ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๓๑) ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ |
ได้แนะนำให้เราได้เป็นผู้ที่ มีความเบิกบาน มีความสุขุม มีความอ่อนโยน มีความคล่องแคล่วให้ได้ ความเบิกบาน เป็นญาณแรกของผู้ฉลาด ที่จะต้องรู้ตัว ทั่วพร้อมเสมอ อย่าให้อะไรมาหม่นหมองในจิต จิตใจของเรา มีอะไรมาทำให้เราเศร้าหมอง นั่นเราถือว่า เป็นกิเลสทุกอย่าง เราสลัดจิตใจให้ผ่องแผ้ว เมื่อจิตสะอาด ผ่องแผ้วแล้ว แล้วเราก็พยายามพิจารณา จิตของเราจะแยบคาย จะมองเห็นความสุขุม เราจะเกิดความสุขุม ประณีตขึ้น เราจะมีปัญญาแทรกซ้อน รู้ความหยาบ เห็นความหยาบ เห็นความละเอียด ที่ละเอียดยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น แม้บางคน ยังมีความหยาบต่ำ ความรุนแรงวู่วาม ซึ่งเป็นของไม่สุขุม ของผู้ที่ประเสริฐ มันก็จะทำให้เรา เกิดการเลื่อนฐานะ พยายามศึกษาอบรมพิจารณา มีธรรมวิจัยเสมอๆ การวิจัยเข้าไปเรื่อยๆ ด้วยความแจ่มใส ทำจิตให้เบิกบาน ถ้าสรุปความแล้วก็คือ เราต้องทำจิตให้เป็นฌาน ทำจิตให้ไม่มีนิวรณ์ แม้แต่ละเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนิวรณ์ กาม พยาบาท หรือ ถีนมิทธะ หรือ อุทธัจจกุกกุจจะ ที่วุ่นวายลำบาก ไม่ต้องมีอะไรสับสน จิตสะอาดโปร่ง เป็นฌานอย่างนั้น เห็นในสิ่งรู้ให้จริงว่า ลักษณะจิตเป็นฌาน หรือจิตไม่มีนิวรณ์ แม้แต่ปัจจุบันธรรม ในขณะทุกขณะ เมื่อใดก็ตาม รู้ให้ได้ เห็นให้ได้ ยืน เดิน นั่ง นอนอยู่ เราก็มีจิตเป็นฌาน ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ในฌานทั้ง ๔ แล้วเราก็ใจธรรม ต่อสัมผัสต่างๆ จะทำให้เรารู้กายกรรมแยบคายขึ้น วจีกรรมแยบคายขึ้น มโนกรรมแยบคายขึ้น จะรู้ทั้งวัตถุ จะรู้ทั้งกรรมกิริยา จะรู้ทั้งจิตใจของเรา มันจะไปทั้งจิตใจ ละเอียด แยบคาย แล้วเราก็ปรับไปสู่กุศล ปรับไปสู่ความดีเสมอ ความหยาบต่ำ ก็จะดีขึ้น เราก็จะได้ปรับขึ้น ถูกปรับโดยเรา ความรุนแรง ความวู่วาม ซึ่งมันจะถูกปรับขึ้นมาทั้งหมด ขึ้นมาหาความประณีตๆ ขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ละเอียดเพิ่มเติมขึ้น เป็นความอ่อนโยน ก็จะปรับขึ้นไปอีกด้วย เป็นพฤติกรรมของมนุษย์ มนุษย์มีพฤติกรรมที่อ่อนโยน ไม่ใช่พฤติกรรม ที่แข็งกระด้าง
