ธรรมปัจเวกขณ์ การศึกษา ซึ่งคนเราเกิดมานี่ มีการศึกษา หนึ่ง ศึกษาเพื่อจะประกอบการงาน ที่มันจะต้อง มีการสร้างสรร ให้แก่ชีวิตยังอยู่ได้ จะเป็นการงานอะไร ก็แล้วแต่ ที่จะเป็นการประดิษฐ์ สร้างสรรอยู่ เพราะฉะนั้น ชีวิตคนเกิดมา มันไม่เหมือนสัตว์ ที่จะเก็บ ธรรมชาติอย่างเดียวกัน เพราะว่า คนรู้แล้วว่า คนเราเกิดมานั้น มันยาก แล้วมันเป็นสัตว์ฉลาด เสร็จแล้ว มันก็กินก็ใช้ เก็บจากโลกนี่แหละ คนเกิดมามากขึ้น ธรรมชาติก็ถูกผลาญ มากขึ้นๆๆๆ ก็เกิดการขาดแคลน คนก็จะต้องจัดสรร บำรุง หรือไม่ก็ เอื้ออวยธรรมชาติ ช่วยธรรมชาติ ให้มันเกิดมาทัน หรือเอาอะไรอื่นๆ ทดแทน คนก็พัฒนาการกันมา อย่างนั้น สัตว์มันไม่มีความรู้ ที่จะทำอย่างนั้น--- เพราะฉะนั้น คนจึงมีประโยชน์แก่โลก เพราะว่า รักษาธรรมชาติบ้าง แต่คนก็ผลาญธรรมชาติ เหลือเกิน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม มันก็ยังดีกว่าสัตว์ที่ สัตว์มันมีหน้าที่ ผลาญธรรมชาติลูกเดียว มันไม่มีหน้าที่ ที่จะช่วยธรรมชาติ อะไรขึ้นมาเลย จะช่วยโดยทาง ไม่เจตนาก็มี เป็นการหมุนเวียน อยู่ตามเดิม ตามธรรมชาติ ของมันเท่านั้น แต่มันก็ผลาญไปมากน่ะ ส่วนคนนั้น นอกจาก การเรียนรู้ หรือศึกษาวิธีการ เพื่อจะยังอะไรขึ้นมา สร้างสรรอะไรขึ้นมา เพื่อยังชีวิตอยู่ ดังกล่าวแล้ว เช่น ปลูกข้าว ปลูกพืช นี่ เป็นธรรมชาติ ทั้งนั้นน่ะ มันขึ้นของมัน ก็ขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเผื่อว่า ช่วยมันด้วยปุ๋ย ด้วยน้ำ ด้วยอะไรต่ออะไร จัดสรรขึ้นมา แม้แต่สิ่งที่เป็น ปฏิปักษ์ต่อพืช ต่อธรรมชาติ อะไรต่ออะไรต่างๆ คนก็ช่วย ต้นหมาก รากไม้มันอีก อย่างนี้ เป็นต้น-- เราก็อาศัยสิ่งเหล่านั้น ยังชีวิตไป นั่นเป็นการศึกษาธรรมดาๆ ถ้าไม่มีเรื่องราวอะไรมาก คนพอมีพอกิน พอที่จะอาศัย ธรรมชาตินั้น พอไปได้ และก็ไม่ได้มีความโลภมาก จะต้องหอบ ต้องหวง ต้องกอบ ต้องโกยอะไรมาก แล้วมันก็พอเป็นไป แต่เมื่อคนเรา เกิดมากๆขึ้น กิเลสหนาขึ้น หวงแหนมากขึ้น โลภมากขึ้นๆ ก็เกิดการผลาญ เกิดการเห็นแก่ตัวจัดจ้าน อันนี้ล่ะสำคัญ ที่จะต้องมาสอน ให้คน กลับไปเป็นคน ที่จะสร้างก็สร้าง สร้างเผื่อแผ่คนอื่น จะกินจะใช้ ก็อย่าไปหลงใหล เพราะว่าคน เมื่อนานวัน นานคืนเข้า ก็หลอกกัน หลอกกัน เพื่อให้ผลาญให้มาก แล้วตัวเอง ก็กอบโกยไว้ ให้มากด้วย ไอ้ ระบบผลาญให้มาก แล้วตัวเอง ก็กอบโกยไว้ ให้มากนี่แหละ เป็นระบบ ที่ทำให้สังคมเดือดร้อน เป็นทุกข์ ถ้าเราไม่เข้าใจจุดนี้แล้ว