036 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๒๖

การศึกษาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ ท่านให้ศึกษาให้รู้ความจริง เพราะฉะนั้น เรารู้ความจริงของตัวเรา ว่าเราเอง เราจะมีชีวิตอยู่กับแม้วัตถุนอก และแม้อยู่กับอารมณ์จิต เราต้องการอารมณ์อะไร เราต้องการวัตถุอะไร วัตถุที่จะมาสังเคราะห์ชีวิตร่างกาย เราก็รู้ให้จริงว่า สัจจะของมันก็มีเท่านั้นๆ ไม่มาก ไม่ยุ่ง ไม่ลำบากอะไร เล็กๆ น้อยๆ เป็นปัจจัยสำคัญกับชีวิต

เมื่อเรารู้เท่าทันแล้ว เราก็ไม่หลงสะสม กอบโกยหามาให้มันมากเกิน เพราะเขาหลอกกันแยะ ที่จะหลอกให้คนไปหอบไปหาม ไปหาแสวงหามาเยอะ คนจึงเหนื่อยลำบาก แต่พอรู้เท่าทันแล้ว ก็น้อย เพราะฉะนั้น เรื่องวัตถุ จึงไม่ต้องหอบต้องหาม ไม่ต้องกอบต้องโกย แต่เราก็เป็นตัวสำคัญ สร้างสรรให้เขาก็แล้วกัน สร้างสิ่งที่มันจำเป็นสำคัญ สร้างให้เขาไป ในโลกเรา ก็เป็นตัวประโยชน์ตัวคุณค่า

ส่วนในเรื่องของจิตใจ มันไม่มีอะไร จิตใจมันคือความนึกคิด แล้วมันก็คือความยึดถือ ความหลงผิด ความโง่ เป็นอุปาทานยึดว่า น่ามีน่าได้น่าเป็น เป็นรูปเป็นสีเป็นรสเป็นกลิ่น อะไรที่มันไม่มีหรอกข้างนอก ไปมีอยู่ข้างใน จำสีก็นึกว่าจะได้เสพสี จำรสก็นึกว่าจะได้เสพรส ก็ไปนั่งปรุง โอ๊! รสอย่างนี้เคยเสพไม่ได้เสพ ก็นั่งเสพในภพในจิต เอารสอย่างนี้อร่อย ก็บ้าๆ บอๆ ไปเสพรสเสพรูปที่ปั้นในจิต เรียกกามในจิตนะ เป็นกาม เป็นปาริชาตเจ้าเอย เป็นสระอโนดาตน้ำเย็นชื่น เป็นความสวยของเทวดา เป็นความสวยของสวรรค์ เป็นความน่ากลัวของนรก แล้วก็ทุกข์ เป็นความสวยของสวรรค์นั้น ปั้นขึ้นมาเสพเอาเอง ถ้าเรารู้แล้วจริงว่า ทำดีนั่นดี ทำชั่ว ชั่ว ไม่ใช่ไปนั่งสร้างนรกสวรรค์ ไปนั่งสร้างอะไรอยู่ในจิต

แม้แต่จะสงบ เราสงบจากกิเลส ในโลกเราก็รู้ว่า กรรมกับกิริยา มันก็มีในโลกเท่านั้นเอง เราก็ทำกรรมกิริยาอยู่ในโลก พอหลับ ก็นอนดับ เงียบ ไม่มีอะไร ก็ดับไป หรือแม้จะมีสัญญาเก่า อย่างโน้นอย่างนี้บ้าง ไม่ต้องไปใส่ใจ สัญญาคือความจำได้ เป็นรูปเป็นภาพ เป็นเรื่อง เป็นราว ฟุ้งๆ ซ่านๆ นั่นคือโรคฟุ้งซ่านทั้งสิ้น ถ้ามันไม่ฟุ้งไม่ซ่าน แล้วก็เลิกกัน คนที่ทำงาน แม้จะนึกจะคิดเป็นงานเป็นการ งานการก็จะขึ้นมาในสัญญา เป็นเรื่องราว ที่จะเป็นงานการปะติดปะต่อ จริงบ้างไม่จริงบ้าง เท่านั้นเอง แล้วมันก็ไม่มีอะไร

