003 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖

เรามาฝึกหัดปฏิบัติธรรม และเราก็ย้ำซ้ำซากกันไป เตือนกันเสมอ อย่าให้คำเตือนนั้นเป็นความด้านชา เราจะต้องสำนึกในคุณค่าของคำสอน สำนึกในคุณค่าของหลักการทฤษฎีความรู้ ถ้าเราไม่มีปริยัติ ไม่มีหลักการทฤษฎีความรู้ และเราก็ด้านชาโดยมานะ โดยถือดีว่าเรารู้แล้ว ทั้งๆที่เรายังไม่ได้ดีจากหลักการ จากกรรมวิธี จากทฤษฎีปริยัติเหล่านั้น และเราก็ละเลย ปละปล่อย ไปแสวงหาความรู้ใหม่เรื่อยไป โดยของเก่าที่เราเองก็ยังอยู่ในสักกายะของเรา เราก็ยังไม่ได้แก้ไขปรับปรุงเลย เราอย่าไปดูถูก แม้จะรู้แล้วว่าเราก็ซ้ำซาก แล้วต้องสำนึกตนเสมอว่า โอ้หนอ เราฟังเขาก็รู้มานานแล้ว เรายิ่งแย่ลงทุกที ยิ่งรู้มานาน เรายิ่งฟังซ้ำ ก็เท่ากับเตือนเราเสมอว่า รู้มานานแล้วนะ รู้มานานแล้วนะ แล้วไม่ได้สักทีนะ เราก็ควรจะต้องเตือนตน อุตสาหะวิริยะ รู้ความบกพร่อง รู้ความผิดพลาดอันนี้ของเรา อย่ากลายเป็นด้านชา อย่ากลายเป็นปละปล่อย อย่ากลายเป็นผลักไส เพราะว่าการปละปล่อย ผลักไส ด้านชานั้น มันเป็นมานะจริงๆ มันเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง


เราต้องยอมรับทุกที ผู้ที่เตือนท่านหวังดี ผู้ที่พูดท่านหวังดี แม้จะกล่าวซ้ำ เรารู้แล้วก็ตาม แต่เรายังทำไม่สำเร็จผล เรายังทำไม่ได้ ยังไม่ได้ผ่านไป


เราจะผ่านไปได้อย่างไร ในเมื่อมันยังเรียบร้อย แม้เราจะรู้ เราก็จะต้องเห็นดีว่า เออ! เราเองซิ เราโง่ ไม่พยายามพิจารณาเนืองๆ เราไม่หยิบหลัก เราไม่หยิบส่วนบกพร่อง อันนี้ของเราขึ้นมาแก้ไข และเราก็ปล่อยผ่านปล่อยผ่าน ทั้งๆที่รู้เหตุรู้ผล รู้ความจริงอยู่อย่างนี้ มันก็ทำให้เราเป็นผู้ชักช้า หรือเป็นผู้ได้แต่ศึกษา แล้วก็ได้แต่รู้ๆๆ ไปรู้มากก็ยิ่ง นอกจากมีกิเลส ไม่เอาสิ่งที่น่าเอา และยังอยากไปแสวงหาความรู้ใหม่ กลายเป็นคนหลงรู้ เป็นคนหลงภูมิ เป็นคนหลงวิชา ก็เป็นมานะที่ตะกละตะกลาม อวดดีอวดอยากได้ อยากเด่นอยากได้ ไอ้สิ่งที่มันเป็นปริยัติเท่านั้น มันไม่สมส่วน มันไม่สมดุล มันไม่เกิดบทที่จริง ได้มากรู้มากก็เลยเอาไปโก้ ไปคุยไปเขื่อง เอาไปประดับตน เป็นการประดับตนไปเฉยๆ สิ่งเหล่านี้เราจะต้องหัดพิจารณาให้แยบคาย ทำความเห็นให้แจ้ง


