พ่อครูทำงานตามเหตุปัจจัย พ่อครูไม่ตั้งเจตนาอยากทำอะไร และไม่พยายามตั้งเจตนาว่าจะต้องทำอะไร โดยเฉพาะทำกับสังคมหรือกับผู้อื่น จนกว่าผู้อื่นจะเรียกร้อง หรือมีสัญญาเชื้อเชิญ หรือบังคับให้ทำ พ่อครูจึงจะไปทำ ก็กล่าวมาเสมอว่า พ่อครูเป็นมนุษย์ no planning- no project จึงทำให้ชีวิตโนพรอมแพรม (no problem)
พ่อครูว่า เป็นคนทำงานอย่างไม่มีแผนอะไร แต่ทำตามเหตุปัจจัย ไม่สร้างความหวัง ไม่ได้วางโครงการ แล้วมีผลคาดว่าจะได้ พ่อครูว่า นักวางแผน นักโครงการ จอมโปรเจคเป็นพวกล้มเหลวมามากต่อมาก เขาวางแผนแล้วว่าจะได้ผลอย่างไร แต่เมื่อมีเหตุปัจจัย เปลี่ยนแปลงไปๆมาๆ เป้าหมายที่คาดว่าจะได้ ก็จะไม่ได้ พอใกล้เวลา ก็โกงก็เร่งให้ได้เป้า
คนทำงานระยะยาว จะต้องเจอกับความไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าสอนว่าทุกอย่างไม่เที่ยง เราจึงต้องทำเท่าที่ทำได้ สร้างอย่างจริงใจ ไม่มีการ loss ไม่มี leak ไม่มีเสียหาย รั่วซึมไปกับความฟุ้งซ่าน ในโครงการที่วาดวิมาน ลูกคิดรางแก้วเอาไว้ พ่อครูจึงใช้คำว่าเราชนะรายทาง แต่คำว่าชนะเราไม่อยากใช้ เราเลือกใช้ว่า "เราก้าวหน้ารายทาง!"
การทำตามเหตุปัจจัย โดยไม่ตั้งเจตนาจะทำ แต่มันก็มีให้ทำอย่างเหลือเฟือ ไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งเจตนา ทุกวันนี้ก็ทำจนเมื่อย เราทำอย่างไม่เอาเงินเอาทอง ทำอย่างบริสุทธิ์ใจ เลย ไม่เคยกลัวตกงาน ทำอย่างเต็มไม้เต็มมือไปเรื่อยๆ
งานนี้จึงได้ตั้งสูตรไว้ว่า เป็นงาน "ดูไป" ใช้ภาษาอังกฤษว่า Go on and see out ไปให้ทะลุซอยเลย ไม่ใช่ดูเล่น แต่ดูพิจารณา ให้มีอัตราการก้าวหน้า ไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง หรือธรรมะก็ตาม พ่อครูจะพาทำ "สงครามกับสังคม" . (..เสียงปรบมือ... ) แล้วรู้หรือเปล่าว่า จะพาทำสงครามแบบไหน?
พ่อครูจะพาทำ " ธรรมาธรรมะสงคราม" ใครที่ได้อ่านมหาภารตะยุทธ อย่างเขายิงศรมา เราก็ยิงศรดอกไม้ไป เราไม่ทำร้ายใคร เราไม่ตอบโต้ ใครขว้างหินมา เราเอาไปถมบ่อน้ำเน่า ใครขว้างขี้มา เราก็เอามาทำปุ๋ย เราพยายามทำสันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น เรามาที่นี่ ไม่ได้ทำร้ายใคร เรามาขอใช้ที่สาธารณะบ้าง เราทำเหนื่อยนะ แต่เราผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำ จริงไม่จริงก็มาตรวจสอบ แม้การเมืองจะรุนแรง เราก็จะมาช่วยบรรเทาความรุนแรง
สรุปลงท้ายด้วย เราจะมาทำงานนี้ โดยหลัก "ดูไป" หรือ Go on and See out ทำตามเหตุปัจจัยที่ควร ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เราต้องพยายาม ช่วยกันดูแล ทำไงได้ เราไม่มีสำนักงานที่เป็นของส่วนตัว แต่เราทำเป็นสาธารณะ ทุกคนมาทำร่วมกันได้ ด้วยความปรารถนาดี ต้อนรับทุกสี ขอให้เจตนาดีจริงใจ เราไม่ต้องการทำร้ายทะเลาะกัน เราไม่ต้องการให้คนโง่ เราอยากให้ทุกคนฉลาด ให้มาศึกษาสิ่งดีงามแท้ๆ ชั่วบาปแม้น้อยอย่าทำเลย นี่คือสิ่งที่สมเด็จพ่อ คือพระพุทธเจ้าสอนมา
ปล. เมื่อมีการชุมนุมในแต่ละครั้ง ก็มักมีคำถามเข้ามามากมาย เพื่อให้พ่อครูตอบ เช่น จะชนะเมื่อไหร่? จะชนะอย่างไร? จะอยู่กันยาวไหม? พ่อครูมีแผนอะไรไหม? ซึ่งคำถามมากมายเหล่านี้ จะไม่เกิดเลย หากเข้าใจ "ดูไป ไม่ต้องดูไบ" เพราะพ่อครู ทำงานโดยไม่ได้หวังผล ไม่ได้คาดการณ์ และไม่ได้มีแผนการอะไร ถ้าทำแบบ "ดูไบ" ก็ต้องหวังผล เพื่อให้เกิดชัยชนะและวางแผน แต่พ่อครูจะทำตามเหตุปัจจัย ตามประสาซื่อ ที่เห็นว่าน่าจะออกมาช่วยกัน ในตอนนี้ก็ออกมาช่วย ไม่ได้คิด แบบดูไบ คือคิดว่าคุ้มหรือไม่คุ้ม ไม่ได้คิดไกลไปว่า จะปฏิรูปได้หรือไม่ได้? เพราะอนาคตข้างหน้านั้น มันไม่เที่ยง แค่งานเฉพาะหน้า คืองานสร้างคนให้มีคุณภาพ ของประชาธิปไตย และคุณธรรมในระดับโลกุตตระ
เป้าหมายการออกไปร่วมชุมนุมของพ่อครู จึงอยู่ที่ "มุ่งหมาย ในการพัฒนาคน" จึงต้องดูไปเรื่อยๆ ว่ามีอัตราความก้าวหน้ามากน้อยแค่ไหน? และก็ทำไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าจะต้องให้ชนะ หรือจะต้องให้สำเร็จ เข้าเป้าอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะความสำเร็จทั้งหลาย ก็ล้วนเป็น " ไตรลักษณ์" เหมือนครั้งหนึ่ง ที่เราเคยประสบความสำเร็จ ในการสร้างรัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน ปี ๒๕๔๐ ออกมา แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นการติดปีกให้เสือร้าย สร้างระบบทักษิณ กลืนกินประเทศไทย ให้หนักหน้าขึ้นไปอีก
ถ้าเรายึดมั่นถือมั่น จะต้องเอาชนะ จะต้องสำเร็จให้ได้ แต่โดยสัจจะ ทุกอย่างมันก็มีแต่เคลื่อนไป ๆ ๆ เราจึงต้องพิจารณาในทุกๆบริบท ด้วยความไม่เที่ยง และด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น จึงต้องดูไป Go on and See out (ไม่ดูไบ ..ไม่หวังผล) ไม่มีจิตดูดจิตผลัก ไม่หวั่นไหวในทุกๆขณะ กับของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น (ผุฐฐัสสะ โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ) เมื่อเรามีจิตมั่นคง ไม่หวั่นไหว พิจารณาไปตามเหตุปัจจัยว่าอะไรควรทำ? ควรพัฒนาหรือทำให้ก้าวหน้า เพียงงานแค่นี้ ก็ต้องไล่ล่าเวลา ทำแทบไม่ทัน ทำจนไม่หวาดไม่ไหวแล้ว นโยบายการทำงานของพ่อครู จึง "โนแพลนนิ่ง โนโปรเจ็ค และโนพรอมแพรม" ด้วยประการฉะนี้แล
Neo protest...การชุมนุมประท้วงแนวใหม่
ประชาธิปไตยคืออะไร??? คือ...การชุมนุมประท้วง!!! ดูจะเป็นคำจำกัดความ ที่พ่อครูตอบแบบไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน ซึ่งการชุมนุมประท้วง มักจะถูกดูแคลนว่าเป็นการเมืองข้างถนนมากกว่า แต่พ่อครูกลับเห็นว่า การชุมนุมประท้วงนี่แหละ เป็นการแสดงอำนาจอธิปไตย ของประชาชนอย่างสำคัญ เป็นการใช้ประชาธิปไตย ทาง "ตรง" โดยไม่ต้องผ่านตัวแทนใดๆ การที่ประชาชนออกมาชุมนุม อย่างสงบเรียบร้อย เพื่อแสดงมวลของประชาธิปไตย โดยนับหัว ๑ คน ๑ เสียง ๑ หมื่นคน ๑ หมื่นเสียง ถ้าประชาชนออกมาแสดงพลังอำนาจ ของมวลมหาประชาชน สัก ๑ ล้านคน ด้วยความสงบเรียบร้อย พ่อครูมีความเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยจะเป็นตัวอย่างของ ประชาธิปไตย ให้กับโลกทีเดียว และคำถามต่างๆ ถึงกองทัพธรรม ในการออกมาชุมนุมประท้วง ที่สวนลุมในครั้งนี้......
