ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๒๕

เรายังคงจะย้ำในหลักของ เบิกบาน สุขุม อ่อนโยน คล่องแคล่ว ต่อไปอีก การที่จะเพิ่ม เพดานบิน หรือเพิ่มภูมิ หรือ จะปฏิบัติธรรม ให้สูงขึ้นๆ อยู่เรื่อยๆ ไม่ตกต่ำ ไม่สะดุด ไม่ชะงักนั้น เราจะต้องพยายามที่สุด อย่างน้อย ก็อย่าขาดทุน เป้าแรกที่สุด เบิกบาน การทำให้เบิกบาน หรือนัยหนึ่งก็คือ เราจะต้องทำตน ให้มีจิตเป็นฌาน มีจิตเป็นสุข ทิฏฐธรรมสุขวิหาร มีจิตที่ในปัจจุบันธรรมนั้น เราจะต้อง เป็นผู้ที่ ไม่หม่นหมอง ไม่เต็มไปด้วยโทสะ เป็นเบื้องต้น ไม่เต็มไปด้วย ความขัดเคือง ขัดข้องในจิต แล้วเรา แม้จะมี ความปรารถนา จะมีความอยากใคร่ แต่เราอยากใคร่ ในธรรม เป็นกาโม แม้เราจะมี ความเป็น กามฉันทะในกาม แต่ฉันทะในกามนั้น มันก็ยังสามารถ ที่จะเจริญ งอกงามได้ เพราะฉะนั้น เป้าแรกที่สุด เราจึงตัด ความหม่นหมอง ความขัดเคือง ความขัดข้อง ผูกโกรธ ความไม่สบายใจ ความไม่ชอบใจ อรติ ไม่ว่าจะเป็น หยาบ กลาง ละเอียด ตัดให้สิ้น นี่คือ ความหมายของ การล้างใจ ในปัจจุบันธรรม ทุกปัจจุบันธรรม อย่าให้มีอารมณ์ ขัดข้อง หมองใจ อึดอัดอะไร อยู่ในจิตใจ ทุกปัจจุบันให้ได้ ไม่มีข้อแม้ นี่ สายโทสโคตร นั่นคือ เราทำความเบิกบาน หรือ ทำความเป็นฌาน ในปัจจุบันธรรม เป็นผู้ปราศจาก ความเศร้าหมอง หม่นหมอง เป็นความไม่มีพยาบาท หรือ โทสโคตร แล้ว แม้จะมี ราคะโคตร หรือ มีกามฉันทะ แต่เป็นธรรมกาโม มีการปรารถนาใคร่ดี อยากได้ ในการเพิ่ม ภูมิของธรรม ซึ่งจำเป็นอยู่ใน เสขบุคคล ด้วย

เพราะฉะนั้น เรามีกาม ถ้าเราไม่ได้ไปมีกาม ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสโลกๆ ไม่ได้ไปใคร่อยาก ในเรื่องของ อบายมุข ไม่ได้ไปใคร่อยาก ในเรื่องตัว เรื่องตน เอามาเสพย์สม สุขสม อะไรนั้น เราก็เป็นผู้ที่มี จิตอย่างหนึ่ง ไม่ใช่จิตลอยๆ ไม่ใช่จิต กลางๆ ไม่ใช่จิต ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ใช่จิตไม่ดูด แต่เป็นจิตที่ ไม่ให้ไปดูด เอาความหม่นหมอง เอาความขัดเคือง เอาโทสโคตร เอาไว้ แล้วปล่อยโทสโคตร ให้หมดเกลี้ยง แล้วเราเป็น ผู้ที่มี ความดูดเหมือนกัน แต่ดูดดึงไปในทาง มวลมิตรสหาย ดูดดึงไปใน ผู้ที่เป็นมิตรดี สหายดี เพื่อนดี เป็นผู้ที่ มีคุณธรรม เป็นสัตบุรุษ เป็นผู้ที่จะเกื้อกูล ช่วยเหลือ มีใจดี อย่ามองโทษ อย่าเพ่งโทษผู้ใด อย่าไปคิดว่า ผู้ใด เขาจะมาทำโทษ แม้เขากำลังด่าเรา อย่างแรง เขากำลังทำร้ายเรา อย่างแรง ก็มีใจกลาง มีใจวาง อย่าเพ่งโทษ เราชอบไปมองคนอื่นเขา เพราะเราตนเอง เป็นผู้ระแวงตน เรามองตน เรานึกว่า ตนเองนี่ เป็นคนที่ คนอื่น เขาไม่เชื่อถือ เขาไม่เคารพ คนอื่นเขาเหยียดหยาม คนอื่นเขาดูถูก นั่นคือ ตัวมานะ กำลัง บทบาทอย่างแรง อยู่ที่เรา เรากำลังมีมานะ อย่างกำลังมัน ออกฤทธิ์ทีเดียว ---

