010 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖

การที่พากันมาศึกษา ก็ได้แนะนำ ชี้เหตุผล พร้อมกันนั้น ก็พาพิสูจน์ ให้เปรียบเทียบ ให้เห็นความจริง ผู้ที่มาแล้ว ก็มาทดสอบทดลอง เห็นความจริงว่า โลกนั้นอย่างหนึ่ง ทางธรรมนั้นอย่างหนึ่ง และได้ย้ำยืนยันถึงความอิสรเสรีภาพ ทุกคนมาศึกษานี้ ไม่มีใครบีบบังคับมาศึกษา ความสมัครใจของตนเองทั้งสิ้น เพราะเราได้ข่าว แล้วเราก็ได้ฟัง มาสังเกต มาซับซาบ เมื่อซับซาบ เห็นเหมาะใจ เราก็ลงมือพิสูจน์ เมื่อพิสูจน์ รู้ผลบ้าง และเราก็เห็นจริงขึ้น เห็นจริงขึ้น แล้วเราก็เอาตามขอร่วม ขอล่วงล้ำเข้ามาลึกๆ ขอร่วมปฏิบัติ ตามทฤษฎี ตามแนวทาง ตามหลักการ อะไรเพิ่มเติมสูงขึ้นๆ แล้วเราก็มาปฏิบัติขึ้น เมื่อปฏิบัติขึ้น เราก็จะเกิดสภาพที่ได้รับผล เป็นผลแห่งการเป็นอยู่อย่างพี่อย่างน้อง เป็นภราดรภาพที่แท้ เรามีความสงบ ประมาณอย่างนี้ มีสันติภาพ ก็ได้ยืนยันสู่พวกเราฟังว่า เป็นความสงบ เป็นสันติภาพ ราบรื่น เรียบร้อย ง่ายงาม

ไม่มีอะไรที่เดินบนกลีบกุหลาบ ไม่มีอะไรที่เรียบเป็นหน้ากลอง เรียบเป็นพื้นระนาบของแผ่นน้ำ หรือพื้นกระจก ไม่มี โดยเฉพาะบทบาทของสังคม ให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาอยู่ที่นี่ ๕ องค์พร้อมกัน ก็ไม่สามารถที่จะทำให้พวกคุณนี่ ราบเรียบเป็นแผ่นกระจก ไม่มีอะไรกระทบกัน ไม่มีอะไรที่จะมีความเห็นแย้งกัน ความเห็นตรงกันไปหมดไม่ได้ หลักฐานมีอยู่ แม้แต่พระพุทธเจ้าอยู่ทั้งองค์ ความเห็นไม่เหมือนกัน ความพลิกแพลง ความกระบิดกระบวนมีอยู่มากหลาย ตรวจสอบตำนาน ตรวจสอบหลักฐานดู ถ้าอยากรู้ว่าความผิดพลาด ความไม่ลงร่องลงช่อง มีเรื่องแปลกๆ แหวกๆ อะไรนี่ อ่านดูพระวินัย พระวินัยเป็นหลักฐานของตัวอย่างต่างๆ มีพิลึกพิลือ ละเอียดลออ ว่ามันไม่ได้ตรงกันไปหมด แต่ในทิศทางตรงนั้น คือจะต้องเป็นผู้ที่ล่อนขาด เป็นไปด้วยความละ หน่ายคลาย หมดความเป็นทาส แม้แต่ทาสวัตถุ และทาสตัวเอง ไม่เป็นทาสตัวเอง เมื่อถอดตัวตนแล้ว ไม่เป็นทาสตัวเอง และเราอยู่กับหมู่ ที่เราเห็นว่าหมู่นี้เป็นภราดรภาพ หมู่นี้เป็นญาติสนิท หมู่นี้เป็นผู้ที่จะรวมอยู่ด้วย เพราะคนเป็นสัตว์โขลง ไม่ใช่สัตว์เดี่ยว อันนี้ขอย้ำยืนยัน ให้ชัดเจน ถ้าผู้ใดไม่มีญาณปัญญาที่จะรู้ว่า คนนี่เป็นสัตว์โขลง คนนี่เป็นตัวประโยชน์ เมื่ออยู่กับโขลง เราก็เป็นประโยชน์ในโขลง เราก็สามารถที่จะมีคุณค่า เป็นตัวอย่าง ทนได้กับหมู่ หมู่จะมีอะไรต่ออะไรอย่างไร มีข้อคิดอย่างไร แม้ไม่ตรงกับความคิดของเรา แต่เราก็เคารพหมู่ เคารพความคิด ว่าหลายๆคนตัดสิน ตกลงกันแล้ว โดยเฉพาะ เราได้คิด เลือกกันมาเรื่อยๆ เป็นขั้นตอน

