ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๐๘) ๒๓ สิงหาคม ๒๕๒๕ |
“สัพเพสัง สังฆภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา” ความพร้อมเพรียงของชนผู้เป็นหมู่ ย่อมยังผลสำเร็จ ลุล่วงไปด้วยดีเสมอ เราปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องของ การกระทำตน เพื่อให้เป็นผู้ปลีกแยก
หมดกิเลส ไม่ใช่ผู้เอาตัวเอง ไปทำตัวเป็นหิน เป็นก้อนดิน ไร้ค่าไร้คุณ ศาสนาพุทธ สอนให้คนประเสริฐ มีคุณค่า และดับทุกข์ ทุกข์เราดับด้วย เราสร้างสรรได้ด้วย เราเป็นคุณเป็นค่า เป็นผู้มีประโยชน์ในสังคมจริงๆ เพราะฉะนั้น คนเกิดมา จึงไม่โมฆะ เพราะทุกข์ก็ดับ แล้วยังสร้างสรร เป็นประโยชน์แก่โลกอยู่ ดังได้เคยยกตัวอย่างแล้วว่า ถ้าเผื่อคนเรานี่ สงบแล้ว ก็อยู่เฉยๆ กิน ขี้ เยี่ยว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับใคร เหมือนก้อนดินก้อนหินนั้น คนคนนั้น จะไม่มีค่า แม้เท่าก้อนดินก้อนหิน เพราะก้อนดินก้อนหินนั้น เอามาถมที่ถมทาง เอามาทำประโยชน์อะไรยังได้ แต่คนนั้น ใครเล่าเขาจะเอาไปถมที่ ถมดินถมหินได้ ได้แต่ปล่อยให้นั่งกิน นั่งขี้นั่งเยี่ยวอยู่ยังงั้นๆ เปลืองวัสดุโลก แล้วไม่มีประโยชน์อะไรเลย ตายเสีย ยังจะมีประโยชน์มากกว่า เพราะฉะนั้น ยิ่งมีชีวิตอยู่นานเท่าใด ก็ยิ่งไร้คุณค่า และเปลืองวัสดุโลก อยู่เท่านั้นๆ
คิดให้ดีๆ จะเห็นได้เด่นชัดว่า ที่กล่าวนี้เป็นความจริง ศาสนาพระพุทธเจ้า แก้ภาพพจน์ฤาษี เดียรถีย์อันนี้ อย่างชัดแจ้ง พยายามวิเคราะห์วิจัย ชี้ชัด ให้พวกเราได้เห็น แม้แต่ในหลักมรรคองค์ ๘ ที่ปฏิบัติธรรม มีการงานไปประกอบ มีศีล เป็นเครื่องจัดระดับ เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ตามฐานะมนุษย์ ใครทำไม่ได้มาก เอาข้อปฏิบัติกรรมฐาน หรือศีลน้อยๆ ข้อก่อน แล้วก็สังวรสำรวมของเรา ตามฐานะ เราจะสูงขึ้นๆ ไม่ว่าเราจะอยู่ ณ ที่ใด จะทำอาชีพอะไรอยู่ เราก็ทำได้ทั้งสิ้น แล้วเราจะเลื่อนฐาน มีฐานที่บรรลุ มีฐานที่หลุดพ้น เป็นแรงหนุน เป็นแรงอาศัย ก็จะเพิ่มระดับขึ้นได้ สูงขึ้นๆ เพิ่มศีลสูงขึ้น เพิ่มกรรมฐาน เพิ่มหลัก เพิ่มวินัย อะไรสูงขึ้น เราก็จะสามารถเจริญได้ ตามลำดับขั้นตอน เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย อันเป็นทฤษฎี อันเป็นคำสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสไว้ดีแล้ว ขอให้พวกเราเข้าใจ กรรมวิธีอันดี ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ชัดๆ
