031 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๒๖

เรามาศึกษาสัจธรรมกัน และเราก็ได้ผ่านภาวการณ์มานานพอสมควร ตั้งแต่เราเรียนรู้มา ทำอะไรเล็กๆน้อยๆ เลิกละสิ่งนั้นสิ่งนี้บ้าง ตามที่ ที่นี่มีกรรมวิธีบ้าง มาถึงไม่ได้ทำอะไรได้มาก ได้เลิกเนื้อสัตว์อย่างเดียว ไปลดการกิน ไปลดดูดบุหรี่ ไปละสิ่งนั้น เลิกสิ่งนี้ ขึ้นมาเรื่อยๆ

เรากระทำตั้งแต่จุดเล็กจุดน้อย เป็นกรรมฐาน เป็นบทพาละ พาลดพาเลิก พาหน่ายพาคลาย หัดให้พิจารณาจิตใจ ให้อ่านให้หาปัญญา ให้เห็นความจริง เมื่อเลิกละแล้ว ทั้งทางวัตถุ จิตใจก็พรากห่าง เป็นยังไง หาวิธีตัดปล่อย หาวิธีใช้ปัญญาพิจารณาความจริงว่า เลิกละมันดีกว่า มันไม่ต้องวุ่นมันไม่ต้องวาย ไม่ต้องเป็นภาระ ไม่ต้องหนักต้องหนา ชีวิตก็ไม่ได้ต่ำต้อย ชีวิตก็ไม่ได้น้อยหน้า ชีวิตก็ไม่ได้กลายเป็นเรื่องเหลวไหล ทำความดีไม่ได้ เจริญไม่ได้ เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ไม่ได้ แต่กลับซ้ำจะเป็นประโยชน์ได้ มีคุณค่ามากกว่าเสียอีก เพราะเราได้เวลาคืนมา แรงงานคืนมา ทุนรอนคืนมา แล้วเราก็เอามาสร้างสรร ผลักเบนมาเป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ที่มันจำเป็น ที่มันสำคัญได้อีก

เราได้พิสูจน์ ตั้งแต่เล็กแต่น้อย แม้แต่การกินการอยู่ การกระทำอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ที่เป็นอกุศลกรรม ก็เรียนรู้ลึกซึ้งขึ้นตามฐานะ ผู้ที่มีเรี่ยวมีแรง จะถือกรรมฐาน จะถือศีลถือหลัก ได้ตั้งแต่ แม้ดังที่กล่าวแล้วว่า แต่เราจะมาที่นี่ ก็หัดเลิกไม่กินเนื้อสัตว์ หัดเลิกสูบบุหรี่ หัดเลิกอะไรต่ออะไรมา ดังกล่าวแล้ว จนกระทั่ง เราก็มาหัดหลายๆอย่าง จนเราจะรู้เนียนขึ้น พอเลิกกินเนื้อสัตว์ เราจะรู้ว่า เราจะต้องเมตตา เราจะต้องไม่ฆ่าสัตว์ เราไม่สูบบุหรี่ เราก็รู้ว่าเราจะเลิกอบายมุข เราไม่แต่งตัว เราก็จะรู้ว่ามันเป็นอบายมุขด้วย เราไม่ติดความสวยความงาม ไม่หลงรูป รสกลิ่นเสียงสัมผัส อะไรเพิ่มขึ้น อย่างนี้เป็นต้น

มันก็เป็นที่มาแห่งจุดที่จะลงมือปฏิบัติ แห่งจุดเริ่มแรกที่เราจะประพฤติจริง พิสูจน์จริง อ่านจริง เอาจริง แล้วเราก็ได้สัจจะของจริง แม้ได้รู้เหตุปัจจัยเดียว ได้ถึงสัจจะเหตุปัจจัยเดียว เราก็จะแจ่มแจ้งในเหตุปัจจัยเดียว จะเกิดศรัทธาเลื่อมใส ถ้ามันชัดเจนมันแน่จริง มันก็จะเลื่อมใสอื่นอีก บางทีไม่เลื่อมใสเพียงพอหรอก ก็หมุนเวียนกลับไปก็มี หรือบางคนทำหลวมๆ ทำหลายชิ้นหลายอัน หลายเรื่องหลายอย่าง ทำได้เหมือนอย่างเป็ด ทำได้อันนั้นก็นิดหนึ่ง อันนี้นิดหนึ่ง นั้นก็หน่อยหนึ่ง ทำได้ไม่ถึงเนื้อถึงแก่น ทำได้เป็นสัจจะที่ไม่ถึงแท้ ไม่เป็นเนื้อเป็นแก่นแท้ เข้าถึงก้นบึ้ง เข้าถึงเนื้อสูง เนื้อที่มันชัดๆ คนนั้นก็อาจจะแปรปรวนได้ง่าย