เมื่อมาเป็นสงฆ์ มาเป็นสภา มาเป็นผู้รู้ มาเป็นผู้ได้รับการละล้าง มีปัญญาญาณ มีศีลสมาธิปัญญาที่แท้จริง เป็นปรมัตถ์ มีความจริง ผู้นั้นเห็นจริง แล้วก็ตัดสินกัน พิจารณากัน เมื่อตัดสินกันอย่างไรแล้ว เราก็เคารพมติสงฆ์ เราก็รับมติสงฆ์ เราก็ยอมรับ ไม่เหลือตัวตน เป็นไปด้วยความเหมือนกัน ความเห็นที่รวมๆกัน ช่วยกันตัดสิน เราก็อยู่อย่างสันติภาพ มันก็จะมีบทบาท มีลูกคลื่น มีกระแส มีอุปสรรคอยู่เป็นธรรมดา ถ้ามีความเห็นที่ไม่ต้องกัน มีคนที่จะคิดอย่างนั้น มีความเห็นที่ยังแตกไป อย่างนี้ มีการต้านกันบ้าง

ได้เคยยกตัวอย่าง แม้แต่ตำนานของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้านั้น อย่าว่าแต่ศัตรูของตนเองในหมู่เลย แม้แต่ศัตรูของต่าง ข้างนอก ก็สามารถที่จะมีอยู่ตลอดเวลา มีอุปสรรค ทั้งข้างนอก ทั้งๆที่เราไม่เอาภาระ เรื่องข้างนอก ก็ความเห็นของเขา เขาคนละลัทธิ เขาก็ยังจะเอาเป็นเอาตายกับเราอยู่เลย ป่วยการกล่าวไปใยว่า เรายึดลัทธินี้ เรายึดความเห็นนี้ เรายึดทฤษฎีอย่างนี้แล้วน่ะ มันก็ยังมีแตกต่างอยู่ ในซอย ซอยละเอียดอยู่นั่นเอง แล้วก็ยังค้านแย้ง แล้วยังมีบทบาท แต่มันไม่ถึงกับเอาเป็นเอาตาย เหมือนอย่างกับคนข้างนอกน่ะ เราพอเป็นไปได้

นี่คือความเรียบร้อยน่ะ แล้วก็สำคัญ ก็คือว่า คนที่มีสมรรถภาพ คนมีประโยชน์ คนมีคุณค่า คนมีบทบาทของการงาน นั่นแหละ เป็นบุญ เราได้สร้างสรร เราได้อุปการะเกื้อกูลโลก เป็นประโยชน์ต่อโลก ขยัน สร้างสรร หมั่นเพียร ได้เท่าไรๆ ในสิ่งที่สำคัญ ในสิ่งที่จำเป็นให้แก่โลก

