004 ธรรมปัจเวกขณ์ วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ |
เบิกบาน ร่าเริง วาง ปล่อย
ผู้ปฏิบัติธรรมก็จะเห็นเหตุการณ์ เห็นประสบการณ์ต่างๆเกิดขึ้น ผู้ที่อยู่ในแวดวงอะไร แล้วก็มีจิตใจที่เห็นการพัฒนา หรือการเสื่อมในจุดนั้นๆ ก็เป็นคนที่มีกะจิตกะใจในจุดนั้นๆ คนอยู่ทางโลก เขาก็เห็นจุดเสื่อม จุดพัฒนาของโลก เขาก็จะมีกะจิตกะใจ เอาใจใส่ แล้วก็ช่วยกันพัฒนาอย่าให้เสื่อม ผู้ที่ไม่มีความรู้ หรือผู้ที่เลว ก็ย่อมทำให้เสื่อม โดยความโง่หรือความขี้โกง ความเป็นอวิชชา เป็นตัวร้ายของกลุ่มนั้น ทางโลกก็เหมือนกัน ทางธรรมก็เหมือนกัน เพราะงั้น อยู่ในทางธรรม ถ้าเผื่อว่าผู้ที่เป็นตัวกวน เป็นตัวทำลายอยู่ มันก็เป็นตัวทำลายอยู่ โดยอวิชชาเหมือนกัน บางทีผู้นั้นมีเจตนาดีด้วยซ้ำ นึกว่าตัวเองเจตนาดีน่ะ แต่ด้วยความโง่ความไม่ฉลาด แล้วก็ทำอย่างหลงผิด มันก็ทำให้เสื่อมทำให้เสีย ทำให้แรงร้ายลงไปได้ เช่นเดียวกัน
อันนี้ก็ต้องช่วยกันสอดส่อง ช่วยกันพยายามประคับประคอง แก้ไขปรับปรุง มันมีทั้งไม่เจตนา โดยโง่ๆจริงๆเลย ทำไปด้วย บางทีฉลาดด้วยซ้ำ ฉลาดด้วย แต่ทำไปอย่างโง่ๆ ไม่รู้จะเรียกอะไร เพราะว่ามันไม่... จะว่า ไม่โง่ก็ฉลาด แต่ฉลาดแล้วก็ทำอย่างโง่ๆ ทำให้ทำลาย ทำให้เสื่อม อย่างงี้ก็มีน่ะ
ในวงการศาสนาก็ดี ในวงการโลกก็ตาม มันมีซับซ้อนอยู่อย่างนี้ ในวงการโลก ที่จริง ดูง่ายกว่าวงการศาสนา วงการธรรมะ ยิ่งธรรมะลึกๆซึ้งๆนี่ ยิ่งดูยาก เพราะมันซับซ้อนยิ่งกว่า บางทีซ่อนกล เสียจน โอ้โห! ตามไม่ทัน รู้ไม่ได้ เล่นงาน กว่าจะรู้ได้ ต้องเจาะไชอะไรลงไปตั้งเยอะ ก็มีได้น่ะ เพราะฉะนั้น วงการศาสนาก็ตาม วงการโลกก็ตาม สนุกน่ะ สนุกทุกวงการ ไม่เซ็ง คนที่เซ็งก็คือ คนที่ โลกก็ไม่อยู่ ธรรมก็ไม่อยู่ ไปอยู่ในที่อะไรต่องแต่ง ก็ไม่รู้ จะเรียกว่า อยู่ในหลุมส้วมหรือเปล่าก็ไม่ทราบ โลกก็ไม่ชัด ธรรมก็ไม่ชัด แล้วมันหนีหมด หนีโลก หนีธรรมน่ะ คนอย่างนี้ก็พูดไม่รู้เรื่อง พูดด้วยไม่ได้ แล้วก็ไม่เบิกบานร่าเริง ไม่สนุก จะเป็นคนหดหู่ อับเฉา หลบลี้ เลี่ยงอยู่อย่างนั้น
