ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๒๘)
๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๕

(เตือนวจีกรรมของหมู่ใน)

ได้กำชับกำชาแล้ว ในเรื่องที่เราจะต้องรู้จักสำรวมสังวร แม้แต่อิริยาบถ ทางกายกรรมและวจีกรรม โดยเฉพาะวจีกรรม เราโดนตู่ท้วงเป็นอย่างมาก อย่างคุณตะวัน ไปสอบทำวิทยานิพนธ์ ของเรา เสร็จแล้วผลที่ได้ ออกสอบถามอะไรต่ออะไรมา ผลว่าเรานี่ ยังภาษาวาจาของเรายังไม่ดี ถึงแม้เราจะมีความจริง อะไรอยู่ในใจก็ตาม ว่าเรามีความจริงใจ แต่ภาษาเหล่านั้น โลกเขาถือ โลกเขามีความรู้สึกนึกคิด แล้วเขานับ พยายามวัดด้วยภาษาอย่างโลก แม้เราจะหวังผลว่า เราเอง เราจะไม่ถือสา เราจะรุนแรงไปบ้าง เขาถือว่ามันแรง เขาต้องการให้เบากว่านั้น เราเอง เราก็ยังย้อนแย้งกับเขาอยู่ก็ตาม ก็มันเป็นภาวะที่เราจะต้องรับทราบว่า ถ้าเป็นไปได้ เราก็จะต้องทำให้ ภาษาวาจาของเรานี่ เบาลงไป สำหรับในโลกเขา

ในพวกเรา ถ้าเราเอง สนิทชิดเชื้อกัน เราจะพูดแรง พูดกระโชกโฮกฮาก พูดหนักอย่างไร คนที่ศรัทธากันแล้ว อยู่ในความสนิทชิดเชื้อกันแล้ว มันไม่เป็นปัญหาอะไรนี่ ทุกคนก็คงเข้าใจ พี่น้องพ่อแม่ อยู่ในบ้านในเรือน ญาติ มิตรสหาย ที่สนิท จะพูดหยาบพูดหนัก พูดกระแทกแดกดัน พูดอย่างโง้นอย่างงี้ อย่างไง มันก็ไม่ถือสา แล้วก็ไม่มีผลที่จะต้องแตกร้าว เดือดร้อน อะไรนั้น ย่อมได้ แม้ขนาดนั้น เราเอง อยู่ฝ่ายในๆ ด้วยกันนี่ เรายังพูดขนาดนั้นขนาดนี้ พวกเรายังถือสากัน ยังกระทบกระแทก กระทั้น กันอยู่ทีเดียว

เราก็ต้องคิดถึงมุมนี้ให้ดีว่า เมื่อเราไปพูดกับข้างนอกเขานั้น แน่นอน ขนาดเราแท้ๆ ที่ว่าเป็นพี่น้องกันแล้ว มันยังอดไม่ได้ที่จะถือสา เพราะฉะนั้น เราก็จะต้อง เห็นใจเขาให้มาก ว่าเขาเอง เขาก็จะต้องย่อมถือสาด้วย เช่นเดียวกัน และไม่น้อยกว่าเรา เป็นอันขาดอีก เราจึงจะควรต้องพยายามปรับน่ะ เรารับรู้ แต่เราจะทำไปโดยประมาณ แม้มันจะแรงอะไร เราต้องยอมรับว่า เขาก็ต้องถือละ ต้องให้เขาถือละ เราเอง เราก็ต้องหัดวางใจ แล้วถ้าเผื่อว่า ประมาณได้ผล ถ้ามันแรงเกินไป เราก็ต้องยอมลงไป ถ้ามันไม่แรงเกินไป ได้ผลอยู่ ตามที่เราต้องการ เราก็ทำเท่านั้นๆ พวกนี้ เป็นการประมาณ ที่ละเอียดซับซ้อนลึกซึ้ง ต้องเข้าใจในมุมในเหลี่ยม ที่พูดนี่ คงไม่มีอะไรยากหรอก จะต้องมองให้เห็นเด่นชัด เราจะต้องพยายามปรับทุกเวลา เพื่อที่จะให้เข้าสู่จุดที่เป็นสากล เป็นทั่วไปอย่างสมบูรณ์ มันยังไม่สมบูรณ์ ก็จำเป็น แต่เราก็ต้องประมาณ ด้วยผล ให้มันผลสมควรก็ทำ ผลไม่สมควร อะไรที่มันร้ายแรงยิ่งกว่า เราก็อย่าไปดันทุรังเข้า