เพราะฉะนั้น ในการแข็งขืน ต่อต้านต่อกิเลส ต่อต้านต่อสภาพอะไร ก็แล้วแต่ มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่งของมนุษย์ ตอนแรกๆ ก็จะต้องแข็งขืนก่อน ต่อไปแล้วโน้มน้อม จากแข็งขืนแล้วเป็นโน้มน้อม เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อเราเอง ปรับคำว่า สุภาพ หรือว่า อ่อนโยนนี่ไม่ได้ เราก็จะทำให้ตัวเราเอง เป็นผู้ที่เข้ารูปเข้ารอย ที่มันดูว่า พอเหมาะพอดีไม่ได้ มันจะดูแข็งกระด้าง มันจะดูเป็นการยึดมั่นถือมั่น ดื้อดึงต่อต้าน อย่างซึ่งมนุษย์เราไม่ค่อยชอบ ในการที่จะดื้อดึง เพราะฉะนั้น ท่านที่เราจะสอดประสาน สอดประสาน เพื่อที่จะรวมร่วมบ้าง อนุโลมในที แต่เราก็ยังทรงไว้ ซึ่งความสัจจะ ให้เป็นส่วนใหญ่ ให้เป็นน้ำหนัก ที่ยึดยืนอยู่ เราจะมี
เพราะฉะนั้น ท่าทีอ่อนโยน จึงเป็นท่าทีที่ละเอียดลออ ที่เราจะศึกษาอย่างสำคัญ เพื่อปรับตนเอง เข้าเป็น ผู้ที่สุภาพอ่อนโยน ได้อย่างสำคัญ กิริยาสุภาพอ่อนโยนนั้น ไม่ใช่กิริยา ที่จะพึงเป็นได้ง่าย ว่าเราจะต้องเรียนรู้ และศึกษาเสมอ เราจึงจะปรับปรุง เข้าไปสู่สภาวะนั้นได้ เมื่อเราได้ปรับปรุงอย่างนี้แล้ว ทุกอย่าง เราก็จะชำนาญ เกิดการคล่องแคล่ว เกิดการรู้ยิ่ง แล้วก็ปรับ ในสิ่งที่ยากมาเป็นง่าย ให้ได้คล่องแคล่วว่องไว ซึ่งจะเป็นความไม่ยาก ไปในที่สุด ในการกระทำอะไรที่ไม่ยาก มันก็เป็นการสบายแล้ว สำหรับมนุษย์ เป็นการปลดปลง เป็นผู้ที่ไม่ต้องลำบาก ไม่ต้องยาก แต่เราก็เป็นผู้ที่มีปัญญารู้ ในการสร้างสรร ในการกระทำสัมพันธ์กับมนุษย์ ทั่วๆไปนะ นี้เป็นความสามารถอันยิ่ง ของการปฏิบัติธรรม ในหลักของมรรคองค์ ๘ หรือ ในการปฏิบัติธรรม ในหลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างกันกับของฤาษีเดียรถีย์ เขาจะไม่มีคำสอน เหล่านี้ เขาจะไม่ต้องฝึกเหล่านี้ เพราะเขาจะปลีกตนออกไป ออกไปอยู่เดี่ยว อยู่อย่าง ไม่ต้องยุ่ง วุ่นวายกับใคร ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับใคร ตัดปล่อยคนอื่นไปเฉย ไม่เอาเรื่องอะไรเลย อะไรๆมา ก็ตัดทิ้งๆๆ
เขาจึงไม่เป็นภาวะของศาสนา ที่เป็นพหุชนะหิตายะ หรือพหุชนะสุขายะ ไม่เป็นศาสนา ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกูลมวล หรือมนุษยชาติต่างๆ ไม่เป็นอย่างนั้นเลย เป็นการทำประโยชน์เพื่อตน เขาหนีเอาตัวรอด เพราะฉะนั้น กิริยาท่าที จึงจะต้องเกิดการคล่องแคล่ว เกิดการอ่อนโยน เกิดการสุขุม จะไม่มีน่ะ เขาจะมีลักษณะ โผงผาง ผ่าๆ แข็งๆ กระด้างๆ ตามลักษณะของสายเจโต ตามลักษณะของ ผู้ที่เข้าใจศาสนา ไปในทิศทางสายฤาษี หรือศรัทธา เป็นศรัทธานุสารี เป็นลักษณะของ ความไม่เกี่ยวข้อง กับสังคมมนุษย์ เป็นการปลีกเดี่ยว ซึ่งเป็นศาสนาอีกทิศทางหนึ่ง เราศึกษาไป เราจะเข้าใจเพิ่มขึ้น ทุกวันๆ ว่าศาสนาของพระพุทธเจ้า นี้แตกต่าง จากระบบจริงๆ ของฤาษีมาเท่าใดๆ
