ธรรมปัจเวกขณ์ (๘๑) ๔ มกราคม ๒๕๒๕ |
เราได้ศึกษา มีรูปแบบมีพิธีการบ้าง มีการกระทำเป็นเรื่องเป็นราว เป็นกิจอะไรต่างๆ นานา ล้วนแล้วแต่เราจะต้องสร้างต้องทำ อันใดมากไป เราก็แปรกลับ พยายามปรับปรุงเข้ามาให้มันน้อย ให้มันลงตัวให้มันพอดี อะไรที่มันเป็นประโยชน์น้อยไป เราก็พยายามปรับขึ้น ให้มันมาอยู่ในส่วนสัดที่ได้คุณได้ค่า ได้คุณได้ค่าสูงส่ง
แม้แต่รูปแบบ ในการกิน การอยู่ การหลับ การนอน เราก็มาสร้างรูปแบบ เราก็มาสร้างพิธีการ เพื่อที่จะเป็นหลักยืนหยัดยืนยัน ให้คนได้ทำไปอย่างนี้แหละ จะเกิดอานิสงส์ จะเกิดประโยชน์เกิดผลดี เพราะฉะนั้น รูปแบบ เวลาจะไปจะมา จะยืนจะเดิน จะนอนจะนั่ง จะทำกิจทำการทำงานอะไร ในวันหนึ่ง เป็นกิจวัตรเป็นการกระทำ แม้แต่เราที่มานั่ง ก่อนจะกินข้าว เราปัจเวกขณ์ ไม่ใช่แต่พระ แม้แต่ฆราวาสก็ควรจะปัจเวกขณ์ ควรจะตั้งใจ ก่อนจะกิน ตั้งอกตั้งใจ เราจะกิน กินเพื่ออะไร เราจะกินเล่นกินหัว กินเพื่อเอร็ดอร่อย หรือกินอย่างที่เรียกว่า ระเริงอารมณ์ โดยไม่มีสติสัมปชัญญะ ของอยู่ต่อหน้า มันมอมเมาเรา เราเลยกลายเป็นผลีผลามตะกรุมตะกราม อย่างนั้น เราก็เสียท่าหมด เพราะฉะนั้น แม้การกิน เราก็จะต้องมีการพิจารณา ตั้งหลักดีๆ ตั้งอกตั้งใจ ตั้งอกตั้งใจ นี่ก็คือ อธิษฐาน ตั้งใจนะ จะกินนี่ อย่าพ่ายแพ้ต่อกิเลส เราจะต้อง ไม่โลภโมโทสัน จะต้องรู้เท่าทันรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัสต่างๆ รู้เท่าทันจริงๆ ตั้งใจกิน ก็ได้ตัดกิเลส กินก็ได้พยายามศึกษาพากเพียร อบรมตน เพราะว่า เราต้องกินประจำ และแม้เป็นพระอรหันต์แล้ว เราก็ยังต้องกิน จึงจะต้องตัดกิเลสให้มากๆ แม้แต่กิเลสในเรื่องกินนี่ เป็นเรื่องร้ายกาจ เป็นเรื่องที่สำคัญ เป็นเรื่องหนักหนา เราได้ปฏิบัติธรรม ด้วยการกิน ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง เขาว่า เฮ้ย! การกินการเกิน มันจะอะไร ไปนั่งหลับตาสมาธิโน่น ปฏิบัติธรรมเรื่องกินเรื่องเกินอะไร ไม่ใช่เรื่องที่จะบรรลุ นิพพงนิพพาน
อาตมาขอยืนยันว่า ปฏิบัติเรื่องกินนี่แหละ จะบรรลุนิพพาน ฝึกเข้าเถอะ เรียนรู้เข้าเถอะ แล้วเราจะรู้เหลี่ยมรู้มุมของกิเลสชัดเจน ด้วยการกินนี่แหละ มันมีกิเลสผสมผสาน อยู่เยอะแยะ ละเอียดลออแทรกซ้อนอยู่ เล่นบิดๆ เบี้ยวๆ เลี่ยงๆ หลบๆ กันอยู่ เก่งที่สุด เราจะต้องพยายามอ่าน จับให้มันได้ ไล่ให้มันทัน แต่ตัวกิเลสของเรา แล้วเราก็จะเป็นคนมีปัญญาปฏิภาณ ไปพิจารณาเรื่องอื่น เรา เหลี่ยม มุม ไอ้ตัวจิตที่เล่นกิเลสล็อกๆ เล็กๆ ที่มันหลบมันเลี่ยงอยู่นี่ ที่จิตแบบนี้ ไปอันอื่นอีก มันก็จะมีลู่ทาง แบบเดียวกันกับเจ้าล่อ เจ้าเล่นเอาเถิด อะไรอยู่ แบบเดียวกัน แม้จะเป็นปัจจัยอื่น ลักษณะ มันก็พอที่จะเกื้อหนุน อันอื่นได้อีก
