024 ธรรมปัจเวกขณ์ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๖ |
ขอทบทวน คำภาษาไทยที่ว่า ความจริงหรือความเป็นจริง ความมีจริง ความเกิดจริง เป็นของจริง โดยภาษาบาลี หรือภาษาพระ ท่านเรียกว่าสัจจะ นี่ขอให้พวกเราตรวจสอบจริงๆ ตรวจสอบอ่านที่ตัวเอง เราเป็นคนมีสัจจะเท่าไร เป็นคนมีความซื่อตรง มีความรู้แม่น รู้แม่นก็เป็นสัจจะ รู้แม่น รู้ชัด รู้ความจริง
เรามีหลักเกณฑ์คำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ศีล แล้วเราก็เอามาปฏิบัติ เราปฏิบัติได้ตามศีลนั้นจริง หรือว่ามันยังเหลาะๆแหละๆ ยืดๆหยุ่นๆ เราได้จริงหรือไม่จริง เห็นของจริง เห็นความจริง เห็นความมั่นคงเที่ยงแท้ ถ้าจริงแล้ว ยิ่งเที่ยงแท้ ยิ่งมีอยู่ประดับตน แม้จะเป็นความดีที่น้อย ถ้ามันจริง มันไม่คลอนแคลน แล้วมันมีศรัทธา เชื่อมั่น มีปัญญาเข้าใจ ไม่แปรปรวน ไม่เหลาะแหละอีกแล้ว ไม่มีวิจิกิจฉา ลังเล สิ่งที่จริงต่างๆ เหล่านั้นแหละ ที่เรากำลังศึกษา แล้วเรากำลังอบรม เรากำลังสั่งสมกำลังให้แก่ตน ให้มีสัจจะ ให้ทรงขึ้น ให้มีของดี หรือความดี ที่เราเข้าใจด้วยปัญญา แล้วก็อบรมสั่งสมสร้างสรรไป
เพราะฉะนั้น ศีลเป็นหลักที่จะประพฤติ เดินตาม ตามขีดตามขั้น เป็นความหมายสูงขึ้น ก็ต้องสอนกันอยู่ เพราะว่ามันเยอะ มันมากชั้นมากขั้น เราศึกษาไปแล้ว ก็ต้องตรวจตรา ศาสนาพระพุทธเจ้าที่มีจุดเด่น ก็คือว่า ไม่ใช่ศรัทธางมงาย ไม่ใช่เชื่อถือโดยดายๆ ไปตามๆคนอื่น โดยโง่ๆ ไม่เอาดายๆ ตามคนอื่นไป แล้วถ้าคนอื่น คนที่เราตามเขานั้น เขาตายเสียแล้ว คนอื่นมาเหนือกว่าคุณ มีปัญญาเหนือกว่าคุณ ก็จูงคุณไปที่อื่นได้อีก เท่านั้นเอง มันก็ไปไม่รอด
คุณจะต้องพึ่งตนเอง รู้ด้วยตน เรารู้ตามครูบาอาจารย์ก็จริง แต่เราต้องมีสัจจะขึ้นที่ตน รู้ตามครูบาอาจารย์ก่อน ตั้งแต่เริ่มต้น พยายามใช้วิจัยวิจาร ไม่ให้ครูบาอาจารย์จูงจมูก โง่ๆง่ายๆ เหมือนกันแหละ ครูบาอาจารย์ จะสอนจะบอกจะอะไร เราก็ไม่ใช่ดื้อด้าน ไม่ใช่ไม่เชื่อฟัง ฟัง ฟังด้วยดี ฟังด้วยความนอบน้อม สุภาพ เรียบร้อย แล้วเราก็เอามาพินิจพิเคราะห์อันนี้
อ๊อ! อันนี้เข้ากับตัวเรา เหมาะสมแล้ว เราพิสูจน์ ทำ ทำจนมันเกิด จนมันเป็น จนมันเป็นสัจจะ มันเกิด มันเป็น มันมี มันได้ แล้วทีนี้คุณเห็นของจริง คุณได้สัจจะนั้น ในความจริงนั้น คุณจะเกิดศรัทธา เชื่อถือ ในความจริงนั้น เชื่อถือเป็น ยถาภูตญาณทัสสนะ เป็นความเห็นความรู้อยู่ เห็นอยู่รู้อยู่ เป็นปัจจุบันนั่นเทียว เป็นของมีอยู่จริงอยู่ที่เรา ยิ่งเป็นนามธรรม มันก็อยู่ที่เรา พฤติกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ก็อยู่ที่เรา คุณความดีนี้ ก็มีที่เรา
มันมีจริง มันมีแท้ มันมีมาก มันมีน้อย มันก็ที่เรานี่แหละ เราจะดูจะรู้ออก เห็นจริงๆ ละเอียดแยบคายขึ้นเรื่อยๆ บางที มันดูเผินๆ ก็นึกว่าเรามี นึกว่าเราได้ แต่แท้จริงมันยังมีหยาบ มันยังไม่ละเอียดกว่านี้ มันยังไม่เนียนกว่านี้ มันยังไม่สวยกว่านี้ งาม เรียบร้อยกว่านี้ มันมีอีก ซ้อนๆเชิงขึ้นไปอีก เป็นความแยบคาย เป็นความละเอียดลึกซึ้ง มันจะยิ่งใหญ่ ก็เพราะยิ่งละเอียด มันยิ่งลึกซึ้งละเอียด เราจะต้องพยายามปรับ ในสิ่งที่ได้ฐาน ก็ดีแล้ว ได้กลางขึ้น ได้ละเอียดสูงขึ้น ก็ทำเสริม อันใหม่ก็ทำใหม่อีก ซับซ้อนอยู่ นานับชั้น นับเชิง ไม่ใช่น้อยๆ
