ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๒๕
ณ ปฐมอโศก/

อยู่ในอารามที่เป็นอรัญวาสีอย่างนี้ เราต้องเข้าใจ ลักษณะของอรัญวาสี คือเป็นสถานที่ที่เป็น เสนาสนะสงัด เสนาสนะสงัดนี้ มันจะช่วย ให้เรามีกิเลสมากขึ้น และมันก็ช่วยให้เรา ไม่ต้องต่อสู้มาก ในเรื่องของโลกย์ ในเรื่องของ รูปรสกลิ่นเสียง สัมผัสด้วย ว่าเรื่องของกาม มันก็จริงอยู่ แต่ว่าใน เรื่องของกิเลส ในตัวถีนมิทธะ ตัวขี้เกียจ ตัวที่จะหลบหลับ ซึมเซา จิตไม่ตื่น เป็นปฏิปักษ์ต่อ ชาคริยานุโยคะ แต่อนุเคราะห์ ในเรื่องของ กามสุขัลลิกะ อนุเคราะห์ช่วยใน กามสุขัลลิกะ อยู่บ้าง แต่เป็นภัยต่อ ชาคริยานุโยคะ อย่างยิ่ง เราจะต้องรู้ เหลี่ยมมุม ของมันให้มาก

ถีนมิทธะ คือเราจะเป็นคนไม่ตื่น ไม่ตื่น ไม่กระปรี้กระเปร่า ไม่เต็มสติ เป็นคนที่ขี้เกียจ เฉื่อยชา ไม่คล่องแคล่ว อืดอาด และ จะกลายเป็นคนตกอบาย ในข้อขี้เกียจ ในข้อ กุสีตะ โกสัชชะ ในข้อนี้ พระพุทธเจ้า ท่านก็อธิบายไว้เยอะ มีโทษภัย หรือว่ามีเหตุ ๕ อย่าง ที่สามารถทำให้เรา กลายเป็นคน ถีนมิทธะได้ เพราะโรค ถีนมิทธะ กับอรัญวาสีนี้ เป็นโรคเรื้อรัง เป็นโรคที่เกาะกิน กันมามาก ถ้าเราออกป่า ออกเขา ออกถ้ำ หรือออกที่สงัด อรัญวาสี เราจะต้องสำนึก ในเรื่องที่จะต้องแก้ ชาคริยานุโยคะ อย่างยิ่ง ถ้าเราออกสู่ คามวาสี มีสัมผัส มีบุคคล มีวัตถุกาม มากมาย เราก็จะต้อง พยายามสู้ หรือ พยายาม ที่จะขจัด ในฐานของ กามสุขัลลิกะ ให้มาก เป็นผู้รู้ ในนิวรณ์ ๒ ด้าน นิวรณ์ของกาม กับ นิวรณ์ของ ถีนมิทธะ ซึ่งเป็นสองสภาพ ต้องเข้าใจให้ดีนะ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราอยู่ในอรัญวาสี อย่างนี้ ปฏิบัติ ไม่ถูกลักษณะ เราก็จะตกเป็น ถีนมิทธะ เป็น กุสีตะ โกสัชชะ เป็นคนเสื่อม คนเลว เป็นอบายมุขด้วย/

เพราะในฐานะของเถรวาทนี่ ที่อธิบายไปหา สภาพหยุด แล้วก็มีกรรมวิธีหยุด เด่น จนกระทั่ง งานน้อย แล้วก็เห็นว่า การปฏิบัติธรรม คือการหยุด และก็นั่ง สะกดจิตตัวเอง เข้าไปๆๆ ซึ่งเป็นหลักการ มีมา หลายร้อย เป็นพันปี เถรวาทที่เป็นอย่างนี้ อยู่ในเมืองไทย เป็นอย่างนี้มา ถึงร้อย และ เป็นพันปีนั้น จึงเป็นความเชื่อ ที่เลยเถิด เป็นเถรวาท ที่เลยเถิดขึ้นมา ยิ่งปฏิเสธว่า ไม่เอามหายาน ฐานที่เขา สามารถสอนคนอื่น ช่วยรื้อขนสัตว์ ซึ่งเป็นฐานของปัญญา ก็ยิ่งเละเทะใหญ่ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติ ที่มันไม่ถูก อย่างแน่ชัด ไม่เข้าใจ อย่างลึกซึ้ง เพียงพอ แม้องค์มรรคทั้ง ๘ ก็เรียน ผู้ที่เรียนแต่ปริยัติ องค์มรรคทั้ง ๘ ก็เลยไม่รู้ตัวว่า ตัวได้ปฏิบัติ อย่างทุกวันนี้ รู้แต่มรรค องค์ ๘ แล้วไม่รู้ตัว ว่าตัวได้ปฏิบัติหรอก แล้วก็กลายเป็น โลกียะ ซึ่งเสพย์สุข เสพย์สม ของตัวเองไป อยู่ในคามวาสี ก็ปฏิบัติไม่สมส่วน ไม่เป็น ไม่เป็นเลย เรียกว่า ตัวเอง ก็ยอมรับว่า ตัวเองไม่ปฏิบัติ พระที่เรียนแต่ปริยัติ เรียนแต่เหตุผล ภาษาความหมาย แล้วก็เอาเหตุผล ภาษาความหมาย เหล่านั้น มาสอนคน รื้อขนสัตว์ ด้วยภาษา ความหมาย ตนเองก็ยอมรับว่า ตนเอง เป็นพระบ้าน แล้วไม่ได้ปฏิบัติ ทั้งๆที่ปฏิบัติ อยู่ในบ้าน มรรคองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้านั้น ก็ชัดเจน ส่วนตัวที่จะออกไป อรัญวาสี ไปเป็นความตื่น ในอรัญวาสี อย่างเช่นฐานที่สำคัญ คือเมื่อกินข้าว อิ่มใหม่ๆ นี่ มันจะง่วง พระพุทธเจ้า ก็ไล่ ให้ไปอยู่ที่เงียบเลย แล้วตื่นให้ได้ ในตอนที่กำลังกินใหม่ๆ ง่วงๆ นี่แหละ ตื่นให้ได้ ถ้าปฏิบัติตื่นไม่ได้ ในขณะที่กินใหม่ๆ ง่วงๆ นั่น คนนั้นก็พ่ายแพ้แน่ พ่ายแพ้จริงๆนะ

