025 ธรรมปัจเวกขณ์ วันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๖ |
ในปัจจุบัน สังคมมนุษย์มันมีสังขารธรรม แล้วมันก็มีอะไรต่ออะไรปรุงสร้างกัน โลดแล่นออกไปไกลแสนไกล จนมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะถึง เอาสภาพที่พอเหมาะพอดี สำหรับคนจริงๆ เป็นสัจจะ
สัจจะแห่งชีวิต
กินก็เท่านี้ อยู่ก็ประมาณอย่างนี้ เป็นไป มีชีวิตเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งคืนหนึ่ง มีวันมีเวลา ก็ทำงานทำการ แข็งแรง ขวนขวาย ไม่ย่อท้อ สร้างสรรไป ไม่หวงไม่แหน เป็นระบบของชีวิต ที่มีผู้เป็นบรมศาสดา ได้วางแบบแผนไว้
แล้วเราก็ได้เอามาพิสูจน์ ท่ามกลางสังขารธรรมอันจัดจ้าน ที่มันไปไกลแสนไกลนั้น เราได้พยายามมาพิสูจน์กันแล้ว พิสูจน์ว่า...
คนที่ควรเป็น
เราจะมาเป็นคนที่มีทิฐิอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ ศรัทธาในความเป็นอยู่ มีชีวิตอยู่กับโลกเขานี่แหละ แต่เราอยู่อย่างนี้ เราไม่เห็นเป็นปมเด่น เราไม่เห็นเป็นสิ่งที่น่ายินดี ไม่เห็นเป็นสิ่งที่น่าหลงใหล อยากได้อยากมีอยากเป็น อย่างที่เขาได้เขามีเขาเป็นกัน จนเลยเถิด จนเหน็ดเหนื่อยหนักหนา ผลาญพร่าแย่งชิงทุกข์ร้อน เราจะเป็นคนที่มีทิฐิอย่างนี้ ศรัทธาอย่างนี้ แล้วก็มาพิสูจน์กัน จนเห็นเป็นสัจจะ เรามีสัจจะ ความจริง อย่างนี้
สัจจะคือความจริง ของจริง เป็นจริง มีจริง ไปจนกระทั่ง ตั้งแต่รูปนอกวัตถุนอก ไปจนกระทั่งถึงในใจ ที่มันเป็นจริงเหมือนกัน บางสิ่งบางอย่างเราจริง จนกระทั่งเราเห็นว่า เราล้างจางคลาย บริสุทธิ์สะอาด ไม่มีรสโลก ไม่ได้ติดหลง เหมือนอย่างที่เขาติด ตั้งแต่เดิมแต่เดิม
แต่ก่อนเราก็เคยรู้ว่า รสที่เราติดเป็นอย่างนี้ จิตที่หลง แล้วก็เป็นตามเขา เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้เราจืดเราจางเราวางเฉย เป็นธรรมดาอยู่ สัมผัสสัมพันธ์ก็เฉยๆ เหมือนกันกับสัตว์หลายประเภท ที่มันก็มีอยู่ในโลก แต่มันก็ไม่หลงกับโลก มันไม่ถูกมอมเมา ทั้งๆที่มันก็ถูกย้อม แต่มันก็ไม่สนใจ
คน...ฉลาดกว่า ไอ้ทุยบ้างไหม
อย่างเอาลูกชิ้นปิ้งมาหลอกวัวควายนี้ มันก็เฉยๆ ฉันใดก็ฉันนั้น คนก็เหมือนกัน ก็เห็นเหมือนวัวควายที่เห็นลูกชิ้นปิ้ง แล้วก็ไม่สนใจ มันก็เฉย มันก็ไม่ไปตื่นเต้น ดีใจอะไร
จะไปหลอกล่อมัน บอกว่าดีนะ เฮ้ย! กินลูกชิ้นปิ้งนี่วิเศษนะ เฮ้ย! วัวควาย มันก็เฉยฉันใด แต่เราไม่ได้โง่เง่าเหมือนวัวควาย ทีเดียว
ไม่หลงอัสสาทะโลก
เรารู้ว่าสิ่งนี้มันเป็นค่านิยม คนเหมือนกับเรานี่ เขาหลงเขานิยมได้เหมือนกัน แล้วเขาก็มีรสมีชาติ แล้วเขาก็มีความเอร็ดอร่อย เขามีความสุขความเพลิดเพลิน ตามอุปาทานที่เขาเป็นเขามี
จิตวิญญาณเป็นประธาน
เรามาเรียนรู้อุปาทาน เรามาเรียนรู้รสนิยมโลก แล้วเรามาล้างรสนิยมโลก เราก็จะเห็นความจริงที่เป็นสัจจะ อย่างชัดเจนว่า รสนิยมโลกนั้นเป็นอุปาทาน เป็นการสร้างสังขารธรรม สร้างอุปาทานขึ้นมาหลอก ให้คนจิตแปรปรวน จิตไปหลง เป็นเพราะจิตใจเป็นตัวรู้ จิตใจเป็นตัวเป็น จิตใจเป็นตัวตัดสิน เป็นตัวที่ยินดีพอใจที่จะเป็น
เมื่อเรามาล้างจิตนั้นได้ เราจึงรู้ว่าจิตนั้นได้ และทำให้กลับฟื้นคืนมา ไม่เป็น ไม่ไปหลงอย่างโลกเขาเป็น อย่างที่เราเคยหลง มันก็ไม่เป็นได้อีก
สัจจะดังที่กล่าวนี้ ขอให้พวกเราได้พิสูจน์ยืนยัน อยู่กับโลกนี้จริงๆ ดูซิ มีเงื่อนไข มีรายละเอียดต่างๆ นานา ที่เราอธิบายยืนยัน
เทียบโลก-เทียบธรรม
อย่างโลกเรารู้ อย่างนี้เรารู้ แล้วอย่างใดที่เทียบกันแล้วว่า มันสบายกว่ากัน มันเบามันว่าง มันไม่ต้องเป็นภาระ แล้วแถมเมื่อเวลาเราไม่เป็นภาระแล้ว เรายังมีเวลาเหลือ มีแรงงานเหลือ มีทุนรอนเหลือ พอที่จะเอามาประกอบการงาน มาสร้างสรรสิ่งที่เราเห็นว่า มีคุณค่า เป็นสิ่งที่ดี มีคุณประโยชน์แก่มนุษยโลก มาเป็นผู้เสียสละ ทำให้แก่โลกเขาได้อีก
"เรา" ไม่ใช่คนขวางโลก
เราทำได้จริงๆ เป็นประโยชน์แก่เขา ไม่ได้อยู่อย่างผลาญพร่า แล้วไม่ได้อยู่กันอย่างยั่วยวน ให้เขามาหลงตามโลกกันไป มันเหมือนตัวขวาง แต่มันไม่ใช่ขวาง มันให้เขาด้วย เราไม่แย่งเขาด้วย ฟังดีๆ ไม่ใช่ขวาง แต่เราไม่เอาอย่างเขา มันฝืนกัน มันต้านกัน มันไม่เหมือนกัน แต่มันไม่ได้ไปต้านกั้นเขา จนกระทั่งเขาเองลำบาก แต่เราก็ห้าม ก็บอก และเราก็สอนว่ามันไม่ดี จะบอกว่าขวาง โดยนัย เห็นควรเลิก เราเห็นด้วย ความจริงใจ
หลุดได้...วิเศษแท้
เราต้านเขาด้วยความจริงใจว่า เลิกมาได้ดีนะ หลุดมาได้ดีนะ อย่างนู้นเราก็เคยหลง หรือแม้บางอย่าง เราไม่เคยหลงก็ตาม มันไม่ใช่ความจำเป็น มันไม่ใช่ความสำคัญ มันไม่ใช่คุณค่าของเรา คนไม่ได้วิเศษเพราะสิ่งเหล่านั้นเลย มันวิเศษตรงที่ไม่ติด แล้วมีเวลาเหลือ มีแรงงานเหลือ มีทุนรอนเหลือ เอามาสร้างสิ่งดี สร้างประโยชน์ให้แก่โลกเขาได้ นี่ต่างหากล่ะ เป็นความวิเศษ เป็นความมีคุณค่าของคน
อย่าหลงเป็นกำไร
ไม่ใช่เราไปติดเราไปเสพ เราไปหลงว่ามันเป็นสุข เป็นของอร่อย แล้วเราก็ได้เสพได้สุขได้อร่อย ได้มีมากๆ ได้มากๆ นึกว่ากำไร ได้เสพมากๆ ได้สุขอย่างโลกๆ อย่างนั้นมากๆ นึกว่าเป็นกำไรของมนุษย์ มันกลับไม่ใช่ มันกลับเป็นหนี้ มันกลับผลาญพร่ากลับเปลือง ยิ่งเปลืองมากนะ
