040 ธรรมปัจเวกขณ์
ประจำวันที่ -- สิงหาคม ๒๕๒๖

ขอให้เราได้พิจารณาถึงสภาพจิต ที่เราจะเอาไปใช้ปรับปรุงตน คือ เราจะระลึกถึงความเบิกบาน ระลึกถึงความสุขุม ระลึกถึงความอ่อนโยน และระลึกถึงความคล่องแคล่ว

คำว่าเบิกบาน ก็คือคำว่า ไม่หม่นหมอง ไม่หดหู่ ไม่หรี่ ไม่หลบ เป็นความเบิกบาน บานนี่มันไม่หลบหรอก บานนี่มันเปิด เบิกบานน่ะ

เราจะต้องเป็นผู้ที่ประจัญอยู่กับธรรมชาติ ประจันประจญพบ สัมผัสสัมพันธ์อยู่กับธรรมชาติ เรียกว่า ไม่หรี่ไม่หลบไม่หดหู่ หรือไม่หม่นหมองเลย สะอาดสะอ้านอยู่ เป็นความสดชื่น สิ่งเหล่านี้ เราจะต้องพยายามทำให้ตนมี แม้กระทั่งการเบิกบานใจ เป็นตัวปรมัตถ์แท้ ในเรื่องร่างกาย ในเรื่องรูป สี อะไรต่ออะไรข้างนอกนั้น ไม่มีปัญหาอะไรมาก คนเราถ้าเผื่อว่า หน้าตาเบิกบาน ใจเบิกบาน สิ่งเหล่านี้ คุ้มได้หมด ไม่ว่าเสื้อผ้าหน้าแพร ไม่ว่าอยู่ในสถานที่อะไร ยิ่งอยู่ในสถานที่ที่อับเฉามืดมัว ถ้าสิ่งที่มันมีบาน เบิกบานแล้ว สิ่งนั้นยิ่งขับเด่น ไม่มีปัญหาอะไรเลย ยิ่งอยู่ในหมู่เบิกบาน มันก็พากันบานไปพร้อมพรั่ง

สภาพของสุขุม สุขุมนั้นก็คือ นัยที่มันตรงกันข้าม ก็เป็นนัยที่มันไม่หยาบต่ำ สุขุมนี่ไม่หยาบต่ำ ไม่รุนแรง ไม่วู่วาม ประณีต เป็นอย่างนั้น เราจะพยายามพิจารณาให้มั่น ว่าเราทำอะไร กรรมอะไร กิริยาอะไร เป็นอย่างไรอยู่ก็ตาม เราจะต้องพยายามฝึกความสุขุม ไม่หยาบต่ำ ไม่รุนแรง และไม่วู่วาม ต้องมีให้ได้

ขณะนี้พวกเรามีงานมากขึ้นแล้ว เราเองเราควบคุมจิตไม่ได้ เมื่อควบคุมจิต ก็จิตมันก็ไปสั่งกาย สั่งวจีไม่ได้ ยิ่งเราไม่เรียนรู้ สภาพสุขุมเป็นอย่างไร ความหมายว่า หยาบต่ำเป็นอย่างไร รุนแรงเป็นอย่างไร วู่วามเป็นอย่างไรน่ะ แม้จะไม่ประณีต หรือว่าจะให้ประณีต เราเองเราก็จะต้องศึกษา แล้วก็พยายามจัดแจง จัดทำเรื่อยๆ เราจึงจะไปสู่สภาพความสุขุมได้

ทีนี้เรื่องอ่อนโยน ขยายความอ่อนโยน ก็คือคำว่า ไม่กระด้าง ถ้าความแข็งกระด้างอันนั้น มันไม่อ่อนโยน เพราะฉะนั้น ต้องไม่แข็งกระด้าง ไม่ดื้อดึง ไม่ยึดตาย ถ้าเผื่อว่ายึดตายแล้วนะ มันก็เป็นอย่างไม้ ไอ้ที่ตายแล้วนี่ แข็งกระโด๊กเลย แล้วมันก็โด๋เด๋ๆ อยู่อย่างงั้นแหละ มันอ่อนไม่เป็น ถ้าไปงอมัน มันหักเลย ไม้ที่ตายแล้ว ยึดตาย ก็นัยคล้ายกัน ถ้าผู้ใดยึดตายนะ ก็คือความยึดมั่นถือมั่น ยึดตาย จนไม่รู้ว่า อยู่ในสังคม เขาจะเป็นอย่างไร จะต้องจัดแจงเปลี่ยนแปลง

