ธรรมปัจเวกขณ์ (๘๓)
๖ มกราคม ๒๕๒๕

ในฐานะของเราเป็นนักศึกษา หรือที่เรียกกันว่า เสขบุคคล หรือบางคน จะรู้ตัวว่า ตัวเองยังไม่ได้ แม้แต่เสขะ ยังเป็นปุถุชนอยู่ก็ตาม เราก็จะศึกษาให้มาเป็น เสขบุคคล จากเสขบุคคล ก็ค่อยๆลดละลงไป จนกระทั่ง จบไป เป็นรอบๆๆๆ โสดา สกิทา อนาคา ขึ้นไปจริงๆ ซ้อนลงไป ในแต่ละฐานะ เช่น โสดา สกิทา มันก็มีรายละเอียดของมันอีก เราจะเป็นผู้ที่ละเอียดลออ ศึกษา เพ่งอ่าน ตรวจตน แล้วก็มีการเรียนรู้ต่อ ทุกๆกาลเวลา มีสติปัฏฐาน มีโพธิปักขิยธรรม พิจารณาตรวจสอบ อ่าน อย่าเหลาะแหละ เราเป็นนักศึกษาที่จริง เราได้รู้จริงว่า เราได้ศึกษาแล้ว มันได้มรรคได้ผล อย่าเผลอไผล อย่าสะเพร่า ที่ว่า เรามีจริงก็ไม่รู้จริง ได้ก็ไม่รู้ว่าได้ หรือ ไปหลงว่าไม่ได้ แล้วเราก็หลงตัวว่าได้ ต้องพิจารณาให้ออกชัดว่า มันได้คือได้ เป็นอย่างนี้นะ แต่ก่อนเทียบให้ดี มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ ตรวจสอบ อ่าน กำหนด อย่าเข้าข้างตัว อย่าหลง หลงเร็ว ผลุบผลับ แล้วก็ตัดสินอะไรต่ออะไรเร็วเกินไปนัก เอาให้ชัดแจ้ง เราจะเป็นผู้ที่รู้ลักษณะธรรม ลักษณะธรรมะที่ชัดที่เจน เราจะมีเป็นสภาพ ที่เราตัดสินได้ รู้จริง จึงจะเป็นของที่แน่นอน แล้วเราก็จะได้รู้ว่า ชีวิตอย่างนี้ น่าสงสัยหรือ? เราสบายหรือไม่สบาย เราเบาว่างง่าย เราเดินมาในทิศทางที่ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้พาเป็น แล้วก็ปลดปล่อยโลกออกมา อย่างมั่นคง เชื่อใจตนเอง เห็นจริงเห็นจัง หมดสงสัย สิ้นวิจิกิจฉา หมดความสงสัย เห็นชัด เห็นเด่น ว่ามันเป็น เอ้อ! อย่างนี้แหละหนา มนุษย์โลกุตระกับโลกียะ มันอย่างนี้ จริงๆ มันแน่นอน แม้เราได้แค่โสดาบัน แม้เราได้สกิทาคามี ลดโลกธรรมลงได้พอสมควร ลดกาม ลดรูป-รส-กลิ่น-เสียง-สัมผัส ลงไปพอสมควร หรือ ยิ่งมากๆขึ้น เข้าฐานอนาคามี เราสบายแล้ว ได้เรื่องลาภยศ จริงจริ๊ง เราไม่มีปัญหาอะไร รายได้รายจ่าย รายได้ไม่ต้องสะสม ไม่ต้องกอบโกยอะไร มีชีวิตยังอยู่อย่างหมุนเวียน ด้วยระบบที่เราเป็น เราไปอยู่นี้ เราเข้าใจมั่นคง เชื่อมั่นว่า มันไม่มีตาย มันทรงชีวิตได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มคนสาว คนแก่คนเฒ่า คนเด็กอะไร เห็นให้ชัดเจนว่า ระบบของพระพุทธเจ้า เป็นไปได้จริงหรือไม่ เขาไม่เชื่อหรอกข้างนอก เขาเชื่อยาก เพราะเขาไม่ได้พิสูจน์กันมา เราพิสูจน์ ทั้งฆราวาส ทั้งนักบวช จะเห็นเด่น ชัดเจน