ถ้าคนได้แน่แท้เป็นสัจจะ ถึงเนื้อถึงแก่น ขาดหลุดวิมุติพร้อมทั้งข้างนอก ทั้งข้างในจิตใจก็จางคลาย มันเป็นของจริง มันเคยอร่อย มันก็ไม่อร่อย มันก็เฉยๆ แต่มันก็ไม่ผลักไสด้วย ถึงที่สุด จนกระทั่งไม่ผลักไม่ดูด แต่ก่อนเคยดูด เดี๋ยวนี้ไม่ดูดและก็ไม่ผลัก บางคนไม่ดูด แล้วผลักแรงเสียด้วย และก็มาปลดปล่อย ปลงวางเรื่องผลักแรง มาจนกระทั่ง มันก็ย่อมมีอยู่ในโลก มาเรียนรู้สัจจะความจริง เมื่อเราไม่ดูดแล้ว เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปผลัก มันก็สัมผัสกันได้ เป็นไปอย่างนั้นแหละ เราจะสอนผู้อื่น เพราะว่าเราไม่ต้องเกี่ยวข้องอีก ไม่ต้องรับมาใส่เราอีกเลย เราทำได้

เราก็อยู่อย่างนั้น คนอื่นเขาจะรับอยู่ก็รับไป เราแนะนำเขาได้ ก็แนะนำสอนเขาได้ ก็สอนเขา สอนเขายังไม่ได้ก็เฉยไปก่อน แล้วเราก็ทำอื่นอีก เนื้อหาสาระอีก มีความจริงที่เลิกที่ละได้อีกจริง ลึกเข้าไปจริงๆ จนถึงขั้นจางคลาย ถึงขั้นดับสนิท วิมุติหลุดพ้น เห็นด้วยปัญญาอันยิ่งของเรา ว่าเราจิตก็เป็นจริง จิตก็จะได้จริง ปัญญาก็เห็นความละ เห็นประโยชน์ในการละ เห็นรสอันเลิศ เพราะสัจจะที่ถึงจริง

และแน่นอนแน่มั่น ความยินดีเกิด ไม่ใช่ว่าเรามาละได้แล้ว เราก็เกิดโหยหา แต่เราละได้แล้ว และเราเกิดยินดี สบาย เบา พอใจ ปลอดโปร่ง เห็นความหลุดความพ้นแท้ มันเป็นรสอันเลิศ มันเป็นคุณค่าอันจริง เราศรัทธาเลื่อมใสต่อความจริง ที่เราได้ประสบ เราได้สิ่งที่เลิศ เราได้ทรัพย์ที่ไม่ใช่ทรัพย์โลก ไม่ใช่ของ ไม่ใช่ข้าว แต่เป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์อันน่าภาคภูมิ เป็นทรัพย์อันน่าปลาบปลื้มใจ มันเป็นความประเสริฐ เป็นนัยเศรษฐะ เสฏโฐ เป็นความเจริญของผู้ที่ได้ทรัพย์อย่างนี้

นี่เป็นสิ่งที่เราเชื่อเองเห็นเอง เป็นศรัทธาของเราเอง เพราะเรามีสัจจะเอง เราทรงไว้ของเราเอง เราตั้งมั่นของเราเอง เราสละได้ของเราเอง เป็นสัจจะ ทมะ ฐีติ จาคะ ของเราเอง เพราะเราได้ฝึกสัจจะ ทมะ ขันติ มา ได้ฝึกมาทำมา จนมันลงตัว จนมันเป็นไปได้