คำว่า สัจจะ หรือคำว่า ความจริง ที่พูดกันสั้นๆง่ายๆ ภาษาไทยว่า ความจริง ขอให้เราเข้าใจให้ซาบซึ้ง เข้าใจให้ลึกซึ้ง ตั้งแต่เริ่มต้น อาตมาแปล สัจจะ ว่า เอาจริง นี่เป็นตัวมรรค คำว่าสัจจะ เอาจริงนี่ เมื่อเรารู้ เมื่อเราเห็น เมื่อเราเข้าใจแล้ว เราต้องเอาจริง เป็นคนเอาจริง เป็นคนพากเพียร อุตสาหะ วิริยะ
แม้มันยากมันเย็น แต่เราเถียงไม่ได้เลย เราจำนนแล้วว่า นี่ดีจริง เราเอาจริง ถ้าไม่เอาจริงแล้ว ก็ช้า ดีไม่ดี ก็จะตกหล่น ตกร่วง วกเวียนกลับลงไป เป็นไอ้ที่ไม่เข้าเรื่องเข้าราว ตัวอย่างก็มี นี่เราศึกษาไป เราจะมีเพื่อนมีฝูงเป็นตัวอย่าง ทำให้เราเห็น เราเองก็จะต้องสะดุ้งสะเทือนบ้าง ไม่เช่นนั้น เราก็จะเป็นอย่างที่เขาเป็น แล้วเขาเป็นดีหรือ หรือเขาเป็นไม่ดี ถ้าเขาเป็นไม่ดี เราก็ต้องพยายาม อย่าให้เป็นอย่างที่เขาเป็น จะไม่เป็นอย่างที่เขาเป็น อย่างไรก็ทุกทีที่มีอะไร มันตกร่วง ที่มีอะไรมันหล่นลงไป มันเป็นอะไรต่ออะไร ที่ไม่ดีลงไป เราก็พยายามจะชี้แนะ จะเตือน ชี้จุด ชี้บก ชี้พร่อง ชี้อะไรต่ออะไร เตือนกันบอกกัน ให้ระมัดระวังกันเสมอ ไม่เช่นนั้น เราจะพลาดท่าเสียทีอีก แล้วก็ทำให้เราหกล้มหกลุก ตกๆหล่นๆไปอีก ก็แก้กัน ปรับปรุงกัน
คำว่าสัจจะ จึงขอให้ถึงสัจจะกัน ตั้งแต่เอาจริง และก็ได้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาก มากจนกระทั่งเต็ม จนกระทั่งสมบูรณ์ เมื่อเต็มเมื่อสมบูรณ์แล้ว เป็นของจริงที่มีแล้ว ก็ต้องรู้อีก รู้ว่าเราได้จริง ไม่ผิดไม่เพี้ยน สอบทานแน่นอน มั่นคง แล้วก็รู้จักจบ
บางทีมันก็จะได้หลงดีอกดีใจ แล้วก็คิดอยู่แต่แค่นั้นแหละ ไม่เอาเวลา ไม่เอาแรงงาน ไม่เอาพฤติกรรม ไม่เอาความพากเพียร ไปทำอื่นอีกเลย ได้แต่ลูบๆไล้ๆ ได้แต่อิ่มเอมเปรมปลื้ม เท่าที่เราได้แค่นั้นๆ นี่ก็เป็นพวกติดแป้น นี่ก็เคยเตือนนักหนา เป็นพวกแช่อิ่ม เป็นเทวดาติดศาลเลย ไม่ไปอีก ไม่ไปอื่น อย่างนี้ก็ไม่ได้เรื่อง
พระพุทธเจ้าก็ไม่สรรเสริญ นี่ก็เคยยกเหตุยกผล ยกหลักฐาน มาอ้างอิงให้ฟังนะ เพราะฉะนั้น ของจริงเหล่านี้ มันมีอีก สูงอีก อนันตัง มากหลาย นับไม่ถ้วน ที่เราจะสามารถพัฒนาตนเอง ไปได้ดีไปได้สูง เราได้สิ่งดีสิ่งสูง สิ่งที่มันเป็นไปตามทิศทาง ตามที่พระพุทธเจ้า ท่านพาเป็นพามี นี่แหละ เป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งที่น่าได้ น่ามีน่าเป็น สำหรับมนุษย์ประเสริฐ เป็นชาวโลกุตระ จริงหรือไม่จริง ทุกคนก็ศึกษา เลือกเฟ้น ตัดสินใจเอา ของตนๆ ไม่มีใครบังคับใคร ใครมีสิทธิ ชีวิตเป็นของเรา จิตวิญญาณเป็นของเรา การกระทำเป็นของเรา ขอให้ทุกคนได้กระทำ แล้วก็เดินทางไปสู่สัจจะ ดังกล่าวนี้กัน ให้ได้ยิ่งๆขึ้น ทุกๆคน
สาธุ.