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราเอง ระแวงตัวเราเอง แล้วก็ไประแวงคนอื่น ว่าเขากำลังมาเพ่งโทษเรา เขากำลัง มามองเรา เขากำลัง มาจับผิดเรา เขากำลัง มาทำร้ายเรา เขากำลัง จะเอาเรื่อง เอาราวอะไร กับเรา อย่างนี้ ขอให้อ่านตนเองว่า ปลดปล่อยเสียเถิด ใครเขาจะมาทำร้าย ใครเขา จะมาเอาเรื่อง ร้ายอะไรแก่เรา ถ้าเราเป็น คนที่บริสุทธิ์ ถ้าเราเป็นคนที่ ปรารถนาดีอยู่ ก็จะเห็นเขา เป็นตัวโจทย์ แห่งแบบฝึกหัด อย่างดี เขาจะช่วยทำให้เรา ระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น เขาจะช่วย ทำให้เราสะอาด บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น เขาจะช่วยมอง อย่างเหยียดหยาม เขาจะช่วยมอง อย่างจับผิด เขาจะตู่ว่า เขาจะด่าอย่างผิดๆ ก็ต้องหาความจริง ให้ได้ ครั้นเขาด่าผิดๆ มันไม่ถูก เราก็ปล่อยเสีย เขาจะจ้อง จะจับผิดอะไรนั่นน่ะ เราไม่ได้จ้างเขา แม้แต่บาทเดียว สลึงเดียว หรือ ล้านหนึ่ง สองล้าน เราไม่ได้จ้างเขาเลย เขาจะทำให้แก่เรา นั้นเป็นคุณค่า เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ---

