ธรรมปัจเวกขณ์ (๘๗)
๒๕ มกราคม ๒๕๒๕

เอ้า! ใคร่จะทบทวน เรื่องการพักการเพียร เรามีการปฏิบัติ ในระบบของ สติปัฏฐาน หรือมรรคองค์ ๘ มีการพูดการคิด มีการทำการทำงาน ทำอาชีพ เป็นสัมมาปฏิบัติ เป็นเรื่องปกติ พร้อมกันนั้น เราก็จะต้องรู้ตัวทั่วพร้อม ดังนัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านสอนให้เราเรียนรู้ จับจิตจับอาการ รู้รูปรู้นามของจิต อาการของจิต อาการของเจตสิก ไอ้นี่เป็นกิเลส อาการอย่างงี้ เรียกว่าราคะมูล อันนี้เรียกว่าโทสะมูล อันนี้เรียกว่าโมหะมูล แม้แต่จิต ที่มันจะเป็นสภาพที่พอกดข่มได้ แต่มันก็ยังไม่ดี เป็นสังขิตตะ เป็นวิกขิตตะ ต่างๆ สังขิตจิต วิกขิตจิต เป็นจิตมันยังอึดอัด หดหู่ หรือว่า มันยังกระเซ็นกระเด็นซ่านๆ เซ็นๆฟุ้งซ่าน ยังไม่สงบ ยังไม่แน่นิ่ง ยังฟุ้ง ยังไม่เรียบร้อย อะไรก็ตาม หรือแม้แต่ดียิ่งกว่านั้น เป็นมหคตจิต เป็นสอุตรจิต เป็นอสมาหิตะ เป็นอวิมุติ อะไรอยู่ก็ตาม เราสามารถที่จะรู้ชัด และทำให้มันเป็นวิมุติ เป็นสมาหิตะ เป็นอนุตรจิต หรือเป็นมหคตจิต อย่างดีอย่างยิ่ง เราก็เข้าใจอาการ และได้ฝึกหัด ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เราจะต้องรู้ความเป็นจริง เหล่านี้จริงๆ อย่าปล่อยปละละเลย ในการปฏิบัติมรรคองค์ ๘ หรือ สติปัฏฐาน ๔ หรือ โพธิปักขิยธรรม นั่นเอง

