ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๑๘)
๓๐ กันยายน ๒๕๒๕

เราพิจารณาโดยการบอก โดยการกล่าวแนะ พิจารณากันเสมอทุกวันๆ เราก็น่าจะได้รู้น่ะ เราก็น่าจะได้เก่ง แต่ก็ปรากฏว่า ก็ทำกันไป บางทีก็ไม่รู้สึก บางทีก็ได้แต่ภาษา ไม่รู้สึก ได้รู้แต่ภาษา ก็ขอให้พวกเรา ได้ซ้อนลงไปอีก ไอ้ที่จำได้ ไอ้ที่เข้าใจแล้ว นำมันมาใช้ให้มันจริงๆ จังๆ ขึ้นไป ให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม รู้กายกรรม วจีกรรม รำลึกถึงมโนกรรม เพราะว่ามันปรมัตถ์นี่ มันที่อาการของจิต ดูอาการของจิต รู้อาการของจิต ว่าเป็นอาการอย่างไรๆ ซึ่งเราจะเข้าใจว่า มันเป็นกิเลส หรือว่าจะเป็นธรรมๆ หรือว่าเป็นอกุศลธรรม หรือว่ากุศลธรรม มันทุจริตหรือมันสุจริต ซึ่งเราจะรู้ทุจริตสุจริต ก็เท่าอินทรีย์พละของเรา ที่ได้ตั้ง ขอบเขต บางอย่าง มันยังรู้เหมือนกันว่า มันไม่ค่อยดี มันทุจริต เพราะว่า ความรู้นี่รู้ได้ แต่ว่าอย่างนี้สูงไป ก็ประมาณเอา อย่างนี้ยากไป อย่างนี้เรายังไม่ถึงขั้นถึงตอน ประมาณตน ดูตัวดูตน แล้วจึงตั้งศีล ตั้งหลักเกณฑ์ ขนาดหนึ่งๆ ให้แก่ตน

ศาสนาพุทธเรานี่ มันเป็นระเบียบเรียบร้อย และมีขั้นมีตอน เพราะว่ามีเขตขั้น เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย อย่าอวดดี ทำอะไรทำทีเดียว เหมาหมดเลย อะไรๆ ก็เอาหมดเลย มันไม่เป็นส่ำ ไม่เป็นหัว ไม่เป็นท้าย ไม่เป็นกลาง อะไรต่างๆนานา ไม่เป็นระเบียบ สับสนน่ะ ศาสนาพุทธนี่ เด่นที่ พระพุทธเจ้า ท่านยืนยันว่า ของท่านนี่ เป็นลำดับ สอดร้อย มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย มันจึงได้เร็ว มันจึงไม่ต้องวกต้องเวียน ไม่ถึงต้องสับสน หกคะเมน ตีลังกา มีขั้นต่ำ ขั้นกลาง ขั้นสูง มีหยาบ กลาง ละเอียด มีขั้นตื้นขั้นต้น ขั้นอะไร ต่างๆ นานา เป็นระดับ เป็นความรู้ที่แน่ชัด

พยายามระลึกถึง ๑) ความหมายทั่วไปของโลก เขาว่า มันเป็นความต่ำ ความหยาบ ๒) ตัวเราเอง ที่จะต้องพิจารณาว่า หยาบนี่แหละด้วย เป็นข้อพิจารณา เงื่อนไขการพิจารณา และเรามีหรือไม่มี มากหรือไม่มาก เราสามารถจะเอาให้ได้ก่อน หรือเอาไม่ได้ก่อน พิจารณาที่ตนด้วย แล้วก็ไล่เลียงไป เป็นขั้น เป็นตอน เป็นระดับ ให้รู้ต้น กลาง ปลาย ให้รู้หยาบ กลาง ละเอียด อะไรชัดๆ เจนๆ แล้วก็กำหนด เท่าที่ขอบขีด เรี่ยวแรงของเรา จะเป็นไปได้ ถ้าเราได้ปฏิญาณตน ยิ่งอยู่ในระดับของนักบวช หรืออยู่ในระดับของ ผู้ที่จะต้องมีศีล หรือประมาณอย่างนี้ เชียวนะ ที่เราจะต้องระมัดระวัง มันยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้น ปฏิบัติมาตั้งแต่เป็นฆราวาส จะเอาเท่าไรๆ ก็มีระดับ ๖ ตั้งแต่ ความหมายต้นๆ ตื้นๆ ความหมายง่ายๆ หรือว่าอยู่ในขั้นหยาบ ทำมาตามขั้น ตามตอน สูงขึ้นมา นักบวช จึงไม่ใช่ ผู้ที่จะไปมีอะไรต่ำๆ นักบวชเป็นผู้ที่ เขากราบ เขาไหว้กัน ยกไว้ แม้แต่พ่อแม่ ยังต้องกราบไหว้ เมื่อลูกมาบวช มันไม่ใช่ เล่นลิเก แต่มันเป็นความจริง ถ้าทำถูกต้องตามความจริงแล้ว มันจะเป็นของจริง นักบวชนี่ เขาผู้อนาคาริกะ ผู้ที่มีการลดละกิเลสได้สูง จริงๆ นั่นตามปรมัตถ์