อย่าคิดว่าขาดทุน
แม้ทำงานทำการ เราก็ไม่ได้เห็นว่า เราเป็นคนขาดทุน กลับจะเป็นการกำไร ที่เราทำงานสร้างสรรให้แก่ผู้อื่น เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้ เราเป็นคนที่มีประโยชน์แก่ผู้อื่น ได้มากเท่าใดๆ เราก็เป็นคนมีค่ามีคุณ อยู่ในโลกมาก เท่านั้นๆ
ถ้าเราเป็นคนที่ได้แต่พึ่งคนอื่น ได้แต่เบียดเบียนคนอื่นมากเท่าใดๆ เราก็เป็นคนไร้ค่าเท่านั้นๆ นี้ก็เป็นความหมายที่เป็นสัจจะ เอาไปทำความเข้าใจดีๆ แล้วเราจะเดินทางไปสู่สัจจะ ทั้งความเข้าใจ ก็มีอยู่พร้อม ทั้งความเป็นจริง ก็เป็นได้พร้อม
อย่าอำพรางความจริงกับพระพุทธองค์
ขอให้เราพิสูจน์จริงๆเอง และเห็นจริงๆเอง เราจะเข้าใจว่า คนอย่างเจ้าชายสิทธัตถะ ที่มีอะไรที่เป็นรสโลกย์ เป็นความสมบูรณ์อย่างโลกๆ มีพรั่งพร้อม แม้แต่ความทุกข์เล็กน้อย แม้แต่คนแก่คนเฒ่า แม้แต่ของที่ไม่งามไม่งด แม้แต่ของที่ไม่สมบูรณ์ เขาอุตส่าห์ปิดบัง ปกป้อง พราง ไม่ให้รู้ไม่ให้เห็น ไม่เคยได้พบด้วยซ้ำ ถึงปานนั้นนะ
แต่สุดท้าย เมื่อท่านมารู้ความจริงแล้ว ท่านก็มาอยู่กับสิ่งที่มักน้อย สันโดษ รู้จักคุณค่าที่จริง
"เรา" เต็มได้
เราไม่บกพร่อง เราไม่เป็นคนที่ขาด เราไม่เป็นคนที่ทรมานทรกรรมอะไร แต่เราเป็นคนที่สมบูรณ์ ไม่ขาดไม่บกพร่อง กินอยู่หลับนอน กำลังกายกำลังใจ ไม่ขาดไม่บกพร่อง สมบูรณ์ แล้วสร้างสรรให้แก่เขาได้ด้วย ซึ่งเราก็ไม่ได้บังคับใจตัวเราเอง เมื่อสิ่งที่ปฏิบัติได้แล้ว มันไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องทนไม่ต้องฝืน แต่มันยืนหยัดยืนยันว่า เราสบาย เราสร้างสรรเสียสละต่างๆ เราก็รู้ เป็นคุณค่าประโยชน์ เป็นความดีงามของมนุษย์ พึงมีพึงเป็น แล้วเราก็กระทำให้แก่โลกเขาอยู่ เหนื่อยก็รู้ว่าเหนื่อย เหนื่อยแล้วก็พัก มันหายเหนื่อยแล้วก็ทำต่อ สร้างสรรไป เป็นคุณเป็นค่า เป็นบุญในโลก
มาทรงธรรมกันเถิด
ฟังคำกล่าวเหล่านี้ดีๆ แล้วเราจะได้พยายามพิสูจน์สัจจะ จนเกิดศรัทธา เกิดปัญญา เกิดเห็นความจริงแล้ว เราก็กลายเป็นคนทรงสภาพ เรียกว่า "ธรรมะ" ทรงสภาพเป็นคนอีกชนิดหนึ่ง ที่อยู่ในโลกนี้ให้ได้
อันนี้เป็นความเห็นเป็นคุณค่า ที่บุคคลผู้มีปัญญาท่านเห็นท่านรู้ ท่านก็เอามาแนะนำให้เราเป็นอย่างนี้บ้าง เราจะเห็นสัจจะนี้จริง จะเป็นได้จริงหรือไม่จริง เราก็จะพิสูจน์กันต่อไป
ถึงเวลาแล้วก็จะ...
