก ว่าจะเป็น อย่างที่ผมสังหรณ์แน่ๆ

ในช่วงนั้นเกิดเรื่องแปลก ผู้ที่จะเป็นกำลังสำคัญ ในการต่อสู้ข้าศึก มีอันเป็นต้องไปโน่น ไปนี่หมด ประจวบเหมาะกันพอดี ราวกับนัดกันไว้

ครูปืนใหญ่ ซึ่งเดินทางมาจากเมืองสุย ไปสอนวิธีการยิงปืนใหญ่ ให้ทหารลาวบนผาที เกิดครบกำหนด ต้องกลับเมืองสุยทั้งชุด ผมนึกในใจว่า ทั้งนายทหาร และนายสิบ รวม ๕ คน ยิงปืนใหญ่เก่ง อยู่กับเราอีกสักสัปดาห์ ก็จะดี แต่ผมก็ไม่อยากขัด

“พี่โยธินครับ ผมไปก่อนนะ คราวหลังมาช่วยใหม่ ทหารลาวที่อยู่กับพี่ ยิงปืนใหญ่เป็นแล้ว” นายทหารรุ่นน้อง ยศร้อยโทพูด พร้อมกับทำความเคารพ ขณะที่ผมเดินไปส่ง ที่ลานจอดเฮลิคอปเตอร์

“พี่ ผมขออนุญาตกลับกรุงเทพฯ ผมเลื่อนหมั้นมาทีหนึ่งแล้ว เลื่อนอีกทีคงไม่ดี” เจ้า “แจ้” นายทหารรุ่นน้องผมพูด “แจ้” เป็นรองหัวหน้าชุด เป็นกำลังสำคัญอีกคนหนึ่ง เราสนิทกันมา ตั้งแต่เป็นนักเรียนนายร้อย แจ้ต้องกลับไปทำพิธีหมั้น ไม่เป็นไร

“หัวหน้าครับ เมื่อวานไฟไหม้ตรงโน้น” นายสิบตำรวจพลร่ม รูปร่างกำยำ เจ้าของนามรหัสว่า “ลิโป้” พูดพร้อมกับชี้มือ

“ผมเคยเจอมาแล้วครับ ที่นาคัง เกิดไฟไหม้อย่างนี้ ได้ไม่กี่วัน ก็ปะทะกับข้าศึก อย่างแหลกลาญเลย”

“ยายผมป่วย ผมขอลากลับกรุงเทพฯ”

ลิโป้ยายป่วย จะกลับ ก็ไม่เป็นไรอีก อะไรๆผมก็นึกว่า ‘ไม่เป็นไร’ ทั้งนั้น สบายใจดี

ตกลงทหารไทยทั้งชุด ซึ่งมีขนาด “กองร้อยเพิ่มเติมกำลัง” ที่ผมเป็นหัวหน้าชุดอยู่นั้น เหลือนายทหารเพียงสองคน ผมกับพี่หมอ ซึ่งมียศพันตรี เพิ่งเดินทางมาเป็นแพทย์ ประจำชุดปฏิบัติการของเรา

แม้คนจะเหลือน้อย กำลังสำคัญๆไม่อยู่บ้าง ก็ไม่เป็นไร เพราะซ้อมไว้ดีแล้ว ขวัญของทหารก็ดี ผมมีความมั่นใจ

เหตุการณ์เริ่มเป็นไป ตามลางสังหรณ์ บ่ายวันนั้น ราวสองโมง ข้าศึกเคลื่อนย้ายกำลัง เข้าประชิดเชิงผาที มีการวางสายโทรศัพท์เข้ามา เพื่อปรับการยิงปืนใหญ่ ผมรีบส่งวิทยุให้เกียตู้ จัดกองโจร ออกไปลาดตระเวน

“หัวหน้าโยธิน ข้าศึกยกมาหลาย ข้อยบ่ไป” เกียตู้พูดภาษาลาวปนไทย ซึ่งผมเข้าใจดี เราเหลือแต่กำลังบนผาที ไม่มีกองลาดตระเวน ที่จะต่อแขนขา ออกไปปะทะปะทัง และสืบทราบข่าวคราวข้าศึก

ประมาณต้นเดือนเมษายน ๒๕๑๑ ผมจำได้ดี หกโมงเย็นวันนั้น กระสุนปืนใหญ่ ของข้าศึกนัดแรก ตกห่างจากบังเกอร์ ที่ผมอยู่ประมาณ ร้อยกว่าเมตร เท่านั้นเอง ข้าศึกระดมยิงไม่ยั้ง นับไม่ถ้วนว่ากี่ร้อยนัด ผมติดต่อกับชุดปฏิบัติการณ์ทั้ง ๔ ชุด ตลอดเวลา ซึ่งแต่ละชุด นอกจาก จะมีทหารไทยแล้ว ยังมีทหารลาวประจำอยู่ด้วย ตั้งอยู่บนผาที ทั้ง ๔ ทิศ