นี่เป็นธรรมชาติแท้ๆ เป็นอย่างนั้น ซึมเซา เฉยเมย เฉื่อยชา ไม่เข้าเรื่องเข้าราว ฉะนั้น พุทธะ ท่านถึงได้แปลความหมายอย่างชัดเด่นว่า เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เบิกบานสนุกร่าเริง แต่มันไม่ร่าซ่า เหมือนโลกเท่านั้น ร่าซ่าโลกนั่น เราก็รู้ๆอยู่ ที่ใช้ศัพท์แค่นี้ ก็น่าจะเข้าใจ เพราะเราเบิกบานร่าเริงสนุกสนาน มีเรื่องมีราว มีบทบาทพัฒนา แก้ไขความเสื่อม ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม เราจะห้าม ไม่ให้ทางธรรม ไม่มีความเสื่อม หรือไม่มีตัวร้ายไม่ได้ ขนาดพระพุทธเจ้าเกิดอยู่ ก็ยังมีตัวร้ายอยู่ไม่ใช่น้อย พระพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ พระชนม์ชีพอยู่ ก็ยังมีตัวร้าย พระพุทธเจ้าสิ้นลงไปใหม่ๆ ก็มีตัวร้ายปรากฏออกมาทันที แฝงอยู่ซ่อนอยู่ พอถึงโอกาส ก็บอกตัวปรากฏตัว อะไรอย่างนี้เป็นต้น
ในขณะที่ท่านอยู่ ก็มีตัวร้ายเยอะแยะไป ที่พยายามเจตนา เจตนาที่จะทำอย่างโน้นอย่างนี้ ตามประวัติก็รู้ ก็ศึกษาดู เพราะฉะนั้น เราเอง เราไม่ได้มีอิทธิพล มีอิทธิฤทธิ์อะไร แข็งแรงยิ่งใหญ่ เท่าพระพุทธเจ้า ป่วยการกล่าวไปไย ที่จะไประงับเชื้อโรค หรือระงับตัวร้าย มันต้องมีอยู่แน่ๆ และเราก็พยายามตั้งใจรู้ และตั้งใจช่วยกันทำความเจริญ หรือล้างความเสื่อมความเสีย ในกลุ่มหมู่นั้น ก็แล้วกัน มันต้องมีแน่นอนน่ะ
ในการทำงาน หรือว่าการพัฒนา ไม่ว่าทางธรรมหรือทางโลก ก็เป็นไปโดยอย่างนี้เอง ทางธรรมนั้น ก็มีลักษณะที่เป็นไปโดยชีวิตชีวา เบิกบาน ร่าเริง แจ่มใส เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ได้รับรสได้รับผลเป็นไปด้วยดี เพราะฉะนั้น ธรรมะไม่เซ็ง ธรรมะไม่จืดชืด ยิ่งธรรมะยุคนี้นี่แล้ว ถ้าใครเข้าใจจริงๆแล้ว ดูเอาเถิด มันไม่ได้เมามันเลย มันสนุกน่ะ มันสนุก ทั้งภายนอกและภายใน แหม! นี่เป็นเรื่องจริงนะ
ก็ขอให้พวกเรา มองให้เห็น มองให้ชัด ผู้ใดที่พ่ายแพ้ ผู้ใดเจ็บปวด ผู้ใดมีอะไรต่ออะไรอยู่ มันมีประสมประสานอยู่ ผู้ใดรู้จักสัจจะแล้ว วางได้ปลงได้ เห็นจริง พัฒนา มันก็จะพัฒนา ในนี้มันก็จึงไม่เซื่องซึมเศร้าสร้อย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์ร้อนน้อย มีแต่เบิกบาน ร่าเริง ก็วางปล่อย วางปล่อย แล้วพัฒนาๆ ช่วยกันแก้ไข สิ่งที่เสื่อมสิ่งที่ไม่ดี ปรับปรุงกันอยู่ๆ น่ะ
