ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๐๓)
๕ สิงหาคม ๒๕๒๕

การศึกษา ซึ่งคนเราเกิดมานี่ มีการศึกษา หนึ่ง ศึกษาเพื่อจะประกอบการงาน ที่มันจะต้องมีการสร้างสรร ให้แก่ชีวิตยังอยู่ได้ จะเป็นการงานอะไรก็แล้วแต่ ที่จะเป็นการประดิษฐ์ สร้างสรรอยู่ เพราะฉะนั้น ชีวิตคนเกิดมา มันไม่เหมือนสัตว์ ที่จะเก็บธรรมชาติอย่างเดียวกัน เพราะว่า คนรู้แล้วว่า คนเราเกิดมานั้น มันยาก แล้วมันเป็นสัตว์ฉลาด เสร็จแล้ว มันก็กินก็ใช้ เก็บจากโลกนี่แหละ คนเกิดมามากขึ้น ธรรมชาติก็ถูกผลาญมากขึ้นๆๆๆ ก็เกิดการขาดแคลน คนก็จะต้องจัดสรรบำรุง หรือไม่ก็เอื้ออวยธรรมชาติ ช่วยธรรมชาติ ให้มันเกิดมาทัน หรือเอาอะไรอื่นๆทดแทน คนก็พัฒนาการกันมาอย่างนั้น สัตว์มันไม่มีความรู้ ที่จะทำอย่างนั้น

คนจึงมีประโยชน์แก่โลก เพราะว่ารักษาธรรมชาติบ้าง แต่คนก็ผลาญธรรมชาติเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม มันก็ยังดีกว่าสัตว์ที่ สัตว์มันมีหน้าที่ผลาญธรรมชาติ ลูกเดียว มันไม่มีหน้าที่ ที่จะช่วยธรรมชาติอะไรขึ้นมาเลย จะช่วยโดยทาง ไม่เจตนาก็มี เป็นการหมุนเวียนอยู่ตามเดิม ตามธรรมชาติของมันเท่านั้น แต่มันก็ผลาญไปมากน่ะ ส่วนคนนั้น นอกจากการเรียนรู้ หรือศึกษาวิธีการ เพื่อจะยังอะไรขึ้นมา สร้างสรรอะไรขึ้นมา เพื่อยังชีวิตอยู่ ดังกล่าวแล้ว เช่น ปลูกข้าวปลูกพืชนี่ เป็นธรรมชาติทั้งนั้นน่ะ มันขึ้นของมัน ก็ขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเผื่อว่า ช่วยมันด้วยปุ๋ยด้วยน้ำ ด้วยอะไรต่ออะไร จัดสรรขึ้นมา แม้แต่สิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพืช ต่อธรรมชาติ อะไรต่ออะไรต่างๆ คนก็ช่วยต้นหมากรากไม้มันอีก อย่างนี้เป็นต้น

เราก็อาศัยสิ่งเหล่านั้นยังชีวิตไป นั่นเป็นการศึกษาธรรมดาๆ ถ้าไม่มีเรื่องราวอะไรมาก คนพอมีพอกิน พอที่จะอาศัยธรรมชาตินั้น พอไปได้ และก็ไม่ได้มีความโลภมาก จะต้องหอบต้องหวง ต้องกอบต้องโกยอะไรมาก แล้วมันก็พอเป็นไป แต่เมื่อคนเราเกิดมากๆขึ้น กิเลสหนาขึ้น หวงแหนมากขึ้น โลภมากขึ้นๆ ก็เกิดการผลาญ เกิดการเห็นแก่ตัวจัดจ้าน อันนี้ล่ะสำคัญ ที่จะต้องมาสอนให้คน กลับไปเป็นคน ที่จะสร้างก็สร้าง สร้างเผื่อแผ่คนอื่น จะกินจะใช้ ก็อย่าไปหลงใหล เพราะว่าคน เมื่อนานวัน นานคืนเข้า ก็หลอกกัน หลอกกัน เพื่อให้ผลาญให้มาก แล้วตัวเองก็กอบโกยไว้ให้มากด้วย ไอ้ ระบบผลาญให้มาก แล้วตัวเองก็กอบโกยไว้ ให้มากนี่แหละ เป็นระบบที่ทำให้ สังคมเดือดร้อน เป็นทุกข์ ถ้าเราไม่เข้าใจจุดนี้แล้ว เราไม่มาเปลี่ยนแปลงตัวเองว่า หนึ่ง หยุดผลาญ สอง หยุดกอบโกย นอกจาก หยุดผลาญ และกอบโกยแล้ว เราก็สร้าง เหมือนกับ ที่เคยรู้ตั้งแต่แรกเริ่ม ดังที่เล่าไปแล้วว่า เราเกิดมา ก็ช่วยธรรมชาติ สร้างสรรอะไรต่ออะไร ต่างๆนานานี้น่ะ ถ้าเราทำอย่างนั้น ก็รอด

