002 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖

เราไม่สักแต่ว่ารู้ ไม่สักแต่ว่าเข้าใจ และก็มีแต่เพียงได้สักแต่ว่ารู้เฉยๆ เราจะต้องมีอำนาจทางจิต เมื่อรู้แล้วว่านี่ดี รู้แล้วนี่ว่าชั่ว นี่รู้แล้วว่ามีกิเลส นี้เป็นอารมณ์ของผีเข้าแล้ว แม้หยาบแม้กลางแม้ละเอียด เราก็จะต้องมีกรรมวิธีและก็เอาจริงๆ อย่างน้อยก็อดทนข่มฝืน เป็นภาษาง่ายๆ และกรรมวิธีในการอดทนข่มฝืน เราก็รู้ด้วยสัญชาตญาณกันอยู่บ้าง ว่าต้องทำอย่างแท้จริง ให้มันตายดูซิ ว่าเราเองพ่ายแพ้กิเลสนี่ มันจะตายชักดิ้นชักงอ ให้มันลองดู

ถ้าเราไม่มีความอดทนข่มฝืนแล้ว เราก็พ่ายแพ้ต่อกิเลสทุกทีไป เราก็เจ๊งไปทุกทีๆ และเราก็พ่ายแพ้ไปทุกทีๆ นานับชาติ ก็จะเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่เป็นอย่างนั้นอย่างเดียว ที่เราพ่ายแพ้ทุกทีไปนั้น ไม่ใช่ว่าเราได้กำไร เราเสีย เรามีการสั่งสม ให้อาหารแก่กิเลสมันทุกทีไป

กิเลสมันก็มีมานะเสริม เช่นว่า เราเอง เราอยากกินขนม เราต่อต้าน เมื่อเราต่อต้าน ต่อต้านแล้ว กิเลสมันก็จะมีแรงเสริมขึ้นมาต่อต้าน สู้อีกเหมือนกัน เมื่อสู้แล้ว ปรากฏว่าเราแพ้ กิเลสชนะ เมื่อกิเลสชนะ กิเลสชนะนี้ กิเลสมีมานะ ไม่ใช่กิเลสไม่มีมานะ

เราแพ้ในการสู้กิเลสนี้ อย่านึกว่า เราแพ้แล้วนี่เราดีนะ อย่างไงเราก็ได้สู้แล้ว เราสู้มันไม่ได้ นั้นแหละ สู้มันไม่ได้ เราแพ้มันนั้นแหละ มันชนะเรานั้น มันมีมานะด้วย มันย่ามใจกว่าเก่าด้วย เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นสภาพซับซ้อน เป็นสภาพที่ลึกซึ้ง ที่เราจะต้องเข้าใจให้ดีว่า เราพยายามต้องฆ่าต้องสู้ อดทนข่มฝืน ด้วยอำนาจเจโตสมถะ หรืออำนาจอดทนจริงๆ ฝืนข่มจริงๆ ต่อสู้ อดกลั้น ไม่ยอม โดยสมถธุระอย่างเดียว เราก็ต้องทำอย่างแข็งขัน นอกกว่านั้น เราก็มีวิปัสสนาธุระ มีธัมมวิจัยที่แท้จริงๆ เห็นให้ชัดแจ้งด้วยเหตุด้วยผล นำเหตุผลมาร่วมในการที่จะนำมาต่อสู้ เพื่อลดละจางคลาย เพื่อให้เราเป็นผู้ชนะในกิเลส ทุกบทบาท ทุกขั้นตอน ทุกขณะ ที่เราจะกระทำอยู่ มีสภาพทั้งธุระสองธุระ ผสมผสานกันอยู่ มันไม่ใช่ว่ามันแยกกัน แต่ความหมายทำให้แยก เห็นเด่นชัดได้ แต่กรรมกิริยา หรือว่าเวลาประพฤติปฏิบัตินั้น เราใช้ธุระทั้งสอง ทั้งสมถธุระและทั้งวิปัสสนาธุระ กระทำจริงๆ ยิ่งเห็นเหตุเห็นผล เห็นอะไรต่ออะไรมากยิ่งขึ้น เสริมหนุนเข้าไปได้ มีจิตแววไว มีจิตปราดเปรียว ชาญฉลาด เอาเหตุผลเข้าร่วม แล้วก็มีเหตุผลที่จริงเข้าไปอีก ที่ซับซ้อนลึกซึ้งเข้าไปอีก ไวเร็วช่วยอีก อดทนข่มฝืนก็เก่งอยู่แล้ว เหตุผลก็มีมากหลาย มีทุกที ทั้งในขณะที่เห็นโทษภัยของสิ่งนั้น ทั้งในปัญญา หรือในความรู้ที่เราเห็นว่า เมื่อจางคลายบางเบานั้น เป็นสัจจะเป็นความจริงว่า เราดี เราเจริญ เราสบาย เราได้อะไรต่อมิอะไร ที่เป็นส่วนมันดีแก่ตนมากมาย ในการแนะ ก็แนะได้เพียงเท่านี้ แต่ในรายละเอียดของการเห็นด้วยปัญญาอันยิ่งนั้น เรามีมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญญาเห็นโทษ ไม่ว่าจะเป็นปัญญาเห็นคุณ ในเมื่อเราละล้างเลิกได้ จางคลายได้ ดับสนิทได้ จะต้องเห็นให้มาก ในรายละเอียดของมันให้มากเชิงจริงๆ ในด้านวิปัสสนาธุระ เราก็จะต้องมีญาณทัสสนวิเศษ ในเรื่องเหล่านี้อย่างมากเพียงพอ