ความเข้าใจของฤาษี เขาเข้าใจง่าย แต่ปฏิบัติได้ด้วยยาก และแถม ไม่ละเอียดลึกซึ้ง ไม่หมดสิ้นจริง ของพระพุทธเจ้า เข้าใจยาก แต่ปฏิบัติง่าย ถ้าเข้าใจดีแล้วปฏิบัติง่าย เป็นเบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลาย ตามฐานะ อย่าอวดดี อย่าอวดใหญ่ อย่าอยากจะเอากรรมฐานสูงๆ อย่าอยากเอาศีล อันมากๆ ก่อนที่ตัวเองจะมีจริงเป็นจริง ประมาณตน แล้วทำไปตามขั้นตามตอน อย่าอยากใหญ่เร็วเกินไป อย่าตะกละตะกลาม เอายอด โดยไม่ได้ต้น
เมื่อเราได้ปฏิบัติตนแล้ว สำรอกกิเลสออกเท่าใดๆ เราก็ยิ่งจะมีคุณค่า แก่หมู่มวลสังคม จะยิ่งประสานสามัคคี จะยิ่งเข้าใจความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะยิ่งขัดเกลาลงไป อย่างมีทีท่า มีการบันยะบันยัง มีการประมาณ รู้จักกาละเทศะฐานะ และขีดขั้นของบุคคล เราจะช่วยเหลือเกื้อกูล ขัดเกลากันไปในตัว จะไม่ปล่อยปละละเลย จะเอาใจใส่ดูแลกัน อยู่ด้วยขัดเกลากัน พอสมฐานะ ไม่ให้หยาบแรงเกินการ จนเกิดเดือดร้อน แตกร้าวระแหง จะทำกันอย่างสมฐานะ สมศักดิ์สมศรี
เมื่อทำได้ถูกต้อง โดยตามหลักทฤษฎีของพระพุทธเจ้า อย่างไม่ผิดเพี้ยนแล้ว เราจะขัดเกลากิเลสตามไปด้วย การงานก็ไม่ตกหล่น และจะไม่ไปเสพย์คุ้น การไม่หัดงาน การไม่ฝึกงาน จนความสามารถฝีมือเรื้อ ทำอะไรไม่เป็น จะไม่เป็นอย่างนั้นเลย ในทฤษฎีมรรคองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้า การงานเราก็จะเป็นอยู่ ความสามารถเรา ก็จะไม่บกพร่อง ความชำนาญเราจะมีตามเดิม จะพัฒนายิ่งด้วยซ้ำ กิเลสเราจะได้ลด ความประสานสมานสามัคคี สอดร้อยต่อเนื่องกันอยู่ จะไม่แตกร้าว จะไม่ระแหง ยิ่งจะเห็นเด่นชัด ถึงความพร้อมพรั่งสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และเป็นรูปหนึ่งรูปเดียว เป็นนามหนึ่งนามเดียวขึ้นยิ่งๆ ความสามัคคีเป็นพลัง ความสามัคคีเป็นความสงบสุข ความสามัคคี เป็นความเบิกบานร่าเริง ความสามัคคีเป็นความเจริญงอกงาม เราพิสูจน์กันมาเสมอว่า ความสามัคคีนั้น มีพลัง เราได้พิสูจน์แล้ว ความสามัคคี เป็นความสุขสงบ สันติ เราก็ได้พิสูจน์แล้ว แม้แต่ความสามัคคี เป็นความเจริญงอกงาม เราก็ได้พิสูจน์กันอยู่ ความสามัคคี เป็นความเบิกบานร่าเริง ที่ยืนอยู่บนฐานของความสงบ ไม่ใช่เบิกบานเกินการ แต่เบิกบานผ่องใส ร่าเริง