พ่อครูว่า... การชุมนุมของเรา เป็นการชุมนุมประท้วง Neo protest คือการชุมนุมประท้วงแนวใหม่ ที่เขาทำก็รู้สึกว่า มีสิ่งอิงแอบอยู่ แต่ของเราไม่มีสิ่งอิงแอบ ซ่อนแฝงอยู่ เราก็เลยตั้งชื่อของเราว่า นีโอ โพรเทส Neo protest คือมาจากคำว่า นิว หรือ New คือใหม่ ส่วน Neo เป็นภาษาเก่า แปลว่าใหม่เช่นกัน เราก็ทำแผ่นพับออกมาว่า เรามีเป้าหมาย มียุทธวิธีอย่างไร เราก็พากเพียรทำตามเจตนารมณ์ ดังต่อไปนี้
ยุทธวิธีการชุมนุม (Strategies)
๑. สุภาพ สงบ และเรียบร้อย
๒. ไม่มีความรุนแรง
๓. เสนอความรู้ และความจริง
๔. ไม่หยาบไม่ผิด กล่าวคำแรง เสียงดังเท่าใดก็ได้
การพักผ่อน คือการให้ร่างกายได้เยียวยาตัวเอง
คืนวันเสาร์ที่ ๑๕ มิ.ย. ๕๖ ก่อนนอน พ่อครูเปรยว่า วันนี้รู้สึกว่า อาการของร่างกายไม่ปกติ ไม่โล่งไม่โปร่ง ดูตื้อๆ แต่ไม่รู้สึกว่าจะเป็นไข้แต่อย่างใด ไม่มีอาการอื่นๆ ที่บ่งบอกโรคหรือการติดเชื้อเลย... จากนั้นพ่อครูก็จำวัดตามปกติ
รุ่งเช้าพ่อครูตื่นขึ้นมา ด้วยอาการที่ยังไม่ปกติ พอทำธุระส่วนตัวแล้ว จึงออกกำลังกายด้วยการโยคะ หลังจากโยคะ ๑๕ นาที ก็วัดความดันโลหิตได้ 120/70 mmhg. วัดอุณหภูมิ ร่างกายได้ ๓๖.๕ องศาเซลเซียส, ชีพจรเต้นปกติ ๘๐ ครั้งต่อนาที เนื่องจาก วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งมีรายการวิถีอาริยธรรม พ่อครูก็ไปเทศน์ได้ตามปกติ ไม่มีอาการ ที่บ่งบอกว่า จะไม่สบายเลย
แต่พอเสร็จรายการ จะมาฉันอาหาร ปรากฏว่าพ่อครูมีอาการตื้อๆ เบื่ออาหาร ฉันไม่ได้ ร่างกายแสดงเหมือนไม่รับอาหาร พ่อครูจึงบอก งดฉันดีกว่า ..ปัจฉาฯ จึงนิมนต์พ่อครู ให้นอนพักผ่อน ซึ่งพ่อครูก็พักได้ยาวเดียว (๑๑.๓๐-๑๖.๐๐ น.) พอตื่นขึ้นมา หมอโต (นพ.ประธาน วาทีสาธกกิจ) ก็ได้มาตรวจร่างกายพ่อครู และสอบถามอาการ แล้ววินิจฉัยว่า น่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัส แต่ไม่พบว่าต้นตออยู่ที่ไหน ให้พ่อครูฉันน้ำให้มาก เพื่อช่วยระบบไหลเวียนโลหิตให้คล่องขึ้น
ต่อมา ทีมงานขยายอายุขัยฯ ได้มาทำการแช่เท้าแช่มือ ในน้ำสมุนไพร ช่วยระบายพิษ แล้วต่อด้วยการนวดบำบัด ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ยิ่งช่วยทำให้พ่อครูพักผ่อนได้เต็มที่
รุ่งเช้าขึ้นมา พ่อครูก็มีอาการร่างกายเป็นปกติ เหมือนไม่มีความบกพร่องอะไร จะเห็นว่าพ่อครูมีความระลึกรู้ตัว ถึงความพร่องของร่างกายได้รวดเร็ว ทั้งนี้เพราะพื้นฐานเดิม ของพ่อครู มีการจัดสรร ๘ อ. อย่างสมดุล พอมีความผิดปกติ ก็ตรวจรู้ได้ และไม่ฝืนร่างกายทำงาน แม้แต่การงดฉัน ก็เพื่อให้ร่างกาย ไม่ต้องมีภาระในการย่อยอาหาร ให้ร่างกายได้พักจริงๆ เมื่อมีบุคลากรทางการแพทย์ของชาวอโศก ทั้งแผนปัจจุบันและแผนไทย มาระดมช่วยกันไม่ถึงหนึ่งวัน ร่างกายพ่อครูก็ฟื้น
เป้าหมายของการชุมนุม (Goals)
๑. ไม่มุ่งหาปริมาณเป็นเอก แต่มีปริมาณการแสดงออก เป็นประชาธิปไตย
๒. แสดงคุณภาพของความเป็นประชาธิปไตย (จิตที่มีธรรมะ)
๓. เพื่อมาแสดงสิทธิ์ร่วมชุมนุม ยืนยันอำนาจอธิปไตย ของมวลประชาชน
๔. ไม่มุ่งหมายชนะหรือแพ้ ให้ความรู้ความจริง เป็นตัวตัดสิน
๕. เอาวิถีชีวิตความเป็นสาธารณโภคี
มาแสดง (มีทรัพย์สินเป็นของส่วนกลาง ให้ทุกคน ต่างร่วมกินร่วมใช้ได้)
สาธารณะคือส่วนกลาง ส่วนโภคีคือร่วมกิน ร่วมใช้อาศัย ส่วนกลาง ของกลางนี้ไม่ใช่ของใคร แต่คือของแต่ละคน คนละนิดละหน่อยเอามาร่วมกัน เราทำได้เป็นชุมชน ทุกชุมชนอโศก อยู่ในระบบสาธารณโภคี ที่มีอยู่หลายสิบชุมชน ทั่วประเทศ กระจายอยู่
สมัยพระพุทธเจ้า ท่านทำสาธารณโภคีในหมู่สงฆ์ได้ มีศีลที่เป็น ข้อควรทำอย่างอิสระ แล้วปฏิบัติศีล เพื่อขัดเกลากิเลสไป แม้จิตคุณไม่บรรลุ คุณมาสมาทานศีลนี้ก็ได้แล้ว ศีลของพระพุทธเจ้า คือจุลศีล ๒๖ มัชฌิมศีล ๑๐ ข้อ มหาศีลอีก ๗ ข้อ เป็นธรรมนูญของพุทธ ท่านไปไหนก็ประกาศอันนี้ ไม่ว่าไปแคว้นไหนๆ ซึ่งท่านไปในรัฐไหนๆ คนของรัฐนั้น แคว้นนั้น ก็มาสมัครเข้าในรีตของท่าน เมื่อมาบวชแล้ว พระเจ้าแผ่นดินก็ยกคนของท่านให้ แม้เป็นยุคที่ไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน เป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เต็มๆ ทั่วทั้งหมด แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ทันสมัย ปลดแอกความเป็นทาส ความเป็นวรรณะ ใครมาอยู่ในลัทธิท่าน ก็เสมอกันหมด หมดความเป็นทาส ความเป็นวรรณะไปเลย แม้เป็นลูกเจ้า ลูกนาย มาบวชแล้ว ก็เท่ากับชาวบ้านทั่วไป ถ้าลูกชาวนามาบวชก่อน เจ้าชายมาบวชทีหลัง ก็ต้องกราบภิกษุชาวนาผู้บวชก่อน พระพุทธเจ้าทำได้ในสมัยนั้น
เสร็จแล้ว สงฆ์อโศกก็เท่ากันหมด คือ
๑.ญาติปริวัฏฏัง ปหายะ ๒.โภคักขันธา ปหายะ