เราจะรู้ใหม่เพิ่มเติม ก็ไม่เป็นไร แล้วก็อย่าให้มันมีกิเลสหลง ว่าเราได้รู้มาก กลายเป็นคนรู้มาก กลายเป็นคนหลงตัวหลงตน ว่าเราใหญ่ ว่าเรารู้ เราเข้าใจเยอะ เรามีภูมิรู้สูง อย่าเป็นอย่างนั้น เราจะรู้เพิ่มเติมก็ไม่เป็นไร และเราก็ต้องเจียมตนว่า เราเพียงรู้เท่านั้นนะ ตัวยังทำไม่ได้


อย่าว่าแต่รู้มากๆเลย แม้แต่ต้นๆ พื้นๆฐานๆ รู้มาแต่เก่าแต่แก่ เรายังทำไม่ได้เลย เราก็ยิ่งจะต้องเจียมตนมาก จะต้องรู้ตัวรู้ตน


การปล่อยผ่าน ด้านชา แล้วก็ย้ำซ้ำซาก แล้วเราก็เกิดไม่พอใจ ไม่อยากฟัง เบื่อหน่าย พวกนี้เป็นเรื่องของทิฏฐิมานะ เป็นความเห็นที่มันเกิดตัวเกิดตน แทนที่ว่า เรากระทำ คนอื่นเขาเตือนให้ เราก็จะต้องรู้ว่า เขาชี้ขุมทรัพย์ เขาย้ำ เขาซ้ำเขาซาก เขาทำให้เราเองเป็นผู้ที่ไม่ปล่อยปละละเลย ควรขอบคุณเขา แม้เราจะรู้ก็ตาม


ในเรื่องการพิจารณา ในเรื่องการพูด ในเรื่องการเตือนกันติงกัน เรื่องเก่าเรื่องซ้ำเรื่องซากอย่างไร ก็ต้องมอง ในความหมายประเภทนี้ ประเด็นนี้ให้สำคัญ เราจะกลายเป็นคนไม่ช่างเบื่อ ไม่ช่างเซ็ง เพราะว่าตัวกิเลสตัวต้นฐาน ตัวต้นพื้น ก็คือ ตัวกิเลสมานะดังกล่าวแล้ว มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันถือตัว มันไม่อยากให้ใครมาพาดพิง ไม่อยากให้ใครมากล่าวกราดกล่าวกล้า ไม่อยากให้ใครมาสัมผัสผ่านเรา มันถือตัว แล้วก็ถือตัวว่ารู้ ไม่ต้องบอกฉันก็ได้น่า อะไรอย่างนี้ พวกนี้ เป็นต้น


ที่จริงมันมีเชิงละเอียดมากกว่านี้ ที่มันทำให้เรา กลายเป็นคนที่เราไม่เอาถ่าน เพราะฉะนั้น นอกจาก กำลังมันเขี้ยว กับ แหม! ภูมิรู้เราก็ กำลังอร่อย ในจุดนี้ แล้วเราก็เอาของเรานี่ มาสาธยาย ไม่ใช่


สอนต้องดูบุคคลอื่น แล้วเราก็กำหนดฐานะของบุคคลอื่น เออ! เขารู้ต้นกลางปลายขนาดไหน ถ้ามันยังไม่มีต้นกลางปลาย เราสอนต้นก่อน เรายังไม่รู้ว่า เอ๊! เขาสูงแค่ไหน ไล่ต้นมาก่อน คนไม่มีมานะ ฟังต้น เขาก็ฟังได้ เขาต่อขึ้น เขาก็จะโยงใยไป เราก็จะรู้ อ๋อ! คนนี้มีภูมิสูงขึ้นมา เราก็เขยิบขึ้นมาตามนั้น ถ้ายังไม่รู้ก็ทำต้นก่อน อย่าไปไม่รู้ แล้วก็สอนสูงเลย สอนสูง เลยจับไม่ติด ไม่ศรัทธากันเลย และก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวกันเลย ถ้าสอนต่ำมา ไล่ๆ เป็นภูมิไล่ขึ้นมา ก็จะมีระดับ