ในนัยของมนุษย์ อุปนิสัยจิตใจมนุษย์ ก็คือดื้อดึง ดื้อดึงนี่ไม่อ่อนโยนแล้ว แข็งกระด้าง เพราะฉะนั้น ท่าทีเหล่านี้ มันก็จะทำให้ผู้นั้น มีท่าทีแข็งกระด้าง ไม่ง่ายเลย ที่จะรู้ท่าทีแข็งกระด้างของคนนี่ มันแข็งกระด้างอยู่ในความอ่อนก็ได้ แข็งกระด้างอยู่ในความแข็งน่ะ มันไม่ใช่จะรู้ง่าย เพราะว่ามันเป็นเรื่องของกิริยา พฤติกรรม ลีลาท่าทีของมนุษย์ ตามกาละตามเทศะ ตามสิ่งประกอบไม่เหมือนกัน แต่ละเทศะ แต่ละผู้ แต่ละบุคคล ขณะนี้ เราทำท่าทีอย่างนี้กับคนฐานะนี้ กับคนคนนี้ เรารู้สึกว่าอันนี้เราทำดีแล้ว แต่ที่จริงไม่ดี แข็งกระด้าง เราทำกับคนๆนี้ คนนี้ทำดีแล้ว ไม่แข็งกระด้าง แต่เราจะเอากรรมกิริยาอย่างนี้ ไปทำกับอีกคน อีกคนหนึ่ง ฐานะหนึ่ง ไม่ได้แล้วน่ะ อ่อนไป หรืออะไรอย่างนี้เป็นต้น ถ้าทำอย่างนี้ ดีแล้ว ไม่แข็งกระด้างกับคนๆนี้ จะเอาท่าทีนี้ ไปทำกับอีกคนๆหนึ่ง ไม่ดีหรอก แข็งกระด้างอย่างนี้ พวกนี้มันมีสิ่งประกอบ มีองค์ประกอบ ซึ่งจะต้องเรียนรู้ สุขุมประณีต จนกระทั่งไปถึง เห็นสภาพที่อ่อนโยน ปรับปรุงได้ ไม่แข็งกระด้าง ไม่ดื้อดึง จะต้องเป็นผู้ปรับปรุงอยู่เรื่อยๆน่ะ ไม่ยึดตาย จนกระทั่ง ยึดมั่นถือมั่น นึกว่านั่นคือความสมบูรณ์ ความสูงสุด ความดีสุดแล้ว ถ้าอย่างนั้น ก็แก้ไม่ได้เลยสำหรับคนๆนั้นนะ

แล้วเราจะต้องเป็นคนคล่องแคล่ว ไม่อืดอาด ไม่เฉื่อยเนือย โดยเฉพาะที่สุด ก็เข้าไปหาเป้าขี้เกียจ จะต้องไม่ขี้เกียจเป็นที่สุด เมื่อไม่ขี้เกียจแล้ว เราก็จะต้องกระปรี้กระเปร่า เราจะต้องแคล่วคล่อง เราจะต้องมีกะจิตกะใจ เราจะต้องวิริยะอุตสาหะ ฝึกเพียร จนทุกอย่างมันดูง่าย ดูเบา ดูสะดวกไปทั้งสิ้น สะดวกทั้งการงาน ที่เราทำไม่ค่อยเป็น มันก็ง่าย มันก็สะดวก สะดวกทั้งการที่จะกระทำ กับหมู่กลุ่มผู้คน ก็เข้าได้สะดวกดาย คล่องแคล่ว ไม่มีอะไรติดขัด ไม่ติดขัด ทั้งสิ่งนั้นทำร่วมกันได้ ทั้งจิตใจ ก็ไม่มีอะไรขัดในใจด้วยกันเลย สอดคล้องลงตัวลงตน เห็นความเห็นตรงกัน เป็นสุด เป็นทิฏฐิสามัญญตา อย่างลงร่องลงช่องเลย สุดท้าย ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่างนี้ก็เป็นอันสุดท้าย ที่เราจะหมาย

ในความหมายของคำว่า เบิกบาน สุขุม อ่อนโยน คล่องแคล่ว ๔ คำนี้ จะให้พวกเราได้จำไว้ แล้วก็รู้ความหมายตรงกันข้าม ที่เราจะวิจัยวิเคราะห์ เพื่อเอามาปรับตน ในแต่ละกาละทุกขณะ ในการปรับปรุง ในการปฏิบัติธรรม เราจะได้เป็นผู้ที่เบิกบาน สุขุม อ่อนโยน และคล่องแคล่วยิ่งๆขึ้น จึงเชื่อว่า เราเป็นผู้ที่มีสมรรถภาพดี และเป็นผู้ที่เป็นผู้ดีน่ะ เป็นคนที่เป็นผู้ดีด้วย ทั้งมีความสามารถดี ทำได้มาก แล้วก็ไม่ลุกลี้ลุกลน ไม่หยาบ ทุกอย่างเนียน เรียบร้อยไปหมด แล้วเราก็สดชื่น เบิกบาน แจ่มใส เป็นสุข

สิ่งที่ให้กำหนดลงไปนี้ จึงเป็นเรื่องที่เป็นเหมือนกรรมฐาน ที่เราจะต้องการมาก ทุกวันนี้ ขณะนี้ โดยเฉพาะในระดับนี้ เราต้องการมาก ทุกคนสังวร แล้วปรับขึ้น ตามฐานะของตน บางคนก็ปรับขึ้น บางคนยังไม่ถึง ก็ต้องคอยไล่ขึ้นมา เราอย่าเอาของเราไปตีคนอื่น หรือไปเทียบกับของคนอื่นซะทีเดียว เลยทีเดียวไม่ได้น่ะ ของคนอื่นก็เป็นฐานของเขา เขาดีขึ้นมากกว่าเก่า ประมาณอย่างนั้นๆ อยู่เสมอ ก็ต้องเห็นเขาให้ได้ว่า เขาปรับของเขาขึ้นมาแล้วละนะ แต่ก่อนเขาหยาบกว่านั้น เดี๋ยวนี้เขาก็ค่อยดีขึ้นมา สำหรับเรานั้นก็ดีขึ้น อยู่ขนาดนี้ ก็ทรงไม่ได้ ทรงไว้อย่างเก่าไม่ได้ ต้องให้เนียน แนบเนียน ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เอาให้ชัดเจน ให้ดียอด ให้ดีจริงขึ้นไปกว่านั้นอีกให้ได้ นี้เป็นการพัฒนาตนของตน ของพวกเราน่ะ

ก็ขอกำชับกำชากัน คิดว่าพวกเราจะใส่ใจและพากเพียร ด้วยกรรมฐานที่ว่า เบิกบาน สุขุม อ่อนโยน และคล่องแคล่วกันได้ทุกคน

สาธุ.

*****