032 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๒๖

เมื่อพูดถึงคำว่า "การศึกษา" คนทุกวันนี้ หลงทิศทางของการศึกษา คือเขามัวเมา และใช้ทั้งเวลาแรงงาน ทุกสิ่งทุกอย่างเอามารวมกัน เป็นเหตุปัจจัย เพื่อที่จะถมลงไป ให้แก่การศึกษา ที่จะไปศึกษามาเพื่อเอาเปรียบ ศึกษามาเพื่อผลิตอย่างเดียว มาทำให้อะไรๆ ทำให้ตนเองนี่ ได้ขึ้นไปสู่ความมีลาภมาก ยศมาก สรรเสริญมาก แล้วจะได้เสพโลกียสุขมาก เป็นความมักมากของโลกธรรม

การศึกษาที่เฟื่องฟู การศึกษาที่ให้คุณค่า ทางรวยลาภ รวยยศ รวยสรรเสริญ รวยโลกียสุข จะเป็นการศึกษาที่คนนิยมที่สุดในปัจจุบันนี้ การศึกษาอย่างนี้แหละ เป็นการศึกษาที่ต้องคำนึงมากที่สุดในปัจจุบันนี้ เพราะทุกคนแล้ว โดยปริยาย โดยสามัญ โดยทั่วไป โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องวิเคราะห์ ไม่ต้องวิจัย คนก็จะศึกษาอย่างนี้ และทำกันอย่างนี้ตามๆกันมา และเชื่อว่า นี่คือ เป็นความประเสริฐของมนุษย์ , แท้จริงมันล้มเหลว แล้วมันก็ทำให้สังคมเดือดร้อน ทำให้คนเป็นทุกข์อย่างมหาศาล

เราทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ แทบจะเรียกได้ว่า เราได้ศึกษาอย่างนั้นมา แม้จะได้เข้าโรงเรียน เข้ามหาวิทยาลัยมาบ้างก็ตาม หรือผู้ไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย ไม่ได้เรียนอะไรมามากก็ตาม ก็ได้ศึกษาโดยธรรมชาติ ศึกษาโดยนอกโรงเรียน เราก็ศึกษาฝึกปรือเพื่อรู้ และเพื่อมีความสามารถ เอาไปทำไม ก็เอาไปล่าลาภ ล่ายศ ล่าสรรเสริญ ล่าโลกียสุข อยู่นั่นเอง มันจึงแทบบอกได้ว่า การศึกษาทุกวันนี้ เป็นการศึกษาเพื่อทิศทางนี้ เป็นไปอย่างนี้กันจริงจัง จะมีสำนึกบ้าง มีมโนธรรมสำนึกอยู่ บางส่วนก็น้อยนิด เกือบจะไม่มี นอกจากพูดคุยด้วยสำนึกโก้ๆ พรางๆ ปะๆ เอาไว้ ข้างหน้าฉาก เท่านั้น

โดยสัจจะความเป็นแล้ว เขาไม่ได้มุ่งหมาย หรือว่าโน้มเน้นให้เป็นจริง ให้เกิดแก่ตัวของผู้พูดนั้นเอง หรือให้เกิดแก่ตัวผู้อื่นใดๆ อย่างจริงจังเลย

ถ้าจะพูดไป ในแง่ของเศรษฐศาสตร์แล้ว การศึกษามาทางด้านเพื่อจะศึกษา เพื่อโลกียะนั้นท่วมท้น ส่วนการศึกษา ที่จะเป็นไปเพื่อความเป็นสัจจะ ความเป็นไปเพื่อการสร้างสรร ความเป็นไปเพื่อการเสียสละ เป็นไปไม่ได้ เพื่อการล่าลาภยศสรรเสริญ แท้จริงเป็นไปเพื่อ การลดโลกียสุขเสียด้วยซ้ำ

การศึกษาในแง่ที่จะลดโลกียสุข และไม่ล่าลาภ ไม่ล่ายศ ไม่ล่าสรรเสริญ การศึกษานี้ จึงเป็นการศึกษาที่มีดีมานด์สูง มีความต้องการสูงมาก ที่จะต้องพยายามสร้างขึ้น กระทำขึ้นให้แก่คนให้มาก มันขาดแคลน มันเอียงเท มันเทียบกัน เกือบจะเอาอะไรมาวัด ก็ยากเสียแล้ว