นี่เราไม่เข้าใจความมุ่งหมาย หรือไม่เข้าใจฐาน ไม่เข้าใจสภาพธรรม ที่ชัดแจ้งพวกนี้ เราก็ทำไม่ถูกตรง ตามกรรมฐาน เมื่อไม่ถูกตรงตามกรรมฐาน เราก็ไม่เจริญ เพราะฉะนั้น ในอรัญวาสีนี่ เป็นฐาน แห่งการต่อสู้ ชาคริยานุโยคะ ให้มีสติตื่นให้มาก เพราะฉะนั้น ถ้าเราเอง เราสามารถที่จะตื่นได้ แล้วไม่ง่วง ไม่หลับ ไม่หรี่ ได้แล้ว เราก็มีงาน มีการอะไร พอสมเหมาะ สมควร มีเป็นไป มันก็สร้างสรร มันก็ดี มันก็เจริญงอกงาม ทำได้ เมื่อยเราก็พัก ไม่เมื่อยเราก็เพียร เรามีเวลาพัก มากกว่าเวลาเพียร ในสถานที่อรัญวาสีอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องเพียร ให้สมส่วน ให้สมดุลกับ สภาพแวดล้อม ที่มันพาให้เราพัก มากกว่า ในฐาน ที่จะต่อสู้กับกาม หรือว่า ต่อสู้กับสิ่งแวดล้อม มีงานมาก มีอะไรมาก เราก็ต้องพยายามนิ่ง อย่าปรุง อย่าหวือหวา ไปกับอารมณ์ ที่กระทบสัมผัสให้มาก เราจึงจะเป็น ผู้สงบลง เป็นผู้ที่พักได้ในใจ เป็น ปัญตัญจะ สยนาสนัง เป็นสภาพที่ เห็นความสงบ ยินดีในความสงบ เราก็จะต่อสู้ได้

ถ้าเราเข้าใจแนบเนียน เข้าใจลึกซึ้ง ในกรรมฐาน หรือในความหมายเหล่านี้ แล้วก็ทำพิสูจน์ให้ได้ ให้มีให้เป็น เราจะได้ประโยชน์ ทั้งสองส่วน ไม่ว่าเราจะอยู่ใน อรัญวาสี หรือเราจะอยู่ใน คามวาสี สุดท้าย ในเรื่องของ อรัญวาสีนั้น เป็นเรื่องธรรมดาง่ายๆ ไม่ยากอะไร ถ้าเวลาจะพักผ่อนเราก็มา ดั่งที่ พระพุทธเจ้า ท่านออกสู่ป่า พักผ่อนบ้าง หลีกเร้นบ้าง ในคราวที่เป็นไปนะ ในเมื่อเข้าคามวาสี ก็ทำงานนะ และก็สามารถ ที่จะเหนือจิตได้ อย่างแท้จริง ก็พิสูจน์ที่คามวาสีนั่นเอง ไม่ได้หมายความว่า พิสูจน์ในป่า พิสูจน์ในป่าก็พิสูจน์ว่า เราจะต้องมีสติตื่น เป็นผู้ตื่น เป็นพุทธะ ไม่ใช่อยู่ป่า เป็นผู้หลับ ผู้หรี่ ผู้หลีก ผู้เลี่ยง หลบลี้ ไม่ใช่ แต่เป็นผู้ตื่น เป็นผู้ที่เจริญ อีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน ผู้รู้ เบิกบาน แจ่มใส ลักษณะพวกนี้ ถ้าไม่รู้แจ้งแล้ว มันวน แล้วมันสับสน ถ้ารู้แจ้งแล้ว มันก็ละเอียดลออ และก็ทำได้ถูกต้อง ขอให้พวกเรา อย่าได้พ่ายแพ้ อย่าได้ผิดเป้าหมาย เราทำตน ให้เกิดผล ทั้งสองด้าน เราไม่แยกกัน ไม่ว่าพระป่า ไม่ว่าพระบ้าน ไม่ว่าอรัญวาสี หรือ คามวาสี เราไม่แยก เราไม่แตก แต่เราเกิดอานิสงส์ หรือ เกิดประโยชน์คุณค่า ได้ทั้ง ทุกสภาพแวดล้อม รู้เท่าทันสิ่งที่สัมผัสด้วย ความเป็นจริง เราจึงจะเป็น ผู้ที่เจริญ ในทางปฏิบัติธรรม

ขอกำชับกำชา ในฐานที่ เมื่อมาอยู่ที่นี่แล้วนะ เป็นอรัญวาสี ดังกล่าว อย่ากลายเป็นคน ขี้เกียจ ขี้คร้าน ยิ่งปฏิบัติ ได้อบายมุขใหญ่ ให้แก่ตนเอง เป็นตัวขี้เกียจ หรือ ยิ่งได้ถีนมิทธะ เป็นตัวยิ่งแย่ลง ทุกอย่างๆ ทุกทีๆ นั้น เป็นการขาดทุนอย่างยิ่ง ขอให้พวกเราได้สำนึก และสังวร อบรมตน ให้เป็นผู้มี ชาคริยานุโยคะ ได้ ให้สมบูรณ์เทอญ

(สาธุ) /