ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๑๙)
๑ ตุลาคม ๒๕๒๕

การปฏิบัติธรรมนี่ จุดมุ่งหมายสูงสุด ซึ่งเป็นสามัญสำนึก ทุกคนก็คงจะพอเข้าใจได้ว่า มาปฏิบัติธรรมนั้น ก็เพื่อที่จะพ้นทุกข์ หรือ จะมีความสุข หรือ จะมีความสมบูรณ์ อุดมสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น หลักการที่เป็นสามัญสำนึก ของมนุษย์ เช่นนี้เอง ที่ทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค้นพบความจริง และ ได้ทฤษฎีวิเศษออกมา แตกต่างกันกับลัทธิอื่น ที่สอน ให้คนบอกว่า พ้นทุกข์คือ ไม่ยื้อแย่งโลก เหมือนกัน แต่ขาดความอุดมมบูรณ์ อยู่เป็นสุข ตามอำเภอใจ ของเขาเหมือนกัน แต่ขาดความอุดมสมบูรณ์

ศาสนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นศาสนาแห่งความอุดมสมบูรณ์ มีกรรมวิธี มีทฤษฎียิ่งใหญ่ ที่ให้มีคนทำงาน และมีคำสอน ที่บอกองค์ธรรม ไว้สำคัญเลยว่า ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น จะต้องทำให้คนขยัน ไม่ได้ทำให้คน ขาดความขยัน กลายเป็นธรรมะที่ไม่มีการงาน โลกประกอบไปด้วยการงาน ประกอบไปด้วยพฤติกรรม ที่จะสร้างสรร ถ้าโลกขาดการงาน ขาดพฤติกรรมสร้างสรร จะเกิดความอุดมสมบูรณ์ไม่ได้ เพราะว่า คนไม่ปฏิบัติธรรมนั้น มีมาก คนผลาญพร่า สุรุ่ยสุร่าย ฟุ้งเฟ้อ ทำลาย นั้นมีมาก

จึงจำเป็นจะต้อง มีคนที่มีคุณธรรม มีคนดีที่จะสร้างสรร เป็นคนมักน้อย แล้วก็เป็นคนสร้างสรร ขยันเพียร ที่จะช่วยโลก ช่วยธรรมชาติ และเป็นบุญจริงๆ ตามที่เราได้เน้น เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ขึ้นมา เห็นเด่นชัดว่า การที่เราได้ให้แก่คนอื่น ก็เป็นหลักการของศาสนา ทุกศาสนาด้วย แต่รายการของอื่นๆ หรือวิธีการของอื่นเขา เป็นศาสนา ที่ทำทาน แล้วไม่บริสุทธิ์ ทำทานแล้วยังโลภ ยังมีแลกเปลี่ยน ยังมีการแลกเอา ยังไม่หมดตัวตน ส่วนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทำทานอย่างบริสุทธิ์ ทานอย่างไม่แลกเอา อย่างไม่มีตัวตน ทานอย่างสะอาดหมด ให้อย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน แม้แต่อารมณ์ ทางนามธรรม ปานฉะนั้นน่ะ นี่เป็นความสะอาด เป็นความละเอียด ของศาสนาพระพุทธเจ้า ผู้จะมีอะไรไปทาน ผู้นั้น ก็จะต้องมีของ ของตน

ผู้ยังไม่มีของของตน ก็ต้องสร้างสรร แล้วสร้างสรรได้ทั้งของที่เป็นวัตถุ ทั้งของที่เป็นนามธรรม เมื่อความจำเป็น ในด้านศาสนามาก เราก็สอนแต่ศาสนา ทางนามธรรม หรือว่าทางวัตถุธรรม ก็เป็นเรื่องที่ประกอบไปด้วย วัตถุที่มันหมุนเวียนกลับมา แล้วระบบของศาสนาพุทธ จึงไม่ให้สะสมวัตถุ เน้นแต่เรื่องของนามธรรม พระจึงไม่ทำงาน ในการสร้างวัตถุมากนัก นอกจาก สร้างแต่เพียงพออาศัย เช่น พระพุทธเจ้าท่านให้สร้างกุฏิ สร้างอะไรต่ออะไร ก็พอได้ ให้สร้าง สมัยพระพุทธองค์ก็สร้าง พระก็ต้อง ทำงานเหล่านั้นเหมือนกัน ดูแลส่วนที่เรารับผิดชอบ เราอาศัย เราต้องพึ่งตน ไม่ใช่ไปเบียดเบียน ไปวุ่นวายกับคนอื่น