โดยเฉพาะในขณะนี้ โลกกำลังแล้งธรรมะ เราก็สร้างธรรมะที่เป็นสัจธรรม ที่เป็นสิ่งจริง มีให้พิสูจน์ เราสร้างด้วยการรวมเป็นมวล ตัวบุคคลที่เป็นมวล ยืนหยัดทฤษฎีนี้ หลักการนี้ วิธีการนี้ และลงตัวด้วย ลงได้ว่า เป็นมรรคเป็นผล เป็นความอยู่รอด เป็นความมักน้อยสันโดษ ตามกถาวัตถุ ๑๐ น่ะ เป็นความมักน้อย ความสันโดษ ความสงบระงับและสงบ บอกแล้ว วิเวก สงบระงับ ก็ขนาดอย่างนี้ อย่าไปเลยเถิด ว่ามันสงบเป็นหน้ากลอง หน้ากระจก เรียบราบ แน่นิ่งนิ้ง ไม่มีอะไรกระดิก ไม่มีอะไรกระโดด ไม่ใช่ มันมี ต้องประมาณ ต้องรู้ผล ต้องรู้ความรวมของเอกภาพให้ชัด แล้วเราก็จะเข้าใจว่า อ้อ! อย่างนี้เอง ไม่ใช่ว่า ราบเรียบทุกอย่างเหมือนหน้ากลอง เหมือนหน้ากระจก ไม่ใช่ แต่ในภาวะสันติภาพ ขนาดนี้ มันมีได้จริง อโศกเรายังมีสันติภาพที่พอเป็นไปทีเดียว มีการคัดค้านกันบ้าง มีการท้วงติงกัน ตำหนิกันบ้าง เตือนกันบ้าง สอนกันไปขัดเกลากันไป แล้วก็มีมวลที่สูงขึ้น มีคนที่แน่มั่น ได้รับผลจริงขึ้นๆ เป็นยังงี้ไปล่ะ นิรันดร์ เป็นยังงี้ไปล่ะ เรื่อยๆ น่ะ

แม้พระพุทธเจ้ามีอยู่ทั้งองค์ หรือท้าให้หลายๆองค์ เกิดมาพร้อมกันด้วย แต่มันเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าจะเกิดพร้อมกัน ๒ องค์ ในเวลาไล่เลี่ยกัน อย่าว่าแต่พร้อมกันเลย เป็นไปไม่ได้น่ะ ถึงขนาดนั้น ก็ยังมีรูปรอย มีระบบอย่างนี้แหละ เพราะเราไม่เข้าใจผิดในความหมายของคำว่า สันติภาพ ไม่เข้าใจผิดในความหมายของคำว่า ภราดรภาพ รู้เหตุผลที่ชัดแท้ และอย่าลืม สมรรถภาพ คนไม่ใช่หัวหลักหัวตอ คนไม่ใช่ก้อนหินดินปูน คนนั้นดีกว่าสัตว์ มีพลังงาน มีความคิด มีสมรรถภาพ มีสมรรถนะ สร้างสรร ด้วยความเสียสละ เสียสละเท่าไหร่เป็นบุญเท่านั้น เป็นคุณงามความดี เป็นพฤติกรรมแห่งความดี ที่เราจะต้องเป็นตัวอย่าง ทรงไว้ เรียกว่าธรรมะ ธรรมะคือความทรงไว้ ซึ่งพฤติกรรม ที่เป็นตัวอย่าง ขยันหมั่นเพียร สร้างสรร มีปัญญา เลือกเฟ้น ทำสิ่งดี กุศล ให้แก่โลกๆ อยู่จนกระทั่งตาย หมดเรี่ยวหมดแรง