เราจะเห็นรูปรอยสิ่งเหล่านั้นได้ จากความจริง บุคคลจริง ที่มีในอโศกเรามีตัวอย่าง มีมวลที่พอสมควร จะสังเกตได้ จะเห็นคนที่ติดยึด ในสภาพมิจฉาทิฏฐิ เข้าใจผิด กลายเป็นคนซึม เป็นคนแข็งๆ เป็นคนเซื่องๆ เฉื่อยๆ ช้าๆ ไม่เข้าเรื่อง หลบๆ เลี่ยงๆ นั่นเป็นผู้เอนเอียงไปข้างฝ่ายฤาษี หรือเดียรถีย์ อย่างคนที่จะมีอะไร ลุกลี้ลุกลน หวือหวา โป้งป้าง กระด้าง มันไม่เรียบร้อย ไม่อ่อนโยน ไม่สุภาพ ล้นๆเลอะๆ นั่นก็เป็นผู้ที่มิจฉาทิฏฐิ เข้าใจไปในทางโลกๆ มาก แล้วก็สร้างกรรมกิริยาไปทางโลกๆ มาก อย่างหนึ่ง ความโต่ง ๒ ทางพวกนี้ เราจะสังเกตได้เห็นได้ ถ้าใครจัดสรรความพอดี ความเหมาะสมได้ คนนั้นก็จะเข้าใจความจริงว่า กลางๆ เหมาะสม ความพอดี ไม่เฉื่อย ไม่ช้า ไม่แข็ง ไม่ทื่อ ไม่กระด้าง ไม่หลบ ไม่ลี้ นั่นอย่างไร ไม่ล้น ไม่เกิน ไม่ฟู่ ไม่ฟ่า ไม่หวือหวาปรูดปราด จนเกินการ จนกลายเป็นร่าซ่า ล้นพ้นอะไร มันเป็นอย่างไร เราจะเข้าใจ แล้วเราจะรู้ความพอดี ในองค์ประกอบ ในกาละเทศะ ว่าเมื่อมีการงาน ความเร็วก็จะเกิดขึ้นบ้าง และในความเร็วนั้น ก็จะมีความสุภาพ ซ้อนอยู่ในตัว เราก็จะรู้ และความหยุด มันมีอยู่ ซ้อนอยู่ในตัว
ถ้าการงานไม่มาก ก็จะมีความหยุด แต่ก็ไม่ใช่หยุดเฉื่อย ไม่ใช่หยุดหลบ หยุดลี้ ไม่ใช่หยุดอย่างไม่กระตุ้นตัวเอง ว่าแม้แต่เวลาผ่านไปๆ บัดนี้เราทำอะไร เราจะเอาแต่อยู่เฉยๆ ก็จะรู้ตัวรู้ตนว่า กายกรรมวจีกรรมที่ดีกว่านี้ ยังมีอีก คืออะไร เราควรหาอะไรทำ ที่เป็นกายกรรม วจีกรรมดีกว่านี้ ไม่ใช่นั่งจิตนิยม ไม่ใช่นั่งปรุงสร้าง หรือไม่ใช่นั่งเสพย์สงบ ไม่ใช่นั่งแล้วก็ฝันเฟื่อง คิดฝัน คิดเพ้อ คิดไม่รู้แล้ว วนวุ่นอยู่แต่ในจิตนั่นแหละ ให้มันฟุ้งซ่าน ไม่ใช่ ถ้าเราสั่งสมความฟุ้งซ่าน เราก็ฟุ้งซ่าน ถ้าเราสั่งสมความสงบ มันก็ติดสงบ ถ้าเราสั่งสมความฟุ้งซ่าน แล้วก็หลงว่า คิดมากๆ คิดไอ้โน่น คิดไอ้นี่ ได้มากๆ เราก็จะหลงอร่อย หรือหลงดี