ทีนี้สมัยนี้นี่ การสอน การเผยแพร่ธรรม ไม่ได้ออกจากปากพูด เป็นคำสอน และมีกายกิริยาเท่านั้น เรามีวัตถุ เรามีเทคนิคต่างๆ มีเครื่องสื่อสารอีกเยอะ ที่เราจะต้องกระทำน่ะ เพื่อเป็นการสอนไปในสื่อสารต่างๆ จึงเป็นการงานที่เพิ่มขึ้น นอกจาก จะดูแลข้าวของ เครื่องใช้ กุฏิ ศาลา หรือแม้แต่สถานที่น่ะ แม้แต่เย็บจีวรเอง หาผ้ามาเย็บ หาขนเจียม หาขนสัตว์ หาโน่นหานี่ มาทอ หาไม้มาทำโน่นทำนี่ ที่เป็นเครื่องใช้ เครื่องสอยของพระเอง ของในถิ่นที่เราอยู่เอง สมัยพระพุทธเจ้าก็ทำ เอาขนเจียม มาทำเองทอเอง เอามาสานเอง กรองคาเอง เย็บผ้า เย็บจีวรเอง อะไรพวกนี้ เป็นกิจการงาน ที่เราจะต้องทำ

พยายามศึกษาธรรมะให้ละเอียด จะเห็นได้ว่า พระนั้น ไม่รับใช้ประชาชน ก็จริง แต่เอื้อเฟื้อน่ะ เอื้อเฟื้อ พอเป็นประมาณ โดยเฉพาะ ของตนนั้น ช่วยตน พระแม้ว่า ห้ามไม่ให้รักษาไข้ แต่รักษาเพื่อนฝูง รักษาผู้ที่เป็นนักบวชด้วยกัน รักษาได้ แม้จะทำยารักษากันเอง ก็ยังทำได้ แต่จะไปรักษาประชาชน ทำไปเผื่อแผ่แก่ ประชาชนนั้น ทำไม่ได้ หรือว่าจะสร้างข้าว สร้างของ เป็นการรับใช้ประชาชนไปเลย หรือ แลกขายแลกเปลี่ยนไปเลย อะไรกันตรงๆ เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าพระ ไม่แลกลาภ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว มันไม่ตัดตอน จะกลายเป็นพระค้าพระขาย เป็นพระแลกลาภแลกยศ เป็นการแลกกันไป แลกกันมาอยู่ ซึ่งมันเสียหาย

แต่ถ้าทำให้ โดยที่เรียกว่า การให้นั้น เป็นการให้จริงๆ อย่างมีเหลือเฟือฟาย อะไร ก็ทำให้ แล้วไม่ดูน่าเกลียดว่า เมื่อพระทำได้มากๆ ก็ทำให้ ประชาชนขี้เกียจ แล้วก็เลยอาศัยพระ ยิ่งพระชั้นสูง พระยิ่ง เป็นพระอริยเจ้า ชั้นสูงๆ เป็นพระอรหันต์ ท่านจะเป็นคนขยัน แล้วขยันท่านก็สร้าง คนก็เลยขี้เกียจ มาขอแต่พระ พระก็เลยต้องทำ รับใช้ประชาชนตลอดไป อันนี้ก็เลย ไม่ต้องออกสอนคน ไม่ต้องทำหน้าที่ ในทางเผยแพร่ศาสนา ซึ่งเป็นกิจสำคัญ ประชาชนทำไม่ได้ พระต้องทำ เพราะฉะนั้น มันผิดหน้าที่

