ธรรมปัจเวกขณ์ (๙๘)
๒๗ กรกฎาคม ๒๕๒๕

การสร้างสมมุติสัจจะ ซึ่งเราเรียกว่าสัจจะ ที่รู้กันติดต่อกันไป สมะแปลว่า ต่อเนื่อง มติหรือมุติ แปลว่ารู้ เรารู้กันต่อเนื่องไป เป็นสิ่งที่รู้กันต่อเนื่อง แล้วก็กระทำกันขึ้นมา จนกลายเป็นสัจจะอย่างหนึ่ง หรือเป็นความจริงอย่างหนึ่ง ที่คนได้อาศัย เมื่อคนได้อาศัย เป็นอยู่อย่างสมบูรณ์ อยู่อย่างสบาย อยู่อย่างเรียกว่า พอไปแล้ว ไม่ต้องมากกว่านี้ ก็ใช้ได้ หรือว่าจะพัฒนา ถ้าเผื่อว่าทุกอย่าง เหตุปัจจัยสิ่งแวดล้อม มันพอจะพัฒนาได้อีก ก็พัฒนาไปบ้าง ไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่เห่อเหิม ไม่มาก ไม่รีบร้อน ที่จะเปลี่ยนแปลงพัฒนา จนเกินการนัก อย่างนั้น เราก็ไปได้อย่างสบาย

ทุกวันนี้ มันมีแต่ความล่อหลอก ที่จะพยายามปรุง พยายามพัฒนา พยายามเปลี่ยนแปลง ให้มันเป็นความแปลกใหม่ และให้ได้รับประสิทธิภาพ อะไรหลายๆอย่าง ที่ล่อหลอกให้คนเราหลงติด หลงนิยมชมชื่น เพราะเพื่อจะได้แย่งกันซื้อแย่งกันขาย เพื่อจะได้เปลี่ยนไม้เปลี่ยนมือโดยเร็ว ของที่ควรใช้ได้อยู่ ก็จะมีอายุสั้น จะถูกเอามาใช้ ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็ไปนิยมสิ่งใหม่ ที่ยั่วยวนขึ้นใหม่ วัตถุดิบก็ถูกเผาผลาญโดยเร็ว ของที่ก่อสร้างขึ้นมาใช้ ก็ถูกทิ้งขว้าง โดยเร็ว

กรรมกิริยาหรือพฤติกรรมเหล่านี้ เป็นความฟุ้งเฟ้อ ผลาญพร่า คนสมัยใหม่ ไม่รู้เท่าทัน มีแต่ความปรารถนาที่จะได้มาก ด้วยการค้าการขาย ด้วยการเอาชนะ ให้เขานิยม ของของกู กูจะต้องชนะ กูจะต้องเด่น กูจะต้องมีคนมานิยมมากกว่า จึงปรุง จึงพยายามหุ้มพอก ด้วยสังขารธรรม ด้วยมุมเหลี่ยมต่างๆ แล้วก็เปลี่ยนแปลงไป นี่เกิดจากสัจจะ ที่มันเฟ้อมันเกิน พอมันเกิน เราก็เรียกว่า เป็นสมมุติสัจจะเหมือนกัน แต่ว่าเราต้องมีปัญญา ที่จะกลั่นกรอง ที่จะเลือกเฟ้น แล้วรู้จักหยุด รู้จักพอ รู้จักเอาแต่ขนาดนี้ ก็พอเหมาะแล้ว

เพราะขณะนี้ เราเอง เราเกิดมาในยุคกาลที่มันสังขาร มันปรุงมันสร้าง มากเหลือเกิน เราวิ่งตามไม่ไหว เมื่อเราวิ่งตามแล้วก็ทุกข์ เราก็หยุด แล้วเราก็เลื่อนไหลลงมา หาจุดที่มันพอ พอๆ แล้วก็หัดน้อยลงมา หาจุดที่มันพอ เราจะเห็นได้ว่า ชีวิตของเรา เกินมาไม่รู้เท่าไหร่ๆ การกินก็เกิน การอยู่การใช้การสอย การหลับการนอน การเต้นการดีด การร่าเริงบันเทิง เกินทั้งสิ้น