เพราะว่าการศึกษาที่ขาด คือการศึกษา ที่ศึกษาเพื่อมาเสียสละ ศึกษาเพื่อสร้างสรรในสิ่งสำคัญ ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ คุณค่าจำเป็นของมนุษย์นั้น ยังมีน้อย น้อยมาก

พวกเราที่ได้มาเล่าเรียนศึกษา โดยเฉพาะ มาเข้าในมหาวิทยาลัยชีวิตแห่งนี้ จะได้รู้จะได้เข้าใจ และหลายคนก็มั่นใจ ในการที่จะโยนชีวิตไว้ ในการศึกษานี้ไปตลอดตาย เพราะว่าแม้เราจะมีชีวิต ศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยชีวิต แห่งนี้ไปตลอดตาย เราก็ไม่แน่ว่า เราจะจบการศึกษา เป็นที่สุดหรือไม่

แต่แม้จะไม่จบการศึกษาเป็นที่สุด เราก็ได้ทำงานด้วย ได้ศึกษาด้วย หรือแม้คุณจะจบการศึกษา ในมหาวิทยาลัยชีวิตแห่งนี้ ถึงขั้นสมบูรณ์ ที่เรียกว่า สุดท้ายเป็นอรหันต์ คุณก็จะได้ทำงาน ไม่ตกงานเลย การศึกษาทางนี้ ขอรับรองว่ายังรับผู้ที่เรียนจบ หรือแม้ไม่จบ เมื่อมาทำงานทางด้านนี้ ได้อีกนับไม่ถ้วน และไม่มีการจบ ก็ได้ทำงาน ได้ความรู้ ได้รับการปลดปล่อย ได้รับการละล้าง ได้พัฒนาชีวิต ไปพร้อมกันกับการศึกษาอย่างแท้จริง คุณก็จะรู้ว่า คุณเองคุณได้ความรู้ ได้รับการศึกษาที่แท้ และเป็นการศึกษาที่จำเป็นของมนุษย์ เป็นการจำเป็นกว่า เป็นการจำเป็นอย่างยิ่ง เป็นการศึกษาที่น่าได้ แก่นมนุษย์จริงๆ เพราะมนุษย์ได้ความรู้ทางนี้ และได้สำเร็จ หรือได้มรรคได้ผลของความรู้ ของการศึกษาทางนี้ มันทำให้ตัวเราเองนั้น ทั้งง่าย เบา ว่าง ทั้งไม่ทุกข์ และเป็นประโยชน์คุณค่า ต่อมวลมนุษยชาติ เป็นบุญ เป็นคนแจกบุญอย่างแท้จริง

ที่พูดนี้ เป็นคำพูดที่ชี้แนะให้พวกคุณระลึกตาม เปรียบเทียบตาม วิจัยวิจารณ์ เพื่อให้เกิดปัญญา เกิดความรู้เอง คุณเห็นด้วยคุณก็จะต้องเอา คุณไม่เห็นด้วยคุณก็ไม่ต้องเอา ผู้ใดเห็นด้วยแล้ว แต่ยังเหยาะแหยะ ยังไม่พากเพียร ยังไม่ขมีขมันบากบั่น เราก็จะไม่เรียนจบ ก็จะเรียนซ้ำๆ ดีไม่ดีถดถอยตก ดีไม่ดีหรือว่าแม้แต่อยู่ที่นี่ไป ยังไม่ถึงสิ้นชีวิต คุณก็ต้องออกไปจากที่นี่ โดยไม่จบ บางคนไม่ได้ครึ่ง บางคนไม่ได้แม้แต่เศษส่วนน้อย ก็ถูก หรือว่าถูกหลุดออกไปจาก มหาวิทยาลัยชีวิตแห่งนี้ไปแล้ว บางคนได้พอสมควร ก็ออกไป ไม่ได้ร่วมทำงานด้วยกัน เพราะผู้ที่จบมหาวิทยาลัยชีวิตแห่งนี้ จะร่วมทำงานอยู่ด้วยกัน จะร่วมโดยใกล้ชิด หรือจะร่วมโดยห่างก็ได้ แต่จะร่วมงานจริงๆ มีการสัมพันธ์กัน มีการติดต่อโยงใยกัน มีการสื่อสารกัน มีหน่วยกลาง มีหน่วยรอง มีหน่วยย่อย ตามกันจริงๆ ไม่ใช่ไปเป็นเอกเทศ ไปเป็นคู่ต่อสู้ เป็นตัวคัดง้าง ไม่เป็นจริง จะอยู่อย่างสอดร้อย สอดคล้อง ผสมผสานกัน อย่างรู้ดีว่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้จะอยู่ห่าง แม้จะปลีกไปไกล แม้จะมีงานที่แตกย่อยออกไปอีก ก็ยังอยู่ในวงจักรวาล แห่งการงานอันเดียวกัน อย่างรู้ๆ อย่างเข้าใจๆ ไม่กินแหนงแคลงใจกันด้วย