ความเจริญเหล่านี้ ถ้าในทางธรรมรู้จริงแล้ว ก็เป็นไปอย่างนี้แท้ การพัฒนาธรรมะ การเจริญทางธรรมะ มีได้แน่นอน และเราเองก็จะมีปริมาณ มีมวล มีแวดวง มีสังฆมณฑล ที่กว้างขวางขึ้น กว้างขวางขึ้น มีน้ำมีเนื้อไปเอื้อ หรือเกื้อกูลชาวโลก ชาวที่เขาก็สนุกของเขา แต่สนุกของเขานั่น มันบรรลัยน่ะ ก็จะไปเกื้อกูล หรือทำให้ความบรรลัยไปทางโลก ให้เขาลดน้อยลง เกิดอุดมสมบูรณ์ เกิดความอยู่สุข เกิดความไม่ทุกข์ร้อน ไม่แย่งชิงแตกร้าว ต่อตีอะไรกัน และก็ไม่เกิดการผลาญพร่าทำลาย จนแห้งแล้งขาดแคลน เดือดร้อนน่ะ
เพราะฉะนั้น พวกธรรม เป็นผู้ที่ทำให้เกิดการอุดมสมบูรณ์ เกื้อกูลเจือจาน หนุนเนื่องน่ะ สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งหลักของโลก สิ่งหลักของสังคมมนุษย์ มนุษย์ต้องการธรรมะ มนุษย์ต้องการหลักอันนี้ เราพิสูจน์กันดู ค่อยๆพิสูจน์ไป เราจะเห็นความเป็นจริงอันนี้ ขึ้นไปทีละน้อย ทีละน้อย ๆ ที่จริงความเจริญของเรานี่ ไม่น้อย มันดูได้ เห็นว่าเป็นความเจริญที่ก้าวหน้า มีดรรชนีชี้ค่า มีอัตราการก้าวไม่น้อยเลยล่ะ ไม่น้อย อาตมาว่าอย่างนั้น อาจจะเป็นเพราะอาตมาตาดี ก็เลยได้เห็นชัดก็ได้ ก็เลยเห็นไม่น้อย แต่พวกคุณก็คิดว่า คงไม่ตาบอดเกินไปน่ะ คงจะพอรู้ค่าก้าวหน้า ค่าที่ความพัฒนา ค่าความเจริญอยู่พอสมควร
งั้นก็ขอให้พิสูจน์ นี่ไม่ใช่มอมเมานะ พูดอย่างนี้แล้ว ก็อย่าเพิ่งเชื่อ พยายามพิสูจน์ติดตาม ให้เห็นจริงๆน่ะ ที่พูดนี่ พูดจากใจจริง พูดของตัวเอง ไม่ใช่พยายามที่จะจูงจมูก ไม่พยายามที่จะครอบงำความคิด แต่พูดด้วยความเห็นจริง ว่ามันเป็นอย่างนั้นนะ ก็เห็นใจอยู่ สำหรับผู้ที่ตายังไม่ชัด ตายังไม่ดี คำว่าตานี่ มันเป็นภาษาธรรมะ ไม่ใช่ภาษาคนนะ ภาษาธรรม มันตายังไม่ดี มันก็ยังไม่เห็นชัด เมื่อยังไม่เห็นชัด ก็เห็นใจอยู่ แต่ว่าชี้ให้มอง พยายามเพ่งมอง การเจริญก้าวหน้า อย่างน้อยมองตน ถ้าตนเป็นหน่วยหนึ่งมวลหนึ่ง ที่ตนก็ก้าวหน้าอยู่ในหมู่มวลนี้ นั่นก็เป็นเครื่องชี้ค่าอยู่แล้วว่า เอ๊ะ! อย่างน้อยที่สุด เราก็เจริญนี่น่ะ
