ธรรมปัจเวกขณ์ (๑๓๓)
๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๕

ได้กำชับกำชากัน ย้ำกันหนัก ในขณะนี้ ถึงเรื่องที่จะต้องเอาจริงเอาจัง ในการที่จะสังเกต กายกรรม วจีกรรม โดยเฉพาะ มโนกรรมของเรา ให้มันละเอียดแยบคาย สุขุมประณีตขึ้น การสูงขึ้นของภูมิมนุษย์ นั้นก็คือ จิตละเอียดขึ้น ปัญญาแยบคายขึ้น มีความฉลาดหลักแหลมขึ้น เห็นสิ่งที่มันละเอียด ที่จับไม่ติดนั้นได้ สามารถรู้ยิ่งๆ คนที่ภูมิตื้น ปัญญาตื้น ความหยาบยังมีเยอะ จะจับความละเอียด ของความจริงไม่ได้ นั้นหนึ่ง อีกมุมหนึ่งก็คือ จับเหลี่ยมของความจริงได้ แต่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ จับมุมเหลี่ยมมุมอะไร สับสน วนเวียน ไปหมด เพราะยึดต้นยึดปลายไม่แม่น แล้วมันก็สับสนปนเปกันไป บางคน สายปัญญานี้ ไปหลงความหลากหลาย ไปหลงความคิด ที่มีเหตุ มีผลอะไรมากๆ เป็นสำคัญ จนลืมเป้า ลืมจุดสำคัญ ลืมเนื้อหาแก่นสาร คือสภาพที่จะหยุด สภาพที่จะวาง สภาพที่จะปลงว่างลงไป ส่วนคนที่มีปัญญาไม่มาก เป็นพวกสายเจโต สายศรัทธา ก็จะไปหลงจุดเป้า ไปหลงจุดวาง จุดปล่อย จุดยืน จุดหยุด เพราะมัน สบายดี แล้วก็ไม่ศรัทธา ในเรื่องเหตุผล ในเรื่องปัญญา ในเรื่องข้อคิด ในเรื่องอะไรๆ ที่มันมีมากมาย ซับซ้อน ก็เลยทิ้งเรื่อย ปัญญาก็เลยไม่แตกฉาน แต่จะเก่งหยุดๆๆ ส่วนพวกปัญญาแตกฉาน ก็ไปหลงแตกฉาน เห็นแตกฉานเป็นค่า เสร็จแล้วหยุดไม่ได้ พักไม่ได้ สงบไม่ได้น่ะ