นี้เป็นสิ่งที่ขอบอก ยืนยันว่ามันเป็นอย่างนั้น เราจะเข้าใจ เราจะรู้ดีเอง มีหลักฐานยืนยันบ้างแล้วในขณะนี้ ต่อไป ยิ่งจะมีหลักฐานยืนยัน มีสิ่งที่มีจริงเป็นจริง เข้ามายืนยันคำกล่าวนี้ ชัดขึ้นกว่านี้ๆ ในอนาคต

ก็ขอให้พวกเรา ได้ศึกษาให้เห็นความจริง ได้ศรัทธาเชื่อมั่น สัจจะทั้งหลายพวกนี้ คุณมีอิสระเสรีภาพทุกคน ที่จะเลือกการศึกษานี้ ที่จะเต็มใจที่จะเอาชีวิตมาศึกษานี้ กี่ส่วนกี่เวลา คุณจะเป็นคนรู้เอง บางคนก็เอามาเต็มเวลา เอามาเต็มส่วน บางคนเอามาครึ่งส่วนครึ่งเวลา บางคนเอามาส่วนย่อยของส่วน หรือส่วนย่อยของเวลา ก็แล้วแต่บุคคลใดที่จะเห็นว่า เราควรและมีวิบาก วิบากของบางคนมีมาก อยากจะเอามาเต็มส่วน เต็มเวลาได้น้อย ก็มีอยู่

แต่ถ้าผู้ใดแน่จริงแล้ว เรื่องเหล่านั้นถูกปัดเป่าออกไปได้ ด้วยสามารถ ถูกกระทำให้มันเป็นไปด้วยดี ด้วยงาม เพื่อที่จะมาทำสิ่งดีสิ่งประเสริฐนี้ ได้มากๆ ได้แน่ๆ สำหรับผู้ที่เห็นจริงเข้าใจจริงๆ เขาจะต้องหาทางเป็นเด็ดขาด และมันจะได้ทางได้ที่มาเอง และผู้นั้นก็เป็นผู้ที่ได้สั่งสมบุญ แม้บุญแก่ตน แม้บุญแก่ผู้อื่น เขาก็จะเป็นผู้ที่ได้เวลา ได้แรง ได้ส่วนต่างๆ ที่เขามาโถม เอามาสร้างสิ่งที่เห็นแน่ เห็นชัดแล้วว่า มันเป็นบุญ มันเป็นความประเสริฐ มันเป็นความดีของมนุษย์

ที่กล่าวมาแล้ว ก็ขอให้พวกเราได้พยายามพิจารณาไตร่ตรอง ที่บอกแล้ว ไม่ใช่ไปครอบงำทางความคิด แต่พูดชี้ขึ้นมาด้วยความจริงใจ ตามที่ตัวเองมีปัญญารู้