แม้แต่เนื้อในของพวกเรานี่ ต้องพยายาม เป็นสังคมลำลองขึ้นมา แล้วเอื้อเฟื้อเกื้อกูลดูแลกัน พระพุทธเจ้าท่านเคยบริภาษ พระที่ไม่ดูแล การเจ็บการป่วยของนักบวชด้วยกัน ท่านบริภาษอย่างหนักว่า เราออกมาแล้ว ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ญาติปริวัตตัง ปหายะ ออกมาแล้ว เราไม่ช่วยดูแลกัน ใครจะช่วยดูแล จุดนี้ อยากจะใคร่ขอพวกเรา ให้ได้ช่วยดูแลกันไป จนกระทั่งถึงว่า บางคน อยู่ในรูปที่เรายังทำไม่ได้ เช่น มาอยู่เป็นอาคันตุกะ มาอยู่เป็นอารามิกะ อารามิกา อะไรพวกนี้ ซึ่งพฤติกรรมประจำวัน เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี แม้เรายังไม่ได้รูปเป็นนักบวช แต่ก็เป็นผู้ที่อยู่ในสังคมของเรา เหมือนกับปลดปล่อย ญาติ ปริวัตตัง ออกมาอยู่ในขั้น ปหายะได้ บางคนอยู่ในขั้นที่เราตัดปล่อยแล้ว เรื่องญาติโก โยติกา เรามาเป็นญาติธรรมกันแท้ อยู่ในวงพี่น้อง ของทางนี้กันจริงๆ อยู่ในสายของศาสนา

ก็ขอให้ช่วยดูแล ช่วยสอดส่อง อย่าใจดำ เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกัน ให้อยู่ในสังคมนี้ มันต้องมี มันต้องดูแลเกื้อกูลกัน คนที่จะป่วย เจ็บป่วย หรือว่าเรี่ยวแรงลดถอย โดยสัจธรรม แก่ลงไปทรุดโทรมลงไปแล้ว หรือแม้แต่ดูแลเด็กที่เข้ามา บางคน เด็กที่มันยังไม่เท่าไหร่ เพราะว่าไม่ได้รับเป็นอารามิกะ อารามิกา เป็นคนวัด อะไรมากมาย ก็ช่วยอบรมสั่งสอน ดูแลเขาบ้าง อันนี้มันจะเป็นวงสังคมที่มีภาระ หรือ มีงานเป็นสัมมากัมมันตะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น ในฐานะของฆราวาส ก็ดูแลมากขึ้น สอดส่องมากขึ้น เอาภาระมากขึ้น สำหรับส่วนของฆราวาสด้วยกัน ส่วนพระก็จะเป็นผู้ที่จะสอน พวกผู้ที่จะเข้ามาปฏิบัติ ประพฤติเข้มข้น เข้ามาหาการเป็นนักบวชนี่ รับผิดชอบพวกนี้มาก

ผู้ที่อยู่ในทะเบียน ก็รับผิดชอบมากหน่อย ผู้ที่นอกทะเบียนออกไป ก็บางจางไปหน่อย เลื่อนไหลไป ส่วนฆราวาสด้วยกันเอง ก็ต้องรู้ฐานะ ที่จะต้องกอบกู้ ช่วยเหลือกัน เพราะฉะนั้น แม้แต่ฆราวาส ที่อยู่ภายนอกเลย เขามาอุดหนุน ช่วยเหลือพวกเราอยู่ ก็เข้าใจเขาให้ได้ บางที เขามีเจตนาดี อย่าพึงรังเกียจรังงอนอะไรเขานัก ไอ้การที่จะไม่รับจากเขา ให้มากนั้นมันดี แต่บางที ก็อย่าทำให้เสียน้ำใจกันเกินการ ครอบครัวเราใหญ่ขึ้น สังคมเราใหญ่ขึ้น จะต้องมีการบันยะบันยัง ต้องดูท่าที กิริยามารยาท ทำอะไร ให้ดูไม่แตกหักแตกร้าว พออุ้มชูกัน พอเป็นไป ขอให้สอดส่อง ขอให้ได้พอเข้าใจ ถ้าวงแคบๆน้อยๆ ส่วนเขาจะอุ้ม เขาจะช่วยเหลือเรา มีมาก มันไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก

ทีนี้เรามากขึ้น เราก็จะต้องมีส่วนที่มีคนจะช่วยเหลือ โอบอุ้มมากขึ้น ไม่ใช่เราง้องอน แต่ว่าเราต้องทำให้สมส่วน สุภาพเรียบร้อย เป็นไปสอดคล้องกันดี ไม่ใช่อนุโลมกันจนเกินการ แต่จัดสรรกิริยามารยาท จัดสรรสิ่งที่พอจะให้สุภาพ เรียบร้อย ให้ดีงาม ทำให้สมส่วน แล้วมันจะเกื้อกูล สอดร้อย เราจะพิสูจน์ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า พิสูจน์ระบบ ซึ่งทุกวันนี้ ก็น่าฉงนสนเท่ห์ น่าทึ่ง ยิ่งเราเปิดออกไป อาตมาออกไปบรรยาย คณะเศรษฐศาสตร์ ไปบรรยายกับ ผู้กลุ่ม ที่เขาจะใช้วิธีการสัมพันธ์อยู่ ด้วยระบบแบบโลกๆเขา พอเราเสนอ ระบบของทานพวกเราออกไป เขาบอกว่า มันมองไม่เห็นทาง เขาเชื่อไม่ได้ว่า จะเป็นไปได้ มันเป็นเรื่องดี ความคิดดี แต่เป็นไปไม่ได้ เราเห็นใจเขานะ

อาตมาบอก อาตมาพูดว่า ก็คุณอยู่ในกลุ่มของคนมีกิเลส โลภก็เต็มที่ โทสะก็ยังเต็มเขื่องอยู่ คุณจะเข้าใจว่า มันจะเป็นไปได้ คุณจะเชื่อว่า คนเหล่านั้น จะมาลดละ จะมาเป็นไปอย่างนี้ได้อย่างไร แต่ดีที่เรามีบุคคลเข้าไปยืนยัน ดีที่เรามีวัตถุเข้าไปยืนยัน เช่น เรามีหนังสือแสงสูญ มีหนังสือเศรษฐศาสตร์ ไปบ้าง เมื่อวานนี้ เขาบอกว่า จะให้บริการฟรี จะทำผลผลิตแจกฟรีได้อย่างไร เราบอก นั่นไงที่เราทำ เราไม่ได้เพิ่งทำ เราทำมานานแล้ว อย่างนี้เป็นต้น พอชี้สิ่งเหล่านี้เข้า เขาก็รู้ว่า เราสะพัดออกไป ในจำนวนที่ไม่ใช่ทำเล่น มีปริมาณพอเพียง กับบริษัทอื่นเขาทีเดียว เราทำได้

