ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๑๐) ๒๗ สิงหาคม ๒๕๒๕ |
เคยย้ำให้ฟังถึงเรื่อง ว่าเรื่องอาหาร โภชเนมัตตัญญุตา หรือ มัตตัญญุตา จ ภัตตสมิง ซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรม ที่เราจะต้องประมาณ เราจะต้องสังวรสำรวม เราจะต้องอ่าน ต้องประพฤติ เป็นองค์ประกอบ ในการปฏิบัติธรรมที่สำคัญยิ่ง ได้ชี้ให้ฟัง ถึงเหตุผลถึงหลักฐาน ว่าการปฏิบัติธรรม ด้วยการปฏิบัติเรื่องการกิน โดยเฉพาะอาหาร ที่เราจะต้องปฏิบัติ ตั้งแต่เราเป็นปุถุชน แม้เป็นพระอรหันต์แล้ว เราก็ยังจะต้องกิน แล้วมันก็มีสภาพ ที่เราจะต้องอยู่กับมันไปจนตาย หลายอย่าง เราปฏิบัติละเลิกแล้ว เราไม่ต้องข้องแวะกับมัน ไม่เกี่ยวข้อง ไม่สัมผัสสัมพันธ์กับมันเลย ตลอดชีวิตก็ได้ แต่สิ่งนี้ ต้องสัมผัสสัมพันธ์กับมัน ทุกวันๆๆ เราจะต้องสัมผัสกับมัน
บทปฏิบัติ ที่มีสิ่งที่สัมผัสกับเรา เป็นประจำนี่แหละ แล้วมันก็มีเรื่องของกาม มีเรื่องของภพ อยู่ในนี้ไม่ใช่น้อย ในเรื่องของอาหาร ถ้าเราไม่แยบคาย เราไม่ละเอียดจริง เราไม่บำเพ็ญประพฤติจริง สักแต่ว่า พระพุทธเจ้า ท่านได้บังคับลงไปแล้วด้วย จะว่าบังคับก็บังคับ ที่จริงก็ไม่ใช่บังคับ ก็เป็นกรรมฐาน ซึ่งแนะให้พวกเรา พระโยคาวจร ทั้งหลายแหล่นี่ ประพฤติ พยายามทุกทีไป จะต้องปฏิสังขาร จะต้องพิจารณา จะต้องรู้เท่าทัน จะต้องให้เป็นบทปฏิบัติ ให้เกิดประโยชน์คุณค่า พิจารณาทุกคำข้าว ทุกรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เราเอง เราเกี่ยวข้องกับมัน อยู่เสมอ
เราได้ปฏิบัติโดยมีบทฝึกหัด เรามีตัวที่มันจะต้องกระทำจริง ผ่านไปผ่านมา ทุกวัน แตกไปต่างไป ต่างๆนานา อ่านจิตอ่านใจตัวเองได้อย่างแท้จริง ถ้าผู้ใดประมาท ในการปฏิบัติธรรม ด้วยเรื่องการพิจารณาอาหาร ผู้นั้นไม่เข้าใจสัจธรรมของพระพุทธเจ้า พาให้ปฏิบัติ โดยมีเหตุปัจจัย ที่มันเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันเรานี่ แล้วมันก็สำคัญด้วยน่ะ ก็จะต้องเข้าใจให้ดี พระพุทธเจ้าท่านแนะ และเราก็ได้เข้าใจแล้ว เราจะเห็นจริงเห็นจังเลยว่า มันเกิดคุณค่า เกิดประโยชน์ เกิดอ่าน แม้แต่จิตที่เป็นรูปจิต อรูปจิต ละเอียดลออ เราก็ยังอ่านได้ เพราะว่าอาหาร ที่แม้แต่ประตูนอก ทวารตา หู จมูก ลิ้น กาย เราค่อยยังชั่วแล้ว เราละกามราคะเบื้องนอก เป็นโอรัมภาคียสังโยชน์ เป็นสังโยชน์เบื้องนอกนี่ เราพออาศัยละ ลดละพอได้ ทนได้ แต่ยังมีเก็บเบื้องใน เป็นรูปราคะอรูปราคะ ที่เราจะต้องตามรูปภพอรูปภพ คือมันมีละเอียดลออเข้าไปอีก อ่านให้แยบคาย สังเกตให้ดี จิตใจของเราเป็นอย่างไร เมื่อเกี่ยวข้อง สัมผัส สัมพันธ์แล้ว เรายังมีอาการ ยังมีอารมณ์ เราได้ฝึกหัดจริง ทุกเวลา ทุกคำข้าว ทุกสภาพ ที่มาประชุมพร้อม ที่ผ่านเราไป ผ่านเรามา เราต้องสัมผัสมัน น่ะ เราจะต้องมีบทปฏิบัติ จะต้องมีกรรมฐาน จะต้องมีการรู้ตน ใครจะต้องเป็นอย่างไร กับสิ่งที่เราสัมผัส อย่างนั้นอย่างนี้ มันมีความชอบ ความชัง มันมีความอาลัยอาวรณ์ มันมีความยังหลง อย่างละเอียดลออ หลงในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง สัมผัสที่เป็นรูปราคะ อรูปราคะ ซึ่งเป็นสภาพที่เกิดในภพ
ถ้าเผื่อว่า แม้แต่กามตัณหา และภวตัณหา เราก็หยุดแสวงหา กับเรื่องของอาหารการกินนี้ได้ เราจะเก่งในบทปฏิบัติ จะมีปัญญารู้ละเอียดลออ ถึงทั้งจิต ทั้งปัญญา และในบทปฏิบัติที่มีของจริง ไม่ใช่นั่งคะเนคำนวณ คาดเอา แต่เป็นของจริง สัมผัสจริง มีเรื่องจริง มีตัวจริง ก็ขอให้พวกเรา ได้สังวรมากๆ แล้วก็พึงปฏิบัติ ประพฤติลดละ ด้วยบทปฏิบัติ ที่เรามี มัตตัญญุตา จ ภัตตัสมิง ในการประมาณ ในเรื่องอาหาร พิจารณาในเรื่องอาหารนี้ ให้ได้คุณค่า ในภาคปฏิบัติของตน ทุกๆคนเทอญ
สาธุ
*****