มันก็คือสัญญา คือความจำ จำเรื่องราวนั้นมาปะติดปะต่อไป เป็นเรื่องที่จะมุ่งมา ไปในทางดี สำหรับคนที่หมดกิเลส ที่จะให้แก่ตนแล้ว พระอรหันต์ท่านมีเทพนิมิต มีเรื่องราวอยู่ในจิตในใจ หรือไม่มี จะวาง จะปล่อย ก็ดับเสีย มันเมื่อย มันเพลียมากๆ พยายามปรุงก็ไม่ขึ้น นอนมันก็ดับไป จนกว่าจะนอน ได้พักผ่อน มีกำลังวังชาขึ้นมาพอสมควร เรื่องที่เรายังปะติดปะต่ออยู่ เรายังทำงานรับผิดชอบอยู่ มันก็จะมาให้เราคิด เราเห็น เป็นตัวสัญญา ไม่ค่อยจะได้เรื่องหรอก สับสน

ถ้าเผื่อว่าผู้ที่มีปัญญาดี แล้วมีอะไรดี มันก็ไม่สับสนนัก มันจะเป็นเรื่องเป็นราวที่แท้จริง เรียกว่า เทพนิมิต เป็นเรื่องจริง รูปจริง ไขความให้แก่ตัวเราเองรู้เสียด้วยซ้ำน่ะ เป็นประโยชน์คุณค่า

ถ้าใครไม่เข้าใจ แม้แต่ในภวตัณหา แม้แต่ในภวภพ ไปหลงนึกว่านั่นมีจริงนี่มีจริง แล้วเราก็กลัวบ้าง อยากได้บ้าง เอนเอียง อาฆาตพยาบาท อยากจะแก้แค้นบ้าง เป็นฉันทาคติ โทสาคติ หรือหลงผิดอะไรต่ออะไร เลอะๆเทอะๆ เป็นโมหาคติจนเป็นภยาคติ กลัวเกรงอยู่ในภพ เราก็หลงอยู่ในภพ ไม่มีอะไรแต่เราก็กลัวเป็นอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้นจึงต้องพิสูจน์ ทั้งทางด้านกาม ที่จะสัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย

เมื่อเรารู้เท่าทันแล้ว เราเข้าใจธรรมชาติเหล่านี้แล้ว เราจะอยู่เหนือธรรมชาติ กามและในภพนั้น ไม่ปั้นไม่สร้างขึ้นมา แม้แต่มีความจำได้ ก็รู้เท่าทันความจำได้นั้นเท่านั้น ซึ่งไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง ความจำได้ก็ไม่เที่ยง จำได้ รู้อยู่ ก็เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เรื่องเลอะเทอะ จึงจะไม่มีในภพ จะไม่กลัว แล้วเป็นผู้ยืนยันในความจริง แล้วก็จะไม่ลำเอียง รู้ชัดรู้แจ้ง ไม่มีโมหาคติ ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง คือฉันทาคติและโทสาคติ ไม่มีทั้ง ๒ ส่วน เราก็ไม่ลำเอียงอะไรเลย ไม่เอนเอียงไปข้างใดเลย เป็นผู้อยู่ตรง เป็นผู้อยู่จบ กับสิ่งที่จริงกับสิ่งที่รู้ ทั้งนอกและในอย่างชัดแจ้ง

นี่คือสิ่งที่จะศึกษา เรียกว่าสัจจะ เราจะหยั่งไปให้ถึงสัจจะเหล่านี้ แล้วเราจะหมดทุกข์ แม้กลัวหมดทุกข์ แม้ไม่ต้องการหรือแม้ต้องการ ต้องการก็ไม่มี ไม่ต้องการก็มีมาให้แก่เรา แต่เราจะรู้ว่า เราจะต้องเป็นต้องมี เพียงอาศัยสังเคราะห์ เป็นประโยชน์คุณค่านี้อยู่ในโลกเท่านั้น คนนั้นจึงชื่อว่าเป็นผู้จบพรหมจรรย์ เป็นผู้อยู่จบทั้งสิ้น

ร่ายมาคร่าวๆ สาธยายมาคร่าวๆ นี่ขอให้จับคำความให้ดี แล้วเราไปศึกษาพิสูจน์ว่าสิ่งเหล่านี้มีจริงเป็นจริง ถึงได้จริง และจบได้จริงๆ

สาธุ.

*****