ธรรมปัจเวกขณ์ (๘๕)
๑๓ มกราคม ๒๕๒๕

ตอนนี้พยายามย้ำยืนยันในเรื่องของ "สังคหวัตถุ" เพราะว่าจำเป็นเหลือเกิน ที่เราจะต้องพยายาม เคี่ยวเนื้อใน คือ ให้เป็นสามัคคี ให้เป็นหมู่เป็นกลุ่ม ให้สนิทเนียน เข้ากันได้แนบแน่น เข้าแก่น เป็นแก่นเป็นเนื้อ มันจะเป็นไปได้ก็เพราะ เราจะต้องรู้จักการให้ หรือการทาน หรือ การเสียสละ การปลดปล่อยออก เรียกว่า ทาน เราจะเป็นอภัยทาน วัตถุทานก็ประกอบกัน มันมาที่จิตใจ มันมาที่อภัยทาน อภัยทานคือหมดภัย เรามีแต่ให้ทางวัตถุ ทางใจ ให้ความโลภที่เรามี สละออกความโลภ สละความโกรธ สละความอาฆาตพยาบาท เรียกว่า อภัย เราต้องให้ได้ ปลงได้ เราติดเรายึดอยู่ในใจ เราข้องเราเคือง เราปฏิฆะ ก็ปล่อยวาง ให้เกลี้ยงสิ้น

นี่พูดง่ายๆ พูดอย่างสรุปเอาง่ายๆ ส่วนจะมีเหตุมีปัจจัยอะไร เราก็ต้องใช้เวลา ศึกษามามากหลายแล้ว ต้องฝึกหัด ต้องทำจริง เกิดทาน นี่แหละเป็นสูงสุด ไม่ว่าในแง่เชิงใด ว่ากันจริงแล้ว ที่สุดแห่งที่สุดแล้ว เกิดมาเป็นผู้ที่จะสร้างสรร เพื่อให้แก่โลก เพราะฉะนั้น อาการหรือกิริยา หรือคุณธรรมสูงสุด ของศาสนาทางพระเจ้า เขาบรรยาย แม้ในพุทธเราก็บรรยาย จึงเป็นสภาพของพระผู้ประทาน หรือให้ เราพูดเป็นศัพท์สูง เราก็เรียกว่า ประทาน คือผู้ให้ เป็นพระผู้ให้ เป็นพระผู้สร้างสรร ขยันเพียร กอปรก่อ และ เป็นพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ คือเป็นผู้มีจิตไม่มีความโลภ ความโกรธเลย บริสุทธิ์ผุดผ่อง สบายเบา นั่นแหละ เป็นอาการของจิตวิญญาณสูงสุดของมนุษย์ เราจะไม่มีความโลภ ความโกรธ เราจะว่าง สบาย บริสุทธิ์ สร้างสรรไปอย่างจริง สร้างแล้วเพื่อให้คนอื่น อะไรก็ตามแต่

แม้แต่เราเอง กินอยู่หลับนอนนี่ เราก็ทำไป เพื่อให้ขันธ์มันก่อเกิด มีพลังงาน มีบทบาท แล้วเราก็มาใช้บทบาทนั้น ให้เกิดกรรม กรรมการงาน เพื่อไปเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น นั่นแหละส่วนใหญ่ สำหรับเราเอง ไม่มีอะไรมากมาย เพราะฉะนั้น คำว่าทานนี้ จึงเป็นบทเป็นหัวข้อ เป็นหลักที่สำคัญที่สุด ที่เราจะถึงจุดนี้ให้สมบูรณ์ มีเปยยะวัชชะ ซึ่งก็เคยอธิบายแล้ว ก็อธิบายอีก ซ้ำซาก ว่า เราจะต้องเข่นกัน เราจะต้องเคี่ยวกัน เราจะต้องกระหนาบกระหน่ำกัน ติเตียนกัน บอกแล้ว บทชมเชยนั้น บอกคำเดียว ครั้งเดียว ก็รู้กันแล้ว แต่บทที่จะขัดเกลา บทที่จะกระหน่ำกระหนาบ ชี้โทษแล้วชี้โทษอีกนี้ มันไม่พูดครั้งเดียว พูดครั้งเดียวไม่ได้ มันต้องพูดแล้วพูดเล่า ซ้ำซาก เพราะฉะนั้น เราจะทำอย่างไร ให้คนนี่ ดื่มเอาคำตำหนิ ดื่มเอาคำกระหนาบ คำกระหน่ำ พวกนี้ได้ เปยยะวัชชะ โดยพยัญชนะ โดยภาษา โดยความหมาย ทำอย่างไร ให้เขาดื่มคำติ ของเราได้ อย่างฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ไม่เกิดการขุ่นเคือง ไม่เกิดการแหนงหน่าย รับแล้วเอาไปทำ รับฟัง รับเชื่อ เห็นจริง แล้วเขาปฏิบัติตาม ได้อย่างเร็วไว จะทำอย่างไร