ความมีผล แล้วก็ความไม่เจริญบริบูรณ์ ๒ ส่วน ก็เป็นอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญา ก็ต้องพยายามมาเห็นความหยุด ความปล่อย ความวาง ความไม่ยึดมั่น ถือมั่น ความไม่เอาเป็นเอาตาย ไม่เอาตัวเอาตน เข้าไปมีเหลี่ยมมีคู ว่าเป็นข้า เป็นฉัน จะต้องไม่เสียเหลี่ยม จะต้องเป็นคนถูก จะต้องเป็นคนชนะ เขาจะว่า เขาจะหาเหตุผล เขาจะอย่างโง้นอย่างงี้ เกินการไม่ได้ เราจะไม่ไปคิดอะไรมากมาย หัดหยุด หัดวาง หัดสงบ ให้ได้จริงๆ สำหรับพวกที่สายปัญญา ที่หลงปัญญา จะต้องไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่แตกเรื่องมุม อย่างโง้นอย่างงี้ ออกไป ให้มันวุ่นวาย ให้มันไม่รู้จักหยุดอยู่ สักหนึ่ง เราแน่ใจแล้ว ว่าดี ว่าพอ ก็เอาละ เขาเข้าใจไม่ได้ เขาเข้าใจไม่พอ เราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไป ขวนขวายอะไรเกินการ มันความโง่ มันอยู่ที่ของคนโง่ เขาไม่ฉลาดเอง เขาก็ได้แค่นั้นน่ะ ถ้าเราเอง เราหยุดเสียบ้าง เราก็จะได้ไม่ต้องเดือดร้อน เราก็จะได้สร้างความสงบ ขึ้นในสังคมบ้าง ส่วนพวกสายเจโต ได้เอาแต่หยุดๆๆๆ แล้วก็พูดไม่รู้เรื่อง บำรุงไม่ขึ้น มีประโยชน์แก่หมู่ฝูงก็ไม่ค่อยได้ เพราะว่า มันทำอะไรก็ไม่ค่อยได้ ทำอะไรกับเขา อะไรใครๆ ก็ไม่ค่อยจะเป็น ไม่ค่อยจะถนัด ไม่ค่อยจะชาญฉลาด แต่กระนั้นก็ดี ถ้ามีเรี่ยวมีแรง มีฝีมือ ให้มีผู้นำ แล้วก็มีฝีมือ แล้วก็เป็นผู้ที่ตามไป พวกนี้ไม่ต้อง ถ้าไม่มีมานะ ก็ไม่มีเหลี่ยมไม่มีคูอะไรมากมาย ก็ทำตามได้ง่ายๆ ยิ่งศรัทธาผู้ที่เขามีปัญญา และมีการหยุด มีการระงับได้ เป็นผู้ที่มีภูมิเหนือกว่า พวกสายเจโตนี่ จะอยู่กับพวก มีปัญญานี่ไปง่าย ถ้ามีมานะเสียอย่าง ก็ยากเท่านั้น ถ้าไม่มีมานะแล้วง่าย และเป็นมวล อันดี

ส่วนสายปัญญานั้น ก็จะพยายามที่จะหลง พยายามที่จะรู้ว่า มันหลากหลาย มันมาก มันอลังการ มันยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น สายปัญญา ส่วนมากนี่ ก็มักจะชอบ จะเป็นเจ้า เป็นนาย เป็นหัวหน้า และก็มีเหลี่ยมมุมที่ยอกย้อน สามารถตลบล้มความต่อสู้ ล้มเหตุผล ล้มอะไรต่ออะไร ต่อผู้ที่เขาไม่มีปัญญาเทียมทันได้น่ะ เพราะฉะนั้น ก็จะตีกินไปได้เสมอๆ ขอให้เราสังวรระวัง ในเรื่องนี้เหล่านี้มาก เราติดยึด แม้จะติดยึดความหยุดเกินไป ก็ไม่ใช่ความสมบูรณ์ เราติดยึดปัญญา ติดยึดความหลากหลาย ของเหตุ ของผล ของความที่มีเหลี่ยมมุม อะไรมากมายน่ะ แตกฉานอะไรต่างๆนานา เกินไปนัก ก็ไม่สมบูรณ์ ขอให้เราระมัดระวัง แล้วก็รู้จักเขต ความตัดสินลงไป สักทีหนึ่ง การคิดการนึก มากไป เพื่อไปยึดมั่นอะไร มากไป ก็หยุดเสียบ้าง หรือว่า การที่จะเอาแต่หยุด หยุดๆ ก็พยายามที่จะสร้างปัญญา พยายามที่จะขวนขวาย พยายามที่จะเข้ากับสังคมเขา กับหมู่กลุ่ม เพื่อที่จะรู้โลก เพื่อที่จะรู้อะไรๆ ที่มันชาญฉลาด หรือว่ามี ความสามารถ ความรู้ ความเข้าใจกันได้ ความสร้างสรร อะไรได้ขึ้นมาบ้างนะ