นี่คือเป้าหมาย เป็นสมรรถภาพ และความเต็ม หรือบูรณภาพ ที่จริงนั้นก็เป็นความเต็ม ที่อยู่ในสัดส่วน ต้องอย่าเข้าใจผิด เป็นสัมมาทิฏฐิให้ดี บอกแล้วว่า สันติภาพก็ประมาณอย่างนี้ สมรรถภาพต่างๆ ต้องมี ภราดรภาพก็ประมาณอย่างนี้ และอิสรเสรีภาพโดยตรงนั้น คือ อิสรเสรีภาพที่ถอดตัวถอดตน ไม่ใช่อิสรเสรีภาพฮิปปี้ ที่จะทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้ ทำอะไรตามความพอใจของตนเอง เข้าหมู่เข้ากลุ่มไม่ได้ โดดเดี่ยว หลีกเร้น หนีห่าง อย่างนั้นเป็นเลือดปัจเจก เป็นเลือดแห่งตัวเอง ตัวตนน่ะ ไม่ใช่สภาพของสัจธรรมที่แท้จริง

ขอให้เรารู้สัจธรรมที่แท้จริง ว่าเราเองเป็นผู้ที่จะทำตนนี่แหละด้วยตนเอง เรียกว่า ปัจเจกของพุทธ เราจะทำตนด้วยตนเอง เรียนรู้ พยายามรู้ตามในฐานะของปัจเจก เป็นปัจจัตตัง ไม่ใช่ปัจเจกภูมิ เรียนรู้เอง ตรัสรู้เอง เป็นเอง บรรลุเอง โดยเราเอง เราไม่ต้องพึ่งคุณธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ต้องพึ่งคุณธรรมของครูบาอาจารย์ ไม่มีสาวก ไม่ใช่สาวก เราเป็นเอก เราตรัสรู้ ตามแนวคิดของเรา ไม่เหมือนของใคร แต่บางที ก็หลงๆผิดเหมือนกัน ว่าเราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า แต่มันไม่เหมือนของพระพุทธเจ้า ไม่เหมือนกลุ่มหมู่ ที่เขาได้พิสูจน์ธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่เขาได้ยืนยัน และเขาก็เป็น สภาพที่เป็นภราดรภาพที่แท้จริง มีสังฆมณฑล มีพหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ และมีอิสรเสรีภาพอย่างชนิดหมดตัวหมดตน ไม่ยึดตัวยึดตน เคารพธรรมะ เคารพวินัย เคารพหลักการของสังฆกรรม เคารพหมู่เคารพกลุ่ม แล้วก็เป็นภราดรภาพ อยู่กันได้ เกื้อหนุนจุนเจือ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รวมกัน สร้างสรรเป็นศาสนา

เพราะงั้น คนเดียวสร้างศาสนาไม่ได้น่ะ ปัจเจกพุทธะสร้างศาสนาไม่ได้ ปัจเจกพุทธะรู้ด้วยตน ซึ่งพระพุทธเจ้าเอง ท่านไม่ตรัสต่อ เฉยๆว่า ปัจเจกพุทธะนั้นไม่จริงหรอกน่ะ ไม่ใช่พุทธะแท้หรอก มันรู้ตน แต่ว่ารู้ โดยการที่เรียกว่า รู้อย่างที่ไม่ได้สามารถที่จะรู้อย่างทั่วถึง แล้วก็มีหลักฐานของพระพุทธเจ้า ด้วยตรัสรู้ว่า ผู้ไม่มีมรรคองค์ ๘ ไม่สามารถรู้ทั่วถึง เมื่อไม่รู้ทั่วถึง ก็ถอนอาสวะไม่ได้ มันเป็นแต่เพียง กันว่า มันเป็นแต่เพียงความสงบระงับ ชั่วชาติ อาจจะหลายชาติก็ได้ กดข่มได้มากๆ ก็สงบระงับได้หลายชาติ แต่เสร็จแล้วก็เวียนวนอีก เวียนหกคะเมนตีลังกาอีก ปัจเจกพุทธ ที่อธิบายในเชิงอีกอันหนึ่ง มันไม่สามารถที่จะหลุดพ้น มันได้ชั่วคราว มันสงบระงับได้ชั่วคราว ไม่ถอนอาสวะ สิ้นอนุสัยน่ะ

