020 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๒๖

ขันติ สู้ไม่ถอย

เราฟัง เราได้ยินได้ฟัง อธิบายไขความ กระจายความอะไรมาก มันอยู่ที่ฝึก เราอยู่ที่ว่า เราจะทำให้มันได้ มากบ้างน้อยบ้าง ฝึกฝนอบรมไป แก้ไขปรับปรุงไปจริง

ถ้าเรามั่นใจถึงทิศทาง ถึงความเป็นแล้ว เราไม่มีอะไรวอกแวกเลย ไม่ต้องตัดสินอะไรอีก ทิ้งมันชีวิต แล้วเราก็ทำ ฝึก ตั้งหน้าตั้งตาไป มีขันติคือสู้ไม่ถอย มีขันติ มีการอดทนให้ได้ ทนให้ได้ ทนหนึ่งชีวิต ทนให้ได้ ทนไปทั้งหนึ่งชีวิต สู้ไม่ถอย เมื่อเราแน่ใจจริงๆแล้ว เราก็ทำ

ถ้าผู้ใดมีหลักอย่างนี้จริงๆ จะง่ายขึ้นมาก ไอ้เรื่องวอกแวก วอกแวก วอกแวกนี่ มันทำให้เสียเวลามากๆ ที่กำลังพูดขณะนี้ ไม่ใช่บังคับใคร และเกรงด้วย เกรงว่าใครฟังแล้ว จะกลายเป็นว่าถูกบังคับ แต่ที่พูดนี่ เป็นความแนะ เป็นการแนะเชิง โดยมีข้อแม้อยู่ว่า ถ้าคุณมั่นใจแน่ใจ มีข้อแม้ มีเงื่อนไขชัดเจนอยู่ด้วยว่า ถ้ามีข้อแม้ แน่ใจ แน่ใจมั่นใจแล้วว่า มันไม่มีอะไรดีกว่าจริงๆ แล้วคุณจะเหลาะแหละอะไร คุณจะวอกแวกทำไม

ชีวิตหนึ่ง เอามันแน่ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ เราก็เห็นเลย ปลายชีวิต ต้นชีวิต มีทั้งประวัติศาสตร์ มีทั้งอะไรต่ออะไร แน่นอนแล้ว ไม่ต้องวอกแวกล่อกแล่ก ก็ให้มันตายลงไปเลย อยู่มันอย่างนี้ ถ้าดูแล้ว ทั้งวิธีการ ทั้งการพานำ การพาทำอะไรต่ออะไร ตั้งมากตั้งมาย เราก็ทำ เราก็มีบทบาท เราก็มีการพัฒนา เดินไป ก้าวหน้าไป เรามีอยู่แล้วจริงๆ

ว่าแต่เรานั่นแหละ มันอ่อนแอ มันไม่เอาจริง มันหลวมๆ เหลาะๆ กระพร่องกระแพร่ง ไปวันๆ คืนๆ ได้สักนิดสักหน่อย ก็ไม่ได้ อ่อนๆ แอๆ ทู่ซี้อยู่ ซูเอี๋ยอยู่กะไอ้กิเลสของเราไปงั้น มันก็ไม่ได้อะไร ไม่ได้หรอก ต่อให้เกิดอีก ๑๐ ชาติ มันก็ง่องแง่งๆ อย่างงี้ ไปอย่างงี้ ไม่ได้อะไร