เราก็จะต้องเข้าใจและเห็น ที่หยิบขึ้นมาบอกมาพูดนี่ ให้รู้ว่าเราเอง เราอยู่ในวงสัมพันธ์ หรือ วงสร้างสรร อยู่แบบไหน อย่างไร เราก็จะได้เข้าใจว่า ที่เราทำอยู่นี้ มันเป็นหลักฐาน มันเป็นของจริง มันเป็นสิ่งที่จะยืนหยัดยืนยัน พิสูจน์ความจริง เพราะฉะนั้น คุณสร้างสรร คุณกระทำอยู่ทุกวันนี้ มันก็เป็นผล ที่จะพิสูจน์ระบบ พิสูจน์สังคม พิสูจน์การเสียสละ พิสูจน์การงาน พิสูจน์สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ พิสูจน์สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ พิสูจน์สิ่งเหล่านี้ แม้อยู่ในฐานะ พวกเราฆราวาส เราก็เรียกลำลองได้ แม้เราจะอยู่ในวัด เป็นคนวัด เป็นอารามิกะ เป็นอารามิกา เป็นสมณุทเทศ เป็นสิกขมาตุ อะไรอย่างนี้ มันมีอีกเยอะแยะ เราจะได้เข้าใจถึงระบบสังคม แล้วระบบสังคมวันนี้ จะโตใหญ่ จะเป็นกลุ่มแยกแขนงออกไป เป็นหลายๆวัด หลายๆกลุ่ม หลายๆจุด เมื่อแยกมีวัดทั่วประเทศ มันก็จะเป็นระบบอย่างนี้ จะเป็นระบบ ที่ต่อทอดไป จนกระทั่ง แม้แต่ฆราวาสที่ไปๆมาๆ เป็นอาคันตุกะสัมพันธ์ สุดท้าย ก็เป็นพุทธศาสนิกชน หรือเป็นพุทธมามกะ ที่เห็นวัดเป็นจุดรวมของสังคม เป็นบ่อที่ให้ความรู้ ทางจิตวิญญาณ ทำให้วิญญาณ ละโลภ ละโกรธ ละหลง เป็นบ่อที่จะให้ความรู้ เป็นบ่อที่จะต้องเอาคุณธรรม เอาทรัพย์ที่เป็นอริยทรัพย์ เป็นบ่อที่เขาจะต้องมา กอบโกยเอาทรัพย์อันนี้ด้วย ไม่ใช่ว่า เขาจะกอบโกยแต่วัตถุทรัพย์ทางโลก เท่านั้น เขาจะเห็นอริยทรัพย์ เป็นสิ่งสำคัญ เป็นสิ่งหนึ่งของชีวิตมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์มีแต่กาย มนุษย์ต้องมีจิตวิญญาณ ต้องมีอริยทรัพย์ มันจึงจะทำให้สังคมนี้อยู่รอด ทำให้สังคมนี้ เข้าใจถึงจิตนิยม วัตถุนิยม ให้เขาได้รับสิ่งเหล่านี้ สมส่วน

พระพุทธเจ้ายืนยันว่า จิตวิญญาณ เป็นประธานของสิ่งทั้งปวง เพราะฉะนั้น จิตนิยม หรือจิต วิญญาณ มันเป็นของสำคัญกว่าวัตถุ ฐานะของสังคม ฐานะของมวลมนุษยชาติ จึงจะอยู่ได้ เพราะมีจิตวิญญาณที่ลดความโลภ ลดความโกรธได้จริง เอื้อเฟื้อเกื้อกูล สร้างสรรจริง สังคมจึงจะอุดมสมบูรณ์ และเผื่อแผ่ ช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่เผาผลาญ อย่างที่มันเป็นอยู่ ไม่กระเบียดกระเสียน แย่งชิง อย่างที่มันเป็นอยู่ ไม่ทุกข์ร้อน อย่างที่มันเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งเราเห็นๆอยู่ เข้าใจอยู่

สังคมของเราเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่ต้องวุ่นวาย เงินคงคลังไม่ต้องเป็นกอบเป็นก้อน ไม่ใช่นักสะสมกอบโกย เราก็เป็นอยู่ได้ ด้วยสุขภาพกาย สุขภาพจิต มีแรงงาน มีสิ่งผลิต มีกิจกรรมต่อทอดออกไปจากสังคมเรา ออกไปสู่ข้างนอก เราก็ศึกษา เราก็เล่าเรียน เราก็ทำความเจริญให้แก่พวกเราเอง และพร้อมกันนั้น เราก็มีสิ่งที่จะออกไป เกื้อกูลแก่ข้างนอก