นี่ก็เหมือนกับ พูดของพุทธะ ที่ข่มอันอื่นน่ะ โดยที่ใช้หลักการ อย่างพูดว่า มรรคองค์ ๘ ก็ตาม พูดว่าโพธิปักขิยธรรมก็ตาม พูดว่า ศาสนาที่มีการงาน อยู่กับโขลงอยู่กับหมู่ก็ตาม เป็นความหมายที่ขอยืนยันว่า มีสมรรถภาพ มีภราดรภาพที่แท้จริง แล้วก็มีสันติภาพ ในรูปที่เข้าใจให้ได้ว่า อย่างนี้แหละ ถือว่า สงบดีแล้ว สมบูรณ์ดีแล้ว และอิสระที่แท้จริง ต้องเข้าใจความหมาย อิสรเสรีภาพ ที่แท้จริงให้ได้

ลัทธินี้เราก็ได้มาศึกษา และพิสูจน์กัน เราจะเห็นได้ว่า คนเรามีคุณค่า เราก็รู้เหตุผล และเราก็ทรงคุณค่า ทรงบุญ เป็นคนมีบุญ มีทาน บุญแปลว่าการชำระกิเลส เมื่อชำระกิเลสหมดแล้ว ก็มีแต่เสียสละ เสียสละให้คนอื่นจริงๆ เราจะรู้จิตวิญญาณ จิตใจของเราเลยว่า เออ! เราไม่ได้เห็นแก่ตัวเลยจริงๆ ไม่เหลือตัวเหลือตนเลยจริงๆ เพื่อนฝูงหมู่กลุ่ม ช่วยกันคิดช่วยกันทำ เรามีปัญญา เราก็ช่วยคิด ออกความเห็น เมื่อหมู่เห็นด้วยเราก็เอา หมู่ไม่เห็นด้วยเราก็วาง ทำงานอยู่กับหมู่กลุ่ม เป็นไปได้ด้วย สอดคล้อง เป็นพี่เป็นน้อง จนกว่าเราจะตายจากกัน จะพรากจากกัน มันน่าเอ็นดู แล้วมันเป็นโขลงที่สอดคล้อง มีเป็นโขลงที่ร่วมไม้ร่วมมือ ด้วยความเห็นหมู่ใหญ่ ยิ่งกว่าประชาธิปไตย โลกๆที่เขาไม่มีธรรมาธิปไตย ไม่รู้ธรรมะ ที่เป็นอภิธรรมที่แท้ เขาก็อยู่อย่างโลกๆ บางทีก็สร้าง mob สร้างหมู่ สร้างกลุ่ม หมู่ใหญ่ เอามาขู่มาเข็น เอามาอ้าง เป็นแบบระบบของโลกๆ เป็นหมู่กลุ่ม เป็นอำนาจหมู่ เท่านั้น แท้จริงที่ว่านี้ ของธรรมาธิษฐาน หรือธรรมาธิปไตยนี้ เป็นอำนาจหมู่ เป็นอำนาจของสังฆมณฑล เป็นอำนาจของสังฆกรรม เป็นอำนาจของปราชญ์ หรือผู้รู้ เป็นอำนาจของผู้ที่มีคุณธรรมจริง ไม่ลำเอียง ไม่ลำเอียงเพื่อตน ไม่ลำเอียงเพื่อพรรคพวก แต่มุ่งเข้าหาสัจธรรมความจริงแท้ เมื่อผลของผู้ที่มีความจริงใจ มีความรู้แห่งสัจธรรม หมดความลำเอียง หมดอคติ ตัดสินออกมาแล้ว นั่นคือ ไม่ใช่อำนาจหมู่ ที่เป็นหมู่ เพียงแต่ว่าไม่รู้เรื่องอะไร ยกไม้ยกมือตามๆกันไปเฉยๆ ไม่ใช่