คือทุกคนสลายญาติ ทุกคนมาเป็นญาติกันในกลุ่มหมด แม้ญาติข้างนอก เขาปฏิบัติอย่างเรา เมื่อมาอยู่ในหมู่กลุ่มนี้ ก็มาเป็นญาติธรรม แต่ถ้าญาติทางสายเลือด เขาไม่อนุญาต ก็ทำไม่ได้นะ คำว่าญาติปริวัตตัง จึงลึกซึ้ง คือเป็นญาติธรรม พึ่งเกิดพึ่งแก่พึ่งเจ็บพึ่งตาย กันได้นั่นเอง จะพูดให้ชัดคือ ตัดญาติข้างนอก มาเป็นญาติธรรม
ส่วนโภคทรัพย์ ถ้ามาเป็นญาติธรรมแล้ว โภคทรัพย์ทุกอย่างเป็นของส่วนกลาง ทุกคนไม่ยึดถือเป็นของส่วนตัว กินใช้ร่วมกันหมด ยุคพระพุทธเจ้าไม่ทำถึงฆราวาส แต่ทำในสงฆ์ ไปที่ไหนก็สำเร็จหมด พระพุทธเจ้าไปรัฐไหนๆ ก็สำเร็จหมด ไปแคว้นไหนๆ ทุกแห่งยอมหมดเลย แล้วเป็นสาธารณโภคี ไม่มีใครสะสมเป็นส่วนตัว นี่คือ สุดยอด ประชาธิปไตย ทุกคนมีความเสมอภาค (one man, one vote) มีอิสระเสรีภาพ ต่างคนต่างมีความเข้าใจ มีปัญญาเป็นตัวหลัก แล้วก็เข้ามารวมตัวกัน ช่วยเหลือกัน โดยไม่ต้องเห็นแก่ตัว ไม่ต้องไปโลภโกรธหลงอะไร
พ่อครูว่า เรามาชุมนุม จะเอาวิถีชีวิตสาธารณโภคีมาแสดง เราก็ทำไปเรื่อยๆ เราทำมาหลายทีแล้ว เราทำอย่าง Go on and see out คือค่อยๆ ทำไปตามจริง แล้วทำไป ให้ถึงผลสำเร็จ สูงสุดยอดเลย พ่อครูทำงาน ใช้ภาษาที่เรียกว่า ชนะหรือได้ผล เราจะไม่ใช้คำว่า ชนะก็ได้ แต่เราได้ผลรายทาง ซึ่งผลที่ได้อาจมีไม่ดีก็ได้ ถ้าผลเสียมาก เราก็ไม่ดันทุรัง เลิกดีกว่า
ถ้าอัตราการก้าวหน้าดี ก็มองเห็นว่า ไทยเราจะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่ทำแบบที่เขามาหามวล เรียกร้องจัดตั้ง ไม่ใช่ประชาธิปไตย มาหามวล มาสร้างอำนาจ ให้แก่ตนเอง เท่านั้น อย่างหลายประเทศที่เป็นอยู่ มั่นใจว่าคนไทยเราศึกษาได้ ช้าหน่อยไม่เป็นไร
นีโอ โพรเทส คือ ประชาธิปไตยแท้ คือออกมาประท้วง มาใช้สิทธิ์สดๆ ไม่ใช่ของแห้ง เป็นอธิปไตยลำดับที่ ๑ เลย นี่คือการชุมนุมประท้วง รวบรวมบุคคล สดๆ เรามาทำ เพื่อพิสูจน์ว่า คนไทยรู้จักสิทธิหน้าที่ประชาธิปไตย แล้วออกมาแสดงคะแนนเสียง ออกมาแสดงตัว แสดงอำนาจอธิปไตย ขั้นที่ ๑ ในอธิปไตย ๘ ขั้น ที่พ่อครูคิดขึ้นมา โดยมี ศจ.ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ผู้จบปริญญาเอกทางด้านรัฐศาสตร์ ช่วยตรวจทาน และเพิ่มเติมรายละเอียด ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
อำนาจในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ๘ ลำดับขั้น
อำนาจลำดับที่ ๑ คือ อำนาจของประชาชน ออกมาประท้วง ยืนยันคะแนนเสียง ๑ คน ๑ เสียง
ถ้าเราต้องการให้คนนี้เลิกทำ หรือออกจากตำแหน่ง ก็ออกมา ถ้าคนเห็นด้วย ออกมากันมากเลย ถ้าออกมาสักล้านเสียง จะมีพลังนิวเคลียร์ ทางจิตวิญญาณ ไม่ต้องมาทำอะไร สงบแล้ว แสดงความเห็นนะ เช่นไม่ต้องการให้กู้เงิน สองล้านล้าน ก็ออกมากันเลย แล้วอยากจะดูว่า คุณนางสาวนายกปู จะว่าอย่างไร เมืองไทยเรา ยังไม่มีปรากฏการณ์ ที่ออกมาอย่างสันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น
อำนาจลำดับที่ ๒ คือ พระมหากษัตริย์ ผู้เป็นรัฐาธิปัตย์ตาม Supreme law
(อำนาจลำดับที่ ๑ ร่วมกับ อำนาจลำดับที่ ๒ เป็นราชประชาสมาสัย) อันนี้สำคัญ เพราะมีนิติราชประเพณี แต่โบราณ และขนบธรรมเนียม ประเพณี ของราษฎร ที่กลมกลืนกัน บังเอิญคณะราษฎร์ ขัดกับพระมหากษัตริย์ ไม่เป็นราชประชาสมาสัย จึงดำเนินการเป็นประชาธิปไตย ไม่สำเร็จ
อำนาจลำดับที่ ๓ คือ พระมหากษัตริย์ ใช้อำนาจนั้นผ่าน ๓ สถาบัน คือ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) บริหาร (ครม.) และตุลาการ (ศาล) ทุกวันนี้ สภาก็เละเทะ บริหารก็เละเทะ มีแต่ศาล ก็กำลังถูกเลื่อยขา ถ้าไทยเราไม่มีอำนาจศาลที่ดี ประเทศก็จะเละ ยิ่งกว่าคนท้องเสียอีก
อำนาจลำดับที่ ๔ คือ ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ตามกฎหมาย
อำนาจลำดับที่ ๕ คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในประเทศประชาธิปไตย ต้องไม่บังคับ สังกัดพรรค
อำนาจลำดับที่ ๖ คือ นายกรัฐมนตรี ที่ได้รับการเลือก จาก ส.ส. ในประเทศ ประชาธิปไตย ไม่มีประเทศใดกำหนด ส่วนใหญ่ก็อนุโลมกัน โดยเฉพาะประชาธิปไตย ที่มีระบบพรรคเข้มแข็ง ถึงกระนั้น กษัตริย์อังกฤษคือ ราชินีอลิซาเบธ ก็เลือกคนนอก คือ เซอร์ดักกลาส ฮูม มาเป็นนายกฯ เมื่อปี ๑๙๖๕
อำนาจลำดับที่ ๗ คือ คณะรัฐมนตรี ที่นายกฯ เป็นผู้เลือกมาทำงาน
อำนาจลำดับที่ ๘ คือ ข้าราชการ ที่ต้องเป็นกลไกที่เป็นกลาง และมีความสามารถ ในการนำนโยบายการเมือง มารับใช้ราษฎร มิใช่หากินกับราษฎร และเอาราษฎรไปรับใช้ หรือเป็นเบี้ยล่างการเมือง
พ่อครูพาพวกเรา ออกมาชุมนุมในครั้งนี้ ทำด้วยความมั่นใจ ไม่มีอะไรซับซ้อน สังคมไทยกำลังเดือดร้อนหนัก เขาเดินหน้าปู้ยี้ปู้ยำประเทศ ไม่หยุดเลย ทำอย่างหน้าด้านหน้าทนเลย พ่อครูถึงบอกว่า ออกมาร่วมมือกันเถอะ เก็บอัตตา ใส่เซพราคาแพงเอาไว้ก่อน! แล้วออกมาทำงาน เพื่อช่วยเหลือประเทศชาติ
ในภาวะบ้านเมืองกำลังคับขัน อยู่ในขณะนี้
สิ่งที่ชาวกองทัพธรรม จะต้องระมัดระวังคืออะไร?
