030 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๒๖

หลักอปัณกธรรม ๓ ข้อนั้นก็กลางๆ ใครทุกคนต้อง จะถือศีลอย่างไร มากน้อย หยาบกลาง ซึ่งไม่เหมือนกัน แล้วอย่างไรก็ต้องเหมือนกันหมดทุกคน เมื่อเหมือนกันหมดทุกคน ตรงที่จะต้องใช้หลัก มีเหมือนกัน

ต้องสำรวมอินทรีย์ ทั้ง ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำรวมสังวรระมัดระวัง มันจะสัมผัสมันจะสัมพันธ์ จะเกี่ยวข้อง เพราะเราใช้หลักมรรคองค์ ๘ เราจะมีการคิดมีการพูด มีทำการงาน มีอาชีพ ก็ต้องพยายาม แล้วก็มีสติสัมปชัญญะ รู้ เข้าใจ วิจัยวิเคราะห์ ตามปัญญาของเรา ตามความเห็นแจ้ง ความรู้ของเรา ศึกษาความรู้ พหูสูต เรื่อยๆ พหูสูต แล้วเราก็วิเคราะห์วิจัย สำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖

โภชเนมัตตัญญุตา เครื่องอุปโภคเครื่องบริโภคทั้งหลายแหล่ ลดละปลง ปลดปล่อยลงไปเรื่อยๆ เรื่อยๆๆๆ ค้นเข้าสารัตถะ ค้นเข้าหาแก่นในเรื่องโภชนะ ในเรื่องอุปโภค เครื่องอุปโภค เครื่องบริโภค ต้องพยายามจัดเจียนจัดแจง ให้เป็นผู้มักน้อยสันโดษ ให้เป็นผู้ที่อิสระเสรี ให้เป็นผู้ที่ไม่เป็นทาสขึ้นมาจริงๆ

นอกจากจะสำรวมด้วยตัวเราเอง ด้วยทวารทั้ง ๖ แล้ว ไอ้เครื่ององค์ประกอบ องค์ประกอบก็ย่อมต้องมีเป็นบริขาร เป็นส่วนใช้เป็นส่วนเกิน ก็เราก็จะต้องหัดรู้ ส่วนใช้ส่วนเกิน นี่เราจะอนุโลมไป บางครั้งบางคราว แต่ในส่วนเป็นอาชีวะส่วนทั่วไป เราจะต้องมีเครื่องกินเครื่องใช้อย่างนั้น แม้ที่สุด ในหลักเกณฑ์ซ้อนลงไปว่า เราจะไม่สะสม แม้แต่ข้าวสักเม็ดหนึ่ง ไม่สะสมข้าวไม่สะสมน้ำ ไม่สะสมยา ไม่สะสมอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องของพระ ดังนี้เป็นต้น

และต้องเป็นผู้พิจารณา และประพฤติปฏิบัติให้สอดคล้องลงตัวจริงๆ เราจะเห็นได้ว่า การปฏิบัติด้วยสำรวมอินทรีย์นั้น ก็เป็นหลักใหญ่ ซึ่งรู้กันทั่วอยู่ ส่วนโภชเนมัตตัญญุตานั้น ที่จริงเป็นหลักใหญ่ แต่เขาไม่ค่อยเอาถ่านแล้วเรื่องนี้ เพราะว่ามันกิเลสมากในโภชเนมัตตัญญุตา เป็นตัวกิเลสมากจนเขาละเลย จนเดี๋ยวนี้ ไม่เข้าใจอปัณกธรรม ๓ ข้อนี้ ข้อกลาง ข้อโภชเนมัตตัญญุตานี่ เป็นข้อสำคัญยิ่ง แต่เขากลับปล่อยก่อนเพื่อน เพราะกิเลสมันใหญ่มันหยาบ มันเกี่ยวมันข้องอยู่มาก มันเกี่ยวเป็นลาภ มันเกี่ยวเป็นยศ มันเกี่ยวเป็นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส อยู่ในโภชเนมัตตัญญุตา นี่ทั้งสิ้น

เราจึงเห็นได้ว่า เมื่อฤทธิ์แรงของกิเลสมันมาก เขาก็ปล่อยโภชเนมัตตัญญุตาข้ามๆไปเสีย คนเรียนคนสอน คนฝึกคนปรือ ไม่เห็นความสำคัญ ไม่เข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่ง ก็จะค่อยๆปล่อย จนกระทั่งสุดท้าย เราเห็นได้ชัดอยู่แล้วว่า เดี๋ยวนี้ อปัณกธรรม ๓ ถ้าจะพูดถึง สังวร สำรวมอินทรีย์ เขายังทำอยู่บ้าง เรียนบ้างศึกษาบ้าง และก็ยอมรับ ถ้าจะบอกว่า ชาคริยานุโยคะ เขาก็ยังพอยอมรับ เขาก็ศึกษา เขาก็พออธิบายไป ในความหมายของเขา เชิงเขา