ทุกคนได้พึ่งปัญญา แล้วก็ใช้ปัญญาที่มีสัจธรรม มีสิ่งที่มีความบริสุทธิ์สูง ไม่มีอคติดังกล่าว แล้วช่วยกันออกความเห็น ประชุม หรือคัดเลือกกันขึ้นไป ยิ่งกว่าระบบของโลก แล้วก็ทำงานกัน ด้วยความสุจริตใจ มีผลอันนี้ออกมา ถ้าเราไม่เคารพสิ่งนี้แล้ว ในฐานะของสัตว์โขลง เราเอง เราก็ไม่รู้จะอยู่กับมนุษย์อย่างไร ไม่รู้ว่าจะเป็นมนุษย์ ที่เป็นระบบของสัตว์โขลง ได้อย่างไรน่ะ

เพราะฉะนั้นสูงสุด เมื่อเราจำนนต่อคำว่า สัตว์โขลง เราจำนนต่อผู้รู้ ที่เราได้อยู่พร้อม ได้ร่วมเลือก ทั้งฆราวาสก็ร่วมเลือก พระก็ร่วมเลือก ตัดสิน เป็นสภาที่ดี จริง และโดยเฉพาะปัญญาของเรา ก็เห็นธรรมะ เป็นธรรมาธิปไตย เป็นความสะอาดบริสุทธิ์ ยุติธรรมที่แท้จริง เราก็ได้อาศัยสิ่งนี้อยู่ ถ้าหมู่อื่นกลุ่มอื่นใดมีดีกว่านี้ เราแน่ใจ เราได้ไปพิสูจน์ เราได้ไปสัมผัส ก็ไปอยู่กับหมู่นั้น ในฐานะสัตว์โขลง แต่อย่าทำตนเป็นสัตว์เดี่ยวเลย เพราะความจริงแห่งสัจธรรมนั้น คนไม่ใช่สัตว์เดี่ยว คนเป็นสัตว์โขลงจริงๆ เพราะฉะนั้น หาโขลงไหนดีได้ เอา อยู่กับโขลงนั้น ถ้าหาโขลงไม่ได้ ก็อยู่กับโขลงที่ดีที่สุด และพร้อมกันนั้น เราก็จะต้องรู้ตัวเองว่า เราจะเข้าใจปัจเจกภูมิ สาวกภูมิ มากเท่าใด ถ้าเราเองเราแน่ใจว่า เราเป็นเพียงสาวกภูมิ ต้องมีครูอาจารย์ ต้องมีผู้นำ ต้องมีหมู่กลุ่ม ต้องมีภันเต ต้องมีปราชญ์ ในสังฆมณฑล ถ้าเราเก่ง เราเป็นปัจเจกแท้ เรานำเลย เรียกว่าตนเองนี้ มีภูมิสูง เราจะเป็นผู้ที่เป็นภันเตสูง จะเป็นหัวหน้า เพราะว่าเรามีความรู้ มีญาณที่แท้จริง มีสัจจะที่แท้จริง เราจะมีหมู่ เห็นสอดคล้อง เราอย่าดูถูกภูมิธรรมของหมู่ ถ้าสัจธรรมแล้ว คนรู้ ปราชญ์จะต้องเห็นตรงกัน

เพราะฉะนั้น ความเสนอของเรา ความรู้ของเรา ที่เสนอต่อหมู่กลุ่มปราชญ์เอง ต้องมีความจริง ต้องมีสัจธรรมที่สอดคล้องกัน นั่นชื่อว่า เราเป็นปัจเจก หรือเราเป็นผู้ที่ตรัสรู้ด้วยตน รู้ด้วยตนที่แท้จริง เราจะมีภูมิยิ่ง ปัจเจกอันนี้ ไม่แตกจากสัมมา