เพราะฉะนั้น เราก็ต้องไล่ แม้เราได้อนุโลมกันบ้างแล้ว มาบวชแล้ว เรายังไม่ได้อะไรมากนัก ก็ต้องทำ ไล่ภูมิ ไล่ขั้นไล่ตอน ในส่วนสัด ที่มันเป็นสิ่งที่ท่านเรียกว่า วินัย หรือว่าเป็นหลักเกณฑ์ ที่จะต้องดูแล ชัดเจน ก็เราชัดเจนไว้ แม้จะยังไม่ถึงจิต ก็ทำให้มันลงตัวลงตน ทางกายทางวาจากัน อย่าให้ไปละเมิด อย่าให้ไปด่างพร้อยน่ะ ต้องสำรวมก่อน เพราะว่าไหนๆ เราก็มาประกาศว่า เราเป็นนักบวชแล้ว ส่วนนัย อันละเอียดๆนั้น ซึ่งมันจะขัดเกลา เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ปฏิบัติก็สำรวมสังวร ระวังจริงๆ อ่านรู้จริงๆ ก็เอาไปตามลำดับ ถ้าอวดดีอวดใหญ่ นึกว่าตัวเก่งตัวกาจ ตะกละตะกลาม มันไปไม่รอดหรอกน่ะ ไปไม่รอด สับสน แล้วก็ไม่ได้ดี ไม่ได้แน่แท้ ไม่ได้แน่ชัด ไม่ได้แม่น ถ้าแม่นตรง ได้ถูกตรง เป็นทิฏฐุชุกรรม ทำถูกทำตรง ตามความเป็นจริง ที่เราสมควรสมเหมาะ เราจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง และก็เร็ว แล้วก็เกลี้ยงเกลา บริสุทธิ์ สะอาด สูงสุดได้

การพิจารณา หรือการแนะนำกัน เราก็แนะนำกันเสมอ ผู้ที่จะมีภูมิมาก ภูมิน้อยอะไร ก็แนะนำกันไป ตามครั้งตามคราว แนะนำแล้ว ก็ฟังก็รู้ ก็จะไว้ เอาไว้ใช้ แล้วก็ตรวจตน ไม่ใช่ได้มาใช้หมด จนไม่รู้ว่า เราเองควรหรือไม่ควร เหมาะกับเราหรือไม่เหมาะ อันนี้ควรใช้ หรือยังไม่ควรใช้ หรือบางทีใช้ โดยที่เรียกว่า เราไม่มีเรื่องอะไรเลย ไอ้ที่เอามาใช้นี่ มันเปล่า ใช้ฟรีๆ ใช้เปล่าๆ ไม่เข้าเรื่องเข้ายา ก็มีเหมือนกัน ที่โง่ถึงปานนั้นก็มี เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่า เราทำแล้ว เรามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ อะไรเด่นอะไรชัด เราต้องจับสักกายทิฏฐิ จับตัวการของเราให้แม่น แล้วเราก็จัดการกับมันไปให้ได้ มีทั้งส่วนที่สำคัญใหญ่ และรองไป เป็นระดับๆ เท่าที่เราจะสามารถอุ้ม หรือสามารถที่จะรับผิดชอบ นั่นเรียกว่า หลักเกณฑ์ของศีล หรือหลักเกณฑ์ของกรรมฐาน ของแต่ละบุคคล ทำไป ก็มีอินทรีย์พละสูงขึ้น เราก็จะเพิ่มศีล เพิ่มกรรมฐาน ได้มากข้อมากเรื่อง หรือว่า ยากเย็นแสนเข็ญ หรือว่าละเอียดลึกซึ้ง มันก็จะเกิดเป็นขั้นเป็นตอน เป็นระดับน่ะ การปฏิบัติของเรา ได้ปฏิบัติกันมามากพอสมควร ได้ส่วนที่ได้รู้ว่า เราได้ดี เราได้พละ ได้ประโยชน์ เป็นอานิสงส์น่ะ เป็นวิมุติก็ดี เป็นนิพพานก็ตาม จะเรียกว่า วิมุติ จะเรียกว่า นิพพาน ก็เป็นเรื่องที่เราละจางคลาย จนกระทั่ง หลุดพ้นมา ด้วยเหตุนั้น ปัจจัยนี้น่ะ เหตุเท่าไหร่ ปัจจัยเท่าไหร่ อ่านจิตอ่านใจ รู้ตนเองด้วยตน ว่าเราเอง เราจาง เราคลายจริงๆ อย่าหลงผิด อย่านึกเดาคะเน ไม่เอา เอาเห็นจริงรู้จริง เห็นจริงของตน สภาวะธรรม สภาวะกิเลส เหตุนั้นปัจจัยนี้ เพราะฉะนั้น ในเรื่องหยาบก็ดี เรื่องละเอียด ไปถึงภพในภพ ก็ตาม ที่จริงภวภพ หรือภพในภพ เป็นเรื่องของการง่วง ถีนมิทธะนี่ โลกเขาก็รู้ดี แล้วมันก็เป็นเรื่องหยาบ ถ้าว่าไปแล้ว มันก็เป็นเรื่องหยาบ พอๆกันกับเรื่องกาม เรื่องพยาบาท เรื่องง่วงเรื่องเหงานี่ มันหยาบพอๆกันล่ะ เป็นแต่เพียงว่า มันเป็นภวตัณหา ไม่ใช่กามตัณหา เพราะถ้ามันร้าย มันแรงอยู่ มันก็หยาบ มันก็เป็นความไม่สูงส่งอะไร เท่าๆกันนั่นแหละ แม้เราจะเลื่อนลงไป เป็นระดับที่ ๓ มันเป็นสิ่งที่ มันใกล้ตัวใกล้ตน แล้วมันเป็นอรูปธรรมน่ะ มันไม่ต้องเกี่ยวเกาะ ด้วยวัตถุแท่งก้อน ตาหูจมูกลิ้นกายอะไร เหมือนกับ อย่างสภาพที่ มันต้องเอามาสัมผัส สัมพันธ์กันน่ะ เพราะว่า มันเป็นเรื่องของอารมณ์ แต่อารมณ์มันก็หยาบได้ เหมือนกัน

