018 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๖

การฝึกตนที่จะปรับปรุง โดยเฉพาะปรับปรุงทั้งกรรม ส่วนกายวจีและมโน ให้มันเข้าสู่การเป็นอริยชาติ เป็นสภาพที่เราเกิดใหม่ เกิดสู่ความเป็นอริยะ หรือเป็นอารยชนที่แท้ เป็นผู้ดีที่จริง มีความเป็นอยู่ที่ไม่หนักโลก ไม่หนักแผ่นดิน แต่เป็นประโยชน์ เป็นคุณค่า เป็นคุณสมบัติ เป็นสมบัติอันวิเศษของโลก เราจะต้องเรียนรู้จริงๆ ปฏิบัติประพฤติไปรู้จริงๆ

ข้อสำคัญ เราอย่าขาดทุน ตรงที่ว่า เมื่อเราปฏิบัติไปแล้ว เราต้องมีฐานอาศัย คือจิตใจเรานี่ เป็นตัวฐานอาศัย เราจะต้องเห็นให้ชัดให้เด่น เห็นความมั่นใจ พระพุทธเจ้าสอนเราเป็นขั้นตอน เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย แบ่งจัดแบ่งแยกเป็นขั้นๆ ให้เห็นว่า นี่เป็นฐานอาศัยที่สบายแล้ว ขั้นต้น ขั้นกลาง โสดา สกิทา อนาคา เราได้อันนี้เป็นฐานอาศัย เราสบายอย่างไร ให้มั่นใจให้เด็ดขาด

พระพุทธเจ้าไม่ยอมรับว่า ผู้ที่ทำได้โดยไม่รู้ตน พระพุทธเจ้าสอนให้เราทำได้ แล้วรู้ว่าทำได้ เพราะผู้ที่ได้แล้ว เป็นได้แล้วด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ตัวไม่รู้ตนว่าตัวเองได้นั้น ไม่เที่ยง ถูกเขาหลอกได้ต่อ แล้วก็ไม่รู้ความจริงอีกละว่า ได้นั้นนะดีแล้ว ที่เราได้นั้นดีแล้วนะ อย่าไปเที่ยวให้คนอื่นเขาหลอกเอาอื่น ว่าดีกว่าไปอีก ต้องเห็นให้ชัด เข้าใจให้แม่น ว่าที่เราได้ ดีแล้วหนอ แล้วเรื่องอะไรให้คนอื่นมาหลอก ทีเอาอื่นไม่ดีให้มามอมเมา เขากลับเวียนนานไปอีก นั้นคือความไม่มั่นใจ หรือความไม่เด็ดขาด ความไม่รู้จริง

ผู้ที่รู้จริง ว่าเราเอง เรามีฐานอาศัยที่ดี เราได้เลื่อนขั้นเลื่อนฐานะ ขึ้นมาสู่ภูมิสู่ฐานะที่เป็นระดับ ระดับอริยะอย่างที่กล่าวแล้ว ซึ่งเราบรรยายกันบอกกัน ทั้งองค์ประกอบส่วนนอกที่เป็นวัตถุ ที่เราไปเหลวไหล ทั้งอารมณ์จิต ที่เราไปเกี่ยวเกาะ ดูดดึง ผลักไส เราอ่านตัวเราให้จริง เห็นให้จริงว่า ใจเราละ กายเราก็ละ ถ้าแม้ว่าจะเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์อยู่บ้างอยู่ในโลก เพราะมันเป็นของโลก ความดี ความเลว หรือสมบัติ มีพิษไม่มีพิษอยู่ มันก็มีอยู่ในโลก แต่เราเป็นคนที่เหนือพิษ เหนือไอ้ที่เป็นสมบัติของโลก หรือเป็นของที่มีอยู่ในโลกแล้ว เราอยู่เหนือจริงๆ พิษนั้นทำร้ายทำลายอะไรเราไม่ได้