ทำความเข้าใจดีๆ แล้วเราก็พึงใช้กรรมฐาน ดังที่ได้เติมให้ฟังนี้ เอามาประพฤติ เอามาอบรมตน พยายาม แล้วเราจะเป็นคนที่เป็นผู้ดี ที่ท่านเรียก ในสำนวนโลกก็ตาม สำนวนธรรมก็ตาม ไม่ใช่ผู้ดีละเลียด แต่เป็นผู้ดี ที่ทำความเหมาะสมลงตัว แล้วไปในทิศทางที่ถูกต้อง ไปในทิศทางที่มักน้อยสันโดษ ไม่หลงสวรรค์ เป็นความสงบระงับ อย่างแท้จริง และเป็นผู้ขยัน วิริยารัมภะที่แท้น่ะ เป็นผู้ที่หมั่นเพียร ปรารภความเพียรอยู่เสมอ ศาสนานี้ จึงจะตู่ท้วง เหมือนอย่าง ศาสนาเดียรถีย์ฤาษีไม่ได้ นอกจากขยันแล้ว เรายังแคล่วคล่อง สร้าง ไม่ได้เกิดความลำบาก เราเมื่อยเราก็พัก เมื่อยจริงๆน่ะ สมควรที่จะพักแล้ว เราพัก ถ้าไม่เมื่อย เราทำอยู่ได้ แม้ถึงเวลาจะหลับจะนอนแล้ว แม้ไม่เมื่อย เราทำต่อไปได้อีก แต่เราเห็นแล้วว่า สมเหมาะสมควร ตามกาละเวลา เราก็พักผ่อน เราย่อมรู้โดยปฏิภาณ โดยสามัญสำนึกของเราว่า เราควรพัก ประมาณอย่างนั้น เราควรเพียร ประมาณอย่างนั้น เราได้คำนวณตนแล้วว่า เราไม่ได้ทรมานตน เราสร้างสรร แม้บางครั้ง เราเอง เรายังต้องเสียสละ มันควรพักแล้ว แต่เห็นในประโยชน์คุณค่า ที่สมควร ยังต้องเสียสละ ยกเอาอุทาหรณ์ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประชวรหนัก จวนจะสิ้นชีพดับขันธ์แล้ว ตอนก่อนจะตาย ท่านยังอุตส่าห์ อนุเคราะห์คน ไม่พักยังเพียรส่ง สุดท้ายสอนคน จนเป็นพระอรหันต์ องค์สุดท้าย ในขณะที่ ประชวรหนัก จะสิ้นพระชนม์อยู่แล้ว ดังนี้ เป็นต้น
ระลึกถึงท่านให้มากน่ะ นี่เป็นพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเหลือ ของพระพุทธเจ้า ไม่ได้เห็นแก่ตัวแก่ตน เป็นการแสดงอย่างละเอียดลออ ถึงปานนี้น่ะ เราจะต้องเป็นคนที่ ก่อประโยชน์ สร้างสรร รู้ความจริงเหล่านี้น่ะ กตัญญูกตเวที อย่าขบถต่อระบบของ พระพุทธเจ้า อย่าขบถต่ออกุศล ของพระพุทธเจ้า ท่านทรงกุศลอย่างไร เราก็พยายามที่จะทรง พยายามที่จะให้ตั้งไว้ พยายามที่จะให้มีกุศลอย่างนั้น อย่างที่พระพุทธเจ้า มีมาแล้ว เราเดินตามรอย พระยุคลบาทให้จริง มันยังไม่ได้มาก ทีเดียวหรอก แต่เรา ก็จะต้องเพียร จะต้องเป็น แล้วเราจะได้เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก แม้แต่กรรมฐาน ที่ว่านี้ เราจะเป็นผู้เบิกบาน จะเป็นผู้สุขุม จะเป็นผู้อ่อนโยน และจะเป็น ผู้คล่องแคล่ว ไม่เป็นทุกข์ได้ ในที่สุด และเราก็เป็นผู้ที่มีคุณค่าในสังคม พร้อมกันนั้น เราก็พ้นทุกข์ หรือเป็นผู้ที่มี ปรมัง สุขัง ได้อย่างแน่นอน.
สาธุ
*****