วาจาก็ดี อย่างนัยอย่างนี้ ยิ่งตอนนี้ เราควรจะมีท่าที ในวาจาส่วนนอก หรือส่วนใน เราก็ฝึกไปพร้อมกัน ส่วนในเราก็ลดลงบ้างด้วย ส่วนนอกเราก็ลดลง แม้ที่สุด เราเป็นคนเรียบร้อยหมด แม้แต่ส่วนใน จะเป็นพี่เป็นน้องกันแล้วก็ตาม เราก็เป็นอยู่ในฐานะผู้ดี ไม่จำเป็นจะต้องกระโชกโฮกฮาก รุนแรงหยาบคายอะไรกันก็ได้น่ะ เราก็จะต้องปรับขึ้นมาอีก ซ้อนขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ในอนาคตน่ะ ช่วยกัน ถ้าพวกเราเป็นผู้ที่ ว่านอนสอนง่าย มันก็ไม่ต้องพูดยาก ไม่ต้องพูดหนัก ไม่ต้องพูดแรง ไม่ต้องทำทีท่า ลีลาดุ ลีลาง่ายๆ ลีลาเรียบๆ ก็กลัวกันก็เกรงกัน ก็เกิดการสำนึกได้ เป็นผู้ดี จริงๆ อย่างนี้ก็ยิ่งดีใหญ่ แต่ในเมื่อเรายังเป็นเด็กดื้อ เรายังเป็นคนดื้อ ต้องมีการลงอาญา ต้องมีการทำแรง ทำอะไรอยู่ ก็เพราะด้วยทั้ง ๒ ส่วน ทั้งผู้ที่ได้รับการสอน ทั้งผู้ที่สอน จำเป็นที่จะต้องแรงกันอยู่ มันก็จำเป็น

เราจะต้องเป็นผู้ว่านอน สอนง่ายๆ แม้แต่ภาษาคารมอะไร ก็ยิ่งดื้อด้าน ตอบโต้กันอยู่ แก้ไขก็ไม่แก้ไข ปรับปรุงก็ไม่ปรับปรุง มีอีกอย่างก็คือ แรงก็ไม่ได้ เบาก็ไม่ได้ ก็ปล่อยกันเท่านั้นเอง ตัดขาดกันเท่านั้นเอง ก็ไม่ดูไม่แล ไม่สอน ไม่อะไรกัน ก็ทิ้งขว้างกันอยู่ คาหูคาตาอย่างงั้นแหละน่ะ ก็พยายามให้รู้ว่า เราเอง ต้องเป็นผู้ที่ปรับปรุง อย่าเป็นคนดื้อด้าน เป็นคนว่านอน สอนง่าย