เพราะงั้น ตั้งแต่ขนาดต่ำๆ ตั้งแต่หยั่งรู้ง่าย เราก็ได้แนะนำกัน ได้พยายามให้กระทำ ให้พิสูจน์ประมาณหนึ่ง เราจะมั่นใจว่า เอ้อ! อย่างนี้ เราอยู่เหนือแน่ แม้จะไม่ละเอียด จนกระทั่งถอนอาสวะ เพราะเรายังไม่มีปัญญารู้ว่า อาสวะคืออะไรก็ตาม แต่เราจะรู้น้ำหนักของจิตใจของเราเลยว่า เราจืด เราวางได้สนิท เราไม่กระเทือนหรอก หรือแม้กระเทือนบ้างเล็กๆน้อยๆ เราก็มั่นใจว่า สิ่งที่มากระทบกระเทือนอยู่นั้นนะ ดึงเราฉุดเราลงไปสู่อันนั้นอีก เวียนลงไปเสพไปติด หรือไปวุ่นไปวาย ไปเป็นทาสมันอีกไม่ได้ เราจะต้องเห็นความจริง รู้อย่างชัด อย่างมั่น อย่าลังเลสงสัย เป็นคนที่รู้ขั้นตอน ทำให้เป็นจังหวะจะโคน รู้จริงรู้จัง พิจารณาตรวจตรา เราจะได้มีฐานพักอาศัย

ถ้าความที่ยังไม่รู้แน่ เราก็เวียนวนวกวน สูงแล้วก็ดูต่ำ ต่ำแล้วก็ดูสูง บางทีเรารู้สึกว่า รู้สูง มีสูง อะไรดูสูงอีก แต่ก็เวียนวน หมุนเวียน ตกไปต่ำมา น่าอาย บางคนนั้นนะ ก็สูงอยู่ ปัญญาก็ดีอยู่ แต่ว่าปัญญาที่จะรู้ตน เรียกว่าสักกายะ หรืออัตตานี่ รู้จริงๆ ของตัวของตนนี่ มันไม่ละเอียดพอ ในความหมายในภาษารู้ดี แต่ตัวจิตจริง เป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ไม่รู้จริง จิตของเราเป็นจริง ได้จริง ละจริง ไม่อ่านให้มั่นให้ชัด ไม่รู้ขอบเขต เมื่อไม่รู้ขอบเขตแล้ว มันจะต้องไปเกี่ยวไปเกาะไปข้องไปวุ่น กะอันนั้นหรือไม่ ก็ไม่รู้ แล้วนำมาให้เราเองนี่ อยู่ในฐานะดีแล้ว ก็กลายเป็นคนตกไปในฐานะที่ไม่ดีได้ ซ้อนอยู่ มันมีสภาพซ้อนอยู่

เพราะงั้น ขอให้พวกเราเข้าใจให้ชัดเจน อย่าพร่ามัว ถ้าเผื่อว่าเรามีฐานพักแล้ว มันไม่มีการเลื่อนตกอะไรมากมายหรอก มันจะเลื่อนตก ก็มีแต่เลื่อนตกด้านจิตใจ เล็กๆน้อยๆ เสร็จแล้ว เราอ่านรู้ชัดเจน แล้วเราก็จะแก้ไข ปรับได้ ยิ่งโดยเฉพาะ ผู้ที่มีฐานะทางรูปธรรม ก็ได้สบายแล้ว ถ้าเผื่อว่ารูปธรรม ก็พรากห่างจากมา ได้ดีแล้วด้วย เหลือจิตใจเท่านั้นเอง ถ้าเผื่อว่าจิต ก็ที่จริง จิตเรามันก็ล่อน ก็จากมาแล้วด้วย แล้วเราจะต้องไปวกเวียนอีกทำไม กายก็พรากได้ ใจก็จางแล้วด้วย เราก็ต้องรู้ให้มันชัด มันไม่ดีอย่างไร มันไม่เหมาะไม่สมอย่างไร ทำไมต้องเข้าไปคลุกคลี เข้าไปเกี่ยวข้องสิ่งนั้นอีก เราก็จะต้องรู้

