008 ธรรมปัจเวกขณ์ วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ |
สร้างสรร ขยันเพียร
มนุษย์ผู้ที่ได้ฝึกเพียร ได้ศึกษาทั้งความรู้ และศึกษาทั้งความเป็นอยู่ และเราก็จะมีความเป็นในกรรมกิริยา ทางกายทางวจี ทางสร้างสรรขยันเพียร เป็นผู้ที่ทำงาน เป็นผู้ที่รู้จักคุณค่าของธรรมชาติของวัตถุ แม้ที่สุด เราจะต้องรู้จัก คุณค่าของความเป็นพฤติกรรมทางกาย ลีลาท่าที นั่ง เดิน ยืน นอน เอี้ยวแขนไกวขาไปมา หรือว่ามียกไม้ยกมือ มีลีลาท่าทีอย่างโน้นอย่างนี้ อันพอเหมาะพอสม เราก็จะมีปัญญารู้สมควร ขนาดนั้นขนาดนี้ ถึงที่สุดแห่งที่สุด ก็คือ ตัวจิตวิญญาณที่มีปัญญา และมีอำนาจ จิตมีปัญญา รู้แล้วว่าสิ่งนี้ดี และสมควรที่สุด แต่อำนาจทางจิตไม่เพียงพอ เราก็ไม่สามารถที่จะให้จิตนั้นสั่ง หรือจิตนั้นกำหนด ให้พฤติกรรมของเรา เป็นไปตามที่จิตมัน คือตัวปัญญานั่นเอง ที่มันรู้แล้วก็ตาม รู้แต่ทำไม่ได้ เป็นไม่ได้ นั่นคือ จิตยังไม่มีอำนาจ
เราจะต้องมาทำให้จิตมีอำนาจ ทั้งปัญญารู้ และทั้งสามารถทำได้ เป็นได้ตามที่เรารู้ ว่าสิ่งนี้คือกุศล สิ่งนี้คือความดีแท้ ตามสัจธรรม เพราะฉะนั้น แม้แต่วัตถุในโลกนี้ มันไม่มีฤทธิ์แรงอะไรหรอก คนสามารถที่จะสั่งวัตถุ ทำกับวัตถุได้ทุกอย่าง นอกจากสั่งวัตถุ ทำกับวัตถุได้แล้ว เราก็ต้องสั่งพฤติกรรมของเรา ให้ทำกับพฤติกรรมของเราได้ เมื่อสั่งได้ทั้งวัตถุ สั่งได้ทั้งพฤติกรรม และ จิตวิญญาณ ก็มีปัญญาที่ฉลาดจริง มีปัญญาซับซ้อน ที่จะรู้ความจริงที่ซับซ้อนนั้นว่า อะไรดีจริง ฉลาดจริง ถูกจริง แล้วเราก็ให้จิตวิญญาณนั้นรู้ว่า กุศลนั้นคือความไม่โลภ กุศลคือความไม่โกรธ กุศลคือความไม่หลงผิด รู้อะไรทุกอย่างเป็นสัจจะ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เรามาพัฒนาจิตวิญญาณของเรา ให้เป็นตัวไม่โลภไม่โกรธและไม่หลงผิด เมื่อตัวจิตมันเป็นตัวที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงผิด และไม่เอาเปรียบเอารัด มีแต่จะเอื้อเฟื้อเกื้อกูล มันก็จะเป็นตัวบทบาท ที่เป็นตัวอุ้มชูโลก ช่วยเหลือโลก เกื้อกูลโลก คนแต่ละคน แต่ละคน ถ้ามีความเกื้อกูลผู้อื่น มีแรงงาน มีสมรรถภาพสร้างสรรเกินตัว สร้างสรรคุ้มตัว ตัวเองอาศัยกินอาศัยใช้ ตัวเองก็มีแรงงาน มีผลผลิตเพียงพอ แถมยังเป็นผู้ที่มีส่วนเกิน แรงงานและผลผลิต สิ่งที่สร้างสรรนั้น เหลือเกินในชีวิตคน สิ่งเหล่านั้นเป็นบุญทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่อนุเคราะห์โลกอยู่ทั้งสิ้น เมื่อเราทำให้คนในจำนวนมาก ที่อยู่ในกลุ่มในหมู่ ให้มีพลังงาน ให้มีผลผลิตที่เหลือเฟืออย่างนั้นแล้ว นั้นคือความอุดมสมบูรณ์ ของสังคมในกลุ่มนั้น กลุ่มนั้น
