ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๕
ณ ปฐมอโศก

ได้เน้นการประพฤติให้ฟังซ้ำซาก แต่แม้จะเน้น ได้ยิน ได้เข้าใจแท้แล้ว แต่เรายังไม่ได้ผลักดันให้ กายกรรม วจีกรรม ที่ดีกว่า ตามที่เราเป็นอยู่ เราไม่ได้ผลักดันให้มันเป็น ไม่ให้มันกระทำ ให้มันเกิดขึ้น มันก็ยังได้แต่ แค่รู้เข้าใจ ฝังอยู่ในจิต เท่านั้น และก็นับวัน จะเสื่อมไป เพราะว่า เราไม่ได้ทำ ให้มันเกิดขึ้น ทั้งรอบนอก รอบใน อันเป็น สภาพที่สมบูรณ์ ทั้งภายนอกภายใน เป็นสภาพครบครัน เป็นสุรภาโว ถ้าเราไม่ทำ ให้มันครบครัน เป็นสุรภาโว เป็นสภาพเต็ม เราก็เสื่อมไว แต่ถ้าเป็นสุรภาโวแล้ว ก็เสื่อมช้า เพราะว่า สังขตธรรม ทั้งหลาย ทั้งปวง ย่อมเสื่อมไป เป็นธรรมดา แม้จะเป็นความดี ผลดี เราได้แต่ แค่รู้ดี แล้วเราไม่พยายาม สร้างสรร ความดีนั้น ความดีนั้น ไม่เกื้อกูล ไม่อุดหนุน ให้เราเป็นคนดี คนประเสริฐ ขึ้นมาได้ จิตใจของเรา รู้กรรมกิริยา เราเข้าใจ ถ้าเป็นแต่เพียงเข้าใจ ก็บอกแล้วว่า มันอยู่แค่เข้าใจ ถ้ากระทำขึ้นแล้ว มันจะเสริม มันจะสาน มันจะก่อกอบ ทำให้เกิดฐานที่สูง ฐานที่ละเอียดลึกซึ้ง เพื่อที่จะทำความสูงละเอียด ความลึกซึ้ง ขึ้นอีกๆ สู่สภาพ ประเสริฐสุด สูงสุดได้/

เราอย่าเข้าใจว่า เราจะสูงสุดได้แต่เพียง เข้าใจเท่านั้น นั่นเป็นความคิดที่ผิดพลาด เราจะสูงสุดได้ ต้องมีฐาน ทั้งนอก และใน เสริมฐานขึ้นไปจริง และจะเห็นความจริง ที่ละเอียดที่สุด เราก็ต้องพาตัวเอง ทั้งกายและใจ เข้าไปถึงตัวที่สูงที่สุดนั้น ได้เอง ไม่ใช่ได้แต่ คะเนคำนึง คำนวณ ไปตามจิตนึกเท่านั้น ไม่ใช่ แต่จะต้อง มีสภาพธรรม ที่ลงตัวซับซ้อนกัน เป็นจริง ขอให้พวกเราได้เริ่มต้น ขยันหมั่นเพียร อย่าเสพย์ติด บอกแล้ว ในอรัญวาสีเช่นนี้ มันติดหยุด ติดว่าง ติดสงบ ติดอยู่เฉยๆ เมื่อการอยู่เฉยๆนั้น ทำให้เกิดสภาพ การง่วงขึ้น โดยฐานะ ๕ ประการ ซึ่งเราก็ได้เรียนแล้ว ได้เข้าใจแล้ว ตั้งแต่ การขี้เกียจ การหยุดอยู่ แล้วเราก็ พยายาม ที่จะบิดขี้เกียจ เพิ่มขึ้น การขี้เกียจ การบิดขี้เกียจ การหลงมัวเมา ในอาหารการกิน ไม่ว่าจะเป็น อาหารทางด้าน กวฬิงการาหาร เป็นข้าวเป็นขนม เป็นอาหารทางที่ เป็นแท่ง เป็นก้อนก็ตาม ก็พาให้เรา หลบหรี่ลี้ หยุดเฉื่อยได้ เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น การกินเกิน ก็ทำให้เราเฉื่อย ทำให้เราหยุด แทนที่จะ กระปรี้กระเปร่า เบากายเบาใจ กลับทำให้เรา ขี้เกียจขี้คร้าน ได้แน่แท้ ง่วงเหงาซึมเซาได้จริง เพราะฉะนั้น อาหาร แม้ว่าเป็น กวฬิงการาหาร ก็ด้วย หรือจะเป็น อาหารทางจิตวิญญาณ แต่เป็นการเข้าใจผิด มิจฉาทิฏฐิ ก็ทำให้เราหลงผิด ไปติดหลับ ติดหรี่ ติดง่วง เสพย์ติดสงบ เสพย์ติดหยุดได้

