ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๐๑) ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๒๕ |
เราได้ศึกษากันมาหลายนัย หยาบเราก็พูด กลางเราก็พูด ละเอียดเราก็พูด แนะนำให้พิจารณา แล้วก็พยายามขจัดออก มีเจตนาที่จะรู้กุศลอกุศลให้ชัดขึ้น มีเจตนาที่จะรู้ กุศลอกุศลให้ชัด แล้วก็ขจัดอกุศล ที่เรารู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง อันแยบคายของเรา ให้เอาออกให้ได้ แม้มีประมาณน้อย ให้รู้สึกตัว เหมือนอย่างกับ เราจะพอใจที่จะเอาออก มีมานะอุตสาหะ พยายามตั้งสติสัมปชัญญะ ปัญญา ให้มีปริมาณของสติสัมปชัญญะ ให้มีปริมาณอันยิ่งขึ้น เพื่อที่จะรู้ แล้วก็กระทำ โดยความพยายามอุตสาหะดังกล่าว เหมือนกะยังกับเรามีไฟไหม้หัว ไฟไหม้ผ้าโพกหัว จะต้องรีบขจัดมันออก ให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะมีปริมาณน้อยน่ะ เราไม่ถือว่าโทษทัณฑ์ อันมีประมาณน้อยนั้น เป็นเรื่องที่ชลอไว้ เป็นเรื่องที่ไม่เอาออก แต่เราจะมี ความรู้สึกเหมือนอย่างกับ แม้มีประมาณน้อย โทษภัยนั้น เราก็จะพยายามพอใจ ดีใจที่จะเอาออก ประหนึ่งอย่างกับ ไฟไหม้หัว ไฟไหม้ผ้าที่โพกอยู่ที่หัว ดังนั้น เป็นต้นน่ะ
ในอย่างหยาบที่เราได้แล้ว ก็เป็นบุญของเรา ในอย่างกลางที่ได้ เราออกได้ ก็เป็นบุญของเรา ในอย่างละเอียด เราก็ต้องเอาออกให้ได้ เพื่อเป็นบุญของเรา หรือไปสู่ที่สูงที่สุด ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่สรรเสริญคนหยุดอยู่ ท่านไม่สรรเสริญคนติดแป้น ท่านสรรเสริญคนที่เจริญ เจริญยิ่งอยู่ และความเจริญนั้น จะเจริญไปได้เป็นอนันตัง เราสามารถที่จะทำความเจริญ ทำความก้าวหน้า ทำความสูงยิ่งๆ ขึ้นไปได้ตลอดเวลา ที่เรายังมีรูปนามขันธ์ ๕ เราไม่จำเป็นที่จะต้องหยุดอยู่เลย ตราบใด ที่เรายังไม่สามารถเจริญยิ่ง เทียบทันหรือเทียบเท่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเราถือว่า เป็นหลัก ผู้ที่สูงสุดแล้ว เรายังไม่ถึง เรายังเชื่อ เรายังเห็น เรายังยอมรับอยู่ จริงว่า เราสู้องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้ เรายังมีทิศทางที่จะเจริญยิ่ง ยิ่งขึ้นไปได้ เท่าเทียม ทัดเทียม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ทั้งนั้น
ความจบของเรา จึงจบในการที่พ้นทุกข์ แล้วก็ยังจะถอนอาสวะ แม้ถอนอาสวะแล้ว เราก็ยังสามารถที่จะเจริญ จะก้าวหน้า ไม่ใช่เป็นคนที่ไร้คุณค่า ไร้คุณภาพ แต่เป็นคนที่มีคุณค่า เป็นคนที่มีคุณภาพ ได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น ความจบ ด้วยความรู้สึกที่เรารู้สึกว่า เราพ้นทุกข์ หลายคนในพวกเรา ก็จะเห็นได้ว่า เราพ้นทุกข์ เราไม่เดือดร้อนดิ้นรนอะไรก็ได้ เราจะชลอชีวิตของเราอย่างนี้ไป จนจบจนตาย เราก็สบาย แต่จะกลายเป็นคนเสื่อม เป็นคนที่ไร้คุณค่า เป็นคนที่ไม่เจริญ เราบอกว่า เราพ้นทุกข์ กำหนดขนาดพ้นทุกข์ มันก็ได้ขนาดหนึ่ง แต่ว่าจะสิ้นอาสวะหรือไม่ ก็ไม่รู้ได้ แต่ถ้าผู้ใดสิ้นอาสวะ หมดตัวหมดตนจริงๆแล้ว จะเป็นคนที่ช่วยเหลือเกื้อกูล เป็นพหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ อนุเคราะห์โลก ช่วยพหุชนะ อย่างแท้จริง เพราะความจริงที่ว่า เป็นผู้ที่จะขยันหมั่นเพียร จะเป็นผู้ที่เกื้อกูล เป็นผู้ที่กระทำ ตามหลักตามกฎของพระพุทธเจ้า ที่แนะนำไว้นั้น จะเห็นจริงทุกประการ เวลาผ่านไปผ่านไป เราทำอะไรอยู่ กายกรรม วจีกรรม ที่ควรจะขวนขวาย ควรจะเป็นไป มันมีให้เราทำ มันมีให้เราพิจารณา มันมีให้เราได้รังสรรค์ สร้างสรร อยู่ทั้งสิ้นน่ะ
หลักการอันรอบรัดของพระพุทธเจ้า ทุกอย่าง ศึกษาให้ดี แล้วเราจะเห็นว่า ความเป็นที่สุดของมนุษย์ ที่หมดอาสวะ หมดอนุสัยจริงนั้น เป็นอย่างไร เมื่อเรารู้จุดมุ่งหมาย เมื่อเรารู้แนวโน้ม และเมื่อเรารู้ถึงอุดมการณ์ อันสมบูรณ์ของพระพุทธเจ้า อย่างนี้แล้ว เราก็สั่งสม ให้มันสอดคล้องตามอุดมการณ์นี้ไป แม้จะเป็นรูปเล็ก แม้จะเป็นรูปน้อย เราก็ทำไปตามรูปเล็กรูปน้อย แล้วค่อยๆโตขึ้น แล้วมันจะสมบูรณ์พรั่งพร้อมกันได้ เป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า และพ้นทั้งทุกข์ จะไม่เกิดอีกหรือจะเกิดอีก เราจะเป็นผู้ตัดสิน เราจะเป็นผู้ที่กระทำให้แก่ตนเอง อย่างอยู่เหนือ ยิ่งกว่าคำว่า “พระเจ้า” เพราะเราจะทำตาย เราจะทำเกิด ได้ด้วยตนเอง
สาธุ
*****