แล้วก็ต้องดูตัวเองว่า เราเองนี่อยู่ในสภาพที่เรียกว่า พอเป็นพอไป ไม่ทรมานตนจนเกินการ เพราะฉะนั้น ในระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ประจำวัน ถ้าเราประมาณการ เป็นไป ทั้งพักทั้งเพียรที่พอดี เราจะเห็นได้ว่า เราเบิกบาน แจ่มใส สดชื่น เราไม่ได้เอนเอียง ข้างฝ่ายที่เราปล่อยปละละเลย เอาแต่ใจตน เราตั้งตนอยู่ในความลำบาก เรารู้ว่า เรามีความลำบากในการเพ่งเพียร ในการพยายามเรียนรู้ อยู่พอสมควร แต่ไม่ได้หนักหนาเหน็ดเหนื่อย อะไรเลยเหมือนกัน เราพยายามทำงาน เรารู้ว่า เราต้องพยายามทำงาน บางครั้ง เหนื่อยก็เหนื่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ สุขภาพร่างกายของเรานั้น ทรุดโทรมอะไร สุขภาพร่างกายของเราก็แข็งแรง อยู่ในระดับที่พอเป็นพอไปดี จิตใจก็ปลอดโปร่ง ปฏิบัติธรรมได้ด้วย เบิกบานแจ่มใส มีการต่อสู้ เรารู้ว่าต่อสู้ ลำบาก เรารู้ว่าลำบาก สู้กับกิเลส ฟาดฟันกัน เราก็รู้ สู้กับกิเลส มีการกระทบสัมผัส ช่วงนั้นช่วงนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ เรารู้ และเราก็ไม่ได้อิดหนาระอาใจอะไร การปฏิบัติอย่างนี้ เราเรียกว่า สุขาปฏิปทา และเร็ว ถ้าได้สมส่วน เป็นขิปปาภิญญา เป็นการปฏิบัติได้เร็วด้วย ได้ผลสูง มีผลทั้งงานตนงานท่าน ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน สอดคล้องไปในตัว เพราะฉะนั้น บางคนที่ยังรู้สึกว่า ตัวเราเองจะต้องวนเวียน ให้มันสงบระงับกว่านี้บ้าง เพราะว่า มันจับจิตก็ไม่แม่น วันหนึ่งคืนหนึ่ง ก็รู้สึกไม่ค่อยรู้ตัว ปล่อยปละละเลย ให้กิเลสกินตัว โกรธไปตั้งมาก โลภไปตั้งเยอะ ราคะขึ้นโทสะขึ้น ตั้งเยอะตั้งแยะ รู้ไม่เท่าทัน เมื่อได้ปัจเวกขณ์ ได้ทบทวน บุพเพนิวาสานุสติ ตรวจตนดูเองด้วยญาณ ด้วยความรู้ของตนเอง แล้วก็เห็นว่า เราเองนี่ ชั่ววันหนึ่งคืนหนึ่ง เรามีส่วนเสีย มากกว่าส่วนได้ ก็ต้องจัดสรร ให้รู้จักว่าตัวเราเอง ต้องตรวจตราให้มากกว่านี้ อินทรีย์พละเรา ยังไม่แก่กล้านะ เรามีความบกพร่อง เกิดอารมณ์เสีย เกิดอาการที่เป็นอกุศลจิตอกุศลมูล มากกว่าเกิดกุศลมูล ให้รู้ตัวจริงๆ สำหรับแต่ละฐานะ แต่ละบุคคล นี่ขอบเขตของศีล ๕ ขอบเขตของศีล ๘ หรือ ศีลขั้นเคร่งขึ้นมา ตามที่เราได้ยึดได้ถือกัน ได้พอเป็นไป ถ้ามันเป็นไปได้ สบาย อยู่พอดี ก็เจริญขึ้นๆ อยู่เรื่อยๆ แล้วก็เพิ่มศีล ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะไหน บางที ยังเป็นรูปแค่อารามิกะ อารามิกา เป็นรูปอาคันตุกะ อยู่ก็ตาม ยังไม่มีรูปเป็นนักบวช เป็นเชิงใกล้เข้าไปหาการเป็นภิกษุ เป็นนักพรตก็ตาม

แต่ศีลที่มันจะทำให้เราขัดเกลาจิต เป็นอธิจิต เป็นสมาธิ เป็นปัญญานั้น ไม่ได้ขีดคั่นเอาไว้เลย สำหรับการที่จะเจริญขึ้นๆ ในฐานานุฐานะ ส่วนปรมัตถ์ของตน ซึ่งผู้อื่นไม่รู้เห็นด้วยก็ตาม เราก็สามารถทำได้ ข้อสำคัญ อย่าหลงเป็นมานะ ถ้าเราได้สูง ก็ต้องรู้ฐานะที่ส่วนนอก แห่งฐานะสมมุติสัจจะ ว่าเราส่วนนอก เราเป็นอารามิกะ อารามิกา เราเป็นฆราวาส ก็ต้องจัดแจงให้ตัวเองอยู่ในฐานะฆราวาส จิตใจปรมัตถ์ นั้นมันจะสอดคล้องกัน ยิ่งสูงก็ยิ่งลดได้ ยิ่งสูงก็ยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตนได้ แม้ฐานะข้างนอกเรานั้นน้อยเล็ก เล็กก็ต้องเล็ก ตามฐานะน้อยได้ อย่างไม่มีอะไรขัดเขิน อย่างไม่มีอะไร กระเด้งกระด้าง หรือ เก้งก้างเกะกะเลย มันจะดูสอดคล้องยิ่ง