หลงมานะ กับความคิดฟุ้งซ่าน แต่เอามาใช้ไม่ได้ผล เอามาพิสูจน์ ก็ไม่เคยเอามาพิสูจน์ เอามาทำกับหมู่ มาเสนอกับหมู่ ก็ไม่ได้เอามาเสนอ ก็กลายเป็นคนฟุ้งซ่าน กับเป็นคนติดสงบอยู่อีก ก็เป็นเรื่องของการโด่งอยู่ ๒ ส่วน อีกเหมือนกัน นัยละเอียดลึกซึ้งพวกนี้ เราเรียนรู้ของตนๆ ให้ดี ของคนอื่น เขาก็มีช่างเขา ถ้าเราสามารถจะสอนเขาได้ เมื่อเขาศรัทธาเรา มีครั้งมีโอกาส พิจารณาแล้วว่าควร เราก็ค่อยสอน ถ้าเผื่อว่า เรายังไม่มีโอกาส และยิ่งเขาไม่ศรัทธา เฉยไว้ เราทำของเราให้ดียิ่งขึ้น ผู้ใดได้เตรียมตน ผู้ใดได้ตรวจตน ผู้ใดได้กระทำให้แก่ตนอย่างดี เจริญในกุศลอย่างยิ่ง ความสามัคคี ก็จะยิ่งพรั่งพร้อม พลังแห่งการงาน พลังแห่งการสร้างสรร จะมาจะมี กลายเป็นความเจริญงอกงาม ดังกล่าวแล้ว ความสอดร้อย ความเนื่องหนุน ความประสาน มีบทหน้า บทกลาง บทหลัง หนุนเนื่อง เป็นพลังแรง จะมีให้ปรากฏ และความร่าเริงเบิกบาน เป็นสันติสุข อันดีงาม จะปรากฏให้เห็น ในกลุ่มชน หมู่ชนนั้นๆ
ความสามัคคี เป็นเรื่องที่โลกทุกโลก สังคมทุกสังคม มนุษย์ทุกผู้ในโลก กำลังต้องการอย่างรุนแรงเหลือเกิน ทุกวันนี้ เขาไร้ความสามัคคี สงบสันติ เขาไร้สามัคคี ที่มีพลังสร้างสรร ด้วยดิบด้วยดี เขาไร้พลังสามัคคี ที่มันเจริญงอกงาม อย่างมีสัดส่วน หรืออย่างมีความถูกต้อง ลงตัวตามสังคม เราพยายามที่จะพิสูจน์ ความจริงเหล่านี้ เราก็พ้นทุกข์ เพราะจิตของเรา สงบสันติ และจิตของเรา ก็ไม่ได้เฉื่อย ไม่ได้เนือย ไม่ได้ติดหยุด ติดหลบ ติดหลับ แต่จิตของเรานั้น แคล่วคล่อง มีอำนาจพอ ที่จะให้หยุด ก็หยุดได้ มีอำนาจพอ ที่จะรู้ในกิเลส แม้หยาบกลางละเอียด แล้วเราก็ดับได้สนิทจริงๆ ถาวร เราจะเป็นบุคคลที่มีจิตอันบริสุทธิ์ สะอาดจากกิเลส ประสบความสันติ หรืออิสรเสรี เพราะกิเลสหมดจากจิต ถอนอาสวะได้ ไม่ใช่อิสรเสรี เพราะเราต้องการทำอะไร ตามใจตนเองชอบ ไม่ว่าจะชอบสงบ ไม่ว่าจะชอบคิด ไม่ว่าจะชอบกระทำอะไร หวือหวา ฟู่ฟ่า ตามใจตน ไม่ใช่เลย
แต่เราจะคำนึงถึงกลุ่ม เราจะคำนึงถึงผู้ที่อยู่ร่วมกัน ถ้าเรามีความสามารถมาก มีความรู้มาก เราก็จะนำหมู่ ถ้าเราไม่มี เราก็จะพึ่งพาอาศัย ต่างคนต่างช่วยกัน วิจัยวิจารณ์ แล้วก็ตัดสิน ลงมือทำกันไป พรั่งพร้อม สามัคคี ถ้าเราไม่มีปัญญามาก เราก็จะตามหมู่ อาศัยความคิดเห็นของหมู่และผู้นำ เราจะเป็นมวลที่จะมีแรง เราจะเป็นส่วนหนึ่งของมวล ที่มีคุณค่า อยู่ในสังคม อยู่ในหมู่กลุ่ม
