ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๑๔)
๔ กันยายน ๒๕๒๕

ในบรรดาพวกเรา ที่ได้มาเรียนมาศึกษา ก็จะต้องรู้เป้าหมาย "ยอด" ให้แก่ตัวเอง ให้สำคัญว่า เราจะมาศึกษาธรรมะนั้น เป้าหมายยอดของเราก็คือ เราจะมาเป็นคนมีค่า ค่าอันนี้ ไม่ใช่เรายกให้ตัวเอง แต่เราจะต้องเป็น โดยสัจธรรม คือ ตัวเราเอง จะต้องเป็นแรงผลิต เป็นตัวที่ไม่ใช่ว่า เป็นตัวกากสังคม เป็นกาฝาก หรือ เป็นทากเป็นปลิงอะไร อยู่ในสังคม แต่จะเป็นตัวจักรกล ที่มีแรงผลิต ที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคม มนุษย์คนอื่นๆ ได้อย่างมากหลาย และทำในสิ่งที่มีค่า มีประโยชน์สูง ซ้อนอยู่ในสังคมด้วย เราจะเป็นคนที่เปลือง ถ้าเป็นเครื่องกล ก็เป็นเครื่องกลที่กินแรงไฟ กินแรงน้ำมันอะไรน้อยที่สุด และ เราก็ฉลาด มีปัญญากลั่นกรอง การงาน จะทำอะไรเป็นคุณค่าให้แก่มนุษย์ แก่ชาติ แก่โลก แก่สังคมเขา ได้ดีที่สุด มีคุณค่าสูงทางเศรษฐศาสตร์ เราจะมาเป็นคนอย่างนั้น ไอ้เรื่องจะแลกลาภ แลกยศ แลกสรรเสริญนั้น เป็นอันเราปลดปล่อยไปได้ เราไม่ได้ถือเอาสิ่งนั้นเป็นของแลก แต่เรารู้ เราถือเอาสัจธรรม ที่เราจะเป็นปัญญา เราจะมีปัญญารู้ มองออกไปในสังคม ว่าเราจะทำอะไร ให้แก่สังคม ขณะนี้ สังคมต้องการอะไร สังคมมีอุปสงค์อะไร และเราก็จะต้อง พยายามอุปทาน (ไม่ใช่ อุปาทาน) เราจะอุปทาน คือ อุปทาน หมายความว่า เราจะสร้างให้ เราจะต้องสร้างให้ จะทำให้แก่สังคมแก่โลก เราจะเป็นคนขยัน หมั่นเพียร เป็นคนที่กินน้อยใช้น้อย เป็นคนที่ไม่สะสมสิ่งที่เป็นภัยในชีวิต เราเป็นคน ปราศจากอะไรต่ออะไร ที่เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตน แต่เราก็มีฤทธิ์ มีแรง มีกิจกรรม สามารถสร้างสรรทำงาน เป็นคนในบริษัท เป็นคนที่มีหัวคิดหัวอ่าน เป็นคนมีความคิดริเริ่ม เป็นคนที่รังสรรค์ มีพลังในการปฏิบัติ ในการประพฤติ ในการทำงาน มีสมรรถภาพ มีฝีมือ มีความสามารถในการสร้างสรรอยู่ ก็เท่านั้นเอง ในชีวิตมนุษย์

เราเอง เราทำงาน เราทำกิจอะไรได้ตลอดเวลา เป็นคนมีสุขภาพสมบูรณ์ มีสุขภาพจิต สุขภาพกายแข็งแรง คล่องแคล่ว ปราดเปรียว สร้างสรร ขยันเพียร และเราก็ไม่ได้กอบโกย ไม่ได้กักตุน ไม่ได้สะสม ไม่เอาเปรียบเอารัด อะไรใครเลย มีแต่ให้ มีแต่เอื้อเฟื้อ มีแต่เกื้อกูล มีแต่สร้างสรร แล้วก็หว่านลงไปในโลก ยิ่งกว่าระบบ สังคมนิยมใดๆในโลก ที่จะสามารถสู้ได้ คนใดทำได้ส่วนตน ก็จะรู้บทบาทของตัวเอง คนใดที่ทำได้ส่วนตน แล้วก็เอามาประกาศ บอก ชี้แจงให้เห็นคุณค่า ให้คนอื่นเห็นคุณค่า เห็นคุณค่าตาม และคนอื่น ก็มาฝึกปรือ เป็นคนชนิดนี้ตาม ได้เข้ามา ๒ คน ๓ คน ๕ คน ๘ คน ร้อยคน พันคน หมื่นคนเข้า มันก็จะเป็นการแสดงบทบาท มันจะเป็นตัวพิสูจน์ให้เห็นว่า มันเป็นสังคมแห่งอิสรภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ และ บูรณภาพ