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง สำคัญอยู่ที่ เราถูกตู่ถูกท้วง ถ้าเราได้สังวรระวังไป อย่างสำคัญ แล้วก็พยายามศึกษา ปลดปล่อย พยายามจางคลาย หรือว่าพยายาม สร้างอินทรีย์พละของเรา ให้แก่กล้า ให้ได้จริงๆน่ะ เราก็จะกอบกู้ศาสนา หรือตัวเราเองนั่นเอง ผู้ได้นั่นแหละ เป็นผู้ที่สบาย เป็นผู้ที่พ้น เป็นผู้ที่ได้ลดละ หรือเป็นผู้ดับสนิทได้ ยิ่งดีน่ะ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยิ่งละเอียด ลึกซึ้ง เพราะว่าเป็นอรูปธรรม เราก็จะต้องเรียนรู้ ทั้งสิ่งแวดล้อม และทั้งจิตใจของเรา ที่มันเสพย์อยู่ มันเสพย์นี่ ไม่ใช่มันรู้ตัวได้ง่ายๆ เสพย์นี่ มันกินลึกน่ะ มันซ่อน มันพยายามซ่อน บัง ไม่ให้ตัวเองรู้หรอก เสพย์นี่ เราเสพย์อยู่ เราไม่รู้ แม้รู้ เราก็ต้องมาละมาลดกัน จะย่ำจะแย่ เรายิ่งไม่รู้เลยแล้วละก็ มันก็หมดหวัง เพราะฉะนั้น พยายามรู้มันให้ได้ว่า นี่คือตัวการ นี่คือตัวผีร้าย นี่คือ ตัวที่เราจะต้องจัดการกับมัน เอาออก ทำให้จางคลาย ทำให้ดับสิ้น ไปน่ะ