เคยยืนยันให้ฟังว่า ปัจเจกพุทธ ปัจเจกภูมิของพระพุทธเจ้านั้น เป็นปัจเจกพุทธที่เป็นสัมมาปัจเจกะ ไม่ใช่ปัจเจกะไม่มีสัมมาน่ะ เป็นสัมมาปัจเจกะ มีหมู่ มีกลุ่ม แล้วก็เคารพภูมิธรรม เราเป็นปัจเจกจริง มีภูมิธรรมถึงขั้นรู้เอง ไม่ต้องตามใครนี้ มันจะเป็นของจริงที่วาววาม รุ่งเรือง ชัดเด่น ผู้ที่มีปัญญาอื่น จะเห็นจริงทีเดียว เห็นชัดเจนทีเดียว และจะตามน่ะ จะเชื่อถือทีเดียว เพราะมันมีเหตุมีผล เพราะมีสารัตถะที่แท้จริง สอดคล้อง แม้แต่หลักฐานต่างๆ ตามคำสอน ตำนาน ตามประวัติศาสตร์ ตามความหมาย ตามอะไร มันสอดคล้องกัน แล้วก็พิสูจน์แล้ว ก็จะมีคนได้มรรคได้ผลตามนั้นจริงๆ แล้วก็สอดคล้องกัน

ก็ขอยืนยันว่า เป็นอิสรเสรีภาพ เป็นภราดรภาพ เป็นสันติภาพ เป็นสมรรถภาพ และ เป็นบูรณภาพ ที่แท้จริงน่ะ

สิ่งเหล่านี้ เป็นความลึกซึ้งของปัญญา ที่แนะนำเพิ่มขึ้นไปพวกนี้ เพื่อให้พวกคุณ ได้มี ความหมาย อธิบายไว้ เพื่อให้เราเอาไปเทียบไปเคียง ไปพิสูจน์ แล้วเราก็จะได้เข้าใจความจริง เพื่อพิสูจน์ความจริงนี้ รู้แล้ว ทุกอย่าง จะลงตัวหมดเลยน่ะ

ที่นี่ไม่กักขังใคร ที่นี่ไม่หลอกล่อใคร ที่นี่มีอิสรเสรีภาพ ของแต่ละบุคคลเองจริง ยินดีตัดสินเอง พอใจเอง แล้วก็อยู่พิสูจน์หลักการต่างๆ ดังที่กล่าวนี้จริงน่ะ ที่จริงแท้ บางคนอยู่ อยู่อย่างมีอิสรเสรีภาพ แล้วเป็นแบบสัตว์โขลงด้วย

อิสรเสรีภาพ ไม่ใช่สัตว์เดี่ยว แล้วมีสังฆมณฑล มีปราชญ์ มีผู้รู้จริงๆ ถ้าไม่มีผู้รู้ โลกนี้ก็ฉิบหายแล้ว เพราะฉะนั้น โลกนี้มีผู้รู้ และผู้รู้ที่ว่านี้ มันก็ต้องซับซ้อน ดูให้จริงว่า ผู้รู้ซ้อน ผู้รู้แฝง ผู้รู้เหนือ มันมีด้วยกัน