มันจะเป็นจริงๆ แต่ละบุคคล ก็อิสรเสรี สร้างสรร โดยไม่ห่วงไม่หา ไม่อาวรณ์อะไรเลย ไม่มีของ ของตน ทำได้ทำไป สร้างได้สร้างไป เป็นอิสรภาพ เป็นภราดรภาพ ทุกคนเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมด เกื้อกูล โดยเฉพาะ เรารู้ด้วยปัญญาว่า คนที่เขาขาดแคลนนั้น เราต้องอุ้มชู ช่วยเหลือ ไปให้ถึงเขาก่อน พยายามที่จะทำยังไง ที่จะช่วยเหลือเฟือฟาย ให้เขาช่วยเหลือตนเอง โดยการไปเป็นผู้ช่วยเขาอยู่เสมอนั้น ไม่ถูกต้องนัก เราจะต้องช่วยให้เขามีปัญญา ให้เขาช่วยตนนั่นเจริญ เมื่อเขาสามารถ ช่วยตนได้ เขาจะสามารถช่วยผู้อื่นได้เพิ่มขึ้น เราไปบอกวิธี ไปฝึกหัด ไปทำความรู้ให้เขาเกิด ไปทำให้เขาทำเป็น เขาจะช่วยตนได้ นอกจากช่วยตนได้ และยังสามารถ ช่วยเหลือตนเองแล้ว ก็เมื่อเหลือ ก็ให้เผื่อแผ่แก่คนอื่น อย่ากักตุนกอบโกย อีกซ้อน เป็นสภาพซ้อนๆ อยู่ดังนี้ๆๆ เกิดภราดรภาพ เกิดการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เมื่อเวลาผู้ใด สามารถทำได้ เกื้อกูลผู้อื่น มันก็เป็นไมตรี เป็นสันติภาพ ไม่มีใคร จะมาย้อนแย้ง ไม่มีใครมาตีตลบ สำหรับคนที่มีคุณ มีประโยชน์ มีบุญคุณ ไม่มีใครเขาอยากฆ่าแกง ไม่มีใครเขาอยากทำร้ายทำลาย ก็เป็นความปลอดภัย และเราเอง ไม่เป็นคนสะสม ไม่เป็นคนกอบโกย ไม่เป็นคนกักตุนอะไรไว้ ไม่มีของมีค่า ก็ไม่มีโจร ไม่มีภัย ไม่มีใครจะมาปล้นจี้ มาฆ่ามาแกง ก็เป็นความปลอดภัย อีกทั้งสิ้น แต่เราก็สามารถทำงานได้ ด้วยแรงหนุนเนื่อง ด้วยแรงสหกรณ์ ด้วยแรงแชร์ ด้วยแรงของคนอื่นๆ ที่ค่อยๆ ร่วมไม้ร่วมมือกัน เป็นหุ้นเป็นรวมอะไรมา และก็รู้ การให้มา มาทำประโยชน์แก่โลกเขาไป อย่างไรๆ หนุนเนื่องมาไม่ขาดสาย มีรายรับรายจ่าย ที่เป็นไป จ่ายก็จ่ายเพื่อคนอื่น รับก็รับมาเป็นทุนเป็นรอน และตัวผู้ทำงานนั้น ก็ไม่ต้องกักตุน ไม่ต้องสะสม ไม่มีอะไร ไม่แคร์ เข้าใจเลยว่า การที่ไม่มีสมบัติอะไร มีแต่ความสามารถ ก็เป็นมนุษย์เลิศได้ เป็นมนุษย์ผู้น่านับถือบูชาได้อย่างยิ่ง การสะสมกักตุนเอาไว้ เป็นของๆ ตัวนั้น มันไม่สะอาดอะไร รู้จริงๆ เห็นจริงๆ และสามารถทำได้ พิสูจน์ ยืนยันอยู่