ในด้านมโนมยิทธิ หรือในด้านเจโต ที่เราจะสามารถทำให้มันสงบระงับ นิ่งแน่ ด้วยอำนาจทางจิตที่มีอำนาจแรง อำนาจไม่ให้มันมีอาลัยอาวรณ์ ไม่ให้มีรสมีเรื่อง ให้มันตายดับได้ เราก็ต้องใช้จริงๆ

จึงอยากจะขอย้ำพวกเราว่า ในเรื่องของเจโต ในเรื่องของมโนมยิทธิ ในเรื่องของอำนาจต่อสู้ อดกลั้นของพวกเรานี้ ยังมีน้อยไป ปัญญาพวกเราจะมีค่อนๆจะเหนืออยู่ มากอยู่ แต่อำนาจทางเจโตที่จะต่อสู้ อดกลั้น ให้มันตายลองดู มันไม่กล้าตาย แล้วมันก็ไม่ได้ตาย มันไม่กล้าตาย มันก็ไม่ได้ตาย แต่มันก็จะตาย เน่าเหม็น ไม่ได้เรื่อง ชาติแล้วชาติเล่า ซ้ำซ้อนไปอีก กิเลสไม่ได้ตายแท้ แต่ตัวเรานี้แหละ ก็ชาติแล้วชาติเล่า ตายเน่าตายเหม็นนานับชาติ เป็นปัญจารามตา ช้านานไปเปล่าๆ

ก็ขอให้พยายาม ลองใช้การอดกลั้น ใช้การทนฝืน ใช้การเด็ดขาด ให้มันตายชัก ลองดูซิว่า เราไม่(มี)สิ่งนี้ ทั้งๆที่สิ่งอื่นมีทดแทนหลายๆอย่าง แต่เราก็สู้มันไม่ได้ ด้วยความติดความยึด ความหลงเป็นทาส เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่ดิ้นรน เพื่อจะสลัดแอกอย่างแข็งแรง เราก็จะตกเป็นทาสอยู่อย่างนั้น ไปอีกนานับชาติ

ก็ขอเน้นจุดนี้ ก็ขอให้พวกเราได้ใช้พลังของเจโตสมถะ หรือพลังของจิตอันเข้มแข็ง อย่างจริงๆจังๆ พยายามเพียร อุตสาหะ วิริยะ อดทน ฝึกปรือ ในแง่เชิง ที่มันจะทำให้เราเกิดแข็งขัน อดทนต่อสู้ ใช้ฤทธิใช้แรงบ้าง ผู้ที่เด่นไปในทางสมอง หรือเด่นไปในทางปัญญามากแล้ว ก็ต้องรู้ความขาดของเรา ว่าขาดส่วนนี้ อย่าขี้เกียจ ถ้าขี้เกียจ ในการสิ่งขาดให้แก่ตนเองนั้น ไม่มีผลสำเร็จ

ถ้าเรารู้ว่าเรามีปัญญามาก เราก็ต้องเพิ่มเจโต ถ้าเรารู้ว่าเจโตของเรามาก เราก็เพิ่มปัญญา เราต้องเพิ่มสองส่วนให้สมดุลกัน หรือให้มามีฤทธิ์มีแรงสนับสนุนกัน ให้มันได้ส่งเสริมกันได้เพียงพอ ไม่เช่นนั้น เลี่ยงฮุ้น อยู่ในส่วนหนึ่ง ที่ตนเองเอียงข้าง หรือสุดโต่งอยู่ในทิศทางนั้นทางนั้น ไม่ว่าจะเป็นทางหนึ่งทางใด

ขอให้พวกเรานี้ตรวจตนเอง ที่พูดนี้ พูดโดยประมาณ ส่วนใหญ่มันเป็นอย่างนั้น คือกำลังอดทน เจโตที่แรงๆ มโนมยิทธิที่แข็งๆ กล้าๆของเรายังน้อยอยู่ จริงละ เรามีไม่ใช่น้อย ที่ได้มาขั้นหนึ่งแล้ว แต่ขั้นต่อไปอีก เราต้องอาศัยที่แรงยิ่งกว่านี้อีก เพราะฉะนั้น ก็ขอให้พวกเราได้ตั้งอกตั้งใจ ลองพยายามอดทน ข่มฝืน ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา

ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา เป็นการอดทน เป็นการใช้ตบะ เป็นการอุตสาหะพากเพียร สู้ฝืนให้อย่างจริงจัง และเราจะเห็นผลของสิ่งที่เราได้กำชับกำชานี้ สำหรับคนที่ยังมีความเป็นจริงว่า เราเองเราอ่อนในทางนี้ และเห็นผลจริงๆ ขอให้พากเพียรขึ้น ที่กำชับกำชา ที่เน้นนี้ ก็เพราะว่าเห็นบางส่วนที่ขาดอยู่ อย่างแท้จริง

ฉะนั้น ผู้ใดพอรู้อยู่ทุกอย่าง แต่ยังทำไม่ได้ ก็เพราะเราไม่เอาจริง เราไม่เด็ดขาดจริง เราจึงต้องตกหล่น และร่วงหล่นอยู่ ฉะนั้น ก็ขอให้มันทำ อย่างให้มันใช้กรรมฐาน "ตายเป็นตาย" ให้ได้ และเราก็จะได้มีอมตธรรม

สาธุ.

 

*****