ถ้าสังคมกลุ่มใด มีแต่ผลผลิตน้อย แต่ของตัวเองก็ยังไม่ค่อยพอ ต้องไปเบียดเบียนผู้อื่น แล้วก็จำนวนปริมาณของผู้ที่เบียดเบียน หรือว่าต้องไปเอาจากผู้อื่น มากกว่าจำนวนของผู้ที่สร้างสรร นั่นคือความแห้งแล้ง ขาดแคลน สังคมกลุ่มนั้นก็นับวันจะดิ้นรนเดือดร้อน ตีชิง ทุกข์ร้อนน่ะ มันจะปล้นในหมู่กันเอง สุดท้าย จะปล้นในระยะกว้าง รอบกว้างออกไปอีก
ผู้ใด ถ้าทำกลุ่มสังคมของตนเองให้อุดมสมบูรณ์แล้ว ก็มีจิตที่จริงว่า ไม่โลภไม่โกรธ ไม่เอาเปรียบเอารัด ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นี้ ก็จะเผื่อแผ่ออกไปสู่วงกว้างออกไปอีก สู่สังคมอื่นได้อีก สิ่งเหล่านี้ เป็นสัจจะที่อยู่ในโลก เมื่อเราอุ้มชู เมื่อเราเกื้อกูลเผื่อแผ่ไปสู่สังคมอื่นได้อีก สังคมอื่นก็มนุษย์ มนุษย์อื่นก็มนุษย์ มนุษย์ย่อมมีปัญญา มนุษย์ย่อมรู้ว่า ความมีบุญคุณของคน ความกตัญญูกตเวที นั้นเป็นคุณธรรม
เมื่อเขาได้รับส่วนดี ส่วนเผื่อแผ่จากเราไปแล้ว มนุษย์ย่อมจะรักษาคลัง หรือรักษาอู่ข้าวอู่น้ำ ถ้าเราเป็นผู้ที่เผื่อแผ่ อะไรต่ออะไรแก่คนได้ ในโลกอื่น สังคมอื่น เขาก็จะต้องช่วยรักษา เราเป็นบ่อผลิต เราเป็นคลังผลิต เราเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เขาย่อมจะไม่ให้ใครมาถล่ม มาทำลายเป็นแน่แท้
ความอยู่รอดของเรา ก็อยู่รอดด้วยการสร้างสรร อยู่ด้วยทรัพยากร อยู่ด้วยความอุดมสมบูรณ์ คนอื่นจะช่วยดูแลเรา ไม่ได้มาช่วยดูแล เพราะอำนาจไปบังคับกดขี่เขา แต่เขาจะมาช่วยปกป้องดูแลเรา เพราะเราเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ เพราะเราเป็นกองคลัง เพราะเราเป็นดินแดนที่จะต้องช่วยกันรักษา ด้วยปัญญา ด้วยจิตใจของเขาจริงๆ เมื่อเขาช่วยรักษาเราอย่างจริงใจ ไม่ใช่เขาช่วยเหลือ หรือช่วยรักษาให้แก่เรา เพราะเพียงเล่นเกมการเมือง เท่านั้น เราก็จะได้รับการปกป้องอย่างจริงใจถาวร
แต่ถ้าเราทำเพียงเพื่อให้คนอื่น เขามาช่วยรักษาเรา ด้วยเกมการเมืองเท่านั้น เราก็จะได้รับการรักษาปกป้อง แต่เพียงเล่ห์เหลี่ยมของการเมือง เมื่อการไม่เที่ยง แปรเปลี่ยน ด้วยระบบของการเมืองเล็กน้อย เราจะไม่มีใครมาช่วยดูแล และรักษาเอาเลย นี่เป็นเรื่องจริง ที่เราจะต้องรู้ซับซ้อนลึกซึ้งขึ้น และจงปรับความจริงนี้ เข้ามาพิสูจน์ แม้สังคมกลุ่มน้อย เราก็สร้างสังคมกลุ่มน้อย ที่มีความเป็นจริง อันที่กล่าวไปแล้วนี้ ขึ้นมาพิสูจน์ดูน่ะ