ศาสนาพระพุทธเจ้า ขอยืนยันว่า ไม่ใช่ศาสนาที่สร้างตน ให้โดดเดี่ยวเดียวดาย อ้างว้าง ว้าเหว่ เปล่าเปลี่ยว แล้วก็บรรลุ โดยตัดช่องน้อย แต่พอตัวคนเดียว กลายเป็นอัตตาตัวตน โด่ๆ เด่ๆ แท่งๆ ก้อนๆ อย่างนั้น ไม่เลย ศาสนาพุทธนั้น ตัดกิเลส ระงับกิเลส มีประโยชน์ต่อพหุชน สร้างสรรพหุชน เป็นประโยชน์เอื้ออนุเคราะห์ อนุกูลโลก หรือโลกานุกัมปายะ เป็นศาสนาอย่างนั้นจริงๆ จึงเห็นมวลพลัง เห็นมวลสามัคคี เห็นมวลความสันติสุข เห็นมวลความเจริญ และเบิกบาน ร่าเริงแจ่มใส ทำให้โลกนี้สดชื่น เพราะมวลหมู่ สามัคคีธรรม ที่บรรลุธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ขอให้พวกเราได้สำเหนียกสังวร เรียนรู้ สัพเพสัง สังฆภูตานัง สามัคคี วุฑฒิสาธิกา คือความพร้อมเพรียง ของชนผู้เป็นหมู่เป็นกลุ่มนี้ จะมีความเจริญๆๆ ยิ่งอยู่ และไม่ใช่ความเจริญอย่างทุกข์ ไม่ใช่ความเจริญอย่างเสื่อมต่ำ อย่างที่มีอะไรเป็นกิเลส มีเสี้ยน มีอะไรเป็นของบกพร่อง แทรกแซง นั่นเป็นความเจริญสูงสุด แต่มันมีความบกพร่องบ้าง เพราะมวล จะต้องไหลเลื่อนมาจาก ผู้ที่ได้ดีแล้ว ผู้ที่ยังไม่ได้ดี ก็จะไหลเลื่อนขึ้นมา ให้เราช่วยเหลือเฟือฟาย ชำระ สำรอก ปรับปรุง อบรม มันจะต้องมีสิ่งนั้น แซมอยู่ในหมู่กลุ่มสังคมนั้น เสมอๆ แต่กลุ่มหมู่ที่บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว จะเป็นกลุ่มหมู่ที่จะพาจะนำ จะเป็นแก่นแกน เป็นเนื้อ เป็นสิ่งที่จะยืนหยัดยืนยัน ทำให้ผู้ที่ตามมานั้น กลายเป็นเนื้อ และมวลตามๆ และตามไป อย่างนิรันดร์
ขอให้พวกเราได้ศึกษา ตั้งใจพิสูจน์ที่กล่าวนี้ มีความจริงที่หมู่เรา ได้พิสูจน์บ้างแล้วหรือไม่ ถ้าไม่มี เราก็ควรจะจากหมู่นี้ไปได้ แต่ถ้ามี และก็เทียบเคียงได้ว่า หมู่นี้มี หมู่อื่นมี หมู่ใดมีมากน้อย คุณก็จะรู้ว่า หมู่ใดที่คุณควรจะคบหา เป็นมิตรดี สหายดี เพื่อนดี และเราก็จะเจริญได้ เพราะที่พระพุทธเจ้า ยืนยันแล้วว่า มิตรดี สหายดี เพื่อนดี เป็นทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์.
สาธุ
*****