แม้แต่เราอยู่เป็นพระ เป็นนักบวช เป็นผู้ที่ห่างที่พรากแล้วนี่ก็ตาม โดยจริงแล้ว ใจก็พราก ใจก็แข็งก็กล้าแล้ว กายมันยังต้องสัมผัสสัมพันธ์ ต้องเกี่ยวข้องอยู่ก็ยังได้เลย แม้กายเรา สัมผัสสัมพันธ์เกี่ยวอยู่ แต่เราก็ยังเป็นจิตที่แข็งแรงจริงๆ แล้วก็จะใช้บทสัมผัสสัมพันธ์ ในส่วนลึกส่วนสูงนั่นแหละ เป็นบทฝึกหัด ที่มันซ้อนอยู่ในตัวของมันเอง ตนย่อมรู้ตน ตนจะรู้ดีว่า เรานี้ได้ฝึกหัดอยู่ มีเศษมีเสี้ยวอะไร คนอื่นไม่รู้ได้ด้วยเรา แต่เราก็จะได้อาศัยสิ่งจริงเหล่านี้ ถ้าไม่มีของจริงพวกนี้ ล่อๆหลอกๆ แล้วมันไม่รู้หรอก โดยอาสวะโดยอนุสัย หรือโดยความละเอียดสูงขึ้น ในภพของจิตแล้วนี่ มันไม่รู้ มันรู้ไม่ได้

ศาสนาพระพุทธเจ้า จึงเป็นศาสนาไม่ได้หนีเหตุปัจจัย ไม่หนีเหตุปัจจัย แต่ที่มีรูปแบบ หรือมีวิธีการพรากห่าง พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางออกจากน้ำ เป็นระยะยาวบ้าง ระยะสั้นบ้างนั้น ก็มีจริง นั่นก็เป็นวิธีการ ครั้งๆคราวๆ

เพราะถ้าเผื่อว่า เราเอง เราสัมผัสสัมพันธ์อยู่กับเหตุปัจจัยนี้ มันสู้ไม่ได้จริงๆ เราอ่อนป้อแป้เลย เราต้องพรากต้องห่างกันเสียก่อน อย่ารู้อย่าเห็นเลย ทำอินทรีย์พละในส่วนอื่น ที่พอทำได้ ก็ทำไป เมื่ออินทรีย์พละดีขึ้น จิตใจเราดีขึ้น แข็งขึ้น ก็เป็นทุนที่เราจะรู้ด้วยปัญญาด้วย มันจึงจะมีความรู้ว่า สิ่งที่ควรล้างควรหน่าย มันมีผลดี จะเกิดน้ำหนัก อินทรีย์พละ เป็นศรัทธา เป็นวิริยะ เป็นสติ เป็นปัญญา เป็นสมาธิใหญ่ ที่จะเพิ่มขึ้นๆ แล้วเราก็จะได้ เพราะฉะนั้น เราละอะไรได้ เราจงละ เราทำอะไรได้ เราจงทำ อย่าไปเหลาะแหละ วนเวียนอยู่อย่างนั้น วุ่นไปวุ่นมา เหลาะแหละ เวียนไปเวียนมา ชาติแล้วชาติเล่า แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่า วิบากเก่าบ้าง วิบากใหม่บ้าง ว่าเราทำดีแค่ไหน ตายจากชาตินี้แล้ว ไปเป็นหมูเป็นหมา นั่นจะไม่ซวยตายเหรอ

เกิดมาเป็นคนชาตินี้ แล้วพบศาสนาด้วย แล้วมีคนเอาภาระ มีหมู่กลุ่มอันดี ช่วยเหลือเฟือฟายแล้ว ตั้งใจเอาให้มัน จนมีหวังได้ว่า เราจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีก หรือได้บรรลุชาตินี้เลยได้ ก็จะไปรอช้าอยู่ทำไม พยายามเข้า อย่างนั้นให้ได้