แม้โลกนี้จะมีกิเลสมาก เขาทำได้อย่างเราไม่ได้ง่ายๆ เขาทำอย่าง อุดมการณ์ที่กล่าวนี้ ไม่ได้ง่ายๆ แต่คนจำนวนหนึ่ง ต้องมีอยู่ในสังคม ต้องทำ และทำให้มีปริมาณมาก ให้มีคุณภาพชัดแท้ สังคมจึงจะมีศูนย์ถ่วง มีสมดุล มีคนอย่างนี้ ค้ำจุนโลกไว้ ถ้าต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างกักตุน ต่างคน ต่างแย่งชิง ซึ่งเป็นอยู่ในระบบของสังคม เป็นเศรษฐี เป็นคนมีอำนาจ มีอะไรๆ ในเรื่องวัตถุทรัพย์ สังคมแบบนั้นแตกร้าว สังคมแบบนั้น เดือดร้อนแย่งชิง ใครก็อยากจะเป็นอย่างนั้น นั่นไม่ใช่ตัวอย่างที่น่าเคารพ เราไม่เคารพคนกอบโกย กักตุน เป็นตัวอย่าง มีอะไรมากๆ และก็สะสมไว้ และกักตุนไว้ ทำอะไร มีอำนาจ เบ่งทับเบ่งถม เบ่งข่มคนอื่น อย่างนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ และ ไม่ควรจะสนับสนุน สรรเสริญ ให้ไปเอาอย่าง เป็นเรื่องที่น่าดูถูกดูแคลนด้วยซ้ำ แต่นั่นแหละ เราจะดูถูกดูแคลนคนมีอำนาจ ก็ยากอีก เพราะฉะนั้น เป็นต้องมีนัย ชาญฉลาด ที่เราจะรู้ ที่เราจะทำยังไง ให้สังคมคนส่วนมาก ให้เขารู้ ไม่ใช่ค่านิยม แต่เป็นสิ่งที่น่าทำให้เสื่อม และไม่น่าจะทำให้เกิด ใครทำอย่างนั้น น่าเกลียด ใครไปมีสิ่งอย่างนั้น น่าชัง น่าดูถูกด้วยซ้ำ เราจะต้องทำให้สังคม มีความรู้สึก และ เห็นได้อย่างนี้ และเราก็ต้องไปสรรเสริญคนที่จนแต่ขยัน ไม่สะสมกักตุนกอบโกย ทุกอย่างสร้างสรรไป และก็หนุนเนื่องมา จะว่าจน ก็ไม่จนทีเดียว แต่จะมีวัตถุสมบัติ ที่จะสร้างสรร มีแรงผลิต มีเครื่องประกอบ มีวัตถุประกอบ มีวัตถุยุทโธปกรณ์ อะไรต่างๆนานา เพื่อที่จะรังสรรค์ เพื่อที่จะสร้างสรรได้อย่างดี พยายามทำให้มันถูก พยายามทำให้มันราคาอย่าเปลือง อย่าผลาญพร่าได้ อาศัยแรงคน อาศัยปัญญา อาศัยสมอง อาศัยฝีมือคน ได้มากเท่าใด ยิ่งดีใหญ่ วัตถุก็จะได้น้อยลง ก็จะได้ผลาญวัตถุดิบน้อย และก็คนที่จะเกิดขึ้นมา เพิ่มๆ ก็จะได้มีหวัง ได้ใช้วัตถุดิบต่างๆ ของโลก อยู่บ้าง