ส่วน โภชเนมัตตัญญุตา นั้น เขาถึงประมาท ดูถูกเลยว่า ไม่ใช่เป็นหลักการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เรื่องกรรมฐาน ไม่ใช่เรื่องสำคัญในการปฏิบัติธรรม เขากล่าวอย่างนี้ได้เลยจริง และเขาก็กล้ากล่าวกันจริงๆ เขาตัดออกไปได้อย่างไร ที่ตัดไปเพราะว่าเขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจนั่นเอง เขาจึงตัดจึงปล่อย และเขาจึงเลิกร้างเลิกราไป และขอย้ำเน้นให้ฟังว่า มันเป็นเรื่องสำคัญ การปฏิบัติได้สังวรสำรวมอินทรีย์นั้น ก็จะมาเกี่ยวข้องกับกาโย องค์ประชุมของเครื่องอุปโภค การทำสติให้มั่น การทำให้เป็นผู้ตื่น ความหมายมันลึกซึ้ง เป็นนามธรรมเข้าไปอย่างยิ่ง ชาคริยานุโยคะ

เพราะเราจะเป็นผู้ตื่นนั้น ตื่นก็คือ ผู้ที่จะมีความรู้เท่าทัน มีสติและมีปัญญา มีธัมมวิจัย มีเครื่องอ่านมีเครื่องเลือก ไม่ใช่เลือกเอา แต่เราเลือกออก ไม่ใช่เลือกเอา เลือกออก เลือกรับ ให้อยู่ในหลักของมักน้อยสันโดษ

เมื่อเราเข้าใจตัวมักน้อย ตัวสันโดษที่แท้ เราเลือกรับเลือกทำให้พอเหมาะพอดี และก็น้อยลงๆ เป็นไป จนกระทั่งถึงที่สุด น้อยที่สุดได้แล้ว เราก็จะรู้ว่านี่น้อยที่สุดแล้ว น้อยกว่านี้ไปอีกไม่ได้ เช่นว่า เรารับประทานอาหารวันละมื้อหนึ่ง นี่น้อยที่สุดแล้ว เสื้อผ้า ๓ ผืน อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านพาเป็น ถึงขนาดเป็นพระ น้อยที่สุดแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น

บ้านที่อยู่ นอนโคนไม้นี่ น้อยที่สุดแล้ว หรือกุฏิก็ขนาดที่จะสร้าง ก็ใหญ่โตประมาณขนาดนี้ น้อยที่สุดแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น

เราจะเข้าใจทั้งเครื่องอุปโภค เครื่องบริโภค เครื่องอาศัยต่างๆนานา ตัวรู้ตื่นหรือตัวชาคริยานุโยคะ จึงไม่ใช่ความหมายตื้นๆ ว่ามันตื่นเฉยๆ ตื่นจากนอนหลับ ไม่ใช่ตื่นจากนอนหลับน่ะ มันไม่ใช่ความหมายแน่

นอกจากตื่นจากนอนหลับแล้ว เป็นคนตื่น มันตื่นที่จิตวิญญาณ มันตื่นที่เป็นคนสดชื่น คนเบิกบานร่าเริง ตื่นโพลง รับรู้สัมผัส แววไว เข้าใจอีกด้วยซ้ำ เป็นตัวรู้ รู้ตื่น รู้ไม่ใช่ตื่น ตื่นเด๋อ ตื่นเฉย ตื่นเซ่อ ไม่ใช่ ตื่นรู้แววไว ชาญฉลาด มีธัมมวิจัย มีวิจักขณะ มีปัญญาเครื่องสอดส่อง รู้อะไรต่ออะไรอย่างฉลาดเฉลียว รู้การรู้งาน มีปฏิรูปการี มีการกระทำงานอันเหมาะควร อันเหมาะเจาะอยู่เสมอๆ เป็นคนเอาธุระ ไม่ใช่เป็นคนทอดธุระ, เป็นคนเอาการเอางาน เป็นคนมีธุรวา อย่างนี้เป็นต้น เป็นคนขยันหมั่นเพียร มีอุฏฐานะ