จุดยืนของพวกเรา กองทัพธรรม เหมือนกันกับพวกกาชาดสากล เราพยายามที่จะเป็นผู้เข้าไปช่วยสังคม ในภาวะที่เกิดความเดือดร้อน โดยพ่อท่านกำชับกำชาว่า จะต้องไม่ไปเป็นตัวปฏิกิริยา หรือ ตัวที่สร้างเรื่องสร้างราวต่างๆขึ้นมา เหมือนกับเหตุการณ์ วันที่ ๗ สิงหาฯ ที่ผ่านมา ที่มีการชุมนุมอยู่ ๒ กลุ่ม แล้วก็มีแนวโน้มว่า จะเกิดความรุนแรง ก็มีพวกเราบางคน และแนวร่วมของเราคิดกันว่า น่าจะไปแสดงการประท้วงโดยความสงบ ไปนั่งสงบเฉยๆ นั่งสงบแบบสันติอหิงสา นั่งตรวจดูใจตัวเอง อ่านใจตัวเอง ที่แท่งปูน (แบริเออร์) หน้าทำเนียบ แต่เขาก็ได้มาปรึกษาพ่อท่านในเรื่องนี้ ในความเห็นของพ่อท่านฯ เห็นว่าไม่ควรทำหรอก มันก็จะมีสัญลักษณ์ของพวกเรา เพราะคนที่ไป ส่วนหนึ่งก็เป็นชาวกองทัพธรรม แม้จะไปนั่งสงบเรียบร้อย มันก็ยังเป็นตัวปฏิกิริยา หรือตัวทำให้เกิดเรื่องขึ้นมาอยู่ดี แม้จะทำด้วยความสงบเรียบร้อย ก็ตาม
และพ่อท่านก็อธิบายให้ฟังว่า ทิศทางและจุดยืนของเรา คือ พวกเรามีหน้าที่เป็นผู้รับใช้ ถ้ามีคนเขาขาดอาหาร เราก็เอาอาหารไปช่วยเต็มที่ ทุกสี ไม่มีสี ไม่ได้ยึดติด กลุ่มไหน ที่ไหน เขาลำบากเรื่องสุขา เดือดร้อนเรื่องขับถ่าย อุจจาระปัสสาวะ นี่ก็เป็นหน้าที่ของกองทัพธรรม ที่จะต้องออกไปช่วยสังคม เขาเดือดร้อนเรื่องขยะ งานรับใช้ งานบริการต่างๆ อันนี้เป็นงานของ กองทัพธรรมโดยตรง มันเป็นงานหลักของกองทัพธรรม ที่จะต้องออกไปช่วย
และเราก็ยินดีที่จะออกไปเป็นผู้รับใช้ โดยที่ไม่ได้ไปหวังผลใดๆ กลับคืนมาตอบแทน ไม่ได้หวังว่าเขาจะให้ลาภยศ หรือได้ตำแหน่งทางการเมือง โดยเห็นว่า สิ่งนี้มันเป็นเรื่องน่า
ช่วยเหลือ มนุษยชาติด้วยกัน เราก็ออกไปทำ สรุปแล้วก็คือ ทิศทางของกองทัพธรรม ก็จะเป็นเรื่องของการไปเป็นผู้รับใช้สังคม ไปเป็นผู้ช่วยเหลือสังคม นี้เป็นจุดยืนของเรา
สุดท้าย ก็ขออนุโมทนา บุรุษผู้กล้าทั้งหลาย ที่ตั้งใจจะไปปฏิบัติการแบบท้าทาย ด้วยความสงบสันติ แต่พอได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่ ก็พากันถอยทัพ กลับคืนสู่ที่มั่นอย่างเก่า ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ เหนือชัยชนะอื่นๆใด นั่นก็คือ "ชนะใจตัวเอง!"
เราจะได้ประโยชน์อะไร
จากการที่ออกไปชุมนุม รวมกับกองทัพประชาชน
ประโยชน์ที่ชัดเจนเลย ในข้อแรกเลยก็คือ
๑. ได้มีการตั้งตนอยู่บนความลำบาก ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ว่า กุศลธรรมเจริญยิ่ง เป็นการได้ออกจากกาม ได้ออกจากภพของเรา ทุกๆครั้ง เราจะเห็นได้ว่า เวลามีแขกมาเยี่ยมพวกเรา จะมีความสุข เพราะพวกเราได้ออกจากภพ มาต้อนรับแขก แต่เวลาแขกกลับ เราก็กลับมาสู่ภพของเรา มันก็จะคืนสู่สภาพยุ่ง วุ่นวายไปหมด
ดังนั้น การอยู่ในชุมชนมายาวนาน บางทีแต่ละชุมชน ก็เหมือนกับสวรรค์วิมานของเรา แต่เมื่อเราต้องมานอนตากฝนตากแดด หรือนอนกันกลางถนน ก็จะเป็นการบำเพ็ญตบะ โดยที่ไม่ต้องตั้งตบะอะไร เพราะเป็นการตั้งตนบนความลำบากอยู่ในตัว ที่จะทำให้เรากุศลธรรมเจริญยิ่ง แล้วก็ดูเหมือนว่า ในช่วงสำคัญๆ พ่อท่านมักจะมีเพชร ที่อยากเอาไปขยาย ให้ลูกๆ ได้เจริญในธรรมอีกเยอะเลย ก็จะทำให้เราได้มีเวลาฟังธรรมมากขึ้น เพราะในชุมชน งานเยอะมากจนไม่มีเวลาฟังธรรม ก็จะได้มีเวลาฟังธรรม ให้อิ่มให้ลึกซึ้ง ในคราวนี้แน่นอน
๒. ได้ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า ในเรื่องความไม่ประมาท เพราะว่างานนี้ อาจจะมีเรื่องรุนแรงก็ได้ จึงต้องเผื่อเหลือเผื่อขาด เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจ ระลึกถึงความตายเหมือนกัน เพราะว่าทางฝ่ายรัฐบาล หรือลูกน้องของระบบทักษิณนี่ เขาพร้อมที่จะรุนแรงกับประชาชน ได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว เราก็จะต้องคิดถึงความตาย ที่อาจจะเกิดขึ้น กับชีวิตของเราได้อยู่ทุกขณะ เช่นเดียวกัน ก็จะทำให้เราได้เจริญมรณะสติอย่างยิ่ง ซึ่งเราจะได้ทบทวนว่า เอ๊ะ.. ถ้าเราจะตายวันนี้ตายพรุ่งนี้ ศีลแต่ละข้อของเรา ยังบริสุทธิ์ดีอยู่หรือ? ศรัทธาในพระรัตนตรัย ยังมั่นคงไม่หวั่นไหวดีอยู่หรือ? อาริยทรัพย์ของเรา ยังงอกงามไพบูลย์ดีอยู่หรือ? หรือว่ากิเลสของเรา กำลังงอกงามไพบูลย์อยู่?
สิ่งเหล่านี้ มันก็ทำให้เราจะแคล้วคลาด หรืออยู่รอดปลอดภัย เพราะว่ามี "ธัมโมหเว รักขติ ธัมมจาริง" ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เราจะมีธรรมรักษาเราได้ ก็เพราะเราเป็นผู้ประพฤติธรรม ไม่ย่อหย่อนในธรรม ในข้อนี้ ก็จะทำให้เราอยู่ในความไม่ประมาท เหมือนในสมัยพุทธกาล พระท่านไปอยู่ตามป่าช้า ท่านก็จะต้องคิดอยู่ว่า ถ้าเกิดคืนนี้ งูได้มากัด มีสัตว์ร้ายมากัด เราอาจจะตายในคืนนี้ก็ได้ แต่ตอนนี้ สัตว์ร้ายงูร้าย ถูกมนุษย์จัดการหมดแล้ว เราก็เลยเหลือแต่สัตว์ในป่าคอนกรีต ซึ่งดุร้ายยิ่งกว่าสัตว์ร้ายในป่าเสียอีก ก็จะทำให้เรา ระลึกถึงความไม่ประมาท ก็จะต้องดำรงชีวิตอยู่ในศีลในธรรม ด้วยความไม่ประมาทอย่างยิ่ง และก็สอดคล้องกับ โศลกธรรมในปีนี้ ที่บอกว่า เมื่อ "มีหมู่ฝูงที่ดี รีบพลีชีพลุย" แต่รีบพลีชีพตรงนี้ ประเด็นสำคัญ ไม่ใช่หมายความว่า เอาชีวิตเข้าไปลุย รีบพลีชีวิต แต่ต้อง "รีบพลีกิเลส " ของเรานี่แหละ กิเลสที่มันติดความสบาย กิเลสที่มันย่อหย่อนต่างๆนานานี่ เราจะได้อ้างสถานการณ์นี้ มารีบล้างกิเลส เผื่อที่ว่า ถ้าเราจะต้องหมดอายุขัย ซึ่งแต่ละคน เราก็จะต้องจากโลกนี้ไป ไม่วันใดก็วันหนึ่ง เหมือนอาจารย์ตะวัน ตะวันถึงเวลาก็ต้องลาลับจากเราไป แต่ว่าถ้าเราสามารถจากโลกนี้ไปได้ ด้วยการทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติบ้านเมือง กับหมู่กลุ่มได้ด้วยก็น่าจะคุ้ม และได้ประโยชน์ คุ้มค่ากับชีวิตนี้ ที่ได้เกิดมามากกว่า
๓. จะได้เป็นการเฉลิมฉลองวาระที่ พ่อท่านจะครบรอบ ๘๐ ปี กันให้เต็มที่ อย่างจัดหนักจัดเต็ม สิ่งหนึ่งที่เราพลาดกันมาตลอดเวลา ก็คือ พอถึงตอนวันงานจริงๆ ๕ มิถุนาฯ เราก็พึ่งมานึกได้ว่า เอ๊ะ! พ่อท่านจะครบรอบ ๘๐ ปี เราจะจัดอะไรกัน จะหารูปที่ไหน จะจัดนิทรรศการที่ไหน จะทำอะไร ก็ดูเหมือนว่า งานเรามันเยอะมาก พอถึงจริงๆ เราก็ไม่ได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวอะไร
แต่ในครั้งนี้ จะเป็นการปฏิบัติบูชาอย่างยิ่ง เป็นการที่เราจะได้ทำประโยชน์ ให้กับพระศาสนาอย่างยิ่ง เป็นการที่เชื่อมต่อกับมนุษยชาติอย่างยิ่ง ซึ่งทุกวันนี้ ข้อที่สังคมเคยตั้งคำถามกับเราว่า ชาวอโศกนี่ มันทำประโยชน์ให้แก่พวกมัน เท่านั้นเอง ไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับสังคม ในข้อกังขาที่สังคมมีกับเรา ผ่านๆมาก็เหมือนว่า สิ่งเหล่านี้ก็จะตกไป คำว่าชาวอโศก เพื่อมวลมนุษยชาติ ก็ดูเหมือนว่า เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ในสังคมขณะนี้ ดังนั้นงานนี้ก็จะเป็นงานที่ฉลอง ในวาระที่พ่อท่านจะครบรอบ ๘๐ ปี และก็มีพวกเราบางคนบอกว่า สวนลุมฯ เป็นสถานที่ ที่เราเคยจัดงานศีลสมโภชน์ มาแล้ว รอบนี้น่าจะเป็นรอบจัดงาน ปัญญาสมโภชน์ เราจะได้กลับมาจัดงาน ปัญญาสมโภชน์ กันอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นการมาช่วยกัน เปลี่ยนสนามรบ มาเป็นสนามธรรมะ นำความสุขเย็นมาให้สังคม อย่างยิ่งทีเดียว
คุ้มไม่คุ้มกับการเคลื่อนตัวของ กองทัพธรรมในครั้งนี้
เพราะดูเหมือน เขาจะแพ้ จะลงกันอยู่แล้ว! จะไม่พลอยทำให้เราต้องเสียฟอร์ม ตามไปด้วยหรือเปล่า? หลายๆคำถามที่ค้างคาใจ และต้องการได้รับอรรถาธิบาย จากพ่อท่าน ???