ทีนี้ขณะนี้ โลกเกิดมาตั้งนานแล้ว แล้วคนมันก็แปรเปลี่ยนไป จนกระทั่ง มากมายแล้ว ทุกวันนี้ นอกจาก จะไปสร้างเทคโนโลยี ในทางที่ช่วยธรรมชาติ เท่านั้น มันยังไม่พอเลย ยิ่งกว่านั้น เรายังจะต้องมาสอนคน ให้รู้จักอันนั้น ซ้อนลงไปอีก

เพราะฉะนั้น หน้าที่ของพระพุทธเจ้า หรือ หน้าที่ของคนรุ่นหลังมาอีก จริงๆนี้ จึงไม่ให้เขารู้แต่เพียงว่า เราจะต้องมีความรู้ทางเทคนิค ในการที่จะสร้างอะไร ในธรรมชาติด้วย และเราจะต้องรู้ ความรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณ เกี่ยวกับการที่จะละลดกิเลสด้วย ไอ้นี่ จึงเป็นความรู้ที่สำคัญยิ่งกว่าอีกน่ะ พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู ที่จะมาพยายามบอกกล่าวกัน สอนกัน ให้รู้ถึงกิเลสซับซ้อนอันนี้ อย่างสำคัญน่ะ

ความรู้อันนี้ จึงเป็นอีกแขนงหนึ่ง ที่สำคัญเหลือเกิน นอกจากจะมีความรู้ เพื่อสร้างสรรอะไร มาไว้เป็นธรรมชาติ ให้แก่มนุษย์ ได้ใช้ได้สอยเท่านั้น เพราะฉะนั้น ครูที่ได้มาสอน ในเรื่องวิญญาณ หรือเป็นนักบวช หรือเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรม ในขั้นระดับสูงนี้ จึงไม่ได้เอาภาระ ในการสร้างสรรธรรมชาติ สร้างเครื่องอยู่เครื่องกินอะไรมากนัก เป็นแต่เพียงว่า มีเวลา และมีความรู้ หรือพยายามที่จะช่วยเหลือเฟือฟายกันไป ในเรื่องของความรู้ ทางด้านวิญญาณ ทางด้านกิเลสตัณหา ลดละความหวงแหน ความกอบโกย ดังกล่าวนั้น ให้ได้มากที่สุด จะมีกรรมวิธี จะมีความฉลาดน่ะ จะมีนโยบาย กุศโลบายอะไร ที่จะเก่งกาจอย่างไร ต้องมาทำงานนี้หนักเหลือเกิน และจะต้องทำไป อีกมาก

งานมันจึงเพิ่มขึ้น หน้าที่มันจึงเพิ่มขึ้น กิจการมันจึงเพิ่มขึ้น แม้การจะสอนเขา เดี๋ยวนี้ ทุกวันนี้ ก็ยังต้องไปอาศัยเทคนิค เทคโนโลยีมาผลิตสื่อ มาผลิตสิ่งที่จะประกอบ ในการที่จะสอนเขา เหมือนกับคนสอนทุกวันนี้ ก็มีเครื่องไม้เครื่องมือ มีอุปกรณ์ในการสอน เยอะเหลือเกิน ทางโลกเขาก็ตาม ฉันใด ทางธรรมก็จะต้องมีอุปกรณ์ มีเครื่องไม้เครื่องมือ มีเครื่องสื่อ ที่จะต้องมีความดึงดูด เร่งเร้า อย่างน้อย ก็ไม่ถึงทัดเทียม ก็ไล่ๆกันกับของโลกเขา พอเป็นพอไปทีเดียว ไม่เช่นนั้น เราจะดึงความสนใจ กับคนโลก ออกมาไม่ได้เลย และเราก็จะทำให้คนเหล่านั้น เขาลดละกิเลส ลดละความผลาญพร่า และกอบโกย กักตุน ไม่ได้เลย นี่เป็นความสำคัญ ที่เราจะเข้าใจ และเห็นความจริงขึ้นมา ที่พูดนี้ เป็นการวิเคราะห์วิจัยให้ฟัง แล้วเอาไปพิจารณาดู

สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นความจำเป็น ที่เราจะต้องปฏิบัติตนเองด้วย แล้วการงาน เราไม่ต้องไปปลูกข้าว ปลูกน้ำ หรือช่วยธรรมชาติ ดังกล่าวแล้ว แต่เรากลับมาทำอุปกรณ์ เครื่องมือ หรือสิ่งแวดล้อม สิ่งที่จะเสริมหนุน ให้เราทำงานทางด้านเผยแพร่ นี่ได้สูง ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะฉะนั้น งานการ จึงมากขึ้นกว่า แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้าเอง ก็ยังไม่มากเท่าเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ เรามีการงาน มากกว่าเหลือเกิน การงานยิ่งมาก จะยิ่งพิสูจน์ทฤษฎี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นทฤษฎีแห่งมรรคองค์ ๘ อย่างสำคัญที่สุด และยิ่งจะต้องชาญฉลาด ที่จะเลือกเฟ้น วิเคราะห์วิจัย เอางาน ที่มันเกี่ยวข้องกับงาน หน้าที่ของตน ออกมาให้ได้อย่างกระจะกระจ่าง ไม่เช่นนั้น จะปนๆ เฟ้อๆ

จนกระทั่ง กลายเป็นอำพราง และแฝงซ่อน ไปในทางโลกๆ เพราะการค้าขายหาเงิน หรือว่าสร้างสรรอะไรแบบโลกๆ สร้างลักษณะแบบโลกๆ มันจะปนเป เข้าในงานศาสนา ขอให้พวกเราได้พิจารณา และใช้ปัญญาไตร่ตรองให้ดี เป็นอย่างมาก อย่าให้สิ่งที่มันเป็นลักษณะแบบโลกๆ เข้ามาแฝงในกิจกรรม แม้เราจะอ้างว่า เราสร้างอุปกรณ์ เราทำกิจกรรมอะไรต่างๆ ที่จะเผยแพร่ศาสนา ดังที่เขาทำ

ยกตัวอย่างง่ายๆว่า เขาหาเงิน เขาเอาอบายมุขมาหาเงิน เพื่อที่จะเอาเงินนั้น มาสร้างศาสนา สร้างโบสถ์ หรือเผยแพร่ศาสนา เขาก็อ้างเช่นเดียวกัน อย่างนี้เป็นต้น และอื่นๆ อีกเยอะแยะ ที่มันยิ่งแฝงซ้อน ใกล้เคียง เขามาหาสารัตถะ เราก็จะต้องมีจิตอันแยบคาย มีปัญญาอันลึกซึ้ง ที่จะคัดเลือก ที่จะไม่ให้กิจกรรมเหล่านั้น หรือว่าสิ่งแฝงหล่านั้น ปนเปเข้ามา ทำลายเนื้อหาสาระแก่นสารของศาสนา ขอให้ทุกคนได้สำนึก หรือสำเหนียก ในจุดประเด็นนี้ให้สำคัญ แล้วเราก็จะปฏิบัติตน พากเพียร ให้เป็นผู้ที่ไปสู่จุดสูง ดังที่เราอยู่ เรามีเวลา และเราก็จะได้ทำงาน เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น รักษาศาสนา บำรุงเผยแพร่ศาสนา ต่อทอดแก่บุคคลอื่นๆ ต่อไปได้อีก ชั่วกาลนาน

สาธุ

*****