“ขวัญดีครับ ทหารลาวอยู่กับเราครบ ผมชงเครื่องดื่ม เลี้ยงกันเต็มที่” หัวหน้าชุดปฏิบัติการ ชุดหนึ่งตอบ เมื่อผมถามถึงขวัญ และกำลังใจ หลังจากข้าศึก ยิงถล่มตอนเย็นแล้ว ก็ยังยิงปืนใหญ่ เข้ามาเป็นระยะๆ พร้อมกับส่งเครื่องบิน มาทิ้งระเบิดที่มั่นของฝ่ายเรา บนผาทีอย่างหนัก เสียงพันตรีซัวย่า พูดรายงานมาทางวิทยุ ชัดถ้อยชัดคำ

“หัวหน้า หัวหน้า พวกเฮามารวมกัน ที่ตรงนี้แล้ว”

ซัวย่า ถอนกำลังทหารลาวทั้งหมด ที่ป้องกันด่านต่างๆ ไปรวมอยู่จุดเดียวกัน เพื่อเตรียมลงจากผาที เสร็จกัน ข้าศึกต้องขึ้นไปได้แน่ๆ

ตีหนึ่งครึ่ง เดือนตก ข้าศึกระดมยิงอย่างหนัก เพื่อเข้าตีตามตำรา เครื่องบินที่เราขอการสนับสนุน ใช้เวลาตั้ง ๔๕ นาที กว่าจะมา ไม่ใช่ห้านาที อย่างที่ตกลงกันไว้ เครื่องบินมาบินวน ทิ้งพลุส่องสว่าง เพื่อให้มองเห็นที่ตั้งปืนใหญ่ข้าศึก แล้วทิ้งระเบิด พอเครื่องบินคล้อยกลับไป ปืนใหญ่ข้าศึก ก็ระดมยิงเหมือนอย่างเดิม แสดงว่า ไม่ได้ถูกทำลายเลย

เพื่อผลทางการเมือง รบที่ไหนในลาว เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ถ้าใช้ทหารราบลาว ต้องใช้ทหารปืนใหญ่ไทย ถ้าใช้ทหารราบไทย ก็ใช้ทหารปืนใหญ่ลาว ผาทีเข้ากรณีที่สอง เราเสียดาย ถ้าปืนใหญ่เป็นของเรา คงยิงโต้กัน ถึงพริกถึงขิงแน่

“ถืก ถืกครับ” ทหารปืนใหญ่ลาว ตอบอย่างนื้ทุกที เวลาที่เราชี้ที่หมายให้ยิง แล้วถามว่า ยิงถูกที่หมายหรือเปล่า เขาบอกว่าถูก แต่จริงๆแล้ว ไม่ถูกสักที

เมื่อข้าศึกระดมยิง จนได้ที่แล้ว หน่วยคอมมานโดแต่งชุดดำ ก็ขึ้นมาบนผาที เต็มพรืดไปหมด ขึ้นมาตรงด่าน ที่ทหารลาวรับผิดชอบ ผมสั่งให้เครื่องยิงลูกระเบิด ประจำชุดปฏิบัติการทั้ง ๔ ระดมยิงเป็นฉากๆ ตามที่ซ้อมไว้ ซึ่งเป็นการเสี่ยงมาก เพราะข้าศึก อยู่ไม่ไกล จากผมเท่าไร ถ้ายิงพลาด ลงหัวผมแน่ รวมทั้งทุกคนที่อยู่ในกองบังคับการด้วย

พวกเรายิงได้แม่นยำมาก ข้าศึกค่อยๆถอยห่างไปๆ ผมไม่ใช่คน ที่ไม่กลัวอะไรเลย เพียงแต่พอระงับไว้ได้บ้าง นึกอย่างเดียวว่า ถึงคราวก็ตาย สั่งยิงไป ก็พูดโทรศัพท์ ขอบใจชุดปฏิบิการ ให้กำลังใจเป็นระยะๆ ทำเหมือนว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

รุ่งเช้า ข้าศึกไม่เหลือ บนผาทีสักคน เห็นรอยเลือดเป็นทาง ข้าศึกไม่ยอมทิ้งคนเจ็บ คนตายไว้ รบที่ไหน ก็ทำอย่างนี้