ผู้ใดๆ หลายๆคน ก็เจริญหลายๆหน่วย มันก็เป็นความเจริญ ถ้าความเจริญในกลุ่มนี้ มีมากกว่า ๕๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป มันก็เป็นความเจริญ เป็นความสอบได้ เป็นการก้าวหน้าอยู่แล้ว ถ้ายิ่งเจริญเป็น ๖๐-๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป มีอัตราส่วน คนอยู่ในกลุ่มนี้อย่างนี้ พัฒนากันไป สมมุติว่าคนอยู่ในสันติอโศก ๑๐๐ คน แล้วก็เจริญในธรรม ตั้ง ๗๐-๘๐ คน มันจะเสื่อมอยู่บ้าง ๒๐-๓๐ แน่นอน มันก็ต้องมีอยู่บ้างซี มันลดหรือว่ามันเสื่อม หรือว่ามันทรงอยู่ มันไม่เจริญขึ้น มันก็อาจจะมีผสมผสานอยู่ แต่ก็เจริญขึ้น มากบ้างน้อยบ้าง อาจจะเจริญน้อย จนตาเราไม่ดี ไม่รู้สึกว่าเราเจริญ หรือเราหลงผิดก็ได้น่ะ ว่าเรานี่ ที่แท้จริงเจริญ แต่เราหลงผิดว่าเราไม่เจริญ เพราะกิเลสอภิชัปปาบ้าง กิเลสมัน ตัณหาล้ำหน้า มันตะกละตะกลาม เป็นมานะเกินไปบ้าง มันก็อาจจะมีอยู่ในนั้น นี่เป็นเรื่องซับซ้อนลึกซึ้ง มองให้ดีอ่านให้ชัด พิจารณาถึงความจริงเหล่านี้ แล้วเราก็จะรู้น่ะ ว่าเราเอง เราเข้าใจผิดอยู่หรือไม่ อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาอาจจะตาดี ที่เห็นว่า มันยังพัฒนาก้าวหน้าอยู่ ในอัตราการก้าว ที่ไม่เลวเลยน่ะ ที่เห็นเด่นชัดเหลือเกิน สำหรับอาตมา แต่สำหรับผู้อื่น จะเห็นหรือไม่เห็น พิสูจน์ด้วยตนเอง จนกระทั่ง ผู้อื่น มวลหมู่ หลายๆผู้หลายๆคน ถ้าสามารถจะมองเขาออก แล้วเราก็จะรู้ความจริงอันนี้ได้ นี้ก็เป็นการพิจารณาชี้ให้เห็น แม้แต่แบ่งโลก เขาก็สนุก ธรรมก็สนุก และการเจริญพัฒนา แก้ไขความเสื่อมโทรม ความเสื่อมทรามก็แก้ไขอยู่ ในมนุษยชนนี้ อยู่ทั้งสิ้น
เราทำความเจริญในหมู่กลุ่มนี้ได้ ก็บอกแล้วว่า มันจะไปเกื้อกูลมนุษย์ชาวโลกทั้งหมดด้วย เพราะว่าธรรมะนี้ เป็นโลกานุกัมปายะ เป็นการอนุเคราะห์โลก
ธรรมะ ไม่ได้หมายความว่า ความเห็นแก่ตัว โดดเดี่ยว ปลีกเร้น แต่มันเป็นพหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ และเป็นโลกานุกัมปายะ มันเป็นคุณ เกื้อกูลต่อพหุชน ต่อมวลมนุษยชาติ มันเป็นการสร้างความสุข ที่เป็นสุขอย่างสนิทเนียน ให้แก่มนุษยชาติ และมันเป็นการอนุเคราะห์โลก อย่างแท้จริง
นี่ก็เป็นข้อชี้ ให้พิจารณากัน ขอให้สอดส่อง และขอให้ทุกคน ได้มีตาดี ได้เห็นความจริงอันนี้ได้ ทุกคนเทอญ
สาธุ
*****