เพราะฉะนั้น เมื่อเราไม่มีจิตเพ่งโทษว่า คนอื่น เขาจะมาเที่ยวได้จับผิด จับโทษจับภัยอะไร เป็นตัว ผู้ร้าย แก่เรา เราไม่มีใคร เป็นผู้ร้าย ในโลก แม้แต่ศัตรู ก็ไม่ใช่ผู้ร้ายของเรา ถ้าเราทำใจได้อย่างนี้ เราจะเบิกบาน แจ่มใส แล้วเราจะมองเห็น ความจริงว่า ผู้ที่เขามาทำอะไรแก่เรานี่ จะมาจับจ้อง จับจุด อะไรอยู่ คนนั้นคือ คนที่เขาจะมาทำประโยชน์ ให้แก่เราก็ได้ เราจะรู้ ในภายหลัง แต่ทว่า เราระแวงตัว เมื่อเราระแวงตัวแล้ว เราระแวงผู้อื่น เราจึงเกิด การไม่สบายใจ ใจเราจึงไม่ใส เมื่อใจเราไม่ใส ใจเราก็ ไม่เบิกบาน เมื่อใจเรา ไม่เบิกบาน จิตเราจะสุขุมไม่ได้ นอกจาก สุขุมไม่ได้แล้ว เรายังจะเป็น ทุกข์อีกด้วย ความทุกข์ ก็ทับถม ทำลาย ทำร้ายตน อึดอัด ขัดเคือง หนักแน่น ยุ่งยาก เข้าไปมากใหญ่ เราจะทำอะไร ละเอียดสูงขึ้น จะเจริญ ยิ่งขึ้น ไม่ได้ มีแต่จะตกต่ำๆๆๆ สุดท้าย ก็ตกไปจริงๆ ลงไปในนรกโน่นเลย น่ะ เพราะฉะนั้น ขอให้ทำความเข้าใจ ในเป้า ให้ความเบิกบาน ทำให้แก่ตนนี่ ให้ละเอียดขึ้นไป ดังที่ได้แนะนำ วิเคราะห์วิจัย ให้ฟังนี้ ให้ละเอียด แล้วเราจะเป็น คนที่ได้ กำไรก่อนอื่น เมื่อมีจิตเป็นฌาน จิตเบิกบาน ขับไอ้ความที่ มันจะทำ ให้ร้ายอะไร ออกไปในจิตได้แล้ว เราจะเกิดปัญญา เราจะเกิดการพิจารณา เราจะเกิดเห็นความจริง ความสุขุมเกิดขึ้น ความที่จะเป็นรุนแรง จะเป็นเรื่องร้อน จะเป็น เรื่องลำบาก อะไร ก็จะไม่เกิด ---

เพราะฉะนั้น เราจะไม่หยาบต่ำลง เราจะไม่วู่วาม เราจะไม่รุนแรง เราจะเป็นผู้ที่ละเอียด สุขุมขึ้น การละเอียด สุขุม นั่นเอง จะทำให้เรา สามารถที่จะเป็น กำแพง หรือเป็นเพดานชั้นสูง ขึ้นไปได้ เมื่อ เรามีแรง มีฤทธิ์ เพราะรู้ และเพราะ เราไม่เปลืองแรง ไปอะไรอื่นเลย แม้แต่ไปคอยระแวง แม้แต่ไปเดือด ไปร้อน อยู่กับเรื่อง ที่ไปผูกพันกับคนอื่น เราเอาแรง มาใช้หมด ในปัจจุบันใดๆ ก็ตาม เราก็จะมี ฤทธิ์แรง ทั้งทางธาตุรู้ ลักษณะรู้ และ ทางธาตุแห่งความแรง แรงเป็นพลัง เป็นกำลัง ที่จะทะลุ เพดานบิน สูงขึ้นไป นั้นได้ เมื่อเราทำได้ทุกอย่าง ก็จะถูกปรับให้สู่ ความอ่อนโยน ให้สู่ความไม่แข็ง เป็นสิ่งที่อยู่กับโลก อย่างนิ่มนวล อ่อนโยน นิ่มนวล สุภาพ แล้วมันจะเกิด การราบรื่น เรียบร้อยไปได้ แม้จะอยู่ในขวากหนาม จะอยู่ในพื้นที่ ที่มีภูเขา หลุม เหว อะไร อย่างไร มันก็จะราบรื่นไป ตามความสูง ความต่ำ ของอุปสรรค ที่มีอยู่ในโลก โลกไม่มี สิ่งที่ราบเรียบ เป็นหน้ากระจก โลกไม่มีอย่างนั้น โลกคือการโคจรไป สัมผัส สัมพันธ์ กับทุกระบบ บางอย่าง ก็มีระบบร้าย และ อย่างระบบร้ายนี้ ก็ขจัดไม่ออก มันเป็นซาตานแห่งโลก อยู่นิรันดร์ ---