.....ตอนนี้ มีสำนักข่าวหลายสำนักรายงานว่า กองทัพธรรมออกไปช่วย กปท. (กองทัพประชาชน โค่นระบอบทักษิณ) ทีนี้เมื่อมีข่าว เราก็ไม่ได้ปิดข่าว แต่เราไม่ทำอย่างครึกโครม เราก็ทำตามประสา ความเห็นควร ตอนแรกก็ออกไปเล็กๆน้อยๆ แต่ว่าตอนนี้ช่วยเต็มที่ เพราะเรารู้ว่า คณะนี้ทำเพื่อบ้านเพื่อเมือง เหมือนกรณี เสธ.อ้าย เป็นการทำเพื่อ ประชาชนจริงๆ ไม่ได้ทำเพื่ออย่างอื่นใด
ก็มีคนที่ไม่เห็นแก่ตัว มารวมตัวกัน แม้แต่เราไปอยู่กับพันธมิตรฯ เราก็ไป เราก็ทำงานร่วมกันได้ ครั้งนี้เราไปเพื่อช่วยเหลือ เพราะเราเห็นเนื้อแท้ว่าอันนี้ มันเป็นงานเพื่อชาติ เราเห็นร่วมด้วยว่า จะไม่เอาระบอบทักษิณ การจะเสนอ พ.ร.บ.ปรองดอง เข้าไปนี่นะ พวกนี้มีเล่ห์เหลี่ยมมาก เราก็ไม่เห็นด้วย ขณะนี้ เขาก็ละเมิดกฎหมายกันอยู่ จนเป็นอาณาจักร แห่งความกลัว แม้แต่ตำรวจก็อยู่ในคอก ภยาคติ กลัวเสียอำนาจ เสียตำแหน่ง มันก็เลยกลายเป็น เรื่องเลวร้ายในสังคม
มองว่า ตอนนี้พวก กปท. (กองทัพประชาชน โค่นระบอบทักษิณ) นี้ยังไม่ค่อยได้แต้ม แต่อีกพวกหนึ่ง ก็กำลังได้แต้มในสภา ถ้าชนะก็เป็นเผด็จการในสภา แล้วจะให้หมาเป็นควาย ให้ควายเป็นลิง ให้กล้วยเป็นกล้าย ได้หมดแล้ว มันเป็นอำนาจเผด็จการทางสภาที่แท้จริง คนยังไม่เข้าใจ อำนาจถ่วงดุล ตอนนี้ก็เลยต้องยอม ตามกฎหมาย แต่เราก็ต้องไม่หยุด เราต้องช่วยกัน ต้องช่วยคนเพลี่ยงพล้ำ แต่ไม่ได้ไปแย่งชิง เอาชนะ เพราะถ้าคิดแค่เรื่องแพ้ชนะ เราก็คงไม่ออกไป เพราะก็มองเห็นกันอยู่ว่า น่าจะไปได้ไม่นาน แพ้ชนะ จึงไม่ใช่เป้าหมายของเรา แต่งานช่วยเหลือประชาชนนี่สิ คือเป้าหมาย! เขาอยู่ ๑ วัน ก็ไปช่วย ๑ วัน อยู่ ๓ วัน ก็ช่วย ๓ วัน โดยเฉพาะเรื่องพลาธิการ เรื่องพยาบาล เราอโศก หรือกองทัพธรรมนี่ เช็ดปัดกวาดเก่ง จะให้ไปตีรันฟันแทง เราไม่เป็น จะบอกว่าสู้ไม่สู้ เราไม่สู้ แบบนั้นไม่เอา ใครจะว่าขี้ขลาดก็ไม่ว่า
ผู้ล้มเราก็ต้องช่วย ผู้เดือดร้อนเราก็ต้องช่วย เราไม่ได้มีอคติ คนอาจไม่เข้าใจในรายละเอียด ก็บอกแจ้งต่อพวกเราว่า เราจะออกไปทำงานช่วย ส่วนผู้ที่ออกไปทำงาน แล้วก็ไปฟังเขา เขาจะให้ช่วยอะไร ก็ทำ มีอะไรที่เราจะเป็นประโยชน์ต่อเขาได้ เราก็ทำ โดยต้องไม่เป็น อธรรม เราเป็นนักปฏิบัติธรรมมาตลอด ๔๐ กว่าปี ก็ทำอย่างนี้กับสังคม เราออกไป ไม่ได้ไปรบราฆ่าฟัน การเมืองเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน เราไม่เห็นแก่ตัว ไม่อกตัญญูต่อบ้านเมือง เหตุการณ์มาขนาดนี้ เราก็ต้องไปช่วย เพราะทางนี้ทรุดไป เราก็ต้องช่วย ช่วยทำอาหาร พยาบาล และเรื่องสื่อสาร ตามความถนัดของเรา ตามความจริงของเรา
ก็บอกแจ้ง อโศกทั้งหลายว่า เราต้องออกไปช่วยกันทำ ด้วยจิตสะอาด ไม่ไปก่อวิวาท ทำเพื่อพรรคเพื่อพวก เราไม่ทำ พ่อครูเข้าใจการเมืองประชาธิปไตย เป็นแบบนี้ และอย่างนี้คือ ไม่ได้เป็นไปเพื่อตัวเอง พรรคพวก หมู่ฝูง ครอบครัว เราทำเพื่อประชาชนจริงๆ แม้เขาจะไม่เชื่อน้ำใจของเราหรอก แต่พวกเรา พร้อมพิสูจน์กับพ่อครูไหม? ( เสียงตอบว่า...พร้อม! )
พ่อครูเปิดเผย การหมดความยึดอัตตาได้ เพราะเหตุใด
ในการเทศนาวันเข้าพรรษา และขอบุญโฮม ที่ศีรษะอโศก (อังคารที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖) เรื่อง เปิดเผยการหมดความยึดอัตตา
พ่อครูได้อ่าน sms วันที่ ๒๐ ก.ค.'๕๖ ของคุณ 0888705xxx ว่า... คำโกหกมีอยู่จริง แต่คำโกหกนั้น ไม่จริง! ฉันใด.... โอฬาริกอัตตา, มโนมยอัตตา, อรูปอัตตา.... ก็มีอยู่จริง (โดยสมมุติ) แต่ว่า.... อัตตาทั้ง ๓ นี้ ย่อมล้วนไม่จริง! (โดยปรมัตถ์) ฉันนั้น! OK มั้ยจ๊ะ? แต่อาศัยว่า ชาวบ้านที่มากิน มังสวิรัติ ตามโพธิรักษ์นั้น, ส่วนมากเป็นคนซื่อๆ ไม่ค่อยมีปัญญา จึงไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ ๗๙ ปี ก็ไม่เคยมีเสด็จปู่โพธิรักษ์ และหลังจากนี้ ๗๒ ปี เมื่อโพธิรักษ์ตายแล้ว.. ก็ย่อมจะไม่มี เสด็จปู่โพธิรักษ์เหมือนกัน! สรุปว่า อัตตาของโพธิรักษ์มีอยู่จริง (แค่ ๑๕๑ ปีเท่านั้น!) แต่ว่า.. อัตตาของโพธิรักษ์นั้น ย่อมไม่จริง! เหตุเพราะไม่สามารถ จะดำรงอยู่ได้ ตลอดกาลนาน เป็นอกาลิโก เช่นเดียวกับปรมัตถธรรมได้! พุทธเจ้า จึงสอนไม่ได้อยู่ ๓ เรื่อง! คือ ๑.สอนคนโกง ไม่ให้โกง! ๒.สอนคนหน้าด้าน ให้มียางอาย! ๓.สอนเดียรถีย์ ที่มิจฉาทิฐิ
เช่น เทวทัต และสาวกของเทวทัต (ที่ยังหลงเหลืออยู่ถึงปัจจุบันนี้).... ให้กลับกลายเป็นสัมมาทิฐิได้! สรุปว่าโพธิรักษ์ ก็ลองพิจารณาดูเอง ก็แล้วกัน... ว่าตัวเอง เป็นคนประเภทไหน!
