ธรรมปัจเวกขณ์ การปฏิบัติธรรมของพวกเรา ชาวอโศก ได้เกิดขึ้น ท่ามกลางกาล สองพันห้าร้อยกว่าปี ของพระพุทธศาสนา และ โลกกาล ยุคกาลนี้ เป็นโลกแห่งยุค ความหยาบกร้าน มีภาวะรุนแรง มีภาวะหยาบต่ำ ต่ำทรามมาก และ คนก็ได้รับ ภาวะของสังขาร ความปรุง ความสร้าง อย่างหยาบๆ เพราะฉะนั้น การที่จะแสดงสื่อ แสดงอะไร ที่ให้มันสอดคล้อง กับรสนิยมโลก ก็ออกจะหยาบๆบ้าง เพราะฉะนั้น การแสดงที่ออกหยาบๆ เพื่อผล ก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว เราผู้ที่มีรสนิยม ที่ได้รับสภาพ อย่างนี้แรงๆ แล้วก็รับติด แล้วก็ได้รับศาสนา ได้รับธรรมขึ้นมา เมื่อได้รับธรรมขึ้นมาแล้ว เราก็มีภูมิธรรม ที่ละเอียดขึ้น เมื่อมีภูมิธรรมที่ละเอียดขึ้น เราก็ได้รู้ความหยาบ แม้การแสดงธรรมออกว่า หยาบ แต่แล้วเราก็ไม่รู้ มานะของตัวเอง และก็ไม่รู้ สิ่งแวดล้อม สิ่งประชุมอยู่ว่า ผู้แสดงธรรม ที่ยังจะต้องแสดงหยาบอยู่นั้น เพราะยังใช้ได้อยู่ ยังมีคนที่จะต้องรับ สภาวะ ตามรสนิยม ที่ยังหยาบๆ นั้นอยู่ ก็ต้องเพื่อเขา เพื่อผู้อื่นอยู่ ส่วนตัวเองนั้น เมื่อมีภูมิธรรม ละเอียดขึ้น รับธรรมได้ละเอียดขึ้น อันแสดงธรรม อย่างละเอียด ก็มีอยู่ เราก็ต้องเลือกรับเอา แต่ถ้าเราไปเพ่งโทษ ผู้แสดงธรรมหยาบนั้นอยู่ และตัวเองก็ ยึดติดในธรรม ที่ละเอียด เป็นอัตตาตัวตน มีศักดิ์ศรี มีมานะ ดูถูกเหยียดหยาม แม้ตัวผู้นั้น เป็นครูของเรา แล้วก็ไปนิยม ยินดีธรรมละเอียด บางที มันก็ไม่ขัดเกลาอะไร เป็นแต่เพียง สภาพแค่พูดดี ในผลดีที่ง่ายๆ ฟังสบายหู ฟังเรียบร้อยก็จริง แต่มรรควิธี มีไหม ถ้ามรรควิธี วิธีการมีสภาพ สัลเลขธรรม ที่ชัดแจ้ง เราจะได้ธรรม แต่ถ้าไม่มี สัลเลขธรรม ฟังผลนั้น เบาหู ฟังผลแล้ว ปลื้มปีติยินดี แล้วเราก็ ปลื้มปีติยินดี ลอยลม อิ่มเอมอยู่เฉยๆนั้น ก็เป็นเพียง การชลอใจ เป็นการชลอ ความเป็นอยู่ของเรา ให้มันสบายอารมณ์ เท่านั้น แต่เราก็ไม่ได้ปฏิบัติอะไร อย่างนี้ ก็เป็นส่วนที่ขาดอยู่ ยังไม่เจริญอยู่ ก็ต้องรู้ตัว --- ที่จะพูดในประเด็นสำคัญนี้ ก็คือว่า เมื่อเราไป ดูถูกดูแคลนอาจารย์ ที่เราทำงานกว้าง ทำงานเพื่อผู้อื่น อีกเยอะแยะ แม้เพื่อเรา ท่านก็ได้เผื่ออยู่ แต่เรารับไม่เป็น ไปตีโพยตีพาย ด้วยความหยาบของเรา คือเพ่งโทษ และดูถูก ความเป็นผู้สอน ของผู้นั้น ผู้ใดมีการดูถูกประธาน เป็นความเสื่อม เป็นคนไม่น่าคบหา ตามที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนเอาไว้ ในเรื่อง "ผู้ที่ไม่น่าคบหา ๕ ประการ" และ เป็นคนที่ไม่ชอบใจ ดูถูก หรือ ไม่เชื่อฟังในประธาน ในผู้เป็นครู เป็นประธาน เป็นผู้สอนแล้ว ผู้นั้น หวังได้ความเสื่อม แต่อย่างเดียว ไม่มีความเจริญเลย และเป็นคน ไม่น่าคบ สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เอามาอวดอ้าง เพื่อให้กลัว แต่เป็นสัจธรรม ที่พระพุทธเจ้า ท่านสอนไว้ เอามาเทียบเคียง ให้พิจารณา ให้ศึกษา งั้นถ้าผู้ใด มีจิตดูถูก ดูแคลน มีมักขะ ดูถูกคุณท่าน ที่เคยสอนเรา ให้ได้ดีมาแล้ว เสร็จแล้ว เราก็หลงตัว หลงตน ไปดูถูก ธรรมะอย่างนั้นๆ ทั้งๆที่ธรรมะใน นัยละเอียด หยาบ ท่านก็ทำอยู่ ละเอียดสุภาพ ท่านก็ทำอยู่ แต่เราไม่รู้นัยละเอียด เหล่านั้น แล้วเราก็เป็น ผู้ที่ไม่ได้รับมรรค รับผล กลายเป็นคนปิด เป็นคนไม่รับ แล้วเราเอง ก็จำเป็นที่จะต้อง อยู่ร่วมกัน ในวงนี้ แต่เราก็ได้แต่ ไม่มีอะไรดีขึ้น เราเป็นคนซวย เป็นคนขาดทุน เป็นคนต่ำ ต่ำแล้ว สักวันหนึ่ง เราก็จะต้องหลุดลอย ออกจากหมู่กลุ่ม ที่ว่านี้ไป ก็ขอให้ สังวรระวัง พิจารณาตน ตนเองกำลังเป็นคนหยาบ ที่จริงตนเอง มีพื้นหยาบ แล้วเราไปเห็นปัญญา ในความละเอียด เราก็มีปัญญา รู้ความละเอียด ศรัทธาในความละเอียด ความสุภาพ แท้จริงเราเป็นคน หยาบกระด้างด้วยซ้ำ แต่เรากำลัง ศรัทธาความละเอียด ก็ดีแล้ว ดีแล้วเราจงปฏิบัติตน ให้ละเอียดเถิด แก้ความหยาบของตนเอง ให้หายไป เรามีปัญญา ไปรู้ ความละเอียดแล้ว เราอย่าไปชังความหยาบ ที่แท้จริง ของตัวเองเลย เพราะยังสลัดไม่ออก ตนเองก็ยังเป็น คนหยาบอยู่ แต่จิตมันพุ่งออกไป ปัญญามันไปรักสิ่งนั้น ไปรักสิ่งนี้ ไปรักสิ่งสุภาพนี้ ดี ที่จริงดี แต่อย่าเอาไป ดูถูกความเดิม หรือความที่มันเป็น ของหยาบ แม้เราเอง ก็ยังไม่พ้นความหยาบ เรายังเป็นคนหยาบ อยู่ด้วยซ้ำ แต่เราไม่รู้ตัว รู้ตน มีมานะ นั่นน่ะ น่าเกลียด มันน่าเกลียดที่ตัวเอง หรือแม้ว่าเราเอง เราพ้นความหยาบแล้วก็ตาม เราก็มีความจะรู้ว่า องค์ประกอบ ในกรรมกิริยา ในสิ่งที่ท่านกระทำเพื่อผล เพื่อการงาน ไม่ใช่กระทำผล เพื่อความพอใจของเรา อาตมาเคยบอก เสมอว่า อาตมาเป็นคนสุภาพ อาตมาไม่ใช่คนหยาบ อาตมาเป็นคนที่ ไม่ชอบรุนแรง ไม่ใช่คนรุนแรง แต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยรุนแรง แม้แต่เด็ก ยังเคยท้าต่อย ดังนี้ ดังที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว ในชีวิตไม่เคยรุนแรง แต่ทำทุกวันนี้ เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ต้องทำงาน ให้สมกับกาลยุค ทำงานให้สมกับ รสนิยมของสังคม ทำเพื่อเกิดผล เกิดประโยชน์ แต่ความละเอียด ลออเหล่านี้ ผู้ที่ไม่มีปัญญา