การพิจารณา ไม่ใช่ฟังแต่ปาก ฟังมาก พวกเรานี่ เรียนรู้ทางพยัญชนะ ปริยัติ ฟัง แต่ขอให้ปฏิบัติจริงๆ เอาใจใส่ ลดละ เราจะปีนเพดานขึ้นไปอีก เราจะเลื่อนขั้น เลื่อนฐานะขึ้นไปให้ได้ ไม่ใช่เราจะย้ำซ้ำอยู่ที่เก่าที่เดิม ดีไม่ดีก็ ร่วงหล่น โรยรา ลงไปกว่าเก่าด้วย อย่างนี้มันก็ไปไม่รอด เพราะว่าเราเอง ยังจะต้องมีทิศทาง ที่จะสูงขึ้นไปได้อีก แต่ละบุคคล แต่ละบุคล ให้ถึงที่สุด แม้ที่สุดถึงที่สุด ถึงขั้น ได้ความว่า เราเป็นพระอรหันต์แล้ว มันก็ยังมีความเจริญ ที่จะเจริญได้ ทั้งประโยชน์ท่าน ส่วนประโยชน์ตนนั้น ก็สบายแล้ว ประโยชน์ตน ไม่มีอะไรมาก แม้แต่พระโสดา ถ้าเรียนรู้เป็นสัมมาอริยมรรค ที่ถูกต้อง ตามลำดับขั้นตอน ได้เป็นโสดาคุณ ระดับต้นก็ตาม ก็มีฐานพัก และเราก็จะปฏิบัติธรรมะ อย่างถูกต้อง และเป็นไปด้วยดี เป็นสุขาปฏิปทา เป็นการประพฤติ ไม่ใช่ว่าตามใจตัว หรือไม่ตั้งตนอยู่ในความลำบาก ตั้งตนอยู่ ในความลำบาก ไม่ตามใจตัว ปฏิบัติตามศีล ตามกรรมฐาน ที่แท้จริง แต่ก็พอสบาย เราจะรู้เลยว่า เราก็พอสบายขึ้น พอสบายขึ้น ไอ้ที่มันหนัก ก็เพราะว่า กิเลสของเรา ยังไม่หมดไปเอง เราก็ต้องทำนั่นแหละ เป็นงาน เป็นหน้าที่ ที่เราจะทำตัวนี้ ถ้าเราทำตัวนี้ออกไป กิเลสนี่ ละลดลงไปอีกๆๆๆ เราก็จะสบายขึ้น มีแท่นที่พักมากขึ้น แล้วเราจะต้องไปดูกิเลสที่สูงขึ้นไปอีก จนกระทั่ง มันไม่มีกิเลสอะไรจะทำ เราก็มีงาน มีหน้าที่ ที่จะทำกับมวลชน กับผู้อื่น

ทีนี้ถ้าว่ากันจริงแล้ว งานหนักกว่าด้วยซ้ำ งานหนักกว่า ที่เราจะทำให้แก่ตนเอง ด้วยซ้ำ ว่าตนเองเคยแนะนำให้ฟังแล้ว ครูนี่ ตนเอง เอากิเลสของตนเองออก ก็หนักพอแรง ยากอยู่ไม่ใช่น้อยแล้ว แล้วยิ่งไม่ใช่ของของเรา กิเลสนี่ เป็นของเขา บอกเขาแล้ว ก็จะพยายามให้เขาเอาออกให้ได้ เหมือนกันกับ ของเราเอาของเราออก มัน ๒ ชั้นน่ะ มัน ๒ ชั้น มันถึงหนักกว่า ของตัวเอง รู้ของตัวเอง เอากิเลสของตัวเองออก หนักพอแรงอยู่แล้ว แล้วไปบอกเขา แล้วจะให้เขาทำจริงๆ เอาจริงเอาจัง เอาอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ให้เขาเอาออกอีก โอ๊! ถ้าใครคิดเห็น ด้วยปฏิภาณ จะรู้เลยว่า มันไม่ใช่เรื่องง่าย มันเรื่องหนัก แต่พระอริยะ โดยเฉพาะ เป็นผู้ที่เป็นสมณะ แล้วมีอิทธิบาท ๔ น่ะ มีอิทธิบาทเป็นอายุ เป็นเครื่องอธิบาย ท่านมีจริงๆ ท่านเป็นผู้ที่ถึง และท่านก็เป็นผู้ที่มีเครื่อง มีสภาพ มีสภาวธรรม มีองค์ธรรม พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัส เรื่องเล่นๆ ท่านตรัสด้วยปรมัตถ์ ท่านตรัสด้วยสัจธรรม สิ่งนี้เป็นจริงถึงจริง ก็ตรงตามที่ พระพุทธเจ้าท่านตรัส อันนี้ ตัวผมเองนี่ ตัวอาตมาเองนี่ เข้าใจ และ เชื่อมั่น อย่างแน่แท้ ว่าท่านไม่ได้ตรัสอะไร ผิดๆ พลาดๆ เพี้ยนๆ ท่านตรัสตรง ตรัสจริง ตรัสแล้ว พิสูจน์แล้ว มันลงตัว ลงจริง เป็นพระอรหันต์นี่ขยัน แม้แต่พระโสดาบัน ถ้าปฏิบัติถูก ปฏิบัติตามสัมมาอริยมรรค องค์ ๘ ปฏิบัติตาม หลักการของพระพุทธเจ้าแล้ว ขยันตั้งแต่โสดาบันน่ะ แล้วจะยิ่งขยันยิ่ง เมื่อเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่ศาสนาแห่งขี้เกียจ ดังที่ พระพุทธเจ้าก็รับรอง สุภาษิตท่านก็ยืนยัน หลักกฎของท่าน ระเบียบของท่าน ก็ยืนยัน คำกล่าว คำตรัสของท่าน ก็ตรัสเอาไว้ อย่างยืนยัน จริงๆว่า เป็นศาสนาแห่งความขยัน ไม่ใช่ศาสนา แห่งความขี้เกียจ น่ะ เราก็พยายามรู้ กำหนดขีดข่าย ประพฤติจริงๆ ต้องอุตสาหะวิริยะ ถ้าจุดที่มันจะเพิ่มเพดานบินสูงขึ้นนี่ มันยาก เรามีแป้นอาศัยด้วย จะเพิ่มเพดานบินขึ้นด้วย ก็มันยาก