บัดนี้พวกเราเอง เราก็ได้เป็นมีกันมาพอสมควร แล้วเราจะยิ่งไปไกลกว่านี้ เราจะมีบทบาท จะมีคุณค่า เป็นประโยชน์แก่โลกมากกว่านี้
ถ้าเราได้ก้าวหน้าเป็นชุมชน มีกลุ่มสร้างสรร หัตถกรรม เกษตรกรรม วิศวกรรมก็ตาม แต่เครื่องทุ่นแรงนั้น เราจะดู เพราะมันเป็นผลร้ายต่อมนุษย์อยู่เหมือนกัน เครื่องทุ่นแรง ที่เป็นเครื่องกล ไปพึ่งเครื่องทุ่นแรงเสียหมด แล้วเราก็หมดความเป็นคน คนจะดีอยู่ที่ความสามารถ อยู่ที่ฝีมือ อยู่ที่สมรรถนะต่างๆ ของคน
มาส่งเสริมช่างฝีมือกันเถิด
เราก็จะดู ถ้าจำเป็นจะต้องใช้เครื่องทุ่นแรงบ้าง ถ้ามันไม่สมดุล เราก็จะใช้ แต่ถ้าเผื่อว่ามันเป็นไปได้ ไม่ต้องไปพึ่งเครื่องทุ่นแรง เราใช้แรงคน ยังฝีมือของเราให้ชำนาญ ให้สามารถต่อไปอยู่ได้ดี เราจะพึ่งหัตถกรรม พึ่งฝีมืออันเกิดจากคน ดีกว่าจะไปพึ่งสิ่งเหล่านั้น เพราะสิ่งเหล่านั้น เมื่อพึ่งแล้ว มันมีผลร้ายตามมา มีพอลลูชั่น หรือมลพิษเกิดตามมา แล้วเราก็จะต้องเสียคน เสียแรงงาน ไร้คนให้คนทำอะไร ต่างๆนานา
ระวัง จะเป็นมนุษย์หุ่นยนต์
คนจึงกลายเป็นนิสัย อยากจะได้เครื่องทุ่นแรง แล้วก็กลายเป็นคนกดปุ่ม กลายเป็นคนที่จะใช้เครื่องทุ่นแรง เครื่องกล แล้วคนก็ตกงาน กลายเป็นสภาพซับซ้อน ทำให้คนเดือดร้อน อยู่ในสังคม
อย่าให้แรงงานล่วง
ถ้าเราศึกษาลึกๆซึ้งๆ ละเอียดลออให้ดีแล้ว เราจะเห็นว่า ระบบทุกวันนี้ เราไปหลงสิ่งที่เป็นความสามารถของคน แต่มันมาทำลายคน ในสภาพตีย้อน ที่เราไม่รู้ตัวรู้ตน เราจะรู้สิ่งเหล่านี้ แล้วเราจะเป็นคนยืนหยัดยืนยัน ด้วยสัจจะความจริงว่า ใจของเรานี่เป็นตัวเอกที่รู้ แล้วเรายินดีที่จะเป็นอย่างนี้ โดยรู้ความจริง ไม่หลงตัวหลงตน ด้วยว่า มันเป็นสิ่งดีมีคุณค่า เป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติ อย่างแท้จริง เราก็ไม่ทุกข์ เราได้อาศัย
เราพยายามเห็นความจริง ที่แนะด้วยภาษาเหล่านี้ เข้าใจเอง ด้วยจิตวิญญาณของแต่ละบุคคลเอง พิสูจน์สัจจะยืนยัน จนคุณศรัทธาเลื่อมใส เห็นจริง แล้วเชื่อมั่น เป็นความเชื่อมั่นของตัวของตัว ไม่มีใครจะไปทำความเชื่อของแต่ละคน ให้แก่กันและกันได้ เราเชื่อของเรา จะแนะจะบอก ก็แนะก็บอก จะมาเผด็จการทางความคิด หรือความเชื่อ ย่อมไม่ได้
มั่นใจ...ตราบตาย
เพราะฉะนั้น ในเรื่องของสัจจะ ศรัทธา ธรรมะต่างๆ เหล่านี้ เราจะเน้น เราจะชี้แนะ เพื่อยืนยันให้เรามั่นใจในสิ่งที่เราเป็นได้ดี มาส่วนหนึ่ง ขั้นตอนหนึ่งแล้ว และยังมีดียิ่งกว่านี้ ที่เราจะดีไปได้อีก และ เป็นประโยชน์คุณค่าได้อีก
แล้วเราจะมั่นใจในความสบาย แม้จะเหนื่อย แต่เป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ เป็นความประเสริฐของมนุษย์ ต่อๆไปอีก ให้ยิ่งๆขึ้น เท่าที่เราจะมีความสามารถ พัฒนาความสูงยิ่ง ความเจริญยิ่ง ให้แก่กันและกัน ต่อไปได้ จนกว่า เราจะตายจากกัน.
สาธุ