ก็ไม่รู้ละเอียด เท่าที่อาตมารู้ แล้วก็ได้ทำตัวเอง แพ้ภัยตัว ขาดทุน --- ขอให้ทุกคนที่ฟังธรรมขณะนี้ เอาไปไตร่ตรอง รู้สึกตัว แล้วมีปัญญาให้กว้าง อย่าทำให้ตนเอง แพ้ภัยตัว แล้วตกต่ำ ทรุดโทรม อยู่ตลอดเวลา จะศรัทธาธรรมที่ ละเอียดสุขุม ประณีตนั้น เชิญเถิด ดี แต่สมตัวหรือไม่ ถ้าไม่สมตัว บางทีก็เหมือนกับ เอาสำลี ไปขัดหนังแรด สำลีไม่เกิดผล บางทีเรารัก ของละเอียดประณีต แต่เราเองหยาบ มีดมีคม แต่มีดก็คม จะไปหั่น ของแข็ง บางอย่าง เรายังเป็นคนกระด้าง เป็นคนแข็ง มีดที่คมนั้น จะหั่นของแข็งนั้นไม่เข้า มีดบาด มีดนั้นจะบิ่น มีดนั้นจะพัง มีดนั้นจะทื่อ เสียด้วยซ้ำ อันนี้ก็เป็นธรรมชาติที่แท้จริง ขอให้ตรวจตน ให้แน่นอน ให้ชัดเจน เราเห็นว่าธรรมะ สุภาพดี นั้นดีอยู่ แต่ว่าเราไม่สมตัว ก็ไม่ได้ผล เราควรจะต้อง ถูกต้อง มุ่งชัด หรือเราจะต้องใช้มีด คมของมีด โกนหนวด ขัดถู หรือ เราจะต้องใช้ของ ที่มันสมเหมาะ สมตัว ก็ไม่ได้ผล เราควรจะต้องใช้ ของที่มัน สมเหมาะ สมตัว ขนาดใด ขอให้ดูตน ตรวจตน แล้วก็อย่าไปดูถูก สิ่งที่ผู้อื่น ท่านมีญาณ มีปัญญา สิ่งที่ผู้อื่น ท่านกระทำ เพื่อประโยชน์สร้างสรร แล้วท่านก็ทำประโยชน์ได้ เราเอง เท่าเศษกระผีก เราเอง ทำประโยชน์อะไร คุณค่าอะไร ก็ไม่ได้สักเท่าไร แต่เราก็ไปหลงตน ว่ายิ่ง ว่าใหญ่ ว่าเป็นคนถูก คนดี เป็นคนสำคัญ เป็นคนรู้ระวังตน และตรวจตนให้ดี เราจะได้ไม่เป็น คนตกต่ำ แล้วก็จะได้เกิด การเจริญ ขอยืนยันว่า ในหมู่อโศกนี้ ยังจะเจริญต่อไป นี่ไม่ใช่การพยากรณ์ แต่เอาความจริง ที่เป็นอยู่ มีอยู่ มาย้ำยืนยัน จะเจริญต่อไป คนในที่นี้ เป็นคนมีปัญญา บอกแล้ว เคยท้า เคยทาย เคยท้วง เคยพูดหมุน พูดกลับ พูดวน พูดให้สนุกสนาน ให้เห็นว่า ที่นี่เป็น ความโง่กันหรือ คุณมานี่ คุณได้อะไร รู้อะไร ได้ย้ำยืนยันเสมอ --- เพราะฉะนั้น ก็ขอให้เชื่อเถิด แม้ไม่เชื่อใคร ก็เชื่อตนเอง ว่าเราเป็นคนหนึ่ง ที่มีปัญญา เราไม่ใช่คนโง่ ที่ถูกหลอกนี่นา เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นคนหนึ่ง ที่ฉลาด คนอื่นก็คงจะเป็น คนฉลาด และเราก็ ไม่ควรดูถูกว่า เราฉลาดที่สุด คนอื่น ไม่ฉลาดเท่าเรา ก็ไม่ควรคิดอย่างนั้น ก็ควรจะนึกว่า เอ๊ะ! เราฉลาดเท่านี้ คนอื่นที่มา น่าจะฉลาดกว่าเราก็มี และผู้ฉลาดกว่าเรา เขาได้สูงกว่าเรา ก็มีอยู่ มิใช่หรือ หรือว่า เราสูงสุดแล้ว ในที่นี้ ก็ขอให้ตรวจตัวเอง ให้สำคัญ ถ้าผู้ใด ไม่ดูถูกผู้อื่น และก็ไม่หลง ตัวตน ยกตัวยกตน จนเกินไป ผู้นั้นจะเจริญในธรรม อยู่ตลอดกาล สาธุ.--- |