ลักษณะเหล่านี้ จะเป็นคนเจริญ เป็นคนที่ย่อมหาทรัพย์ได้ และทรัพย์นั้น ถ้าเป็นโลกก็เป็นทรัพย์โลก เป็นทรัพย์วัตถุด้วย ถ้าเป็นธรรมะก็เป็นอริยทรัพย์ ย่อมเป็นผู้หาทรัพย์ได้ เพราะเราเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ดังที่กล่าวแล้ว เป็นคนผู้มีประมาณน้อย เป็นผู้มีเครื่องปัญญา เครื่องสอดส่อง เป็นผู้ที่กระทำการอันเหมาะเจาะ มีปฏิรูปการี เป็นผู้ที่ไม่ทอดธุระ เป็นผู้ที่เอาการเอางาน เป็นผู้ที่ขยันหมั่นเพียร ดังนี้ ย่อมเป็นผู้รู้ รู้จักอริยสัจ อริยทรัพย์ ย่อมประสบในคุณสมบัติ หรือจะแปลทับศัพท์เข้าไปเลยง่ายๆ ก็ได้ว่า จะเป็นผู้ที่หาทรัพย์ได้ ความหมายนั้น มันค่อยจะเป็นรวม หรือค่อยจะเป็นวัตถุธรรมมากหน่อย

ถ้าเราเข้าใจวัตถุธรรมเขา แล้วก็ซ้อนลงไปในความหมาย เป็นนามธรรมเอง เราก็เอาอย่างที่ได้แนะเชิงของนามธรรม หรือเชิงลึกซึ้งเข้าไปหาโลกุตระ ดังที่ได้อธิบายเชิงนี้ ไม่ค้านแย้งกันกับ ที่จะอธิบายโดยวัตถุ

ถ้าผู้ใดเข้าใจ เป็นไปอย่างนี้จริง ก็จะต้องรู้ว่าชีวิตเรานั้น จะต้องสำรวม สังวรอินทรีย์ ๖ โภชเนมัตตัญญุตา หัดประมาณทีเดียว ประมาณ แม้มีประมาณน้อย มีอัปปมัตตะ มีประมาณน้อยเสมอ มีประมาณน้อย หัดน้อย ให้พอเหมาะพอสม บางคนก็น้อยมากอยู่ก่อน เพราะมันยังไม่ลงตัว จนกระทั่งน้อยที่สุด เสมอกัน เป็นไปเหมือนๆกัน ตามหลักตามเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า เอามาวัดได้ เป็นผู้ที่จะได้ทรัพย์ มีน้อย เราก็ได้ทรัพย์สมบูรณ์แล้ว เราพอแล้ว ทรัพย์เท่านี้ เรามีสันโดษแล้ว มีพอแล้ว น้อยเท่านี้ อย่างนี้เป็นต้น

คำว่ารู้ คำว่าตื่น ชาคริยานุโยคะ จึงมีความหมายที่ละเอียดลออ เพิ่มเติมอยู่ ดังที่ได้แนะเชิง เกี่ยวข้องด้วยกัน โภชเนมัตตัญญุตา เกี่ยวข้องด้วยกับความรู้ในผัสสะ ในทวารทั้ง ๖ เกี่ยวข้อง

แม้แต่หลักอปัณกธรรม ๓ นี้ก็สัมพันธ์กัน เกี่ยวข้องกัน เพราะชีวิตของเราย่อมเป็นอย่างนั้น ชีวิตของเราย่อมยังเหลือทวารทั้ง ๖ อยู่ ย่อมยังอยู่ ตั้งอยู่ ทรงอยู่ ด้วยโภชนะ โภชเนต่างๆ หรือเกี่ยวกับเครื่องอุปโภคบริโภค ก็ต้องอยู่กับมันด้วย

และจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบานแจ่มใสเป็นที่สุด เป็นเครื่องอาศัยเฉพาะตน ถ้าได้ความรู้ ความตื่น ความเบิกบานแจ่มใส เราก็เลื่อนย้าย ชาคริยานุโยคะ มาเรียกว่าพุทธะ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้รู้ เป็นผู้เบิกบานแจ่มใส เพราะฉะนั้นฐานของชาคริยานุโยคะ จึงเป็นหลักที่จะกรอง หรือที่จะรับผลให้เลื่อนไหลเข้ามาสู่ความเป็นพุทธะ อันสมบูรณ์นั่นเอง

ในหลักการปฏิบัติ อปัณกธรรม ๓ นี้ ก็ขยายความ หรือว่าแจกแจงเปิดเผย จำแนกให้ฟัง ด้วยความหมายที่ยกตัวอย่างประกอบด้วย ดังนี้ ขอให้พวกเราได้สอดส่องตนเอง ด้วยหลักอปัณกธรรม ๓ ให้ดีๆ ชื่อว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรม ไม่ผิดจากศาสนาพุทธ

สาธุ.

*****