ศาสนา จึงมีหลักในการลดละ หน่ายคลาย ปลดปล่อย เปลื้องออก หลักของศาสนาพระพุทธเจ้า จึงมีหลักนี้ และก็ได้ทำการลดละ หน่ายคลาย ปลดเปลื้องออกมา ที่เราได้พากันมาทำ มาลดละ ปลดเปลื้อง จนกระทั่ง เราได้หลักแกน เราได้จุดสมบูรณ์ เราเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก พระพุทธเจ้าก็เป็นคน เราก็เป็นคนน่ะ สรีระยังไม่ต่างกันเลย เราจะมีแคลอรี่ เราจะมีพลังงาน เราจะมีอะไรต่ออะไร พอได้ ชีวิตร่างกายนี้ เราก็มาเรียนรู้ ตามหลักพระพุทธเจ้า ที่ยังเป็นทฤษฎี ที่ใช้ได้ดีอยู่ เรามาพิสูจน์ การกินก็เท่านี้ การนุ่งห่มก็เท่านี้ การขยันหมั่นเพียรซิ เราก็เอาอย่างพระพุทธเจ้าเหมือนกัน และเราจะไม่ท้อถอย ในการขยันหมั่นเพียร สร้างสรร และเราก็จะมีปัญญารู้ การสร้างสรรว่า สิ่งที่ควรสร้าง คืออะไร สิ่งที่เฟ้อเกิน อย่างที่โลก เขาปรุงสร้างกันเยอะมากมาย เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปวิ่งไล่เขา แล้วเราก็จะทำให้มันอนุโลมบ้าง พอเหมาะ พอไป พอเป็น

เราจะไม่วิ่งไล่สังขารโลก นี่โลกมันไปกันอย่างไม่มีหยุดยั้ง ไปอย่างเร็วด่วน เหลือเกิน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เมื่อเราได้มาหยุดแล้ว เราได้ตัด ลด ละ หน่าย คลาย เปลื้องปล่อยออกแล้ว เราจะรู้ เราจะเห็นความจริงว่า เราได้สบาย เราได้เบา แล้วชีวิตของเรา ก็ไม่ได้น้อยค่าอะไร กลับจะมีค่ายิ่งกว่า เพราะเราไม่ต้องเอาเวลา ไปซอกๆซอนๆ วิ่งไล่สิ่งที่เขาหลอก สังขารโลกเหล่านั้น แล้วเราก็กลับมามีเวลาเหลือ มีพลังงานเหลือ มีสมรรถภาพ ที่จะสร้างสรร สิ่งที่เป็นแก่นแกน เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต อะไรสำคัญ เราเร่งสร้างก่อน

ขณะนี้สำคัญคือธรรมะ เราก็จะพยายามผลิตธรรมะ เป็นอาหาร ออกไปให้แก่ชาวโลก ด้วยรูปแบบ ด้วยสื่อสาร ด้วยกรรมวิธี ด้วยอะไรหลายๆอย่าง ทั้งพฤติกรรม ที่เราจะเอาเรี่ยวเอาแรง เอาชีวิต เอาพฤติกรรม เอาการประพฤติ เอากายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเรา เข้าไปร่วมผลิตร่วมสร้าง ร่วมกระทำ ให้เขารู้ ให้เขาเห็น ให้เขาเข้าใจ ให้เขารับ ให้เขาชัดแจ้ง ในสัจธรรมว่า เขาควรจะมาอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ซึ่งเราได้กระทำ และมีผลเพิ่มขึ้นๆ เราได้สบาย เพราะว่าเราเอง เราได้ลดละเปลื้องปล่อย จากการวิ่งตามสังขารธรรม หรือสังขารโลกมากหลายนั้น จนกระทั่ง เราลดในทางวัตถุ ลดในทางส่วนนอกได้ แล้วเราก็จะมาลด ลงไปอีก

แม้แต่พระพุทธเจ้าสอนเราว่า สังขารร่างกาย ก็เป็นเพียงการประชุม ที่มันเกิดโดยธรรมชาติ มันก็เหมือนกันทุกๆอย่าง ตั้งแต่ของนอก ที่เขาเอามาตบแต่ง เป็นสังขารโลก เป็นสังขารธรรม ปรุงแต่งขึ้นมา ซึ่งเป็นของประดิษฐ์ เป็นของผสม ที่เห็นเด่นชัด ร่างกายมนุษย์ ก็เป็นของผสมของธรรมชาติ แม้ที่สุด เราก็จะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่น และเราก็จะเพียงอาศัย และใช้ร่างกาย ที่เป็นธรรมชาตินี้ สร้างสรรสิ่งที่จำเป็น สร้างสรรสิ่งที่เราได้อาศัยอยู่ อย่างพอดี สบาย เจริญ ครบพร้อมแล้วนี้ เพื่อที่จะกระทำ ให้มนุษย์อื่นๆ เขารู้ด้วย แล้วเขาจะได้อยู่เย็นเป็นสุข เหมือนอย่าง เราอยู่เย็นเป็นสุข