เพราะฉะนั้น ปัญหาที่ชัดแท้ ต้องรู้ว่า การวางใจ ปล่อยใจ สงบสงัดจากกิเลส ไม่ใช่สภาพ นั่งอยู่เฉยๆ ไม่ใช่สภาพ นั่งซึมเซา แต่สภาพที่ ปราศจากความโลภ ความโกรธ อะไร ให้แก่ตนเองจริงๆ สร้างสรร เป็นความดี ขยันเป็นความดี เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร ถึงเวลาควรหลับ หลับ ถึงเวลาควรตื่น ตื่น ถึงเวลา ควรทำกิจการงาน ทำ ถึงเวลาคอยผ่อน ผ่อน คอยพักหยุด สนิทก็หยุด ตามระดับที่แท้จริง เราจะเป็น ผู้ที่มีปัญญา ลึกแหลม รู้กรรมการงาน อันควรอย่างแท้จริง เราจะเป็นคน ที่มีประโยชน์สุด แล้วก็จะไม่ติด แม้แต่อารมณ์สงบ แม้แต่อารมณ์ง่วงงุน ซึมเซา อย่างแน่แท้ ปัญญาเหล่านี้ เข้าใจ แต่เราไม่ฝึกเพียร ไม่เป็นจริง เราไม่เคย ไม่ชำนาญ และ มันก็ไม่เป็นไปได้ดี มันก็ได้แต่ แค่เข้าใจๆ

ครั้นว่าเราได้ฝึก ทั้งสถานที่ ที่เป็นอรัญวาสี ก็ต้องฝึกให้ขยัน อยู่ในคามวาสี ก็ขยันอย่างมีมาก และ เราก็จะต้อง วางใจให้หลุด ให้ปล่อย ให้ถึงในภายใน แม้สัมผัสอยู่ กระทำอยู่ เราก็สงบ เราก็สร้างสรร ไม่หวงแหน และจะกระทำ กรรมกิริยา ทั้งแม้แต่สัมผัส ก็ไม่ให้เกิด การทะเลาะ เบาะแว้ง ข่มขี่ เบียดเบียน เอาเปรียบ เอารัด อวดอำนาจบาตรใหญ่ หรือว่าเสียดกัน สีกัน กระทบกัน ให้มันกระเทือน ให้มันแตกร้าว เราจะไม่มี ละเอียดลออ ไปจนถึง ปานดังที่กล่าวนี้ ถ้าเราเข้าใจ เพราะเราจะอยู่ใน คามวาสี เราก็สร้างสรร และ สงบได้ อยู่ในอรัญวาสี ก็ขยัน และสงบ อย่างมีรูป มีร่าง อย่างมีสภาพธรรม อย่างสมบูรณ์

ที่เคร่งที่เข้มเคี่ยวข้น พยายามเข็นกัน พยายามแนะนำ กันอยู่นี้ ก็เพื่อ อยากจะให้ เข้าใจ และก็พิสูจน์ลงไป เข้าใจก็ได้เข้าใจแล้ว ก็ต้องพิสูจน์จริง ทั้งกายกรรม วจีกรรม ไม่ใช่พิสูจน์แต่เฉพาะ รู้แต่ในใจเท่านั้น และ เราก็ไม่สมส่วน ไม่ลงตัว ข้างนอกข้างใน เป็นเรื่องของ สภาพที่ไม่จริงจัง ประดัก ประเดิด อยู่อย่างนั้น ก็ไม่ถูกต้อง ขอให้พวกเรา ได้พิสูจน์ ดังที่กล่าวนี้ ให้ชัดแจ้ง จริงจัง เราจะได้ถึง นิพพาน หรือ เราจะได้ถึง สภาพสมบูรณ์ เป็นคนประเสริฐ มีคุณค่า ไม่เห็นแก่ตัวแก่ตน แม้แต่ ตัวตน อันละเอียด เป็นอัตตา เสพย์สุข เสพย์สงบ หยุดชะงัก เฉื่อยชา มันก็เป็นสภาพที่ เลวร้าย

ขอให้พวกเราได้พิสูจน์ ความเลวร้ายนั้น รู้ทัน รู้จริง และเราจะกลายเป็นคน สร้างสรร บ้านเมืองก็อุดม สมบูรณ์ บุคคลก็สมาน สามัคคี ทุกคนก็สบาย เพราะเป็น สันติสุข มีสามัคคีธรรม นั่นมีความสร้างสรร มีความช่วยเหลือ เฟือฟาย เอื้อเฟื้อ หลักการใหญ่เหล่านี้ จะพิสูจน์ได้ เห็นได้ชัดแจ้ง เป็นจริงหมด ตั้งแต่สังคมเล็กๆ ดั่งที่เรากระทำขึ้น จนสังคมนั้น โตขึ้นๆๆ ใหญ่ทั่วโลก เชื่อว่าเป็นไปได้ ถ้าหลักการนี้ ได้เข้าใจ ด้วยปัญญา อันยิ่งของมนุษย์แล้ว หลักการนี้ ไม่ได้ค้านแย้งมนุษย์ หลักการนี้ จะทำให้มนุษย์ เป็นสุขเย็น ถ้วนทั่ว ตามที่เขาใฝ่หา สันติภาพนั้น เราจะสร้าง สันติภาพตัวอย่าง เหล่านี้ ให้แก่บุคคลทั้งโลก ได้ประจักษ์

(สาธุ)/

FILE: 2851B.TAP .pa