ฆราวาสที่เข้ามาในสำนักเราแล้ว ได้อุดหนุนเจือจุน ให้เราได้มีแรงงานผลิต ให้มีเงินทุนหมุนเวียน มีทาน อย่างแท้จริง มีสิ่งสนับสนุน โดยที่เราจะพิสูจน์ ถึงขนาด ทฤษฎีกำไรขาดทุน ขนาดที่เราแจกของฟรี แจกสิ่งผลิตฟรี อาตมาได้เล่าให้เขาฟังกัน ถึงขนาดว่า เราแจกหนังสือ แต่เท็ปเรายังแจกไม่ได้ เรายังมีระบบ ในการที่จะให้แลกเปลี่ยนบ้าง ในอัตราส่วนอย่างนั้น แล้วเราก็พิสูจน์ทฤษฎีว่า เรายิ่งต้นทุนลดลง เราก็จะลดราคาของ ที่จะให้ไปแลกเปลี่ยน ราคาขาย ถ้ามีคนสนับสนุน เข้ามามาก เท็ปนี้จะจำหน่าย หรือว่าจะขายให้แก่โลกเขา ในราคา แม้แต่ทุนของวัตถุดิบ ก็ลดลงไปได้ เราก็สามารถจะทำได้ อาจจะทำได้ถึงขนาดว่า เท็ปนี่จะจำหน่าย ในม้วนละ ๑๕ บาท ซึ่งที่จริงนี่ ทุนวัตถุไม่คุ้ม แต่เรามีแรงทาน มีแรงสนับสนุน เข้ามาเกื้อกูลได้จริง เราก็อาจจะให้เท็ปของเรานี่ จำหน่ายไป ในราคาอย่างนี้ได้ อย่างนี้ก็เป็นความหวัง หรือเป็นความคิด เป็นอุดมการณ์ ที่เราก็ลองพิสูจน์กันดู

ไม่ใช่ว่าเราจะไปทำ ให้เป็นกำรี้กำไร แล้วก็ทำให้เดือดร้อน ไม่มีการเสียสละที่จริง แรงงานของเรามากจริงขึ้น มีแรงงานที่จริงๆ มากขึ้น แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง มีการเสียสละจริงขึ้น เพราะฉะนั้น ทุนรอน ผู้ที่จะมีทาน มีการอุดหนุน ก็มากขึ้นได้ ระบบของพระพุทธเจ้า ที่มีทาน มีเปยยะวัชชะ มีอัตถจริยา มีสมานัตตา เหล่านี้ จะสังเคราะห์ หรือ สงเคราะห์สังคม หรือ สังคมอันสังเคราะห์ เป็นมนุษย์สงเคราะห์ เป็นสภาสงเคราะห์ อย่างแท้จริง เราจะเกิดการสงเคราะห์ สังเคราะห์ประชาชน อยู่ได้อย่างเกื้อกูล ช่วยเหลือ แม้แต่ในระบบโลก เขาก็พยายามกระทำ แต่มันไม่จริงจังได้ เพราะว่า สัจจะอันเป็นแก่นเป็นเนื้อ มันไม่จริง ตัวจิตวิญญาณมนุษย์ มันไม่สงเคราะห์กันจริง มันไม่เอื้อเฟื้อ ทานกันจริง แล้วมันไม่ทนทาน ต่อคำกล่าวติเตียน เพื่อปรับปรุง มันไม่มีอัตถจริยาที่จริง มันไม่สมานัตตาจริง มันยิ่งมีศักดินา ทุนนิยม คั่นกลาง อยู่จริงๆ

เพราะฉะนั้น มันทำอะไรมันก็ไม่จริง มันก็ได้เป็นเพียงปลีกๆ ย่อยๆ สุดท้าย ก็ไปสร้างฐานแห่งศักดินา และทุนนิยมอยู่อย่างเก่า มันก็ไม่ได้สุดยอด มันก็ไม่เป็นสิ่งที่ เป็นไปด้วยดี เราจะศึกษาให้ลึกซึ้ง และจะพิสูจน์สิ่งนี้ ให้ยืนหยัดยืนยันขึ้นมาให้จริง ถ้าประเทศไทยเรา เป็นประเทศที่มีศาสนา อันสมบูรณ์ได้จริง ประเทศอื่นๆในโลก จะต้องมาศึกษา และประเทศเรา จะเป็นมหาอำนาจ เพราะเรามีระบบการศึกษา ทางด้านศาสนา หรือ จิตวิญญาณ อันเจริญก่อนเขา