คนที่ทำให้คนอื่นเกิดเปยยะวัชชะได้ จะเกิดการสังเคราะห์ เกิดการพัฒนา คนนั้นจะเปลี่ยนแปลง คนนั้นจะปรับปรุง คนนั้นจะเดินก้าวหน้าไปทีเดียว เพราะเขาจะรู้ชั่วของตน แล้วล้างชั่วของตน ละชั่วของตน คำตำหนิสิ่งชั่วแหละ ใครจะไปตำหนิสิ่งดี แล้วต้องตำหนิให้ถูก ตำหนิให้ถูก แล้วก็ตำหนิให้สมเหมาะสมควร ตำหนิให้สมเรื่องสมราว สมตัวสมบุคคล ตำหนิได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตำหนิได้อย่างเกิดการพัฒนาได้ นี่เป็นความสามารถอย่างมาก นักสังคมสงเคราะห์ หรือ นักสังเคราะห์ ที่จะสังเคราะห์มนุษย์ สังเคราะห์โลก สังเคราะห์ตนก็ตาม เราจะสงเคราะห์ตนเอง เราก็ต้องตำหนิตนเอง แล้วตำหนิจริงๆ ตำหนิอย่างที่ถูกต้อง ตำหนิแล้วก็ปรับปรุงเอง ตำหนิตนเอง ปรับปรุงตนเอง อันนี้มันไม่ยากอะไร แต่ทีนี้ ในเรื่องสังคหวัตถุนี่ มันเกี่ยวกับผู้อื่น เพราะฉะนั้น ต้องทานให้แก่ผู้อื่นได้ จะต้องให้ผู้อื่นดื่มคำตำหนิได้ จะต้องเข้าถึงแก่น อัตถจริยา จะต้องเข้าถึงแก่น ถึงพฤติกรรมที่เป็นเนื้อหา แก่นสาร ที่ถูกต้อง

อาตมาแน่ใจว่า อาตมาอยู่ในสารัตถะ มีอิริยาบถ มีอัตถจริยา มีพฤติกรรมที่เป็นแก่นสาร แต่คนชาวโลกเขาตำหนิ เพราะคนชาวโลก เขาไม่อยากให้อาตมาติเขา ว่าเขา กล่าวประท้วงเขา กล่าวชี้ผิดให้แก่เขา เขาไม่อยาก ไม่อยากจริงๆ ไม่อยากให้อาตมาพูด เขาจะใช้โวหาร นโยบาย ความสามารถ แม้แต่อำนาจอันบาตรใหญ่ เขาก็จะพยายามใช้ ให้อาตมานี่ไม่ต้องพูด เพราะยิ่งพูดมันยิ่งถูก อาตมานี่ พูดถูกเสียด้วย เขาแก้ตัวไม่ได้ แก้ไม่ได้ เขาก็เลยต้องใช้คารมอื่นว่า ดีแล้วก็ดีไป อย่ามาว่าคนอื่น บ้าง หรืออะไรอื่นๆ อีกบ้าง จริงๆ อาตมาอยู่ในพฤติกรรมอย่างนี้ มีจริยาอย่างนี้ อาตมาแน่ใจ ว่า อาตมาไม่ได้ทำผิดอะไร แล้วอาตมาก็แนะนำพวกคุณ ให้คุณเป็นให้ถึง แต่ระวัง อย่าขี้ตามช้าง เรายังไม่ถึงบทบาทอย่างนั้น ไปติเขาโดยผิดภูมิ ผิดฐาน เรายังไม่ใหญ่ปานนั้น ยังไม่มีฤทธิ์ปานนั้น ระวังจะไปเจอของแข็ง เราจะลำบาก สิ่งนี้ไม่ใช่ขู่ แต่ต้องสมส่วน ไม่สมส่วนแล้วผิดพลาด ไม่เจริญ แล้วก็จะถูกเขาปราบปราม ไปง่ายดายด้วย