เราต้องมีความข่มฝืน มีทมะ ใจมันไม่ฝืน ปล่อยมันเป็น ยถาสุขัง โข เม วิหรโต อกุสลา ธัมมา อภิวัฑฒันติ... ปล่อยตัวตามสบาย อกุศลธรรมเจริญยิ่ง มันไม่ได้เรื่องหรอก มันก็สบาย สบายตามที่คุณชอบนั่นแหละ ตามที่อารมณ์เราต้องการ ตามที่เราปรารถนา เราไม่มีการอุตสาหะวิริยะ ไม่พากเพียร ไม่กล้าสู้ ไม่เหน็ดเหนื่อย เหยาะแหยะ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เป็นไปอยู่อย่างนั้น แล้วก็รับรอง มันก็อยู่อย่างนั้น อินทรีย์พละของเรา จะแก่กล้า จะแข็งแรง จะมีน้ำหนัก มีน้ำเนื้อ มีบทมีบาท มีการอยู่ได้อย่างแข็งแรง มันชัดเจน คนเราถ้ามีตาดูแล้ว มันก็จะเห็น ถ้ามีปฏิภาณ มีความรู้ดู มันก็จะเข้าใจ มันไม่ใช่เรื่องยากเรื่องเย็นอะไร มันไม่ใช่เรื่องลึกลับ มันเห็นได้ กาย วจี มโน ถ้ามันสอดคล้อง มันไม่มีปัญหาอะไร ก็เบิกบานแจ่มใส เราไม่มีอะไรแล้ว เราหมดยึดหมดถือ เราสร้างสรร เราเป็นไป วันหนึ่งคืนหนึ่ง จิตใจเราง่าย เราคล่อง เอาสัมมาอริยมรรค ๘ มาเทียบมาเคียงแล้ว โถ! ชีวิตมนุษย์ ก็พัฒนากันไปอยู่อย่างนี้ กินอย่างนี้ ไม่ได้สงสัย มันจะเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่งเลยว่า ชีวิตเรา เท่านั้นเท่านี้ แล้วเราก็อยู่ไปเป็นไป

ขอให้พวกเราได้พยายาม ระลึกถึง สัจจะ ทมะ จาคะ ขันติ ระลึกถึงความจริง เอาจริง ระลึกถึงความข่มความฝืน อย่าปล่อยปละละเลย อย่าโอ๋มันนัก อย่าเอาใจมันนัก มีข่มมีฝืน มีพยายามที่จะให้จิตใจของเรานี้ ได้ถูกกำราบ ได้ตั้งตนอยู่ในความลำบาก ให้มันเป็นไปบ้าง ไม่ใช่ร่องแร่งๆ มันง่าย ไอ้ร่องแร่งๆ ตามอำเภอใจของเราหนะ เมื่อไหร่มันก็ทำเป็น มนุษย์น่ะ ไม่ต้องหัดหรอก เก่งทุกคนแหละ เชื่อด้วยว่าเก่งทุกคน แล้วมันจะเจริญอะไร

ขอให้ทำ ขอให้ฝึก ขอให้หัด ขอให้กล้าเข้า ตัวอย่างก็มี คนเขาทำได้ เขาก็ไม่ตาย เราก็ไม่ตาย จริง เจ็บนิดเจ็บหน่อย ปวดนิดปวดหน่อย หนักนิดหนักหน่อย ลำบากนิดลำบากหน่อยก็ไม่ได้ แล้วมันจะไปได้อะไร ลำบากมากๆเข้าด้วยซ้ำ มันก็ยิ่งดี

การที่จะวางตัววางตนนั้น ไม่ใช่ว่าการจะนึกจะคิด เหมือนอย่างที่ลัทธิบางลัทธิ อาจารย์บางอาจารย์ โอ๊ย! วาง ปล่อย วาง ปล่อยวาง มันจบตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ไอ้เรื่องปล่อยว่าง ไอ้เรื่องพูดเอง ใครมันก็รู้ ใครมันก็เข้าใจ ภาษาความหมาย เป็นตรรกวิทยาอย่างนั้น มันจบตั้งแต่ปีมะโว้