ก็ขอย้ำให้เห็นฐานพัก ให้รู้ด้วยจริงว่า เราจะต้องเป็นอุภโตภาควิมุติ คือเราละได้ ก็ละจริง และ รู้ได้ต้องรู้จริง ไม่ใช่ละได้ก็ไม่รู้ หรือ รู้และละไม่ได้ ไม่เอาทั้งสองอย่าง ต้องละได้ด้วย รู้ด้วย รู้แล้วก็ต้องละให้ได้ ละได้แล้วก็ต้องรู้ว่าละได้ อย่างนั้นจริงๆ แล้วเราจะเป็นผู้มีฐานพัก เราจะปฏิบัติธรรมไปตามขั้นตอน เป็นผู้มีความมั่นคงแข็งแรง ไม่กลับไปกลับมา ไม่หกคะเมนตีลังกา ไม่วกเวียนวุ่นวาย ให้ตัวเองก็ไม่เข้าท่า คนอื่นก็นั่งสงสัย ให้คนอื่นก็ไม่มั่นใจ มันก็เลยไม่ได้พากันดี ตัวเองก็ไม่ได้ดี

แต่ถ้าเผื่อว่าตัวเองก็ทำได้ดี ตัวเองก็มั่นใจ ไม่เหลาะแหละมั่นคง เรารู้ได้แม่น เรารู้ได้ตรง เราชัดเจนดี ถ้าเราชัดเจนดีแล้ว ไม่มีปัญหา เราก็เป็นผู้ที่ แม้จะได้ช้า ก็เป็นการไปช้าที่ ก็ว่าช้า แต่ก็แน่นแน่นอน ที่เขานิยมพูดกัน เป็นภาษาอังกฤษว่า แม้ช้า แต่ก็ว่าแน่นอน ดี มันก็ยังดี

ขอให้เราได้ละเอียดลออกัน เรามากันได้ปานฉะนี้ ก็พยายามตรวจสอบ ตรวจอ่าน แล้วก็รู้จริงเห็นจริง เราจะได้เป็นผู้ที่เบิกบานแจ่มใส อย่างน้อยที่สุดเราก็มีฐานพัก อย่างน้อยที่สุดเราก็มั่นใจว่า ของจริงมี ความจริงมี ไม่ใช่มาปฏิบัติแล้ว ก็ไม่รู้ได้อะไร ไม่รู้ได้อะไร จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ เสร็จแล้วออกไป ออกจากนี่ไป ก็เลยไม่ศรัทธาเลื่อมใสในศาสนาด้วยเลย โอ๊ย! ไม่มีจริงหรอก พึ่งไม่ได้หรอกศาสนา ไม่ต้องเอาละ เลยกลายเป็นคนตกต่ำไป โดยไม่รู้ตัวไม่รู้ตน ก็น่าเสียดายนะ

ขอให้พวกเราได้ตั้งอกตั้งใจ ก็ไม่ต้องเคร่งเครียด แต่ว่าให้มันรู้จุดที่เราจะกระทำ สำหรับตนสำหรับตน ซึ่งไม่เท่าเทียมกัน อะไรที่บกพร่อง อะไรที่ควรจะเสริม อะไรที่ควรจะทำให้มันดียิ่ง ในจุดนั้นจุดนี้ ตามที่พูดไปนี่มาก อธิบายอยู่มาก เขาก็จับเป้า จับจุดของตนของแต่ละคน ให้แม่นดี เราก็จะได้เป็นผู้ที่ได้เดินทางไปสู่ความประเสริฐ ตามที่พระบรมศาสดาได้รู้ได้แจ้ง ตามจริงอันนี้ แล้วก็เอามาสั่งสอนไว้ สองพันกว่าปีแล้ว ยังยืนยาวมาอยู่ และแม้บัดนี้ มันจะอ่อนแรง หรือมันจะเจือจาง จนหาความจริงได้ยาก มันก็ยังมีความจริงอยู่ ตามที่พวกเราได้เสาะแสวง เมื่อมาพบที่นี่ ก็พยายามอ่านความจริงจากที่นี่ให้ได้ จริงหรือเปล่า ถ้าจริงแล้ว เราให้ดีๆแล้ว เราจะเป็นผู้ที่มีบันไดที่มั่นคง เดินขึ้นไป เดินขึ้นไปแล้ว ไม่ใช่เดินขึ้นแล้วก็วิ่งลง ดีเลวแล้ว ก็เดินขึ้น สลับสับไปอยู่อย่างนั้น มีแต่จะทิศทางเดินขึ้น และ เดินขึ้นไปถึงที่สุดแห่งที่สุด อย่างดีกันทุกคน

สาธุ.

สมณะโพธิรักษ์


*****