เราก็จะต้องดำเนินบท ดำเนินการกระทำ ในเรื่องของท่านให้ได้ นี่เป็นจริยธรรม อันเป็นแก่น ในเรื่องของการทำให้ผู้อื่น สามารถทำให้เขา ดื่มคำตำหนิติเตียนได้ นี่เป็นความสามารถ เป็นแก่น การที่จะชมเชยเขานั้น ทำง่าย ใครก็สามารถ ใครก็ทำได้ นั่งชมเชยเขาไปทั่วบ้านทั่วเมือง รับรองไม่มีปัญหาอะไร ทำได้ เมื่อไรก็ทำได้ ง่ายดี แต่จะตำหนิเขาให้ได้ นี่แหละ มันแสนยาก มันเป็นเนื้อเป็นแก่นของสังคม การสังเคราะห์สังคม จึงประกอบไปด้วย อาการอย่างนี้

อันสุดท้าย สี่อย่างนั้น จะต้องสมานให้ได้ จะต้องทำให้ทุกคนเข้ากัน เราเข้ากับเขา เขาเข้ากับเรา แม้จะอยู่ห่างกัน ก็เข้ากันอยู่ กำลังพยายามที่จะเข้ากัน กระเถิบเข้าไป สมานกันให้ได้ ไม่ใช่ทำให้แตกร้าว ไม่ใช่ทำให้พังทำลาย เราทำงานมานี้ เราไม่ได้ทำให้แตกร้าวเลย เราไม่ได้ทำให้ทำลายเลย เราขอยืนยัน

เราพยายามชี้ความแตกต่าง เราพยายามชี้ผิดชี้ถูกให้ชัดเจน ให้เห็นความแตกต่าง ว่าผิดกับถูกมันต่างกันนะ ต้องแยกกันให้ออกนะ ไม่ใช่ทำความแตกแยก เราไม่ได้โกรธใคร ไม่ได้เคืองใคร เราเข้ากับสิ่งที่ควรเข้าได้เข้า ไอ้สิ่งที่เข้าไม่ได้ มันเป็นสัจจะ ชั่วกับดี จะให้มาเข้ากัน พยายามที่จะจัดให้โมเมปนกัน จับไอ้ที่ถูกกับที่ผิด ไปปนๆ ปนกัน แล้วก็อำพราง กลบเกลื่อนเอาไว้ เอ้า! อยู่ด้วยกัน อยู่ด้วยกัน เป็นด้วยกัน นั่นแหละ เป็นอย่างงี้ๆ แต่เขาก็แก้ตัว มาเป็นอย่างถูกไม่ได้ เราทำอย่างถูก ก็ไปขัดไปขวางเขา บาดหูบาดตาเขา เขาทำอย่างนั้น เราถ้าว่าบาด ก็บาดเหมือนกัน เพราะว่าผิด มันก็บาดตาเราได้ แต่เราจะวางใจได้ โดยไม่บาดตาบาดใจ อะไรก็ตาม มันก็ดูขัดกัน อยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้น ยิ่งขัดกันมาก ถ้าเอาจริงแล้วนะ เรากล้านะ อย่าทะเลาะ อย่าร้องนะ เอาไหมละ ถ้าเข้าไปรวมกันแล้ว มันก็ขัดเด่นกันชัดๆ ผิดก็อย่างหนึ่ง ถูกก็อย่างหนึ่ง อย่าร้องนะ ขอเราทำอย่างนี้ คุณก็ทำอย่างนั้น แล้วอย่าร้อง มันข่มกัน ก็ต้องยอม อันไหนมันดีกว่า เขาตัดสินเอง ชาวบ้านประชาชน เอาไหมละ แท้จริงก็ไม่เอา แล้วจะขอให้เราไปเป็นอย่างที่เขาเป็น ก็อย่างที่เขาเป็น มันผิด เราจะไปเป็นตามเขา ได้อย่างไร