และเมื่อวัตถุของโลก สิ่งที่สะพัดตัว และสิ่งที่พยายามพัฒนาตัวเอง มันก็จะพัฒนา และมันก็จะก่อเกิดหมุนเวียน มาให้แก่โลก มันเป็นพลังงานกล อยู่ในธรรมชาติด้วย เพราะฉะนั้น พลังกลที่อยู่ในธรรมชาตินั้น มันก็จะฟักตัวมัน ก็จะสะสมตัวมัน ก็มีการพัฒนาตัวเอง ให้มันเกิด ให้มันมีส่วนเป็นนั่นเป็นนี่ ของมัน และคนเรา ก็จะแบ่งมาใช้ แบ่งมาสังเคราะห์แก่กันและกัน อยู่ในโลก ได้สมบูรณ์เท่าเทียม ไม่ขาดไม่แคลนสิ่งเหล่านี้ จะต้องมีความรู้ และเราก็จะต้อง พยายามใช้ปัญญา ค่อยๆพัฒนาไป ให้เข้ารูปเข้ารอย เป็นคนที่ประหยัด และมีประโยชน์สร้างสรร ไม่ใช่เรากลายมาเป็นกาฝาก ไม่ใช่เรา กลายมาเป็นปลิง เป็นทากดูด แต่เราต้องเป็นตัวที่โอบอุ้ม เป็นตัวเศรษฐี จ่ายแก่คนอื่น สร้างสรร และก็ไม่กักตุน ไม่กอบโกยเลย มีแต่จะให้ๆๆ ให้แก่โลก ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ เราก็สมบูรณ์แล้ว ใครจะท้วงติงอย่างไร ใครจะชาญฉลาดรู้ พวกหมาหางด้วน พวกที่ทำชั่ว แต่ก็พยายามจะป่าวประกาศ สร้างค่านิยม ให้เอาอย่างเขานั้น มีเยอะ ศาสนาหรือว่านักธรรมะ ก็จะต้องประกาศให้ผู้อื่น มาเอาอย่าง บ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่ต้องไปแข่งกันกับเขา จนกระทั่ง ตีรันฟันแทง ถ้าตีรันฟันแทงจริงๆ เราสู้เขาไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เป็นนักตี เราไม่ได้เป็นนักสะสมความอำมหิต เราไม่ใช่เป็นนักทำร้ายทำลาย แต่เราเป็นนักพัฒนา เป็นนักปฏิวัติ เป็นนักปฏิรูป สิ่งที่จะสร้างสม หรือว่าก่อตัวเข้าไป ในความสมบูรณ์ โดยไม่กักตุน โดยไม่กอบโกย แล้วก็มีพลังฤทธิ์ พลังงานสร้างสรร ไม่เป็นคนขี้เกียจ ไม่เป็นคนเฉื่อยเนือย แต่เป็นคนกระปรี้กระเปร่า แข็งแรง อย่างแท้จริง

เราจะต้องรู้เป้าหมายอันใหญ่ยิ่ง สำคัญว่า เรามาปฏิบัติธรรม เพื่ออะไร เราจะมาทำตน ให้มีค่าดังกล่าวแล้ว และก็พยายามชักจูงกัน ให้มี เห็นอย่างๆ กันได้ ทำอย่างกันได้ ให้มีจำนวนคนอย่างนี้ อยู่ในสังคมให้ได้จริงๆ ประมาณ จำนวนหนึ่ง เราก็ไม่โลภมาก อยากจะได้ทั้งหมดหรอก แต่ถ้าเป็นได้ จำนวนมากเท่าไหร่ สังคมก็ยิ่งสุขเย็นๆ และอุดมสมบูรณ์ เราเองปฏิบัติแล้ว เข้าใจจริงๆ แล้วเราก็สบาย เราไม่ได้ทรมานตัวอะไร เรากินน้อยใช้น้อย ไม่สะสม ไม่กอบโกย ไม่มีสมบัติพัสถาน เราก็ไม่เป็นปมด้อย เราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราก็สมบูรณ์สุข อยู่อย่างมีสุข อยู่อย่างมีสมรรถภาพ อยู่อย่างองอาจ แกล้วกล้า อยู่อย่างผงาดเหมือนกัน อยู่อย่างไม่ใช่ว่า ต้องไปค้อมหัว น้อมหัว หรือ เที่ยวต้องไปลำบากลำบน เป็นคนด้อย คนน้อยอะไร ไม่เลย เราอยู่อย่างภาคภูมิ ได้อย่างแท้จริง ขอให้พวกเรา เข้าใจจุดสำคัญ และมีความคิดอ่าน ให้ได้เข้าร่องเข้ารอย ปฏิบัติตน ฝึกหัดตน ทำให้ไปสู่เป้าหมายดังกล่าวนี้ ให้ได้สูงสุด ดีสุด ตรงที่เราเองก็สบาย และมีอำนาจแรงฤทธิ์ ที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ดึงดูดผู้อื่น ให้ผู้อื่น มากระทำตาม เป็นตามได้ ให้ได้มากที่สุด ด้วยกันเทอญ.

สาธุ

*****