เรื่องของความแยบคาย ในจุดที่เราไม่รู้ว่า เราหยุดมากไป หรือแม้แต่ในจุดที่เราเอง เราไม่รู้ตัวว่า เราเอง เราหลงปัญญา ก็ดี เราก็จะต้องทำความแยบคาย ทำความลึกซึ้ง ดูตน ตรวจตน อ่านตน แล้วตัดสิน แล้วก็กระทำให้มันดี เราจึงจะเจริญ เป็นฐานที่จะซ้อนขึ้น ด้วยความจริง ถ้าเราทำไม่ได้แล้ว ฐานเหล่านั้น ซ้อนขึ้นไม่ได้ เราจะสมมุติเอาว่า เรายิ่งเราใหญ่ไม่ได้ มันจะเป็นแต่เพียงความคิด ก็เป็นความเพ้อฝัน หรือเป็นตรรกกะ อยู่อย่างนั้น ส่วนความเป็นได้นั้นน่ะ บางทีเราเอง เราก็ไม่รู้ สายปัญญานี้ มันไม่รู้ว่า เป็นได้ยังไง หรือผู้ที่เป็นได้ ผู้ที่หยุดได้ แล้วก็ไปหลงหยุดได้นี่ แล้วก็ไม่รู้ว่า ปัญญาเขาเป็นยังไง ก็จะต้องพยายาม แยบคายรู้ว่า เมื่อมันหยุดได้ ก็ให้เข้าใจเสียบ้างว่า หยุดได้ ทำยังไงก็หยุดได้ จะหยุดน่ะ มันง่าย เพราะว่าเราเอง เราเป็นฐานหยุดเสียด้วย

จึงต้องขยันหมั่นเพียร ขวนขวายศึกษา พากเพียร เพื่อที่จะให้เราเกิดทั้ง สมรรถภาพ ในการสร้างสรร ด้วยกรรมกิริยา กาย วจี ทั้งตัวเราเอง ก็จะได้เกิดปัญญา ในทางจิต เกิดการรู้เหตุ รู้ผล กว้างขวางอะไรขึ้นไปอีก แล้วอย่าเผลอตัว และ เมื่อไปได้ปัญญา และไอ้สิ่งที่เราไม่เคยได้นี่ ขี้มักหลงเห่อ ขี้มักหลงใหล เมื่อเราหลงเห่อ หรือหลงใหลเสียแล้ว เราก็จะไปติดปัญญา จนเอาปัญญามาเข้าใช้ ไม่ถูกเรื่องอีก เบลอๆ พร่าๆ สับสนอีก เพราะฉะนั้น สายเจโต ก็ขี้มักจะสับสน ไม่ค่อยแม่นนัก

ส่วนสายปัญญาก็แม่นดี แต่ทำเจโต เข้าไปถูกตัวสภาวะของเจโต หรือของจิต หรือ ของความละเอียด จิตวิญญาณ ไม่ค่อยได้ ความแยบคาย ที่พูดเทียบเคียงกัน แล้วก็พูดวนไปวนมา อย่างนี้ ได้แต่แนะนำ แต่ขอให้เรารู้ตัวว่า เรามากอะไร เราขาดอะไร ถ้าเรามากอะไร เราก็พึงพักอันนั้น ตามหลักเศรษฐศาสตร์ แล้วก็เพิ่ม สิ่งที่มันขาด ให้แก่ตนเอง อันที่มากก็พัก อันที่ขาดก็เพิ่ม เราจึงจะเกิดสมดุลขึ้นในตัว แล้วจะเกิด อุภโตภาควิมุติ แล้วเราจะเป็นคนสมบูรณ์ ทั้ง ๒ ด้าน ทั้ง ๒ ส่วน เราจึงจะเป็น คุณค่า จึงจะเป็นประโยชน์ ทั้งตนและท่าน ได้ทั้ง ๒ ทิศ ๒ ทาง ทั้งตัวเราและตัวเขา อุภโต นี่ แปลว่า ๒ ทาง ๒ ส่วน ๒ มุม ๒ เหลี่ยม ๒ อย่าง ไปเสมอๆ อยู่กับความสมดุล อันนี้เรียกว่า โลกจะต้องมี ๒ อย่าง