ใครก็รู้ ใครก็ศึกษา แล้วก็เอาแค่นั้น เพราะฉะนั้น จะให้มาลดมาละ มาปลดมาปล่อย มาวาง มากินน้อยใช้น้อย ให้มาเป็นน้อย โอ๊ย! ใครจะไปเอา ไม่ศรัทธาเลื่อมใสเลย ดังที่มีบางคนเขาบอก แต่ก่อนก็ศรัทธาดี พอมาได้ยิน บอกว่า พระโพธิรักษ์พาปฏิบัติ จะให้ทำยังไง วิธีการ ก็มาลดมาละ จนไปกระทั่ง กินมื้อหนึ่ง จนได้ จนกระทั่งลดละอะไร ใช้จ่ายน้อย กินน้อยใช้น้อย อย่างนี้จนได้ เขาบอก เขาหมดศรัทธาเลย เพราะเขาได้รับคำสอนมา ไม่ต้องไปทิ้ง ไม่ต้องไปขว้าง ไม่ต้องหนีไปไหนหรอก เราก็ไม่ได้หนีไปไหนนะ แต่ว่าเราเอง เราไม่รับ ไม่ดูดไม่ซึม ไม่หาบไม่หาม ไม่หอบไม่หวง ไม่พอกไม่เพิ่ม ไม่มีมาก เราก็อยู่ แต่มันต่างกันนะ มันนัยซ้อนพวกนี้ ถ้าเผื่อว่าไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญารู้จริงแล้ว เราจะเห็นว่า มันดูเหมือนๆ แต่มันไม่เหมือนหรอก

อันนี้ยิ่งนานวัน ถ้าเรายิ่งมีบุคคลที่เป็นไปได้ และจะช่วยกันยืนหยัดยืนยัน ทุกวันนี้ เขาก็ไม่เชื่อ และมันก็จริงๆด้วย มันไม่ใช่ง่าย มันไม่ใช่ง่าย ปากพูดว่ามันง่าย คิดนึกว่ามันง่าย แต่ทำเข้าจริงๆ มันไม่ใช่ง่าย เพราะฉะนั้น เวลาเรามาทำแล้ว เราจะรู้ว่า โถ! เราเอง ก็บารมีแค่นี้ ทำมันก็ยังอุตส่าห์ทนฝึกกันจะแย่ ก็ทนก็ฝืน จนกระทั่ง มันค่อยยังชั่ว มันง่าย มันคลาย มันสบาย แล้วเราก็จะรู้เลยว่า เราก้าวหน้า

ถ้าเราสู้ไม่ถอย อาตมาว่า ขันติ แปลว่า สู้ไม่ถอย ถูกต้องมากกว่าคำว่า อดทน คือมันอดทนจริงๆ สู้ไม่ถอยนี่ มันต้องทนนะ ไม่ทนไม่ได้หรอก สู้ไม่ถอย ต้องทน อดทนไป อดทนหนึ่งชีวิต นี่คือขันติ สู้ไม่ถอย อดทน และก็มีข่มฝืน มีสภาพที่จะต้องกด ต้องข่ม ต้องฝืน บังคับตัวเองอยู่ตลอดเวลา ให้ข่มให้ฝืน เพราะฉะนั้น มันมีหลักใหญ่ว่า เราสู้ไม่ถอย เราจะสู้ตลอดชีวิต กับมีตัวปฏิบัติไปด้วย มีข่มมีฝืน มีข่มมีฝืนไป แล้วเราก็จะเห็นบทบาทของการข่มฝืน ฝืนน้อยลง ข่มน้อยลง จนกระทั่งไม่ต้องข่มยาก ไม่ต้องฝืนยาก ไม่ต้องทนยาก เป็นไปได้ง่ายขึ้นๆ ก็จะก้าวหน้าพัฒนาไปขึ้น เพราะฉะนั้น ให้ใจมันวางง่ายๆ มันไม่วางง่าย มันก็เอาแต่ ร่องๆแร่งๆ ตามสบายของตัวเอง อารมณ์เอง ง่ายๆ เบาๆ อย่างที่ว่านั้น แล้วเราก็ไร้คุณไร้ค่า