ทุกวันนี้ จริง เราพ่ายแพ้ความเจริญทางด้านวัตถุ เราไม่เก่ง แต่เราควรจะเก่งสิ่งนี้ เพราะอันนี้ เรามีเชื้อมีเค้า เรามาบำรุงอันนี้กันให้ดีจริงๆเถิด เราจะเป็นประเทศ ที่จะมีสิ่งดี ให้เขาเข้ามาพึ่งพาอาศัยได้ เราไม่ใช่เบ่ง เป็นอำนาจว่า เราจะต้องเป็นมหาอำนาจ อะไรต่างๆ แต่เราจะเป็นผู้ที่มีอะไร ให้แก่มนุษยโลก ในชาติอื่น ประเทศอื่นบ้าง แม้เราจะไม่เก่งในทางวัตถุ เราไม่เก่งในทางเทคโนโลยี่ แต่เราก็ควรจะเก่งในสิ่งนี้ เพราะสิ่งนี้ เรามีเชื้อเค้า อยู่ในประเทศจริงๆ อาตมาคิดว่า ประเทศไทยเรา จะเป็นประเทศ ที่มีศักดิ์ศรี มีเกียรติยศ ไม่ใช่ว่าเราอยากได้ แต่มันเป็นความจริง ที่เขาจะมาขอแบ่งปัน

เป็นทาง หรือเป็นสิ่งที่จะแง้มแงะ มาให้คุณฟัง มาให้คุณได้รู้ ไม่ใช่เครื่องอ่อย ไม่ใช่เครื่องล่อ ถ้าใครเข้าใจว่า นี่เป็นเครื่องอ่อยเครื่องล่อ เลิกไปเลย ถ้าใครเห็นว่า นี่เป็นเรื่องที่ประเสริฐไหม ดีไหม ถ้าจะไม่เรียกว่า เครื่องอ่อยเครื่องล่อ หรือ กระทำอันนี้ เพื่อให้คุณเป็นอย่างนั้น ถ้าคุณเป็นอย่างนั้นจริง คุณได้สนับสนุนสิ่งดีหรือสิ่งเลว คุณได้เป็นมนุษยชาติ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อประเทศ ต่อความเป็นมนุษย์เอง จริงหรือไม่จริง ตัดสินเอาเอง ไม่มีการบังคับ ไม่มีการเผด็จการทางความคิด เห็นให้แจ้ง สิ่งเหล่านี้เป็นคุณค่า อาตมามั่นใจ และ อาตมาเองยืนหยัด คนอื่นจะยืนหยัดด้วยหรือไม่ด้วย ไม่มีการบังคับ เห็นให้จริง พิสูจน์ให้จริง ใช้ปัญญาของตนเองให้ถ้วนทั่ว แล้วเราจะมาอุตสาหะ วิริยะ พากเพียร สร้างสรรระบบ สร้างสรรลัทธิ สร้างสรรศาสนา นี่แหละ โดยเราพยายามเทียบเคียง ยืนหยัดยืนยันว่า เราไม่เป็นลัทธิแก้ เราไม่ดัดแปลง ไม่ปรับปรุง แก่นสารสารัตถะของพระพุทธเจ้า แต่เราจะรู้สิ่งประยุกต์ ตามมหาประเทศ หรือ ตามกาลเทศะที่มันเป็นจริง เราก็จะทำให้มันสมส่วน เราจะเป็นทั้ง เถรวาทและมหายาน อันไม่ที่จะไปติดยึดอะไรจนเกินการ จะประสมส่วนให้ดียิ่ง แล้วเราจะทำศาสนานี้ ใช้ศาสนานี้ เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ไปให้ได้สูงสุด นานที่สุด สถิตเสถียรที่สุด เท่าที่เราจะสามารถ.

สาธุ

*****