ที่ท่านรู้จริง ผู้ที่สูงจริง ท่านไม่อยากสอนสูงทันทีหรอก ท่านสอนต่ำมาก่อน แล้วสอนไล่กลางไป ท่านจะหมุนวนเวียน พูดซ้ำพูดซาก แต่ระยะต่ำๆ อย่าไปดูถูก คนสอนภูมิต่ำนะ ว่าเป็นคนที่ไม่สูง และไปหลงคนสอนแต่ภูมิสูงๆ โดยไม่สอนภูมิต่ำ นั่นแหละ ได้หลงครู ที่ผิดพลาดแล้ว


ครูที่ขี้หลงตัวเอง ก็จะสอนแต่ภูมิสูงๆ ทั้งๆที่ตัวเอง บางทีไม่มีภูมิจริงหรอก ต้นๆก็ไม่ได้ปฏิบัติ แต่มีแต่ภูมิรู้ ที่มันรู้ได้เหมือนกันนี้ นี่ปฏิภาณ ไอ้นี่มันเป็นภูมิรู้ชั้นสูง ไอ้นี่มันเป็นภูมิรู้ชั้นกลาง ชั้นต่ำ อยากจะอวดโอ่ โชว์ตัว ก็คุยแต่เรื่องสูงๆ อย่างนี้ก็มีแยะ


จะต้องดูความจริง ผู้รู้จริงท่านจะพยายามไล่เลียงดู เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ซ้ำซาก เบื้องต้นนี้แหละ เพราะว่ามีมาใหม่มาเก่า ยิ่งหมู่กลุ่มกว้างๆโตๆ มันก็ต้องพูดเรื่องต่ำ พูดเรื่องที่ให้ผู้อื่นเขาอีก ที่เข้ามาใหม่ก็ตาม หรือมีจำนวนอยู่ในพื้นฐานนี้เยอะ ก็ต้องให้ผู้ที่เยอะก่อน เพราะฉะนั้น สูงๆนี้ ก็ค่อยๆได้ กาลเทศะ หรืออยู่หมู่กลุ่มใหญ่ๆนี่ สูงๆจริงๆ ไม่ค่อยได้สอนหรอก หมู่กลุ่มใหญ่ๆ เพราะฉะนั้น จะได้สอนพื้นฐาน วันเวลา ในนักขัตฤกษ์ มีคน เวียนไปเวียนมา มีใหม่ มาเรื่อยเสมอ มันก็ซ้ำซากอยู่แต่อันเก่า แต่ก็เผื่อคนเก่า คนเก่าที่สอน ที่ได้สูงมาแล้ว ก็เผื่อ เพราะฉะนั้น ก็ซ้ำซากคำเก่า ก็คือ ซ้ำซากเรื่องต้นๆ คนใหม่มา ก็ซ้ำซากเรื่องต้น เรื่องตื้น มันก็เป็นคำเก่า แต่คนเก่าที่สูง จะต้องหาใหม่ให้บ้าง ก็แบ่งไป ซึ่งจะมีจำนวนน้อย มันก็ค่อยๆกระเถิบ ขยับกันขึ้นไป ขึ้นไป


ถ้ารู้ความหมายนี้แน่แล้ว เราจะไม่เซ็ง เราจะไม่เบื่อ เราจะรู้สภาพจริงว่า อ้อ! ผู้รู้ ท่านต้องเผื่อแผ่ถ้วนทั่ว ไม่ใช่เอาแต่ตัวเรา เราสูง ท่านก็สอนแต่ตัวเราคนเดียวไม่ได้ เราก็สอนเผื่อไป ถ้วนทั่วทุกตัวคน ถึงกาลเทศะ เราก็ว่าไป เพราะฉะนั้น เรายิ่งจะจำแม่น ในเรื่องที่เก่าที่ซ้ำซาก ถ้าเราไม่มีการผลักไสแล้ว ฟังแล้วฟังเล่า แก้ไขแล้วแก้ไขเล่า หรือแม้แต่ในเรื่องตื้นเรื่องต้น มันยังมีเรื่องละเอียด ซอยลึกลงไปอีก เราก็จะรู้ได้ลึกซึ้งต่อไปอีก การศึกษาก็มีสอดร้อยสอดประสาน เป็นคัมภีราวภาโส หรือเป็นสภาพเชิงซ้อน ดังในที่กล่าวนี้เสมอ ขอให้เราเข้าใจ ด้วยสัมมาทิฏฐิ ให้ดีๆ


