ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๑๒)
๓๑ สิงหาคม ๒๕๒๕

อยากจะขอแนะนำคำว่า ปทปรมะ คือคำว่า ปทปรมะนี่ เราเข้าใจกันผิดๆ เพี้ยนๆกันอยู่เยอะ โดยเข้าใจเอาตัวความหมายต้น ปทปรมะ ความหมายต้น หมายความว่า คนที่ไม่เจริญเลย หรือคนที่สอนไม่ได้แล้ว ที่เขาสอนไม่ได้แล้วนั้น ก็เพราะเขาโง่นั้นหนึ่ง โง่จริงๆ สอนยังไงก็ไม่รู้เรื่อง โง่ พูดกันก็ไม่รู้เรื่อง แนะนำยังไง ก็ทำตามไม่ได้ นั่นเรียกว่า คนโง่จนสุดที่ ปทปรมะ ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้นั้น หนึ่ง

สอง เป็นคนฉลาด ฉลาดเฉลียวทุกอย่าง แต่มีกิเลสน่ะ มีกิเลส ไม่พยายามละกิเลส มีแต่ความฉลาดไปหากิเลส ให้แก่ตัวเอง สะสมหากิเลส ให้แก่ตัวเอง แม้แต่เรียนศาสนา เรียนพระธรรมของพระพุทธเจ้า เรียนมาก รู้มาก ท่องจำได้ สดับมาก ท่องจำคล่องปาก ขึ้นใจ สอนคนอยู่ด้วยซ้ำ แต่เสร็จแล้ว ตัวเองก็ไม่ได้ธรรมะ ไม่ได้เอามาประพฤติปฏิบัติให้เจริญ ซ้ำมิหนำ กลับให้ตัวเองนั้น มีความฉลาดเอากิเลสเข้าตัวเอง ซ่อนแฝงเล่ห์กล ดังนี้เป็นปทปรมะ ที่ประเภทที่ พระพุทธเจ้าท่านอธิบายไว้ แต่ส่วนประเภทที่บอกว่าโง่ อธิบายไม่ได้ สอนไม่ได้นั้น ไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าอธิบายไว้ แต่เห็นแต่เกจิอาจารย์ รุ่นอื่นๆ อธิบายไว้ แต่ในพระไตรปิฎกแล้ว ปทปรมะ นั้นคือ ผู้ฉลาด ท่องพระพุทธพจน์ได้มาก จำพระพุทธพจน์ได้มาก สดับมาก จำได้คล่องปาก ขึ้นใจ และสอน ประกาศธรรมอยู่ และก็มีข้อแม้ว่า ที่เรียกว่า ปทปรมะ นั้นคือ แต่ไม่บรรลุธรรมเลย ไม่ว่าชาติใดๆ ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นๆ

ทีนี้ท่านบอกว่า ไม่บรรลุธรรมในชาตินั้นๆ ถ้าเราเข้าใจกำกวม เข้าใจว่า เป็นชาติ คือการตายจากชาตินี้ ก็ถูกต้องด้วย คือเกิดมาชาตินี้ มันไม่ได้ธรรมะอะไรเลยล่ะชาตินี้ มันไม่ได้บรรลุ มันเอาแต่กิเลสใส่ตัวเอง ดังที่ได้กล่าวแล้ว แม้จะเรียนมาก รู้มาก อย่างไรก็ตาม จะมีมากยังไงก็ตาม จะเปรียญ ๙ ประโยค ปริญญาเอก ของศาสนาพุทธก็ตาม แล้วมันก็มีแต่กิเลสให้ตัว ไปทั้งชาติ แล้วตายไป บุคคลผู้นั้น ก็ชื่อว่า ปทปรมะ จริงน่ะ