และคุณก็เชื่อถือต่อทรัพย์อันวิเศษนี้ คุณก็เห็นเลยว่า คุณจะไม่โศกเศร้า คุณจะไม่เศร้าหมอง เพราะเหตุปัจจัยที่คุณได้ละล้างมา แล้วก็เกิดปัญญาญาณ เกิดศรัทธาเลื่อมใส เกิดเห็นของจริง เชื่อมั่น คุณจะไม่โศกเศร้า คุณจะไม่โทมนัส คุณจะไม่ทุกข์ คุณจะไม่อุปายาสเพราะมันอีกเลย ถ้าถึงขั้นสูงสุดบริสุทธิ์บริบูรณ์

นี่ก็ทบทวนทั้งหลักฐาน ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ทั้งความจริงที่เราได้ปฏิบัติมา เอาความจริงนั้น เอาหลักฐานทฤษฎีของพระพุทธเจ้า มาอธิบายประกอบ เพื่อให้คุณได้อ่านยืนยันยืนหยัด ทำจริง มีหลักฐานจริง และเห็นของจริงที่ตนเองนั่นแหละ สำคัญที่สุด ในสัจจะอันแท้ และเราได้เชื่อมั่น เราได้ศรัทธาจริง

ที่อธิบายไปนี้ ก็ขอให้เห็นคำว่า ศรัทธาก็ดี สัจจะก็ดี ทมะก็ดี ต่างๆพวกนี้ เราจะพบสัจธรรมจริง เราจะศรัทธาจริง เราจะไม่แปรปรวนจริง เราจะแน่มั่นจริง ล้วนแล้วแต่เกิดตามความเป็นจริง

ที่พูดนี้เป็นเพียงคำกล่าวอธิบาย แนะนำ ชี้ รู้ แต่ของจริง ของใครมีของจริง ของใครเป็นของจริง ของใครได้ ผู้นั้นย่อมมีสัจจะปรากฏ ผู้นั้นย่อมศรัทธาปรากฏ ผู้นั้นมีปัญญายืนยันชัดเจน รู้แจ้ง อย่างที่ตัวเองจะบอกว่า ตัวเองได้ความจริงเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ก็ได้พิสูจน์กันมาเรื่อยๆๆๆ ก็พัฒนากันมา มีอธิศีลลึกขึ้นสูงขึ้นมากขึ้น เป็นอธิศีล จิตก็ขัดเกลาเบาบาง วิมุติหลุดพ้นได้มากขึ้น ปัญญาก็ยิ่งเป็นจริงชัดขึ้น ความมากของปัญญาก็จะมากขึ้น มีสัจจะที่เป็นปัญญา เพราะเราสัมผัสสัจจะ เพราะรู้ความจริงตามความเป็นจริง ที่เราได้สัจจะต่างๆมา เกิดรู้เกิดแจ้ง เกิดเชื่อมั่นในสัจธรรมต่างๆ

สิ่งเหล่านี้จึงสร้างอินทรีย์ สร้างพละของเราอย่างแท้ เพราะมีศรัทธาเป็นศรัทธินทรีย์ หรือเป็นศรัทธาพละ มีวิริยะ อุตสาหะพากเพียร เป็นวิริยินทรีย์ เป็นวิริยพละ มีสติเป็นสตินทรีย์ หรือสติพละ ที่เราได้ปฏิบัติตามมรรคองค์ ๘ หรือสติปัฏฐาน ๔ มาเสมอๆ รู้ความประชุม รู้ความเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์ กระทบแล้วลงไปหาเวทนา เป็นมโนปวิจาร ๑๘ ได้ละได้ลด ได้จางได้คลาย ลงไปในเวทนาเหล่านั้น มันก็เป็นตัวจิตเข้า เหลือจิตที่จริง กิเลสก็เป็นตัวหลุด ตัวลาออก เวทนาก็เบาบาง เวทนาก็ไปสู่ความไม่ทุกข์ไม่สุข ไปสู่ความสมบูรณ์พูนสุข เวทนาก็สมบูรณ์ เราทำได้ ทรงมั่น เป็นอารมณ์ที่ทรง เป็นอารมณ์ที่ตั้งมั่น เป็นอารมณ์ที่จริง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งจริง