ส่วนวิมุตินั้น เป็นหนึ่งนั้นน่ะ มันเป็นภาษาตาย การวิมุติ หรือการหลุดพ้น การว่าง การหยุดนั้น ปลดปล่อยเอง ใครรู้ตัวนี้แล้ว ก็อาศัยตัวนี้ได้ และเราจะได้อาศัยตัวนี้ เห็นอานิสงส์ของมัน เราจะหยุดเมื่อไหร่ก็หยุดได้ ไม่ว่าสายปัญญา ไม่ว่าสายเจโต หยุดได้ และเราก็จะต้องมี การสมควร สายปัญญา ก็ไม่หลงเฟ้อ ในปัญญาที่ไม่รู้จักหยุด ไม่รู้จักหย่อน จะรู้เหน็ดรู้เหนื่อยด้วยซ้ำ เพราะอัตตาตัวตน มันหมดได้ แม้เราจะรู้อยู่ว่าถูก แม้เราจะรู้อยู่ว่า มันมีอะไรหลากหลาย แต่เราก็รู้ขีดรู้ขั้น อันนี้แค่นี้ก็ควรพอ อันนี้แค่นี้ ก็ควรพอ สายปัญญาก็จะรู้เขตหยุด จึงจะเป็นคนจบลง จบเป็น ส่วนสายเจโตนั้น ก็จะรู้ว่า นี่ควรจะเพิ่มขึ้น ควรจะต่อไป ควรจะทำอะไรต่ออะไร ให้ดีขึ้น คนที่เจโตที่หยุดเป็น ก็ควรรู้ความเกิด แล้วก็ควรจะเกิด ต่อๆไปให้ ไม่ใช่เกิดเพื่อตนน่ะ เกิดเพื่อผู้อื่น เมื่อเกิดเพื่อผู้อื่นแล้ว มันจะหยุดไม่ยากหรอก คนที่หยุดเป็นแล้ว

ส่วนสายปัญญานั้น มีแต่เพื่อเขา สายมหายาน มีแต่เพื่อเขา แล้วตนหยุดไม่เป็น ตายเปล่า วกวน สับสน และ เลอะเทอะ เสร็จแล้วก็เปื้อน ไม่เข้าเรื่อง ไม่เข้าทางน่ะ เพราะฉะนั้น เราจะต้องพยายามจับเป้าให้แม่น แล้วก็ทำการประมาณ สายเจโต ก็ประมาณ และก็พยายามทวี ในการที่จะสร้างบทบาท หรือทำอะไร ต่ออะไรขึ้นแก่ ประโยชน์ท่าน เพราะว่า สายเจโตหยุดเป็น หยุดได้ ก็รู้ว่าจิตหยุดเป็น ส่วนสายปัญญานั้น หยุดไม่เป็น ก็ต้องพยายามหยุดให้ได้ หยุดให้ได้ เพราะว่า การจะคิดนั้น มันไม่ยาก เพราะเราถนัด เราเป็นสายปัญญาอยู่ จะคิดอีกเมื่อไหร่ ไม่ต้องกลัวว่า เราจะตกหล่นความคิด ความคิดมันเป็นแกนของเราอยู่แล้ว มันเป็นไปได้ทันที ถ้าเรารู้จักการกระทำ ให้มันสมดุลขึ้นมา ทั้งส่วนที่ขาดของเรา และ ก็ส่วนที่เกินไป เราก็รู้จักหยุดบ้าง เราจึงจะเป็นบุคคลที่มี สัมมาปฏิปทา หรือเป็นคนที่รู้จัก การประมาณ มีชีวิต ทำอะไรต่ออะไร อย่างสมดุล อยู่อย่างสมบูรณ์ เราก็จะได้ประโยชน์ทั้ง ๒ ส่วน โดยนัยที่ได้อธิบาย ดูเหมือนมันวนๆ แต่มันเรื่องละเอียด มันแยบคาย ถ้าเข้าใจดีแล้ว และก็พึงทำความแยบคายนี้ แล้วสั่งสมบุญ ที่ให้เพิ่มภูมิ เพิ่มเพดานบินนี้ ให้แก่ตนเอง ทุกๆคน เทอญ.

สาธุ

*****