การจะทำอะไร เน้นให้เป็นงานการ ที่จะเป็นวัตถุ เป็นการก่อสร้าง เป็นอะไรต่ออะไร ที่ประชาชนเขาทำได้ จึงไม่เป็นเรื่องงาน ที่จะเน้นให้พระต้องทำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พระไม่ทำเลย พระทำได้ ถ้าเผื่อยิ่งขาดแคลน ก็ยิ่งช่วยเหลือ แต่ก็จะเน้นในเรื่องของศาสนา ในเรื่องการสอน ในเรื่องการอบรม ในเรื่องการเผยแพร่ เพราะฉะนั้น กิจเผยแพร่ สื่อสาร เผยแพร่ จึงยังเป็นความจำเป็นอยู่ ทุกวันนี้ ถ้าในอนาคต เราสามารถที่จะถอนตัว ให้ประชาชนเขารับกิจกรรม ที่เป็นการทำงานสื่อสาร เราจะเป็นผู้ที่ผลิต แต่สารัตถะ ผลิตเนื้อหา ผลิตคำสอน ผลิตคำกล่าวอะไร เราย่อมทำได้ ในขณะที่เราเอง เป็นหัวหอก เป็นรุ่นแรกนี้ เราจึงต้องรับผิดชอบอะไรเยอะ ทำอะไรมาก ก็ขอให้เข้าใจ ในรายละเอียดเหล่านี้ ซับซ้อนมาก ซึ่งเราก็เห็นอยู่ และเราก็ทำ ได้ประโยชน์ยิ่งอยู่ เมื่อถึงขั้นฆราวาสเขาเข้าใจ เขารับรอง ศึกษา ซับซ้อน ขึ้นมา เขาก็จะมารับช่วง ซึ่งทุกวันนี้ก็มี มีการรับช่วง มีการแบกหามกัน เป็นทอดๆๆๆ ต่อออกไปอยู่ แต่เราก็จะต้องนำเสียก่อน แล้วค่อยๆสอน ความเข้าใจเหล่านี้ เป็นชั้นเป็นตอน ศาสนาก็จะมีขั้นตอน มีสัมมาอาชีวะ มีสัมมากัมมันตะ มีสัมมาวาจา มีสัมมาสังกัปปะ อันได้ระดับน่ะ ได้ขั้นได้ตอน แล้วก็จะเป็นศาสนา ที่สร้างความอุดมสมบูรณ์ เพราะคน ฆราวาส ก็ไม่ทิ้งการงาน ปฏิบัติธรรมอยู่ในการงาน อยู่ในมรรคองค์ ๘ พระก็เป็นพระที่ ไม่ทิ้งการงาน มีงานการ ขยันหมั่นเพียร มีมรรคองค์ ๘ อย่างสมบูรณ์พูนสุข

ศาสนาพระพุทธเจ้า จึงเป็นศาสนาที่ทำให้คนเป็นสุข หรือพ้นทุกข์ อย่างเรียบร้อย เพราะต้นเหตุนั้น คือกิเลส ตัณหา อุปาทาน ราคะ โทสะ โมหะ ดับสิ่งนั้นแต่สิ่งเดียว แต่ไม่ดับการงาน ไม่หยุดการคิด ไม่หยุดการพูด ไม่หยุด การกระทำใดๆ ศาสนาพุทธ จึงเป็นศาสนาแห่งกรรมนิยม หรือ กรรมสัจจะ เข้าใจกรรม อย่างที่เป็นกุศล และอกุศลอย่างสมบูรณ์น่ะ อันนี้เป็นรายละเอียด ที่พระพุทธเจ้า ท่านแยบคาย ประณีต เข้าใจได้ แล้วก็เอาทฤษฎีแบบอย่างของพระพุทธเจ้า มาสอนมนุษย์ มนุษย์ที่ยึดถือศาสนาพุทธ อย่างถูกต้องถูกตรง ประพฤติอบรมตนแล้ว จึงเป็นมนุษย์ที่พ้นทุกข์แท้ อย่างเด็ดขาด เพราะอยู่เหนือมัน สิ่งเหล่านั้นเป็นสังขารโลก ที่จะทำร้าย ยั่วยุ ยั่วย้อม จิตใจของผู้ที่แข็งแรง มั่นคงนั้น ยั่วย้อมไปไม่ได้ โน้มน้าวเอาไปไม่ได้ จึงเรียกว่า เป็นลัทธิโลกุตระ ลัทธิเหนือโลก อย่างชัดแจ้ง และสำคัญที่สุดก็คือ ศาสนาพุทธ เป็นลัทธิ ที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมกับความขยัน

สาธุ

*****