เรามีเวลาว่าง เรามีเวลาพัก เรามีการงาน เรามีเวลาเพียร เรามีอะไรต่ออะไรอยู่ ในนี้ของมันเอง วันหนึ่งคืนหนึ่ง หมุนเวียนไป ตะวันขึ้น ตะวันตก วันเวลา นับเป็นเวลา ๑๒ ชั่วโมง ๒๔ ชั่วโมงอะไร เราก็มีพฤติกรรม บัดนี้เวลาผ่านไป เราทำอะไรที่เป็นคุณเป็นค่า เมื่อยพัก ไม่เมื่อยก็เพียร สร้างสรรไป ถึงเวล่ำเวลา มันก็เป็นไป

นี่อาตมาว่า ตัวสรุปจบตัวนี้ พูดซ้ำซาก จะต้องพูดอีกกี่ล้านครั้งก็ไม่รู้ มันก็จะต้องพูดซ้ำซาก แต่ว่า ไอ้ตัวที่ได้นั้น ได้พยายามที่จะบอกกัน บอกว่าเราจะต้องให้มีบทปฏิบัติ ให้มีการกระทำ ลงมือกันให้ได้ ร่องๆ แร่งๆ ก็ผ่านไป ตายวันตายคืน เท่านั้นนะ

ผู้ใดฟังความนี้ออก ฟังที่ย้ำนี้เข้าใจ ก็ต้องดูตัวเองว่า มันตรงตามที่อาตมาว่านี้หรือไม่ ถ้ามันไม่ตรง ก็พยายามเข็น พยายามขัน พยายามที่จะเร่งรัดตัวเองขึ้น ก็บอกแล้วว่า ตัวใครตัวมัน ใครเองจะไปช่วยใครได้ มากกว่าที่ตัวเอง จะต้องไป บังคับตัวเองไม่ได้

อาตมาก็ไม่นิยมที่จะไปบังคับใคร เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่บังคับตัวเอง ก็แล้วแต่ แต่ละบุคคล ถ้าใครบังคับตัวเองได้ พยายามหาทิศทาง หาอะไรต่ออะไรให้มันก้าวหน้า พัฒนาตัวเอง ได้ความเจริญ ความก้าวหน้า มันก็จะเป็น มันก็จะมีได้อย่างแท้จริง เพราะมันอยู่ที่เหลือว่า เราจะต้องทำ ไม่ใช่ว่า เราได้แต่ฟังๆๆ ฟังไปอีกกี่ปีกี่ชาติ มันก็มีหลักใหญ่อย่างนี้ มีรายย่อย มีรายละเอียด พลความ ที่จะพยายามมากขึ้นบ้าง ก็ได้แหละ ได้ทุกทีแหละ นิดๆหน่อยๆ ขยายขึ้นไปก็ได้ แต่หลักใหญ่หลักแกนแล้ว ก็ไม่น่าจะสงสัยอะไร

ถ้าเผื่อว่าได้หลัก แล้วก็ได้พลความ ได้รายละเอียดอะไรเพิ่มเติมขึ้น มันก็ช่วยให้เรามั่นใจ ในทั้งปัญญา และมีกำลังใจเสริมหนุนขึ้นเหมือนกัน เราจึงจำเป็นต้องอธิบายซ้ำ ก็ตาม ขยายความก็ตาม เพิ่มเติมกันอยู่ ตลอดไปเรื่อยๆ ก็เพื่อที่จะดึงจูง แนะนำพากันไป อยู่นั่นเอง

สรุปจบก็คือ มันยังเหลืออยู่ที่ เราต้องลงมือทำ เราต้องมีความฝืนข่มเป็น แล้วเราก็จะต้องสู้จริงๆ อุตสาหะ วิริยะ ตั้งตนไว้ด้วยความลำบากเถิด แล้วกุศลธรรมจะเจริญๆ ยิ่งๆ ขึ้นไปๆ

สาธุ.

*****