แต่ทีนี้ถ้าเผื่อว่าเราเอง ไปรอเอาอย่างนั้น ชาติหนึ่งทั้งชาติ มันไม่เป็นการปฏิบัติน่ะ ทีนี้ถ้าเราเข้าใจชาติ ถือชาติเกิดของจิต แล้วก็เราพยายามที่จะเรียนรู้ ให้ถี่ ให้ละเอียด แล้วแต่ละขณะ แต่ละเกิด การเกิดของจิต จิตเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป พฤติกรรมของมนุษย์ ถ้าแต่ละพฤติกรรม กายกรรมของเรา ก็เจริญ ได้ละกิเลส เพราะเราหยั่งรู้ว่า นี่เป็นกายกรรม ที่เป็นไปเพื่ออกุศล เป็นไปเพื่อบาป เป็นไปเพื่อสะสมกองกิเลส เป็นไปเพื่อสะสมทุกข์ เราก็เลิกลดละกายกรรมนั้น วจีกรรมก็เหมือนกัน โดยเฉพาะยิ่ง มโนกรรม เราก็สามารถที่จะอ่านรู้ แล้วก็ควบคุมให้ชาติของจิต แต่ละชาติ แต่ละดวง แต่ละขณะ ที่ให้เกิด เป็นชาติที่เราละกิเลส ลดกิเลสได้มากที่สุด หรือว่า ให้เกิดเสมอนั่นแหละ ตัวที่เกิดนั้น คือตัวที่ไม่ปทปรมะ ตัวใดที่ไม่เกิด ตัวใดที่สั่งสมกองกิเลส ตัวใดที่สั่งสมทุกข์ ตัวนั้นของจิต เป็นปทปรมะ ขอให้เข้าใจให้ละเอียดลออ แล้วเราต้องพยายามสั่งสม พยายามที่จะปรับปรุง ให้ตัวเราเองนี้ มีความเจริญ อย่าเป็นปทปรมะ อย่าให้เป็นคนที่ไม่เจริญในจิต พยายามให้เจริญ ให้มาก เท่าใดๆ ชีวิตของเราทั้งชีวิต ก็จะเป็นผู้ที่เจริญในธรรม มากเท่านั้นๆ น่ะ

ถ้าผู้ใดมีปัญญาอย่างนี้ แล้วพิจารณาอย่างนี้ ผู้นั้นก็จะละเอียด สุขุมประณีต เข้าถึงปรมัตถ์ แล้วจะเป็นผู้ที่ไม่เป็นปทปรมะ ถ้าเรามีอินทรีย์พละ และปฏิบัติถูกทาง ถูกธรรมเพียงพอ ขอยืนยัน เพราะฉะนั้น การแก้ปทปรมะ ของมนุษย์นั้น ไม่ได้ไปแก้ที่ เอาตายจากชาตินี้ แล้วไม่ได้บรรลุธรรมอะไรเลย อย่างนั้น มีมากมายจริงๆ เพราะเขาไม่เข้าใจภาคปฏิบัติ ว่าควรไปอ่านการเกิดตรงไหน ถ้าไปอ่าน การเกิดของชีวิตร่างกาย เขาก็จะประมาทไปทั้งชีวิต แต่ถ้าเราไปละเอียดลออ ไปอ่านการเกิดของจิต แล้วดูความเกิดของจิต ถ้าจิตเป็นกุศล จิตเป็นการละกิเลส ไม่เป็นไปเพื่อความทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความกำหนัด เป็นไปเพื่อความมักน้อย เป็นไปเพื่อความสันโดษ เป็นไปเพื่อไม่ติดสวรรค์ ไม่คลุกคลีสวรรค์ เป็นไปเพื่อความขยันหมั่นเพียร เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ดังนี้เป็นธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ เป็นเครื่องเทียบเคียง ของธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เราปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า โดยหลัก ๘ ข้อ คร่าวๆนี้แล้ว เราทำให้เกิดจริง ให้เห็นความเจริญของจิตจริงๆ โดยปัญญาอันยิ่ง โดยญาณทัสสนวิเศษ เราจะได้เป็นผู้ที่ไม่ปทปรมะ เท่าที่เราจะมีอินทรีย์ มีพละ ทำให้เกิดให้มากดวงมากขณะ มากอิริยาบถ มากกิริยา ให้ได้ยิ่งๆ ที่สุดน่ะ ก็จะเป็นการแก้ปทปรมะ และเห็นความจริงว่า เราไม่เป็นผู้ที่ไม่เจริญ หรือไม่เกิด สู่ความเป็นอริยะได้ โดยตนเป็นผู้รู้เห็นเอง ขอให้ทุกคนได้สำเหนียก และกระทำจริง แล้วคุณจะได้เข้าใจคำว่า ปทปรมะ ได้อย่างถูกต้อง และมีความเป็นไปได้ อย่างแน่แท้.

สาธุ

*****