เราจะรู้เหมาะ สติปฏิบัติ เพราะการได้ลดละกันจริง เพราะปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ที่เป็นยถาภูตญาณทัสสนะ ที่เห็นของจริง เห็นความจริง อินทรีย์เกิดแน่ พละเกิดแน่ จะมีพละ พลังสูงสุด ก็เพราะว่าเรามีวิมุติ พระพุทธเจ้ายืนยันว่า ผู้มีพละนั้น มีพละกำลังเพราะวิมุติ เพราะวิมุตินี้ทำให้เราเป็นพลัง เป็นพลังอย่างชัดเจน ก็คือเราเป็นหลักแข็งแรง เป็นกำลัง

ใครจะมาดึงให้โอนให้อ่อน ให้ระเนระนาดไปตามเขา ให้โน้มน้อมไปตามใคร ไม่มี, แข็งแรงมั่นคง นอกจากแข็งแรงมั่นคง ที่ใครจะมาทำให้แปรปรวน เปลี่ยนแปลงไปไม่ได้แล้ว วิมุตินั้น ยังทำให้พละแข็งแรง สามารถที่จะดึงดูด หรือว่าโน้มนำหรือนำพา หรือว่ามีความกล้าหาญชาญชัย ทำให้คนอื่นเขาเห็นตาม พาตาม แข็งแรงตาม สู้ศัตรูที่เป็นกิเลส เป็นข้าศึกของโลกตามมาได้

นี่เรียกว่า ยิ่งเป็นพละกำลังอันมีคุณประโยชน์ เป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน อันสมบูรณ์ ด้วยนัยอย่างนี้

ที่พูดนี้เป็นปากพูด คำพูดภาษา เพราะฉะนั้น ให้พวกเราฟัง แล้วทบทวนไตร่ตรอง ตามความจริงที่เรามี แม้น้อย ก็ฟังให้เห็นจริง ของจริง ให้เข้าใจว่า

ที่พาคุณมานี่ เป็นการหลอกลวง ให้มานับมาถือเล่นๆ หรือว่าคุณเห็นของจริง คุณนับคุณถือของคุณเอง สิ่งนี้เป็นสัจจะ ไม่ใช่ของหลอกลวง สิ่งนี้เป็นสิ่งจริง คุณนับถือความจริง คุณนับถือสัจธรรม

อาตมาอาจจะมีหน้าที่แนะนำเท่านั้น แต่คุณได้เอง คุณประเสริฐเอง สบายเอง เป็นความจริงของคุณเอง อาตมานำพาเท่านั้น และเมื่อคุณจริง ถึงขั้นอย่างที่กล่าวแล้วว่า เราเป็นประโยชน์ตน และนำพาคนอื่นได้ คุณก็จะเป็นคนที่นำพาผู้อื่นได้ นี่เป็นสัจจะที่จะขยาย ที่จะทวีสัจธรรมนี้เพิ่มขึ้น เราเห็นปรากฏการณ์ของการเพิ่ม การทวีความจริงนี้ขึ้นมาเรื่อย

ก็ขอให้ได้ทบทวนเป็นเตวิชโช พิจารณาความจริง ระลึกถึงความเก่า ที่เราเป็นอยู่ ที่เราเจริญมา อะไรที่ควรปรับปรุง อะไรที่ควรเก็บละเอียด พยายามทำ แล้วเราก็จะได้เป็นผู้เดินสู่สัจธรรม หรือเดินสู่ความจริง มีความจริงอย่างเจริญ ได้ทุกๆคนเหมือนกัน และถึงที่สุดด้วยกันเป็นที่สุด ทุกคนได้ ถ้าเผื่อว่ามีความเพียรเพียงพอ ต่อไปชาติหน้าชาติโน้น สักวันหนึ่ง ถ้าเรามีของจริง มันต้องถึงความจริงนั้น เป็นที่สุดได้แท้ๆ

สาธุ