ผู้ใดอยู่เย็นเป็นสุขแล้ว ไม่หลงใหลวิ่งวุ่น ผู้นั้นมีแต่สร้างสรร ก็เกิดแต่คุณค่าประโยชน์ แต่ถ่ายเดียว เราจึงกลายเป็นคนที่ แทนที่จะเผาผลาญ ร่วมไม้ร่วมมือ เป็นไปละเลงไป กับชาวโลกเขา เรากลับเป็นตัวหลักแกน เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งให้คนอื่น มาดูมาแล มาศึกษา เราเองได้ที่ยืนอันเกษม ได้ที่อาศัยอันเกษม เราได้จุดที่สบายว่างเบา แต่สร้างสรร มีคุณค่ามีประโยชน์ อย่างแท้จริงได้ เพราะเราศึกษาตามทิศทางทฤษฎี ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่พูดนี้ ก็ขยายความลงไปบ้าง เกลี่ยอะไรออกไป ให้รู้ ให้พิสูจน์ ให้คุณระลึก สำนึก และเทียบเคียงความเป็นจริง เรากำลังมุ่งหมายอย่างนี้หรือไม่ เราพิจารณา เราจะทำอย่างนี้ เพื่ออย่างนี้หรือไม่ แล้วเราทำได้ลงตัวหรือยัง เราจะน้อยลงอีกได้ไหม เราจะไปสู่ความพอดี แก่นแกนที่เราไม่ได้ทำให้ตนเองเสื่อมต่ำ เรามีพฤติกรรม อันแข็งแรง ขยันหมั่นเพียร สร้างสรร มีประสิทธิภาพ แต่เราก็เป็นคนที่ไม่ได้หลงใหลโลก สบาย เบา ง่าย ทุกอย่างได้อาศัย อย่างสมบูรณ์พูนสุข เรากินมื้อเดียว เราสมบูรณ์พูนสุข เรามีเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม ใช้ชุดสองชุด เราสมบูรณ์พูนสุข เราไม่ได้กระเบียดกระเสียร เราพอแล้ว เราเห็นด้วยว่า เราว่าง เบา ง่าย เราไม่ต้องหนักหนา ไม่ต้องแบกไม่ต้องหาม ไม่ต้องหอบต้องขน ไม่ต้องห่วงหาอาวรณ์ อะไรยุ่งยาก เราเบาเราว่าง แล้วเราก็มีสมรรถภาพ ด้วยเครื่องประกอบ เครื่องใช้ที่พอเพียง ไม่จำเป็นต้องยึดถือ เป็นของตัวของตน อยู่กันเป็นสังคมหมู่ใหญ่ ช่วยกันคนละไม้คนละมือ แล้วก็ร่วมเป็นแรงกล หรือเป็นจักรกล ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ที่เราจะสรรสร้าง ที่เราจะก่อสร้าง ที่เราจะผลิตสิ่งที่ดีงาม หรือมีคุณค่า ให้แก่สังคมโลกเขาไป อย่างไม่จำเป็นต้องแลกด้วยลาภ ด้วยยศ หรือแม้แต่หลงในสรรเสริญเยินยอ เราจะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพ และเรามีฐานอาศัยที่สบาย ภาคภูมิ โดยความเข้าใจ ด้วยปัญญาของเราจริงๆ

นี่คือสรุปบ้างขยายบ้าง อยู่ในเนื้อหาที่ได้สาธยายออกไป ก็ให้พวกคุณ ทั้งฟัง ทั้งพิจารณา ไม่ใช่ให้เชื่อตาม แต่ให้พิสูจน์ความจริง เมื่อคุณพิสูจน์ความจริง พบสัจธรรม เราได้ลดละสมมุติสัจจะ ที่มันมากหลายนั้น รู้ตามกันนั้น แล้วก็หลงวิ่งไล่ตามกัน แล้วก็เผาผลาญตามกันมา จนละสมมุติสัจจะลงมา เหลือแก่นแกน เหลือเนื้อแท้ๆ ไม่ฟ่าม ไม่มากหลาย ไม่เกินการ อาศัยสมมุติสัจจะ ที่ได้อาศัยอย่างชาญฉลาด แล้วเราก็เรียนรู้ทุกอย่าง มาเป็นจิตวิญญาณ ตัวโง่ ตัวฉลาด อยู่ที่จิตวิญญาณ เข้าหาปรมัตถ์ ตัวปรมัตถ์ รู้แท้ และทนได้ปล่อยได้ อยู่ได้สร้างสรรได้ ตัวปรมัตถ์คือ จิตเจตสิก จะเป็นตัวสมบูรณ์ เป็นที่สุด

เมื่อจิตใจเราสมบูรณ์ ปรมัตถสัจจะสมบูรณ์ เราก็สร้างสรรสมมุติสัจจะ สมบูรณ์ได้ และเป็นตัวนำ เป็นสรณะที่พึ่ง เป็นแบบอย่าง เป็นแม่พิมพ์

ขอให้ทุกคนได้อาศัย สิ่งที่สมบูรณ์ ดังกล่าวนี้ ให้ครบพร้อม ทุกคนเทอญ

สาธุ

*****