ถ้าตัวเราเอง มีมานะ นึกว่าตัวเองได้ภูมิสูง ทั้งๆที่โดยสมมุติสัจจะแล้ว ก็เป็นคนในฐานะต่ำ แต่เราก็ถือตนถือตัวว่าเราสูง เราหลงว่าเราได้สูงตามปรมัตถ์ ปรมัตถ์เรายิ่งใหญ่ และฐานะข้างนอก ยังไม่ได้สูงอะไร ตามสมมุติ เราก็ต้องเล็ก ยิ่งเล็ก ไม่เช่นนั้น เราจะเผลอตัวง่ายๆ ว่าเราได้ดี เรามีภูมิธรรมสูงแล้ว ก็เลยแข็งกระด้าง เกะกะเกเร อันนี้ระวังพลาดท่านะ ต้องยืนยันให้ดี เห็นความจริงให้สอดคล้อง นั่นมันเป็นนัยลึกซึ้งอยู่ ซับซ้อนอยู่ ขอให้จริงๆ ให้ชัดๆ แจ้งๆ เพราะฉะนั้น ก็ผู้ใดยังเห็นว่า การปรับไม่ลงตัว การพักไม่พอ การเพียรหนักไป จนกระทั่ง ไม่มีเวลาที่จะตรวจจิตตรวจใจ หรือว่ามันพลาดๆ เผลอๆ พลั้งๆ เสียหายนัก ก็ต้องจัดสัดส่วน ในการพักการเพียร ให้พอเหมาะพอเจาะ และ เราจะได้การปฏิบัติ ที่มีทั้งพัก ทั้งเพียร มีสภาพที่แข็งแรง ปราดเปรียว แคล่วคล่อง สบาย เบิกบาน ร่าเริง เป็นสุข ไม่ยากไม่เย็นเกินการ นี่เป็นสภาพของการปฏิบัติธรรม ในระบบสัมมาอริยมรรค ที่เรียกว่า ต้องพอเหมาะ พอเจาะ ปานกลาง พอดี ได้สมส่วนแล้ว จะได้เห็นว่า ทั้งสบาย แต่ก็มีสภาพที่ต้องทน เพราะว่าเสขบุคคล ต้องตั้งตนอยู่ในความลำบาก เรายังไม่โล่งว่างหมด เรายังปลดปล่อยยังไม่เกลี้ยง เราต้องมีตั้งตนในความลำบาก ตามฐานะ และเราเอง เราก็จะต้องเจริญได้นะ ดั่งที่กล่าวแล้ว

ก็ขอกำชับกำชา จุดพักจุดเพียร ที่มีสภาวธรรมอันสมดุล อันสมส่วน หรือว่าปานกลาง หรือ พอเหมาะพอดี มัชฌิมาปฏิปทา ขอให้เจียน หรือว่า ขอให้เรียนรู้พวกนี้ เราจะเห็นว่า เราจะเป็นคนขยัน สร้างสรร ได้เกินกว่ามนุษย์ในโลก เขาทำด้วยซ้ำ ถ้ามันลงตัว ขยันเพียรได้อย่างดี แข็งแรง เราจะเห็นได้ ทุกวันนี้ของเรา ทำได้ดีขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก หลายๆคนจะรู้ตัวว่า เอ๊! ก็ดีนี่ขยัน ขยันกว่าแต่ก่อน ที่เราเคยเป็นด้วย บทบาทการสร้างสรร ด้วยวัตถุโลก ก็เจริญงอกงาม จิตใจเราก็ดี ปลอดโปร่ง สบายใจ และได้ปฏิบัติธรรม เจริญงอกงามอยู่ รู้มากขึ้น เห็นจิตเห็นใจ เห็นกิเลสราคะ โทสะโมหะชัดขึ้น ละเอียดลออ สุขุมประณีตขึ้น และเราก็จะรู้ เราเบาว่างง่ายขึ้น โลภะโทสะโมหะ ลดจริงๆนะ เราจะเห็นได้ มันเป็นปัจจัตตัง เวทิ ตัพโพ วิญญูหิ จริงๆ ขอให้พิสูจน์สัจธรรม หลักการอันนี้ยิ่งใหญ่มาก มันซับซ้อนจริงๆ ขอให้ตรวจตราดีๆ แล้วเราจะได้เป็นหลักเป็นแกน นำศาสนานี้ ตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้า ไปในอนาคต อย่างจะต้องเจริญงอกงาม กว้างขวางกว่าที่เคยเป็นมาแล้ว เพราะเราอยู่ในแค่เอเชีย และ มันจะเจริญไปยิ่งกว่าเอเชีย ในอนาคต

สาธุ

*****