ถามว่า พ่อครูเป็นคนประเภทไหน....
พ่อครูตอบว่า... อาตมาเป็นคนประเภทที่ รู้จัก "ความเป็นอัตตา" จริง และรู้แจ้งเห็นจริงด้วย สัมมัปปัญญา อันวิเศษของตน รู้ว่าอัตตาของตนสิ้นแล้ว ไม่มีอยู่จริง เพราะมันอนัตตาจริง มันไม่ใช่อัตตา ตามที่คุณ ๘๗๐๕ ว่าไว้นั่นแหละ อาตมาเห็นแล้วว่า มันไม่ใช่อัตตา เพราะอาตมาล้างอัตตาของตนเองได้หมด จึงจบสำเร็จแล้ว อัตตา มันไม่ใช่อัตตาเรา มันเป็นของสมมุติ เพราะฉะนั้น จึงรู้แจ้งว่า ผู้ยังมีอัตตาอยู่ คืออย่างไร เพราะตนเองรู้ว่า การหมดอัตตา มันเป็นเช่นนี้ จึงรู้ว่า คนที่ยังมีอัตตาอยู่ คือคนเช่นไร และรู้ไปถึงว่า คนที่มีอัตตวาทุปาทาน คือคุณ ๘๗๐๕ ไง! นี่คือคำตอบ
ตอบอีกครั้งว่า ถามว่าพ่อครู เป็นคนประเภทไหน....
พ่อครูตอบว่า... อาตมาเป็นคน ประเภทที่รู้จัก "ความเป็นอัตตา" จริง รู้ทั้งโอฬาริกอัตตา – มโนมยอัตตา – และได้ปฏิบัติ จน "หมดสิ้นอัตตา" ได้จริง อย่าหาว่าอาตมาอวด อุตริมนุสธรรมเลย พระพุทธเจ้าสอนไว้ในพรหมชาลสูตร อะไรไม่ใช่ก็กล่าวแก้ อะไรใช่ก็บอกว่าใช่ หรือแม้แต่ใน อภิณหปัจจเวกขณ์ ข้อที่ ๑๐ ถ้าใครถามว่า อาตมามีอุตริมนุสธรรม ในตนหรือไม่? ถ้าใครอยากรู้ ก็บอกเขาไปเลย อย่างไม่ได้ขัดคำสอน ของพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นคนประเภทนี้ ก็ตอบอย่างจริงใจ ด้วยเมตตา ไม่ได้โกรธได้เคือง ไม่ได้ติดใจถือสาแต่อย่างใด
คุณจะตู่อาตมา จะย่ำยีอาตมาเป็นเดียรถีย์ ก็ไม่ได้ติดใจ เพราะอาตมารู้ว่า คุณพูดด้วยพยัญชนะภาษา เท่านั้น เพราะอาตมารู้และเข้าใจว่า คุณมียิ่งกว่า "โปฐิละ " (พระใบลานเปล่า) แต่อาตมาคือ "โพธิรักษ์" จริง แต่คุณสิเป็น "โปฐิละ" แท้จริงเลย ยิ่งกว่า "ฤาษีกินเหี้ย" ...ก็เขา (๘๗๐๕) พูดมาเอง เรื่อง "ฤาษีกินเหี้ย" และตนเองก็ปิดประตูอยู่ในรู ไม่รู้อะไรอยู่ในนั้น ขออภัย ที่อาจรู้สึกว่า พูดแรงไปหน่อย
ยืนยันว่า อาตมาเป็นคนที่ รู้จักอัตตา ทั้งโอฬาริกอัตตา – มโนมยอัตตา - อรูปอัตตา และก็ได้ล้างอัตตา ทุกอย่างสิ้นเลย จึงสบายทุกวันนี้ วันนี้ตั้งใจอธิบายเรื่องอัตตา ถ้าคุณ ๘๗๐๕ มี สุ สูสัง ลภเต ปัญญัง ก็คงจะได้เกิดปัญญาได้
ต่อไปจะพูดเรื่องอัตตา ๓
ความเป็นผู้อมตะแล้ว จะมีอัตตาหรือไม่ก็ได้ เป็น "อตมฺมยตา " (สำเร็จอัตตาด้วยตนเอง) และไม่ติดยึดในความเป็นอัตตา ของตนเองจริงๆ เพราะรู้แจ้งอัตตา มีอัตตาเฉพาะอาศัย ไม่ลึกลับในความเป็นอัตตา คือมีอรหัตตผล มีอัตตาอย่างสูงสุดแล้ว โดยไม่ลึกลับแล้ว(อรหัง) รู้แจ้งแทงทะลุความเป็นอัตตา ทั้งโอฬาริกอัตตา - มโนมยอัตตา - อรูปอัตตา
โอฬาริกอัตตา คืออัตตาหยาบ, อรูปอัตตา คืออัตตาละเอียด เป็นสองขั้วใหญ่ๆ จะต้องรู้ตั้งแต่หยาบ – กลาง - ละเอียด ต้องเรียนรู้ความมีอัตตาของตน คืออย่างไร คนเราต้องเรียนรู้ แต่เบื้องต้นก่อน ต้องรู้ตัวช้าง ส่วนไหนของช้าง ตั้งแต่หยาบเสียก่อน แล้วก็จัดการกับความเป็นช้าง ของตนเองอย่างนี้ จึงล้างออก แล้วเป็นสิ่งที่อาศัย ก็จะเหลือของละเอียด ไปตามลำดับ จากสักกายะ มาเป็นอัตตา ก็ลดละลงไป ตามล้างไปเรื่อยๆ จนเหลือหางช้าง เป็นอรูปอัตตา ก็ล้างอรูปอัตตาอีก ให้เกลี้ยง เป็นผู้ไม่มีอัตตาของตน แต่เป็นผู้ที่ไม่ลึกลับ (อรหัง) ในอัตตา เป็นอรหัตตา ถึงขั้นอรหันต์ ไม่ลึกลับ จนถึงที่สุด จบ
แต่เมื่อเรายังรู้ว่า ตนเองยังมีอยู่ ก็ต้องมี "อาหารรูป" คือสิ่งอาศัย ทั้งหมดคือ กายและใจ กายคือองค์ประชุม ทั้งดินน้ำไฟลมและอากาศ และวิญญาณ จะไม่พรากจากกัน จนกว่าจะปรินิพพาน ผู้เป็นอรหันต์จะไม่พรากธาตุ ๖ นี้ ท่านมีไว้อาศัย แต่ไม่ยึดเป็นเรา เป็นของเรา ท่านจบแล้ว
และที่คุณ ๘๗๐๕ ย้อนเอาคำพ่อครูมาว่า
"....คำโกหกมีอยู่จริง แต่คำโกหกนั้น ไม่จริง! ฉันใด.. โอฬาริกอัตตา, มโนมยอัตตา, อรูปอัตตา..ก็มีอยู่จริง (โดยสมมุติ) แต่ว่า.. อัตตาทั้ง ๓ นี้ ย่อมล้วนไม่จริง! (โดยปรมัตถ์) ฉันนั้น! OK มั้ยจ๊ะ?