อันนี้ ก็เป็นข้อสุดท้ายที่ว่า เอ้า! ต่างคนต่างทำก็แล้วกัน เรามีสิทธิ์พูดว่า เขาไม่ดี ในส่วนที่เราเห็นว่าไม่ดี อย่างบริสุทธิ์ใจ เขาก็มีสิทธิ์ที่จะพูดเรา ว่าไม่ดี แม้คุณไม่บริสุทธิ์ใจ คุณก็ยังพูดอยู่เลย แต่ถ้าคุณบริสุทธิ์ใจ คุณจะพูดได้ไหมเล่า ถ้าเราถูกจริง แล้วเขาจะพูด ว่าเราผิดได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ตรงนี้แหละ มันต้องจริงใจกัน มันต้องถึงที่สุดกัน ถ้าเขามีปัญญา เขาก็จะไม่ว่าเราผิด แต่ถ้าเขาไม่มีปัญญา เขาก็จะว่าเราผิดอยู่นั่นเอง ก็ว่าไป เพราะว่า เขาไม่มีปัญญาจะรู้ว่าเราผิด เราก็ถูกเขาว่า เราอาจจะหลงตัวเรา ว่าเราถูก เราก็ต้องว่าเราถูก แล้วพิสูจน์ซิ ต่างพิสูจน์ไปว่า มันจะลงตัวอย่างไร มันจะมีจริงอย่างไร

อันนี้เป็นทางสุดท้าย ไม่รู้จะทำอย่างไร ให้คนเข้าใจทางสุดท้ายได้ เมื่อยึดแล้ว คนไหนเห็นว่า อันนั้นถูก จงทำ ใครเห็นว่า อย่างนี้ถูก จงทำ แล้วกาละเวลา จะเป็นตัวตัดสิน ผลมันจะไปถึงที่สุด อันนั้นๆเอง นี่พูดถึงเรื่องแนวแตกแยกที่สุด แต่เราจะไม่พยายามทำให้เกิดแตกแยก เราจะประสาน เราจะสมาน เอาเนื้อดีเข้าทดแทน เนื้อร้าย เราก็จะค่อยๆ จะไล่มันออก ไล่มันออก เหมือนไล่ขี้ทอง เหมือนไล่ขี้กาก ไล่กากของการฝัดข้าว ไล่ขี้กาก ไล่ขี้ของทอง เราต้องค่อยๆ ไล่ออกไปจริงๆ

ทุกวันนี้ เราก็ไม่ได้หมายความว่า เราไล่กัน อย่างตีระตีรานอะไร เราก็ค่อยๆไล่ ค่อยๆบอก ค่อยๆชี้ เป็นระดับๆ เรารู้อยู่ว่า แต่ว่าเราจะพูดความไม่ดีทั้งหมด ไปทีเดียวนั้น เราพูดได้ทันที เราชี้ให้มากกว่านี้ แต่ว่า เราก็ต้องค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ในเรื่องการที่จะบันยะบันยัง อันนั้นแหละ คือการสมานอัตตา ไม่ว่าจะเป็นข้างนอก ใหญ่หยาบ เห็นว่าขัดกันชัดๆ หรือแม้แต่ในนี้เอง ในหมู่กลุ่มของเราเอง ต้องสมานอัตตา ต้องดูฐานะ แต่ละบุคคลไม่เท่ากัน อันนั้นเขาได้เท่านั้น เขาสมาทานเท่านั้น ก็ต้องรู้เขตขอบของเขา ว่าเขาสมาทานศีล ๕ เขตขอบเท่านั้น อธิศีลของศีล ๕ มันก็ประมาณนั้น เขาสมาทานศีล ๘ ก็ประมาณขนาดนั้น ต้องดูขอบเขตของเขา ประมาณให้ดี เราอย่าไปให้เขาเกินมา เขาเกินมามันไม่ไหว ก็เขาสมาทานแล้วว่า เขาเป็นแค่นั้น ก็สมเหมาะกับฐานะของเขา แล้วต้องดู อย่าให้เหลื่อม อย่าให้เพี้ยน แต่จริง ผู้มีฐานะที่จะดึงขึ้นมาสู่สูง แม้คุณจะสมาทานศีล ๘ แต่คุณได้แล้ว พอแข็งแรงแล้ว เขาก็จะดึงขึ้นไป ให้ยิ่งกว่าศีล ๘ ที่เป็นอธิศีล ยิ่งขึ้นๆๆ หรือมีศีลที่สูงยิ่งขึ้น ผู้นั้น ผู้เจ้าตัวเอง ก็จะต้องรู้กาลเทศะ เหมือนกัน หรือ ผู้ที่จะดึงเขาขึ้นด้วยนโยบาย ก็ต้องรู้ในกาลเทศะ เหมือนกัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ถ้อยทีถ้อยมีเจตนาดี แล้วค่อยบันยะบันยังไป ประสมประสานกัน จึงจะเรียกว่า สมานอัตตา หรือ สมานัตตตา ด้วย