แม้พวกเราจะอิดโรย มาตลอดคืน แต่ไม่มีใครตาย ไม่มีใครบาดเจ็บสักคน ถ้าส่งอาวุธ กระสุน เสบียงอาหาร ไปเพิ่มเติมให้อีก ก็สู้กันได้อีก

ผู้ใหญ่ฝ่ายไทยและอเมริกัน ตกลงใจ ให้ถอนกำลังกลับอุดร เสียช่างเทคนิคชั้นดีไป ประมาณ ๒๐ คน เพราะข้าศึก ปีนเขาขึ้นมาตรงด่าน ที่ลาวรับผิดชอบ ใกล้ๆกับที่ตั้งเรดาร์ โดยเอาระเบิดมือ เข้าไปขว้างตามจุดต่างๆ

ช่างเทคนิคบางคน ที่รอดมาได้ เล่าให้ฟังว่า ได้มีการซักซ้อมมาก่อน เหมือนกันว่า เมื่อเกิดเรื่อง จะออกจากห้องเรดาร์ เอาเชือกเส้นใหญ่ ผูกกับต้นไม้ แล้วโหนตัวลงไปหลบ ในชะง่อนผาที่เตรียมไว้แล้ว คืนนั้น ก็ทำอย่างซ้อม แต่ลงไปแล้ว ลืมปลดเชือกออก ข้าศึก จึงไต่เชือกลงไป เอาระเบิดหย่อน

แม้วเสียกำลังไปประมาณ เกือบ ๒๐๐ เพราะอยู่ไม่เป็นที่ ไม่อยู่ในบังเกอร์ เฮละโลไปที่นั่นที ที่นี่ที ทหารแม้วส่วนมาก เป็นเด็กอายุสิบสี่สิบห้า ขวัญมั่นคง สู้ผู้ใหญ่ไม่ได้

ข้าศึกแม้จะถอยลงจาก ผาทีไปแล้ว แต่ก็ยังซ่อนตัวอยู่รอบๆผา การถอนกำลัง ต้องทำอย่างรอบคอบ อเมริกันส่งเครื่องบิน สกายเรดเดอร์ มาบินวนรอบเชิงผา ยิงกดหัวข้าศึกไว้ก่อน แล้วจอลลี่กรีน เฮลิคอปเตอร์กู้ภัย ขนาดใหญ่ จึงร่อนลงรับบนผา

ผมต้องขึ้นไปกับนักบิน เพื่อชี้ที่ตั้งของหน่วยทหารไทย ให้เฮลิคอปเตอร์ลงรับ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่บินวนอยู่ในระดับสูง น้ำมันกำลังจะหมด เครื่องบินบรรทุกน้ำมัน บินเฉียดเข้ามา เติมน้ำมันกลางอากาศ ผมเคยแต่ได้ยิน ไม่เคยเห็น

การถอนกำลัง เป็นไปอย่างทุลักทุเล ให้เวลาเป็นวันๆ กว่าจะเสร็จ

ผู้ใหญ่ฝ่ายไทย อเมริกัน และแม้ว ต่างงงงันไปตามๆกัน ว่าข้าศึกจำนวนมาก ขึ้นไปบนผาทีได้อย่างไร เพราะบริเวณที่ข้าศึกเข้าตีนั้น เป็นที่ที่ขึ้นยาก เป็นเขาสูงชัน ทุกฝ่ายเคยคาดกันว่า ข้าศึกจะขึ้น บริเวณที่ขึ้นง่าย ซึ่งเป็นพื้นที่ รับผิดชอบของทหารไทย ผมเองเวลาซ้อม ก็สมมติสถานการณ์เช่นนั้น

ร้อยเอกเกียตู้ มีกำลังพลไม่น้อย ลาดตระเวนอยู่ข้างล่าง โดยรอบของผาที ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกัน อย่างเต็มที่ ทั้งอาวุธกระสุน ตลอดจนข้าวปลาอาหาร ร้อยเอกเกียตู้ เคยสร้างวีรกรรมไว้ สมัยที่คอมมิวนิสต์ ครอบครองภูผาที ตั้งแต่ยังไม่มีเรดาร์ ได้พาสมัครพรรคพวก ปีนเขาขึ้นไปตีข้าศึก ยึดภูผาทีกลับคืนมาได้ แล้วเหตุไฉน จึงปล่อยให้ข้าศึก ปีนขึ้นไปง่ายๆ

สองวันต่อมา นายพลวังปาว ชวนร้อยเอกเกียตู้ ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ไปตรวจพื้นที่การรบ เมื่อกลับลงมา เกียตู้ตายเสียแล้ว นายพลวังปาวแจ้งว่า ระหว่างบินอยู่กลางอากาศ เฮลิคอปเตอร์ลำนั้น ถูกข้าศึกยิงจากพื้นดิน ข้าศึกยิงแม่นเหลือเกิน ถูกเกียตู้ตายคนเดียว คนอื่นปลอดภัย เกียตู้รอดจากที่ต่ำ ขึ้นไปตายบนที่สูง