คนจึงยาก ถ้าไม่เร่ง ถ้าไม่เคี่ยวเข็ญ ขันชะเนาะตัวเองแล้ว มันไม่ยากหรอก เพราะว่า มันมีฐานอาศัย แล้วแถมไปเพิ่มเพดานบิน ให้สูงขึ้น มันก็ต้องหนักขึ้นซี มันจะไปเบาอย่างเก่าได้เหรอ ทำของง่าย มันก็ง่ายแล้ว แล้วเราก็ยิ่ง มีบารมีมาเดิมด้วย มันก็ง่ายซี พอได้ของเดิม หรือได้ของง่าย ไปแล้ว จะสูงขึ้นไป แล้วจะให้มันง่าย หมูๆ เหมือนของเก่า มันจะไปได้เหรอ เพราะฉะนั้น นี่แหละ ทั้งฤทธิ์ ฤทธิ์ทางด้าน ที่มันหลอกล่อ มีแป้นอาศัย ก็ล่อดึงเอาไว้ ไอ้ตัวที่จะทำสูงขึ้นไปอีก มันก็เป็นตัวหนัก ตัวยาก นี่แหละ มันทำให้คน ไม่เพิ่มภูมิ สำคัญตัวนี้ สำคัญให้มาก ไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็จะเป็นเทพ นิกายใด นิกายหนึ่ง เป็นเจ้าติดศาล ใครได้ศาลเตี้ยๆ ก็อยู่ศาลเตี้ยๆ อยู่นั่นแหละ ไม่มีไปไหนรอดหรอกน่ะ เป็นเทพ นิกายใดนิกายหนึ่ง อย่างนั้นจริงๆ ขอให้สำคัญความข้อนี้ ให้สำคัญทีเดียว ถ้าเราไม่มีหลักฐานของ พระพุทธเจ้า มาอธิบาย เขาอธิบายกันไม่ออกน่ะ ว่าเป็นเทพ นิกายใดนิกายหนึ่ง เขาไปนึก เป็นเรื่องตลกว่า โน่น เป็นเทวดา เทพนิกายนั้น ก็คง องค์นี้อยู่ที่ยอดโพธิ์ องค์นี้ก็คงจะมีวิมานแก้ว เป็นวิมานทอง เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เขาเข้าใจเป็น อัตภาพ ล่องลอย เป็นสภาวะ ที่มันเหินหาว อะไรไม่เข้าเรื่อง อย่างนั้นนะ เขาเข้าใจแล้ว ถ้าพวกเรานี่ ยังเรียนรู้ยังไม่เข้าใจ ยังไม่รู้สภาวะจิตวิญญาณ ที่แท้จริง โดยเฉพาะของจริงนี่ เราจับตัวเทวดาได้ เทวดาติดแป้น ก็ไม่ใช่ใคร ก็คือเรา คือกู นี่เองแหละ แล้วก็ไม่รู้ ตัวกูของกูนี่ ก็ติดแป้นอยู่นั่นล่ะ ตราบตายน่ะ ไม่รู้กี่กัปกี่ชาติ ก็พวกยิ่ง ไม่มีใครสอน ไม่มีใครแนะ ไม่รู้เรื่องจริงๆ

ต้องรู้ตัวตน ให้ชัดแจ้ง แล้วก็พยายามจัดการแก้ไข ปรับปรุงตนเอง แล้วเราก็จะได้เจริญ ไปถึงที่สุด ตามที่เรามาดหมาย ได้ถ้วนทั่วหน้ากัน ทุกคน.

สาธุ

*****