หรือแม้แต่ที่สุด ผู้ที่สูงแล้ว จะอนุโลมหลายๆอย่าง เพื่อทำสิ่งที่เป็นแก่นสารบ้าง ของๆผู้ที่ต่ำ เราต้องอนุโลม เราต้องไม่ถือชั้นวรรณะ จนหยิบก็ไม่ได้ เป็นคนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ หยิบโหย่ง ของอื่นๆ ที่เป็นสิ่งที่เป็นแก่นสารสาระ เราก็ตีค่า เป็นศักดินา เราไม่ทำ ไม่แตะ ไม่ต้อง หยิบไม่ได้ แบกไม่ได้ หามไม่ได้ สัมพันธ์ไม่ได้ มันก็ห่าง มันเกิดช่องว่าง เกิดวรรณะ เกิดศักดินา

เราจะต้องอ่านให้จริง แล้วก็อนุโลมปฏิโลม ตามกาลเทศะฐานะ ให้ถูกต้อง ประสมประสานด้วย ความจริงใจด้วย แล้วเราก็ต้องรู้กาล ที่จะต้องแสดงออก ให้เห็นว่า เราไม่ได้รังเกียจ แสดงออกทางกาย ทางวจี ทางมโน พรั่งพร้อม สมส่วน ทุกสิ่งอย่าง ก็จะดูเป็นไปได้ครบ กลมกลืน เกิดการสังเคราะห์โลก เจริญงอกงาม อยู่ทั้งหมด เรื่องทาน เรื่องเปยยะวัชชะ หรือ อัตถจริยา เรื่องสมานัตตตา จะค่อยๆอธิบาย มีพิสดาร มีแทรกซ้อน มีอะไรต่ออะไร แง่เชิง ต่างลึกขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ก็จะต้องน้อยลงแหละ ความที่จะลึกซ้อน มันก็ละเอียดขึ้น ก็น้อยลงๆ แต่เราจะต้องติดตามศึกษา เข้าใจแล้ว ปฏิบัติอบรมให้เป็น เอาแต่รู้ด้วยบัญญัติภาษาเท่านั้น ไม่สำเร็จในประการทั้งปวง

เราจะต้องปรับปรุง โดยเฉพาะต้องเราเองนี่แหละ ใครจะมาปรับปรุงตัวเราเอง ได้ยิ่งกว่าเราแล้ว เป็นไม่มี เราต้องปรับปรุงตัวเราเองนี่แหละ ได้ดีที่สุด ฟังความคิดอ่าน ของคนอื่น ผู้รู้ท่านจะไม่บังคับเรา จะไม่เผด็จการเรา แน่นอน แต่ท่านจะต้อง พยายามทำให้เราเกิดปัญญาอย่างยิ่ง และทำให้เราเกิดมีเรี่ยวแรง ในจิตในตน ที่สามารถปราบล้มล้าง สิ่งที่เป็นอกุศล สิ่งที่เป็นทุจริตทั้งหลาย สิ่งที่ไม่ดีไม่งาม เป็นบาปเป็นชั่ว เราจะต้องมีเรี่ยวแรง ทั้งกายและปัญญา ทั้งใจและปัญญา กระทำให้ลงตัวได้ อย่างแท้จริง

ถ้าเราทำได้แล้ว ในสังคหวัตถุ ๔ นี้ ความสามัคคี ความรวมหมู่รวมกลุ่มจะเกิด ไม่ใช่ตัวหนังสือ ไม่ใช่ตัวภาษา ไม่ใช่ความหมายเปล่า แต่มันเป็นของจริง ที่เราทำสอดคล้อง ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า แล้วเราจะเกิดความเป็นปึกแผ่น สามัคคี และ เป็นแก่นที่แข็งแรง แน่นหนา นิรันดร.

สาธุ

*****