อาตมามั่นใจที่สุดว่า คนเป็นสัตว์ประเสริฐ คนมีปัญญา เพราะฉะนั้น เราจะเป็นคนที่อยู่อย่างประเสริฐ เอื้อเฟื้อเกื้อกูล ไม่ใช่อยู่อย่างเอาเปรียบเอารัด ผลาญพร่า แต่เราจะเป็นคนสร้างสรร เป็นคนอุ้มชูโลก เป็นคนขยันหมั่นเพียร เผื่อแผ่ให้กว้างไกลไปที่สุด เท่าที่เราจะมีสมรรถภาพ เท่าที่เราจะสามารถ
ถ้าใครเข้าใจอย่างนี้จริง และเห็นอันนี้ว่า เป็นความวิเศษของมนุษย์ มนุษย์เกิดมาทุกคน ก็มีความเห็นอย่างนี้ มีความเชื่อถืออย่างนี้ โลกนี้จะสงบสันติไปได้ชั่วกาลนาน จะไม่มีความเดือดร้อนเลย แต่คนเราเข้าใจผิด ขี้โลภ เห็นแก่ตัว แล้วผลาญพร่าโดยไม่รู้ตัว ทำลายแม้กระทั่งธรรมชาติ และอยู่กันอย่างตัวใครตัวมัน ทะเลาะเบาะแว้ง สร้างอำนาจขึ้นมากดขี่ เอาเปรียบมนุษย์มนา ถ้าความเห็นอันนี้ คนไปนิยม นิยมความเห็นเลวร้ายอันนี้ สังคมก็แตกร้าว สังคมก็อยู่ไม่เป็นสุข ขอให้ทุกๆคนดูตัว แล้วสร้างตัวเองให้เป็นคนที่มีคุณธรรม หรือคุณค่าดังกล่าวนี้ให้ได้ทุกคนเถิด อย่างน้อยที่สุด เราก็ไม่ได้เป็นคนชั่ว เราก็ไม่ได้เป็นคนที่ มาเอาเปรียบเอารัดใคร เราเป็นตัวบุญ เราเป็นตัวคุณ เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นตัวบุญตัวคุณแล้ว ความจบมันก็มีอยู่เท่านั้น เราเป็นตัวบุญตัวคุณแล้วในโลก ตายหรือเป็น มันก็คือตัวบุญตัวคุณ โลกนี้จะบอกว่า ตายแล้วเกิด หรือตายแล้วไม่เกิด ก็ตาม เราก็คงจะมีตัวบุญตัวคุณนั้นติดอยู่กับตัวเรานิรันดร์ แม้ตายสูญ มันก็เป็นตัวบุญตัวคุณ แล้วก็จบในตัวมันเอง แม้ตายเกิด เราก็จะเป็นตัวบุญตัวคุณ ที่เกิดแล้วเกิดอีก เป็นตัวบุญตัวคุณให้แก่โลกอยู่นิรันดร
นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่วิเคราะห์ให้ฟัง แม้จะเป็นในแง่มุม ไม่ว่าฝั่งใดฟากใด ถ้าผู้ใดมั่นใจเข้าใจแล้ว เราก็ไม่เลือกในทิศทางที่ไม่มีบุญไม่มีคุณ แน่นอน เราย่อมเลือกในทิศทางที่มีบุญมีคุณนั้น ให้แก่ตนเอง แน่นอนที่สุด ตามประสาคนฉลาด นอกจากคนโง่เท่านั้น ที่จะเลือกในทิศทางที่มีบาปหรือมีโทษ โทษทั้งตน โทษทั้งหมู่กลุ่ม สังคมในโลกน่ะ นี่เป็นหลักการของสัจธรรม ที่ปราชญ์เอก ไม่ว่าผู้ใดที่รู้จริง ค้นพบแล้ว ก่อนอาตมาเกิดน่ะ ต่อไปอีก แม้ในอนาคต ที่เขาจะเกิดสัจธรรมอันนี้ ก็เป็นทิศทางเดียวกัน เป็นทางเดียวกัน เป็นเพียงแต่ว่า ผู้รู้ เป็นปราชญ์นั้น จะเป็นปราชญ์ที่ลึกซึ้ง ต่างกันอยู่ เป็นขั้นเป็นตอน เป็นระดับเท่านั้น ขอให้มาศึกษาศาสนาพุทธ ซึ่งมีแนวคิดมีแนวปฏิบัติ มีแนวพิสูจน์ ที่มีแนวลึกกว้าง และชาญฉลาดเหลือหลายนี้ให้จริง แล้วเราจะรู้ความจริงดังกล่าวนี้ และเราเอง ก็จะเป็นคนที่ได้ความดี มีค่านี้ตลอด และเราจะได้สืบทอด ถ่ายทอดแก่อนุชน แก่มนุษยชาติ จนกว่าโลกนี้จะแตกสลาย
สาธุ.
*****