เพราะฉะนั้น จงทำไอ้ที่ใกล้ตัว เกี่ยวข้องกับปากกับท้อง เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ การเป็นอยู่พวกนี้แหละ ให้จัดๆ ให้สำคัญ พร้อมกันนั้น ก็เรียนรู้กิเลสให้จริง ลดละจางคลายไปได้ จนกระทั่ง เราตั้งมั่นแล้ว เรากินอยู่ได้ง่ายๆ อยู่เหนือมันจริงๆ แล้วเราก็จะได้เป็นตัวอย่าง ให้แก่โลกเขาได้อีก ฆราวาสก็ปฏิบัติ พระก็ปฏิบัติ ใครๆก็ปฏิบัติได้
จะเห็นได้ว่า พวกเราชาวอโศก เวลาจะกิน ก็มีรูปแบบ มีพิธีติดไปเลย แม้เป็นฆราวาสก็มีรูปแบบ ในการพิจารณาก่อนกิน เราตั้งสติสัมปชัญญะ ก่อนจะเปิบข้าวเข้าปาก เราจะต้องดู อันไหนไม่สมควร อันไหนควรเลิกควรละ ควรหัดอด หัดลดดู ดูจิตดูใจ อ่านจิตอ่านใจ เราก็จะมีคุณค่า เราก็จะมีประโยชน์ นั่นแหละ คือ การปฏิบัติธรรม ปฏิบัติวิปัสสนา ปฏิบัติสิ่งที่ตนเอง จะได้เจริญประเสริฐงอกงามขึ้น เราปฏิบัติธรรมได้ทุกเมื่อ เรามีกรรมฐาน เรามีอะไรต่ออะไรต่างๆ นี่เน้นให้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องกิน เรื่องจะทำกิจทำการทำงาน หรือ การนอน การนั่ง การไป การมา ล้วนแล้วแต่ เราจะต้องดูจิตดูใจ บางที มันจะนั่ง มันก็ตามใจ มันจะเอน มันจะนอนอะไร มันก็ตามอก ตามใจกิเลส อร่อยอะไรต่างๆนานา มันก็มีลักษณะคล้ายๆกัน แต่ว่าอยู่ในอิริยาบถต่างกัน อยู่ในองค์ประกอบต่างกัน เราก็เอาไปประยุกต์ หรือ เอาไปรวมใช้กับ กิจกรรมอื่นๆ ได้อีก
เรื่องการพิจารณา รู้รอบถ้วนทั่ว รู้ตัวรู้ตนอยู่เสมอ ในทุกๆกิจกรรม ในทุกๆพฤติกรรม ในทุกๆกาละเวลา ที่เราจะต้องสัมผัสเกี่ยวข้องกับอะไรๆอยู่ เมื่อเรารู้ละเอียดลออแบบนี้ เราก็จะได้ปฏิบัติธรรม ได้ตลอดเวลา หรือได้ปฏิบัติธรรมมากโอกาส เมื่อเราปฏิบัติธรรมมากโอกาส ปฏิบัติธรรมมากเวลา เราก็มีผลสูง ได้ประโยชน์เยอะ ชีวิตเราก็ดีขึ้น ได้ง่ายได้มาก
ก็ขอให้พวกเราได้สำคัญ ในเรื่องการพิจารณา หรือ การตั้งสติสัมปชัญญะดีๆ แล้วก็กระทำให้มันเป็นการปฏิบัติธรรม ด้วยสติปัฏฐาน หรือ โพธิปักขิยธรรม ๓๗ หรือคือ มรรคองค์ ๘ นั่นเองแหละ ซึ่งได้พยายามเน้น พยายามย้ำ พยายามอธิบาย ให้ได้รู้จักการปฏิบัติได้สู่ผล สู่ภาวนา ได้ผลสำเร็จ แห่งการปฏิบัติธรรมด้วย เรื่อยๆไป เพราะฉะนั้น ก็ขอย้ำเน้น ในกาละนี้ไว้ แต่เพียงเท่านี้.
สาธุ
*****