เรื่องวาจา หรือเรื่องกายกรรม ก็ควรจะให้มีการเก็บไม้เก็บมือ สำรวมการเดิน สำรวมการนั่ง การไป การมา คล่องแคล่ว เป็นการมีอิริยาบถที่คล่องแคล่ว แต่เรียบร้อย มีท่าทีคล่องแคล่ว , ไม่ใช่เฉื่อยชาช้า แล้วเฉื่อยชา และเฉื่อยไม่ใช่, ช้า สุขุม อ่อนโยน เบิกบาน หยุด ก็หยุดกัน ถ้าทำก็ทำ ก็อ่อนโยน สุขุม ที่จริงน่ะ คล่องแคล่วนะ ช้า สุขุม อ่อนโยน คล่องแคล่วน่ะ แล้วก็หยุดก็หยุด ช้า สุขุม อ่อนโยน คล่องแคล่ว หยุด ถ้าคำว่า เบิกบานเฉยๆ มันก็เบิกบาน มันก็เป็นเรื่องที่เจริญอยู่แล้ว ไม่ใช่เคร่งเครียดน่ะ ก็คล่องแคล่ว แต่ใช้คำว่า ช้า สุขุม อ่อนโยน คล่องแคล่ว แต่ว่าก็สุขุม เรียบร้อย งดงาม ไม่ใช่เฉื่อยช้า ไม่ใช่ว่าเร็ว ก็เร็วอย่างลุกลี้ลุกลน เร็วอย่างหลุกหลิกๆ อะไร ก็ไม่ใช่ พวกนี้ต้องหัดต้องฝึกขึ้นมานี่นะ เราถึงจะได้สภาพที่ดีที่สุดน่ะ อาการที่มันยังไม่ได้คล่องแคล่ว เราจำเป็นจะต้องช้า จำเป็นจะต้องสังวรสำรวม อย่างเด่นชัดอยู่ ก็สังวรสำรวมเด่นชัด ดังที่ได้คือ ความสำรวมสังวรอยู่นั้น เป็นสภาพที่น่าศรัทธาเลื่อมใส แม้จะเป็นผู้บรรลุแล้ว เป็นผู้ที่ได้กระทำได้ จะทำเร็วก็ทำได้ จะไม่ต้องมีท่า แห่งการสำรวมสังวร เพราะเป็นอัตโนมัติแล้ว เราจะทำยังไงก็ได้ ก็ตาม ก็ควรจะมีรูปแบบ มีทีท่าที่เห็นว่า สำรวมสังวรให้แก่ผู้อื่น มันเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ไม่ใช่ว่า โอ๊! คนนี้ยังทำท่า ไม่เป็นธรรมชาติเลย ยังเป็นท่าเก๊กๆอยู่ ยังเป็นท่าทำทีอยู่เลย ไม่เป็นธรรมชาติ อย่าไปเอาๆๆ ภาระ อย่าไปสะท้อนสะเทิ้น กับไอ้คำประชดประชัน ของคนพวกนั้น คนพวกนั้นเขาว่ากันมาก ว่าโอ๊ย! ทำท่าเก๊ก แหม! ทำเป็นสำรวมสังวร มันไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นไรน่ะ เพราะว่าธรรมชาตินี้ ต้องการครู ต้องการแบบสอน ต้องการผู้เป็นแบบอย่าง ผู้ที่ทำได้คล่องแคล่วแล้ว เขาจะตำหนิว่า เราทำไม่ได้นั้น เราย่อมรู้ในหัวใจ แม้เราจะทำท่าสำรวมสังวร ทีท่าที่อยู่ในแบบฝึกหัด อยู่ในท่าอย่างโง้น อย่างงี้ที่ดี เราจะปละปล่อยละเลย โดยหลีกกาย หรือว่า ไม่ต้องสำรวมสังวร เราก็วางได้แล้ว ก็ตาม ผู้ที่มีปัญญาย่อมรู้ว่า เราวางจริง ใจเราก็วางได้ แล้วเราจะเป็นแบบอย่าง แม้จะเป็นแบบอย่าง อย่างเด็กๆ หัดเดิน ทำท่าเดิน ทำอะไรต่ออะไร หัดเขียน ก.ไก่ อย่างเด็กๆ เราก็ทำให้เขาได้ มันเป็นการเอื้อเฟื้อ มันเป็นการเมตตา เกื้อกูล ต่างหาก

คนที่เขาทำไม่ได้ เขาอยากจะให้เราไปเป็นอย่างเขา เขามาสำรวมสังวรกับเรา ไม่ได้หรอก เขาก็เลยแกล้งประชดประชันว่า เอ๊อ! ทำท่าเก๊กๆ อย่างงี้ มันไม่ธรรมชาติ มันเป็นคำแดกดัน ประชดประชัน ของคนที่เขาทำไม่ได้ต่างหาก อย่าไปถือสา อย่าไปเอาเรื่องเอาราว อะไรกับเขา เขาจะว่าเรา เราก็จะต้องไม่บ้าจี้ เราจะมีท่าทีที่ดี เราจะมีความสำรวมสังวร ที่เป็นแบบอย่างกันอยู่ แล้วน่าเอ็นดู สอดคล้องกันไปหมดแล้ว มันจะดูงามมากทีเดียว ไอ้คำว่างามนี้ ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นกาม แต่เป็นงามด้วยแบบ ด้วยรูปแบบ ด้วยสิ่งที่กำหนดที่เป็นคุณค่า อยู่ในสภาพยัญพิธี อยู่ในสภาพมีวิธี มีรูปทรง มีสิ่งที่มันเป็นแบบ เป็นพิมพ์ เป็นตัวอย่างอันถูกต้องน่ะ

ถ้าเข้าใจลึกซึ้งแล้ว เราไม่ปล่อยปละละเลย ในท่าทีที่ดี ที่เคยได้เคยเป็นเคยมี แล้วเราพยายามปรับขึ้น เราจะได้ทั้งละเอียดนอก ละเอียดใน แล้วเราจะเป็นคน ที่มีประโยชน์คุณค่า คนก็เป็นประโยชน์คุณค่าสมบูรณ์ขึ้น ผู้อื่นก็ได้รับประโยชน์คุณค่า ทับทวีขึ้นเรื่อยๆ ไป ตราบนิรันดร์.

สาธุ

*****