พ่อครูว่า... ผู้ใดเห็นว่า คำโกหกไม่จริง คนนั้นก็ต้องไม่โกหก ตลอดกาลนาน และที่โกหกมาแล้ว ก็รู้แล้ว จบ ตั้งแต่อรหันต์แท้ๆนั้น หยุดเลยคำโกหก และคำโกหก จะไม่เกิดในตนตลอดกาล ตอบได้เลยว่า พ่อครูรู้จักคำโกหกดี พ่อครูเคยโกหกมาก่อน รู้จักว่าเป็นเช่นใด อย่างหยาบ – กลาง - ละเอียด อย่างใด แม้โกหกด้วยเล่ห์เล็กน้อย โกหกอย่างกะปริดกะปรอย โกหกตั้งแต่ โค่โหล่ (เบ้อเร่อเท่อ) ค่อหล่อ (ย่อมลงมาอีก) แค่แหล่ (เล็กแล้ว) คี่หลี่ (แทบจะไม่มีเหลือ) ไม่แม้แต่คี่หลี่ ซึ่งเป็นภาษาอีสาน นี่คือลักษณะนามของภาษาอีสาน ที่มีเยอะ ไม่มีเศษโกหกใดๆเลย ล้างด้วย อรูปฌาน ๔ มันว่างจริงหรือเปล่า ว่างคืออย่างไร วิญญาณสะอาด และสะอาดอย่าง แข็งแรงมั่นคง ก็ทบทวนของตนเอง เศษน้อยที่จะไม่ให้มีในจิตวิญญาณ ให้มันสะอาด มันว่าง จนมันไม่มีเลย อากิญจัญญะนี่ ทวนแล้วทวนอีก ในเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา กำหนดในปัจจุบัน ทุกปัจจุบัน ให้สมบูรณ์บริบูรณ์ๆ ไม่ขาดตกบกพร่องๆเลย
มันเป็นสมบัติ สมบูรณ์ พิสูจน์ทุกปัจจุบัน จะมาอีกกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านอาการ ล้านประสพการณ์ เราก็แน่ใจว่า อนาคตของเราเป็นนิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) สูญแม้ในเวทนา ๑๐๘ จริง จบกิจเป็น กตญาณ ถ้าคุณพลาด ก็หน้าแตกเองนะ พระอรหันต์ท่านจะทำอย่างไม่ประมาท ไม่งั้นหน้าแตก ไปนานหลายล้านชาติ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้เป็นอรหันต์ขีณาสพ อรหันต์จะไม่มีจิตอยากอวด จนกว่าจะมั่นใจ อย่างเช่น พ่อครู อวดอุตริมนุสธรรม เช่นวันนี้ อวดก็ต้องมั่นใจ
พ่อครูว่า... ไม่เคยเอาตัวเองออกมาบรรยาย อวดอุตริมนุสธรรมอย่างแน่นอน จริงจัง แต่วันนี้ มันวันอะไรไม่รู้ วันอายุย่างเข้า ๘๐ ปี นับอายุได้ ๗๙ ปี ๑ เดือน ๑๘ วัน โอ้โห ชัดเจน เพราะอาตมา เข้าใจในเลข ๑ กับเลข ๘ จริง คือพ่อครู จะต้องก้าวเข้าสู่เลข ๘ อาตมาอยู่ ๗ น่ะ เพราะฉะนั้น อันนี้ก็คือ ถึงขั้นก้าวหน้า แสดงว่าอาตมานี่มียีน ที่อาตมาเลยแล้ว จาก ๗ ขึ้น ๘ แล้ว ซึ่ง ๑ คือ ฐานของอาตมา ๘ นี้คือการก้าว ในธาตุแห่งความเพียรนั้น ๑ คือ "ธิติธาตุ" ส่วน ๘ คือเป็นตัวเริ่ม คือ "อุปักกมธาตุ" เป็นแกนหลัก เป็น Fulcrum เป็นแรง ที่จะพุ่งไปตาม "ถามธาตุ" (กำลัง) ที่จะเป็นศร ที่กำลังจะพุ่งออกจากแล่ง เดินต่อไป
คำตอบของพ่อครูที่ว่า คำโกหกมีจริง แต่คำโกหกไม่จริงนั้น ถูกต้อง และพ่อครูเคยโกหก เคยมีคำโกหก และได้ศึกษาคำโกหก แต่ได้ทำใจ ให้แข็งแรง (สมาหิตัง) จนคำโกหกจะไม่มีในพ่อครู ไปจนนิรันดร นี่คือ ไม่มีอัตตา ถ้าโกหกก็คือมีอัตตา พ่อครูได้ศึกษาแล้วว่า มันคือ อกุศลจิตแท้ๆ ไปทำทำไม ไม่ต้องโกหก ก็อยู่สบายไปรอด และโดยเฉพาะ ไม่ต้องฝืนด้วย นี่คือ ไม่มีอัตตา แต่คุณเองคุณมีอัตตา แล้วคุณอ่านอัตตาของคุณสิ ถ้าอ่านออก ทำการล้างอัตตา แล้วคุณจะหมดอัตตาได้
คุณจะจบคำว่า ไม่ใช่อัตตา เมื่อคุณไม่มีอัตตาแล้ว หมดอัตตาแล้ว คุณจึงจะพูดว่า "อัตตาไม่ใช่อัตตา" ได้ คนที่ยังล้างอัตตาไม่สิ้นจริง ไม่ถึงอรหัตตผล จนมีกตญาณแท้จริง คุณพูดอย่างไรก็ไม่จริงหรอก เพราะยังไม่จบสิ้นเป็น กตญาณ คุณบอกว่าจบแล้ว พระพุทธเจ้าสอนว่า "สัพเพ ธัมมา อนัตตา" คุณจะต้องมีอนัตตา ให้ได้ก่อน คุณอธิบายอนัตตาเป็นตัวต้น ซึ่งไม่ใช่, อนัตตาเป็นตัวปลาย เป็นตัวจบสุด แต่เอาเถอะ คุณจะเอาอนัตตาเป็นตัวต้น ซึ่งพ่อครูก็เข้าใจคุณ เมื่อคุณยอมรับว่า คุณมีอัตตาตัวต้น แล้วคุณกำจัดอนัตตาตัวต่อไป ของคุณให้จริงสิ คุณรับเองนะว่า คุณมีอัตตาตัวต้น คุณพูดเอง อาตมาจำได้ ซึ่งคุณเคยพูดเองว่า คุณก็ยังมีอัตตาตัวต้นอยู่ อาตมายังเก็บ sms ไว้อยู่เลย เก็บไว้เฉพาะ ของคุณเลยที่ส่งมา ถือว่าคุณเป็นคนที่ มีประโยชน์ต่ออาตมาคนหนึ่ง เป็นอุปกรณ์ ให้อาตมาใช้ทำงานศาสนา หลายอย่าง ก็ขอบคุณ ที่ค้นมาให้ดู หลายอย่าง ก็ทำให้ได้ประโยชน์ อาตมาไม่ได้รังเกียจหรอก
และที่ว่า สรุปว่า อัตตาของโพธิรักษ์ มีอยู่จริง (แค่ ๑๕๑ ปีเท่านั้น!) .... ถ้าพ่อครู อายุไปถึง ๑๕๑ ปี ก็จะมีอัตตาไว้อาศัย ไปอีกถึง ๑๕๑ ปี (ฟังคำว่าอาศัยให้ดีนะ) ซึ่งพ่อครูว่า... ใน ๑๕๑ ปี จะมีอัตตา ช่วงต้น ๓๖ ปีแรก ยังไม่ได้ทำลายอัตตา ไม่ได้ล้างอัตตา แต่ตอนนี้ มาเป็นโพธิรักษ์แล้ว ได้ล้างอัตตาไปหมดแล้ว ซึ่ง ๓๖ ปีนี้ เป็นอัตตาแบบ "ลิงลมอมข้าวพอง" ซึ่งท้าวความไปถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็มีอัตตา ลิงลมอมข้าวพองไป ๓๕ ปี ซึ่งพ่อครู ก็มีอัตตาแบบนี้มา ๓๖ ปี พอพระพุทธเจ้าเลย ๓๕ ก็มาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ส่วนพ่อครูก็เลย ๓๖ ปี ก็เป็นโพธิสัตว์ แล้วก็อาศัยอัตตาน ี้ทำงาน เป็น อตมฺมยตา" พ่อครูก็ทำงานไป จนกว่าจะอายุถึง ๑๕๑ ปี ถ้าพ่อครูเก่ง จะรักษาขันธ์ไว้ ถ้าไม่ถึงก็จบ รู้ว่าเรามีเวทนา – สัญญา – สังขาร - วิญญาณ เป็นเรา หรือ เราเป็นเวทนา – สัญญา – สังขาร - วิญญาณ หรือไม่