ทางฝ่ายทหารไทย ผมยังจำภาพวันนั้นได้ดี แม้เวลาจะผ่านมา หลายปีแล้วก็ตาม “หัวหน้าทน” พลโทธนดิษฐ์ สุทธิเทศ รองหัวหน้าหน่วยผสม ๓๓๓ ไปรับผม ที่สนามบินอุดร

“โยธิน ถ้าการรบครั้งนี้เปิดเผยได้ ผมขอเหรียญกล้าหาญชั้น ๑ ให้คุณแล้ว”

เราได้ทำหน้าที่สำเร็จแล้ว อย่างสมบูรณ์ สู้กับข้าศึก ขับไล่ข้าศึกออกจากพื้นที่ โดยที่เรา ไม่มีใครสูญเสียเลย ผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ ประมาณการว่า เราสลายทั้งชุด ไม่เหลือเลยสักคน

ไม่ถึงคราวก็ไม่ถึงคราว

กลับจากลาวหลายปี ลูกน้องเก่าๆ แยกย้ายกันประจำอยู่หน่วยทหาร ในกรุงเทพฯบ้าง ต่างจังหวัดบ้าง พบกันที่ไหน ก็อดคุยถึง ความหลังไม่ได้

คิดถึง คิดถึง

กอ.รมน.สวนรื่นฤดี เขตดุสิต ถนนราชสีมา กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐

๗ ก.ย. ๓๒

กราบเรียน ท่านพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่เคารพอย่างสูง

อนุสนธิ ๒๑ ปี ที่ผ่านมา หรือเมื่อ ปี ๒๕๑๑ ท่านคือ ร.อ.จำลอง ศรีเมือง หรือชื่อในสนาม “โยธิน” ท่านปฏิบัติราชการพิเศษ ประเทศลาว เป็นหัวหน้าทีม ในชุด แซต-๑๖ หรือ “ภูผาที”

สำหรับกระผมก็คือ จ.ส.อ.ฉลอง นาคพงษ์ เป็นหน้าชุดที่ ๒ เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ร่วมทุกข์ ร่วมสุข ท่านให้ความเมตตา ปกป้องคุ้มครอง ให้พวกกระผม ได้พ้นอันตราย กลับมาประเทศไทยโดยปลอดภัย ซึ่งสมัยนั้น เป็นทีมที่ลำบากที่สุด ซึ่งถูกเครื่องบินฝ่ายตรงข้าม โจมตี ถูกถล่มด้วยปืนใหญ่ และจรวด อย่างหนัก เป็นการต่อสู้อย่างทรหด ไม่สามารถบรรยาย ในทางร่างกาย และจิตใจได้ กระผมคิดว่า ท่านคงนึกถึง ความทรงจำในอดีต ได้นะครับ

ปัจจุบันนี้ ท่านเป็นนายพลแล้ว และเป็นผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร นับว่าเป็นเกียรติอย่างสูง ก่อนการเลือกตั้งผู้ว่า กระผมก็ติดตาม และสนับสนุนท่าน มาโดยตลอด เพราะกระผม มีภูมิลำเนาอยู่ที่ลาดพร้าว เขตบางกะปิ และปัจจุบันนี้ กระผมเป็น พ.ท. รับราชการ อยู่ที่ สลก.ทบ. ตำแหน่ง ฝสธ. ประจำ ผู้บังคับบัญชา ช่วยราชการ สกพ.กอ.รมน. สวนรื่นฤดี เขตดุสิต กรุงเทพฯ

การที่กระผม ได้จดหมายถึงท่านนี้ มิใช่กระผมจะรบกวนอะไรท่าน เพียงแต่คิดถึงท่าน และนึกถึงในอดีตที่ผ่านมา ให้ความอุปการะ และเป็นผู้นำ ในสนามรบอย่างยอดเยี่ยม และขณะนี้ ท่านกำลังจะมีชื่อเสียง ดีเด่นระดับชาติ และอีกไม่ช้า จะมีการเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร กันใหม่ กระผม และญาติ มิตรสหาย ยินดีสนับสนุนท่านอย่างเต็มที่ ถ้ามีอะไรจะเรียกผมใช้ กรุณาเรียกผมได้ทุกเวลา

ด้วยความเคารพและนับถืออย่างสูง

พ.ท.ฉลอง นาคพงษ์

 

อ่านต่อ / ๑๑. สมใจนึก