เราจะเกิดคุณค่า ในการเรียนรู้ธรรมะ ทั้งซ้ำซาก ทั้งขยายใหม่ วันแล้ววันเล่า เราจะได้ศึกษาทั้งปริยัติปฏิบัติ อย่าประมาท ทำความจริงให้เกิด แม้ฐานต้น ฐานตื้นอะไร อย่าไปแสวงหาแต่ความรู้ กลายเป็นนักรู้ แต่ไม่บรรลุอะไรเลย ก็ผู้ที่ได้แต่รู้ เต็มหูเต็มหัว แต่ไม่บรรลุอะไรเลย แม้แต่ในชาตินี้ ท่านเรียกผู้นั้นว่า ปทปรมะ


ก็คิดว่า ก็คงจะสะดุ้งสะเทือนในคำนี้ ไม่ได้หมายความ ปทปรมะ คนเรียน ไม่ได้โง่ๆ ไอ้อย่างงั้น มันก็จริงอยู่ด้วย แต่แท้จริงแล้ว ปทปรมะ ที่แท้จริงๆนั่นคือ ผู้ที่ฉลาดรู้ เรียนรู้มาก แต่ไม่มีอะไรบรรลุเลย นั้นคือ ปทปรมะ ผู้ที่ต้องให้เต่าปลากินไป ชั่วชาติหนึ่ง ชั่วชาติหนึ่ง เป็นโมฆบุรุษแท้ๆ ขอให้สังวรระวังให้มาก เราจะได้นำพากันไปสู่ที่ดี


ในการสอนทุกที ทุกครั้ง พูดอันนี้ขึ้นมา ก็จะเตือน เพราะจะมีคนรู้สึกระลึกอย่างนี้ แล้วก็เบื่อหน่าย อย่างนี้มีอยู่ เพราะฉะนั้น การเบื่อหน่ายที่ไม่เข้าท่า จะพานพาให้เรา กลายเป็นผู้ตกต่ำ เสียท่า ก็ขอให้ระวังเอาไว้ ระแวงระวังเอาไว้ให้ดี แล้วก็กระทำตนให้สอดคล้อง สิ่งใดที่แม้เราจะได้แล้ว ก็อย่าไปถือตัวเป็นมานะว่า เขาสอนเขาพูด มีแต่เรื่องเก่าๆซ้ำๆ ขออย่าไปเป็นอย่างนั้น ดูด้วยว่า ผู้จะสอนสูงไม่ได้ ก็ต้องอภัยท่าน


ผู้ที่สอนสูงได้ด้วย ท่านจะมีทั้งต่ำ ทั้งกลาง ทั้งสูงไปเสมอๆๆ ตามกาลเทศะ ถ้าหมู่ใหญ่ก็สูงมาก ก็ไม่ค่อยได้ละ มีสูงขึ้นไปน้อย แต่ถ้าหมู่น้อยสูงมาก ก็จะมีเป็นกาลเทศะ ฐานะอย่างนั้น ขอให้เข้าใจให้ลึกๆละเอียด อย่างนี้แล้ว ทุกคนศึกษาไปด้วยกัน พวกนี้จะนำพากันไปสู่ที่สูง อย่างมีระบบ มีระเบียบ มีผู้สืบทอดต่อทอด เป็นขั้นเป็นตอน เป็นชั้นเป็นเชิง ไปอย่างงดงาม เหมือนมาลัยที่ร้อยแล้วด้วยดี ที่มีศิลปะสวยสด เราจะพากันเจริญ ประดุจดัง มาลัยพวงงามได้ เช่นนั้น

สาธุ

*****