เช่น วิญญาณ มันจะเป็นเราหรือไม่ สมมุติว่า ถ้าธาตุรู้ หรือวิญญาณของคุณ ๘๗๐๕ ที่ส่งมา แสดงออกมา สัมผัสพ่อครู ส่งมาทาง sms ให้พ่อครูรู้ได้ แล้ววิญญาณของ ๘๗๐๕ ที่จะมาทิ่มพ่อครู ยิ่งกว่าหนามทุเรียน ทิ่มแทงทุกด้าน พ่อครูจะรับวิญญาณของ ๘๗๐๕ เข้ามาเป็นเรา รับมารู้สึกว่า เขามาเสียบเรา นิดหน่อยหรือมาก แต่ก็เสียบไม่เข้าเลย ไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกว่าระคายผิวเลย แม้วิญญาณ อันแหลมยิ่งกว่าหนามทุเรียน มาทิ่มพ่อครู อย่างแรงทุกมุม ก็ไม่ระคายผิว ก็ไม่ได้รับเวทนา – สัญญา – สังขาร - วิญญาณ มาเป็นเรา เป็นของเราเลย
ที่คุณตั้งใจมาว่า จะเสียบก็เสียบไม่เข้า ไม่ระคายผิวเลย จึงมีแต่อุเบกขาเวทนา ทั้งๆที่รู้ว่าเขาเสียบ ทั้งเราก็ไม่เป็นแบบคุณ พ่อครูไม่เคยไปใช้ เวทนา – สัญญา – สังขาร - วิญญาณ ไปเสียบคุณ มีแต่อธิบายธรรมะ ให้เป็นอาหาร ที่เป็นกุศลแก่คุณ คุณรับไปบริโภคบ้างหรือไม่??? พ่อครูให้คุณ อาจเข้าหู แต่ปิดประตูใจ ไม่ให้เข้า มันเลยไม่เข้า พ่อครูก็ว่า... เปิดนิดหนึ่งนะ อยากเข้าไปในใจคุณ เอาไปไว้ในใจคุณหน่อยเถอะ (นี่โรแมนติกไหม?) นี่ขอใช้ นัจจะคีตะวาทิตะ นะ นี่เป็นวรรณกรรม
สู่แดนธรรมถามว่า เขากลัวเสียหน้าหรือไม่? พ่อครูว่า...เขากลัวเสียอัตตา ซึ่งมันรวมทั้งหมด แต่แค่เสียหน้า ที่เป็นสิ่งประเจิด-ประเจ้อ ก็ถูกแล้ว แต่จริงๆ ทุกอย่างนี่คือ อัตตา พูดไป ก็ขออภัยอีกที อาจหยาบไปหน่อย แต่ก็คือการสื่อ "กา" ทั้งหลาย ได้กินหรือไม่? นี่คือการตีงูให้กากิน
กองงานปัจฉาสมณะ
มาตรวจสมรรถภาพของหัวใจ พบว่า หัวใจพ่อครู อายุ ๑๘ ปี
วันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ พ่อครูฉันอาหาร ตั้งแต่ ๗ โมงเช้า เพื่อเตรียมตัวไปฟังผลตรวจ ของวันที่ ๑๘ มิ.ย.'๕๖ และครั้งนี้ จะตรวจ Exercise stress-test with Echocardiogram (การวัดประสิทธิภาพ การสูบฉีดโลหิตของหัวใจ ในขณะพัก เปรียบเทียบกับ ตอนออกกำลังกาย) ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ตามนัดของหมอโต นพ.ประธาน วาทีสาธกกิจ) ที่ได้นิมนต์ไปตรวจต่อ เนื่องจากการตรวจที่ผ่านมา พ่อครูพร้อมด้วยปัจฉาฯ ออกเดินทางจากสันติอโศก ตอน ๑๐.๓๐ น. เนื่องจากรถติด จึงไปถึงที่รพ. ในเวลา ๑๑.๔๕ น. ซึ่งหมอโตก็รออยู่แล้ว จากนั้นจึงได้ไปที่ ห้องทำงานของหมอโต เพื่ออธิบายถึงผลการตรวจ เมื่อวันที่ ๑๘ มิ.ย.'๕๖ โดยห้องปฏิบัติการ (lab) และเอ็กซเรย์ ให้พ่อครูและปัจฉาฯ ฟังผลการตรวจเลือด มีดังนี้
มีความผิดปกติของผลเลือด คือ
๑. มีปริมาณวิตามินดี ต่ำกว่าปกติ แต่ค่าคงที่ เมื่อเทียบกับ ประมาณ ๓ เดือนก่อนที่ตรวจ
๒. ปริมาณเกลือโซเดียม ต่ำกว่าคนปกติเล็กน้อย แต่ไม่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง
๓. การทดสอบภูมิแพ้ต่อสารต่างๆ (Antigen) กว่า ๑๒๐ ชนิด พบว่า มีอาการแพ้ "กุ้ง" อย่างเดียว เท่านั้น
ผลตรวจเอ็กซเรย์ปอด พบว่า กระเปาะที่หลอดลม (Tracheal Diverticulum) มีขนาดโตกว่าเดิมเล็กน้อย มีการกดเบียดหลอดลม ให้เบี่ยงออกไป มากกว่าครั้งที่ผ่านมา ผลการตรวจอัลตร้าซาวด์ ตับและตับอ่อน ไม่พบความผิดปกติของตับและตับอ่อน ไม่พบซีสต์ที่ตับอ่อน แต่หางของตับอ่อน มีขนาดใหญ่กว่าปกติ
ผลตรวจ Carotid Droppler ultrasound (คือการตรวจวัด การไหลเวียนของ หลอดเลือดแดงใหญ่ ที่บริเวณคอ) ไม่พบการตีบตัน ของหลอดเลือดแดงใหญ่ที่คอ ไม่มีการกดทับ หลอดเลือดแดงใหญ่ ที่คอจาก Tracheal diverticulum
ผลการตรวจเอกซเรย์ MRI ที่คอ พบว่า กระเปาะที่หลอดลม (Tracheal Diverticulum) มีก้านอยู่ค่อนไปด้านหลัง ขนาดไม่ต่างจาก เมื่อ ม.ค. ๕๖ หมอผู้เชี่ยวชาญ ด้านทางเดินหายใจ ให้ความเห็นว่า ผ่าตัดยาก เพราะก้านของกระเปราะ อยู่ด้านหลัง และไม่ควรเสี่ยงผ่าตัด และให้ระมัดระวัง ไม่ให้อยู่ในท่าที่ ศีรษะลงต่ำกว่าตัว เพราะอาจมีวัตถุ หรือน้ำคัดหลั่ง ตกลงในกระเปราะ ทำให้อักเสบได้ และวัตถุออกมายาก เนื่องจากกระเปราะอยู่ในแนวตั้ง
ผลการตรวจเอกซเรย์ MRI ที่ช่องท้อง พบว่าตับอ่อน มีขนาดโตกว่าปกติ ที่บริเวณส่วนหาง และมีซีสต์ขนาด ๑.๑ ซม. ที่ตับอ่อน ติดท่อของตับอ่อน ขนาดเท่าเดิม กับที่ตรวจตอน เดือนมกราคม ๒๕๕๖ ไม่พบลักษณะที่เป็นเนื้อร้าย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แนะนำให้ตรวจ ติดตามผล ทุก ๘ เดือน
หลังจากฟังผลตรวจจากหมอโตแล้ว พ่อครูก็ไปวัด ค่าสัญญาณชีพ
วัดความดันโลหิตได้ 114/85 mmhg
pulse 81 /min temp 36.6 c
หลังวัด สัญญาณชีพ พ่อครูก็ได้ไปพัก รอประมาณ ๓๐ นาที จากนั้นจึงไปตรวจ Exercise stress-test with Echocardiogram ซึ่งพ่อครู ต้องติดสายวัด คลื่นหัวใจไว้ ตลอดการตรวจ โดยทำการวัดประสิทธิภาพ การสูบฉีดโลหิตของหัวใจ ในขณะพัก เปรียบเทียบกับ ตอนออกกำลังกาย ขณะหัวใจเต้น มากกว่า ๑๒๐ ครั้งต่อนาที
ซึ่งนพ. ผู้เชี่ยวชาญ ด้านโรคหัวใจ ให้การรับรอง หลังการตรวจว่า หัวใจของพ่อครู มีประสิทธิภาพดุจดั่งคนอายุ ๑๘ ปี ไม่เหมือนคนอายุ ๘๐ ปีอย่างพ่อครู หลังการตรวจ พ่อครูไม่มีอาการเหนื่อยเมื่อย หรือเพลีย แต่อย่างใด ..