หมู่กลุ่มหรือสังคม หรือสภา ที่มีผู้รู้เหนือ อยู่ในกลุ่มหมู่ แม้จะหมู่เล็ก จะต้องเทียบให้เห็นสัจจะที่จริง แล้วเราจะรู้ว่า โลกนี้มีสัจจะแท้ พิสูจน์ได้น่ะ ผู้ใดเห็นจริง ผู้นั้นอยู่ที่นี่ ไม่ได้บังคับ และที่นี่ก็ไม่ได้ง้องอน ที่นี่อยู่กันอย่างอิสรเสรีภาพ ไม่ได้บังคับ ไม่ง้องอน ถ้าว่ากันจริงแล้ว ไล่ด้วยซ้ำ ถ้าไล่แล้ว ผู้ที่มีความจริงแล้วไม่ไปหรอก เพราะผู้นั้นไม่มีมานะ แม้ไล่ก็ไม่ไป ไม่มีมานะทิฏฐิ รู้อยู่ว่า แม้ไล่ อ้าว! ของดี จะหนีไปทำไม โง่ตาย จะไล่จริงหรือไล่อย่างมีเชิงชั้น วิธีการกลยุทธ ก็ตาม เราจะรู้เลยว่า เราไม่ใช่บ้าจี้ คนจะไล่เราหนีไปอยู่ที่ไม่ดี เราก็ได้ที่อยู่ดีแล้ว คนนั้นจะไม่มีปัญหา คนนั้นมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่มีมานะ ฮึดสู้ แหม! เขาไล่เรา เราน้อยใจ เราเสียใจ คนที่ยังเสียใจ ยังน้อยใจ ยังมีอัตตาตัวตน ยังมีมานะทิฏฐิอยู่ ก็ย่อมเกิด คนที่ไม่มีมานะทิฏฐิแล้ว รู้ความจริงสัจจะแล้ว ไม่มีปัญหา เอ้า! เราอยู่ร่วมกับระบบ ที่มีสันติภาพกับหมู่ ที่มีภราดรภาพน่ะ เป็นอิสระของเรา ที่เราจะเลือกเฟ้นอยู่

นี่พูดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าหลอกเอาไว้ ไม่หลอก คนไหนจะอยู่ แม้ไม่มีมานะอย่างนั้น ก็พิจารณาให้จริงว่า ที่พูดนี่เป็นสัจจะหรือเปล่า คนมีมานะน่ะ อย่าว่าแต่ไล่เลย พูดนิดพูดหน่อยเท่านั้น เปราะบาง ถือเนื้อถือตัว ว่ากันจริงๆ ที่นี่ก็เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน กับคนมีมานะ ไปเสียได้ก็ดีน่ะ รู้ตัวได้ ก็ไปเสียก็ดี นี่ก็คือ การไล่อยู่ในตัวอยู่แล้วน่ะ

คนที่ไม่มีมานะแล้ว ก็ต้องศึกษา ต้องเอาสัจจะ แล้วอย่าเป็นคนอ่อนไหว เป็นคนอ่อนแอ เป็นคนโง่ ตื้นเขิน เราต้องรู้สัจจะ และยืนหยัดยืนยัน เข้าใจความเป็นมนุษย์ ผู้มีปัญญา ผู้มีความรู้สูง และเราก็ต้องลงตัวจริงๆ จิตใจของเราแข็งแรงกล้าหาญ ชัดเจนในปัญญาของเรา อย่าไปรู้อย่าไปหลงปัญญาหลอกๆ เพ้อๆ ฝันๆ ตรรกวิทยาเพ้อพก สร้างอุปาทานมาหลอกตน อุปาทาน ที่หลอกคนมา นานับชาติ ถ้าไม่หมดอุปาทาน ก็จะสร้างอะไรต่ออะไรมาหลอกตน ซึ่งคนอื่นเขาไม่รู้ด้วย เรานั่นแหละหลงของตัวเองอยู่ เราจะต้องศึกษาอย่างแท้จริง

ทุกคนขอให้พิสูจน์ และก็ขอให้ได้พบสัจธรรมทุกๆคน เราก็จะได้นำพากันไปสู่สันติสุขทั้งตนเอง และเอื้อเฟื้อต่อสังคม พบสันติสุขมีอิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ เป็นสันติภาพ มีสมรรถภาพ ยืนยันอยู่อย่างชัดเจน ไม่ปกปิด และก็ยืนยัน ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ อย่างนี้เราเรียกว่า เป็นผู้มีบูรณภาพ ที่เราจะไปสู่บูรณภาพนี้ ไปให้มีอาการทวี หรื0 มีปฏิภาคทวียิ่งๆ ยืนนานตลอดไป

สาธุ.

*****