เราไม่มาเปลี่ยนแปลง ตัวเองว่า หนึ่ง หยุดผลาญ สอง หยุดกอบโกย นอกจาก หยุดผลาญ และ กอบโกยแล้ว เราก็สร้าง เหมือนกับ ที่เคยรู้ ตั้งแต่แรกเริ่ม ดังที่เล่าไปแล้วว่า เราเกิดมา ก็ช่วยธรรมชาติ สร้างสรร อะไรต่ออะไร ต่างๆนานานี้น่ะ ถ้าเราทำอย่างนั้น ก็รอด--- ทีนี้ขณะนี้ โลกเกิดมาตั้งนานแล้ว แล้วคนมันก็แปรเปลี่ยนไป จนกระทั่ง มากมายแล้ว ทุกวันนี้ นอกจาก จะไปสร้าง เทคโนโลยี ในทางที่ช่วยธรรมชาติ เท่านั้น มันยังไม่พอเลย ยิ่งกว่านั้น เรายังจะต้องมาสอนคน ให้รู้จักอันนั้น ซ้อนลงไปอีก--- เพราะฉะนั้น หน้าที่ของพระพุทธเจ้า หรือ หน้าที่ของ คนรุ่นหลังมาอีก จริงๆนี้ จึงไม่ให้เขารู้แต่เพียงว่า เราจะต้อง มีความรู้ ทางเทคนิค ในการที่จะสร้างอะไร ในธรรมชาติด้วย และเราจะต้องรู้ ความรู้เกี่ยวกับ จิตวิญญาณ เกี่ยวกับการที่จะ ละลดกิเลสด้วย ไอ้นี่ จึงเป็นความรู้ ที่สำคัญ ยิ่งกว่าอีกน่ะ พระพุทธเจ้า เป็นบรมครู ที่จะมาพยายาม บอกกล่าวกัน สอนกัน ให้รู้ถึงกิเลส ซับซ้อน อันนี้ อย่างสำคัญน่ะ--- เพราะฉะนั้น ความรู้อันนี้ จึงเป็นอีกแขนงหนึ่ง ที่สำคัญเหลือเกิน นอกจากจะมีความรู้ เพื่อสร้างสรรอะไร มาไว้เป็นธรรมชาติ ให้แก่มนุษย์ ได้ใช้ ได้สอยเท่านั้น เพราะฉะนั้น ครูที่ได้มาสอนในเรื่อง วิญญาณ หรือ เป็นนักบวช หรือ เป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรม ในขั้นระดับสูงนี้ จึงไม่ได้เอาภาระ ในการสร้างสรรธรรมชาติ สร้างเครื่องอยู่ เครื่องกิน อะไรมากนัก เป็นแต่เพียงว่า มีเวลา และมีความรู้ หรือ พยายามที่จะช่วยเหลือ เฟือฟายกันไป ในเรื่องของความรู้ ทางด้านวิญญาณ ทางด้านกิเลสตัณหา ลดละ ความหวงแหน ความกอบโกย ดังกล่าวนั้น ให้ได้มากที่สุด จะมีกรรมวิธี จะมีความฉลาดน่ะ จะมีนโยบาย กุศโลบายอะไร ที่จะเก่งกาจอย่างไร ต้องมาทำงานนี้ หนักเหลือเกิน และจะต้องทำไป อีกมาก--- เพราะฉะนั้น งานมันจึงเพิ่มขึ้น หน้าที่มันจึงเพิ่มขึ้น กิจการมันจึงเพิ่มขึ้น แม้การจะสอนเขา เดี๋ยวนี้ ทุกวันนี้ ก็ยังต้อง ไปอาศัย เทคนิค เทคโนโลยี มาผลิตสื่อ มาผลิตสิ่งที่จะประกอบ ในการที่จะสอนเขา เหมือนกับ คนสอนทุกวันนี้ ก็มีเครื่องไม้ เครื่องมือ มีอุปกรณ์ ในการสอน เยอะเหลือเกิน ทางโลกเขาก็ตาม ฉันใด ทางธรรมก็จะต้อง มีอุปกรณ์ มีเครื่องไม้ เครื่องมือ มีเครื่องสื่อ ที่จะต้อง มีความดึงดูด เร่งเร้า อย่างน้อย ก็ไม่ถึงทัดเทียม ก็ไล่ๆกันกับของโลกเขา พอเป็นพอไปทีเดียว ไม่เช่นนั้น เราจะดึง