ขอให้เราไปพินิจพิเคราะห์ แม้เราจะได้เข้าใจ ได้เชื่อมั่น ไม่มีการสงสัยอีกแล้วก็ตาม แต่เราก็ไม่ควรจะเหยาะแหยะ ย่อหย่อน เราควรจะอุตสาหะวิริยะ บากบั่นพากเพียรให้เต็มที่ เท่าที่เราจะสามารถเต็มได้ ไม่ถึงขั้นทรมานตน แต่ก็อยู่ในขั้นที่จะต้องอดทนข่มฝืน ตั้งตนอยู่ในความลำบาก ให้เป็นไปด้วยความเจริญ ทางกุศลอย่างยิ่ง อย่างยิ่ง อยู่ให้จริง ประมาณให้ออก วัดผลให้ดี เราตั้งตนอยู่ในความลำบาก และกุศลธรรมเจริญยิ่งอยู่ นั่นคือหลักการที่พระพุทธเจ้าสอนเราไว้

ถ้าเราตั้งตนอยู่ในความสบายๆ มันเอาใจกิเลส อกุศลธรรมเจริญยิ่งอยู่ ก็อ่านให้ชัด ว่าจริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส และเราก็จะต้องผลักเบนอย่างไร เรียกว่า อุตสาหะวิริยะ ตั้งตนอยู่ในความลำบาก หรือว่า พยายามกระทำสิ่งที่มันเข้าร่องเข้ารอย เราก็จะต้องทำให้จริงให้ตรง และพิสูจน์ว่า ตั้งตนอยู่ในความลำบากแล้ว กุศลธรรมเจริญยิ่ง ขีดไหนเป็นขีดสูงสุด เราทำได้ของเรา ถ้าเกินนั้นไป เป็นการทรมานตน เราก็จะรู้ หรือแม้ทรมานตนแล้ว มันได้สูงสุด มันได้ประโยชน์สูงสุด คุณก็จะรู้ เราก็ควรทำ แม้เรียกว่าทรมานตน เราก็ทรมานเท่าที่เราทนได้แหละ มนุษย์ และเราได้กุศลธรรมสูงสุด เราก็ควรทำเอา จะทำแค่ไหน คุณก็พิจารณา

แต่ถ้าเผื่อทรมานตนแล้ว ประโยชน์นั้นไม่ได้สูงสุด กลับลดประโยชน์ลงไปกว่า ถ้าทรมานเท่าขีด เท่านี้ ประมาณนี้ มันกลับได้ประโยชน์สูงสุด ถ้าทรมานยิ่งกว่านี้เลย เข้าไปอีก กลับได้ประโยชน์น้อยลงไป คุณก็จะต้องอ่านให้ออก

เพราะฉะนั้น การวัดประโยชน์สูง ประหยัดสุด จึงเป็นหลักวัดที่จะต้องแยบคาย มีปัญญาเห็นของจริงให้ได้จริงๆ เราจึงจะเป็นผู้ที่ ตั้งตนอยู่ในความลำบากได้ ให้มากที่สุด และมีกุศลธรรมที่สูงสุด นั่นคือ เราจัดแจงประโยชน์สูง ประหยัดสุดได้ อย่างถูกสัดส่วน และเราจะได้ปฏิบัติธรรม เป็นผู้ที่พอใจเอง ที่เราจะตั้งตนอยู่ในความลำบากของเราเอง เรียกว่า สุขาปฏิปทา ไม่ใช่ ยถาสุขัง ที่ทำตามอำเภอใจ สุขโลกย์ๆ เสพกิเลส เอาใจกิเลส เรียกว่า ยถาสุขัง ตามยถากรรม หรือตามเรื่องตามราวอย่างนั้น ไม่ใช่คนมีปัญญา และไม่ใช่คนมีความเพียร เพราะฉะนั้น แม้จะทำอย่างไร อกุศลกรรม มันก็จะเจริญยิ่ง ดังกล่าวนั้นอยู่

ขอให้พิจารณา หาความจริงอันนี้ให้จริง แล้วตั้งตนให้ได้เจริญสูงสุด แม้จะตกอยู่ในความลำบากสูงสุด เท่าที่เราทนได้ก็ตาม นี้เป็นคำแนะนำในช่วงนี้ ขอให้ทุกคนประสบผลเจริญที่สุด ทุกๆคน

สาธุ.