เพราะฉะนั้น ซาตานแห่งโลกนิรันดร์นั้น เราเองเราอยู่ร่วม แม้ซาตานได้ ได้นั่นแหละ เราคือความเก่ง เราคือความชนะ ที่เราสามารถ ที่กระทำ ถ้าผู้ใดเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ศึกษาอบรม กระทำให้เบิกบาน อย่างจะผ่านมาสู่ จุดสุขุม เมื่อจุดสุขุมแล้ว ก็จะปรับไปอีก สู่จุดอ่อนโยน เมื่อได้จุดอ่อนโยน อย่างรู้ดีแล้ว ทุกอย่าง เราก็จะรู้รอบ เราก็จะแคล่วคล่อง ว่องไว จะเป็นสภาพที่รู้ยิ่ง เหมือนกับคนขับรถ ที่รู้ทางที่ดี แม้จะขับขึ้นเขา ลงเหว มีโค้ง มีงอ มีหักอะไร ก็ทำได้รวดเร็ว คล่องแคล่ว เพราะรู้ดีทุกแห่ง ฉลาดรู้ กำหนดรู้ สำคัญมั่นหมายรู้ เพราะฉะนั้น จังหวะช้า จังหวะเร็ว จังหวะคล่อง จังหวะต้องหยุด ต้องชลอ จังหวะต้องเร็วได้ อย่างดี มันจะไม่มีอะไร ติดขัดเลย ทุกอย่างจะปลอดโปร่ง คล่องแคล่ว ลุล่วงไปได้ การลุล่วง การปลอดโปร่ง โล่ง ว่าง นั่นคือ ความสบายสูงสุด ของมนุษย์ นี่เป็นหลัก ของเบิกบาน สุขุม อ่อนโยน คล่องแคล่ว จะมีนัย ที่มีบทบาท สัมพันธ์กัน นัยอย่างนี้ ฉะนั้น ขอให้เราได้กระทำ อย่างแรกที่สุด คือ ปัจจุบันธรรม อย่าทำให้ตนเอง หม่นหมอง ให้ตนเองเบิกบาน มีจิตเป็นฌาน อย่างแท้จริง โดยเฉพาะ สายของ โทสโคตร พยาบาท แม้แต่ขัดข้อง อึดอัด นั่นเป็นของสาย โทสโคตร ทั้งสิ้น แม้แต่ความไม่ยินดี ก็ใช่ เราปลดปล่อยให้ได้ แล้วเราก็ศึกษาโดย โพชฌงค์ ๗ โดยสติปัฏฐาน ดำเนินการ ปฏิบัติตามหลัก ที่เราได้กระทำมา อย่างใหญ่ หรือ เป็นทางเอก ที่เราได้เรียนรู้ แล้วก็ได้ฝึกฝนมา ใช้บทปฏิบัติ กรรมฐานนั้น ไปเรื่อยๆ เราก็จะเดินสู่ ทางแห่งความสุขุมขึ้น มีฤทธิ์แรงขึ้น จนก้าวล่วงไป ทำตนให้เป็นคน อ่อนโยน เรียบร้อยน่ะ เป็นคนอ่อนโยน สุภาพ นิ่มนวล ได้อย่างแท้จริง สุดท้าย อย่าว่าแต่อ่อนโยน นิ่มนวลเลย แคล่วคล่อง และ กระปรี้กระเปร่าน่ะ ปราดเปรียวน่ะ เร็ว แต่ก็มีจังหวะหยุด จังหวะช้า ตามบท ตามบาท ตามสัจธรรม แห่งสิ่งแวดล้อม ที่แท้จริงน่ะ กรรมฐาน เบิกบาน สุขุม อ่อนโยน และ คล่องแคล่ว ขอให้ศึกษา ทำความเข้าใจให้ดี แล้วนำ ประพฤติทุกคน เรากำลังจะเลื่อนขึ้น หรือเรา กำลังจะ วิริยะ อุตสาหะ เพื่อความเป็นอย่างนี้ เราอย่าทำอย่างเคร่งเครียด แต่จงทำอย่างเคร่งครัด เราจะได้เจริญ ไปตามกรรมฐานหลัก ที่เรากำลังจะพิสูจน์ กรรมฐานนี้ เพื่อผลแก่ตน ทุกๆคน

สาธุ.---