ความสนใจ กับคนโลก ออกมาไม่ได้เลย และเราก็จะทำให้ คนเหล่านั้น เขาลดละกิเลส ลดละความผลาญพร่า และ กอบโกย กักตุน ไม่ได้เลย นี่เป็นความสำคัญ ที่เราจะเข้าใจ และเห็นความจริงขึ้นมา ที่พูดนี้ เป็นการวิเคราะห์ วิจัยให้ฟัง แล้วเอาไป พิจารณาดู --- เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ จึงเป็นความจำเป็น ที่เราจะต้อง ปฏิบัติตนเองด้วย แล้วการงาน เราไม่ต้องไปปลูกข้าว ปลูกน้ำ หรือ ช่วยธรรมชาติ ดังกล่าวแล้ว แต่เรากลับมาทำ อุปกรณ์ เครื่องมือ หรือ สิ่งแวดล้อม สิ่งที่จะเสริมหนุน ให้เราทำงานทาง ด้านเผยแพร่ นี่ได้สูง ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะฉะนั้น งานการ จึงมากขึ้นกว่า แต่แม้แต่สมัย พระพุทธเจ้าเอง ก็ยังไม่มาก เท่าเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ เรามีการงาน มากกว่า เหลือเกิน การงานยิ่งมาก จะยิ่งพิสูจน์ ทฤษฎี พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นทฤษฎีแห่ง มรรคองค์ ๘ อย่างสำคัญที่สุด และยิ่งจะต้อง ชาญฉลาด ที่จะเลือกเฟ้น วิเคราะห์วิจัย เอางาน ที่มันเกี่ยวข้อง กับงาน หน้าที่ของตน ออกมาให้ได้ อย่างกระจะกระจ่าง ไม่เช่นนั้น จะปนๆ เฟ้อๆ --- จนกระทั่ง กลายเป็นอำพราง และแฝงซ่อน ไปในทางโลกๆ เพราะการค้าขายหาเงิน หรือว่า สร้างสรรอะไร แบบโลกๆ สร้างลักษณะ แบบโลกๆ มันจะปนเป เข้าในงานศาสนา ขอให้พวกเรา ได้พิจารณา และใช้ปัญญา ไตร่ตรองให้ดี เป็นอย่างมาก อย่าให้สิ่งที่ มันเป็นลักษณะ แบบโลกๆ เข้ามาแฝงในกิจกรรม แม้เราจะอ้างว่า เราสร้างอุปกรณ์ เราทำกิจกรรม อะไรต่างๆ ที่จะเผยแพร่ศาสนา ดังที่เขาทำ --- ยกตัวอย่างง่ายๆว่า เขาหาเงิน เขาเอาอบายมุข มาหาเงิน เพื่อที่จะเอาเงินนั้น มาสร้างศาสนา สร้างโบสถ์ หรือ เผยแพร่ศาสนา เขาก็อ้าง เช่นเดียวกัน อย่างนี้ เป็นต้น และอื่นๆ อีกเยอะแยะ ที่มันยิ่งแฝงซ้อน ใกล้เคียง เขามาหาสารัตถะ เราก็จะต้อง มีจิตอันแยบคาย มีปัญญาอันลึกซึ้ง ที่จะคัดเลือก ที่จะไม่ให้กิจกรรม เหล่านั้น หรือว่า สิ่งแฝงหล่านั้น ปนเปเข้ามา ทำลายเนื้อหา สาระ แก่นสาร ของศาสนา ขอให้ทุกคน ได้สำนึก หรือสำเหนียก ในจุดประเด็นนี้ ให้สำคัญ แล้วเราก็จะปฏิบัติตน พากเพียร ให้เป็นผู้ที่ ไปสู่จุดสูง ดังที่เราอยู่ เรามีเวลา และ เราก็จะได้ ทำงาน เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น รักษาศาสนา บำรุง เผยแพร่ ศาสนา ต่อทอด แก่บุคคลอื่นๆ ต่อไปได้อีก ชั่วกาลนาน สาธุ.--- |