041 ธรรมปัจเวกขณ์
ประจำวันที่ -- สิงหาคม ๒๕๒๖

พยายามตรวจตรา ส่วนใดที่เราได้แล้ว อย่างชนิดที่เรียกว่าตั้งมั่น คือว่าเราได้ ได้อย่างแข็งแรง อย่างสบาย เรียกว่าไม่ต้องห่วงอะไรมากมายนัก แม้จะเหลือเศษอยู่เล็กๆน้อยๆ ก็ถือว่าตั้งมั่นได้ฐานหนึ่ง มันยังไม่ถึงขั้นถอนอาสวะ เท่านั้น

มันตั้งมั่นแข็งแรง แน่ใจแล้ว แล้วเราก็ต้องพยายามหากรรมฐานใหม่ พยายามเลื่อนฐานะของตน มีอะไรๆทำเพิ่มไปอีก สิ่งที่ยังเหลืออยู่ก็ทำต่อ มันเหลือเล็กเหลือน้อยก็ทำต่อไปอีก อย่าปล่อยปละละเลย แล้วอย่าไปติดอยู่แต่แค่ฐานเก่า ซ้ำแซะซ้ำซาก ไม่รู้การเลื่อนน่ะ อันนี้ทำให้คนไม่รู้อยู่เยอะ ไม่ตรว จตรา ไม่มีปัญญาที่จะรู้ว่า ได้แล้วหรือยัง ได้แล้วเสร็จแล้วหรือยัง คือไม่มี สัจจญาณ กิจจญาณ กตญาณ

เหมือนศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธมีสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ มีของจริงความจริง รู้สภาพจริงๆ จับได้แม่นได้มั่น มีทั้งเหตุผล มีทั้งความรู้ เป็นทฤษฎี แล้วก็มีสภาวะที่ปรากฏ ปฏิบัติแล้ว รู้เห็นจริงของจริง เป็นปัจจัตตัง มีจิตทำไปได้ อย่างหยาบ กลาง ละเอียด ได้แค่ไหนอะไรอย่างไร รู้ เข้าใจจริงๆ เกิดปัญญารู้ความจริงตามความเป็นจริง จนกระทั่ง สามารถที่จะเพิกฌาน เพิกกรรมฐาน เพิกนี่ หมายความว่า เราไม่ต้องไปปิด เราไม่ต้องไปทำฉ่ำแฉะ ไม่ต้องไปเที่ยวได้วุ่นวาย ย้ำอยู่อย่างไม่รู้เลื่อนน่ะ เราต้องเลื่อน สลัดออกบ้าง เลื่อนชั้น มีอะไรเพิ่มให้ยิ่งขึ้นน่ะ แต่เราต้องรู้นะว่า ของเก่า มันยังไม่เกลี้ยงจริง ก็จะต้องไม่เผลอไผล ต้องมีการสอดส่องดูแล เหมือนอย่างกับ เราเรียนเรื่องการกิน เรื่องรสเรื่องชาติ อะไรต่ออะไรพวกนี้ มันยังไม่หมด แต่ว่าเราก็มั่นใจล่ะ แข็งแรง เราไม่ละเมิดได้ข้างนอก หิริ โอตตัปปะเราเพียงพอ แต่ข้างในยังเหลือเชื้อ รูปราคะ อรูปราคะ ยังเหลือเศษเหลือไหวๆ หวั่นๆ เหลืออะไรพลิ้วๆ พรายๆ อะไรต่างๆ อยู่ในจิตในใจ ในอารมณ์ เราจะต้องเรียนรู้ความแยบคาย ละเอียดลออพวกนี้ด้วย กวาดเก็บทำให้จนกระทั่งหมด ไม่มีพลิ้วพราย ไม่มีอะไรหวั่นไหว ไม่มีอะไรเลย แม้ในกาละ ที่มันถูกกระทบสัมผัสอย่างแรง อย่างกระแทกกระทั้น เจตนาบ้าง ไม่เจตนาบ้างก็ตาม เราก็มีสติสัมปชัญญะ ไม่เผลอตัว รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ ให้รู้ว่า อ๋อ! นี่เกิดนิดเกิดหน่อย ไม่ได้ตั้งใจรับ แต่ก็ยังสามารถรู้บท บทมันกระเทือน หรือ ไม่กระเทือน เราจึงจะเป็นผู้รู้ของจริง สามารถเก็บกวาดรายละเอียดต่างๆ ให้ครบถ้วน สะอาดสอ้าน ดับสนิท ไม่มีเศษเหลือ ได้แท้ๆ จริงๆน่ะ

ทฤษฎีของพระพุทธเจ้า จึงละเอียดลออ และสูงยิ่ง ยิ่งสูงขึ้นไปตามลำดับ ตามลำดับจริงๆ มีความหมดเกลี้ยง มีสิ่งที่ยืนยันได้ พิสูจน์ได้ อย่างอยู่ต่อหน้าต่อตา อย่างอยู่ต่อสิ่งนั้นๆ โดยที่เห็นความดับสนิท ความนิ่งไม่เกิดอีก แรงจะมาหลอกมาล่อ มากระทุ้งกระแทก มาใช้กลเม็ด มาใช้กลยุทธ์อย่างใดๆ ก็ไม่ทำให้เสีย ไม่ทำให้เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างมั่นคง แข็งแรง เด็ดขาดน่ะ ถึงที่สุดเป็นอย่างนั้น

ก็ขอให้พิสูจน์ไปเรื่อยๆ เหตุปัจจัยใดๆ ที่เราจับแม่นเป้าแล้ว เราก็ถือเป็นฐานการศึกษา แล้วเราก็ติดตามทางภายนอกภายใน ไปจนกระทั่งถึงจิตถึงวิญญาณ รายละเอียดไป จนกระทั่ง ถึงอนุสัยอาสวะ แล้วเราก็จะได้รู้ตลอดสาย ของความกี่ยวพัน ตั้งแต่วัตถุนอก ไปจนกระทั่งถึงการประชุมอยู่กับเรา จนกระทั่ง ติดชิดเข้ามาถึงกาย ถึงอาการหยาบ อารมณ์หยาบ ไปจนกระทั่งถึงอารมณ์ละเอียด จนกระทั่งถึงเหลือเศษ จนกระทั่งเหลือภพในภพ จริงๆ ดังที่กล่าวนี้

เราก็จะเป็นผู้ได้ความรู้จากของจริง จริงๆ เหมือนนักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ได้แต่เดา ไม่ใช่เรียนแต่ภาษาบัญญัติ แต่มีของจริงที่เรารู้ เป็นตัวอย่าง มีเหตุมีปัจจัยเรื่องใดแล้ว เรื่องอื่นๆทุกเรื่อง มันก็จะเป็นสิ่งประกอบกับเรา แล้วเราก็กระทุ้งกระเทือนไปเป็นกิเลส แล้วเราก็ต้องลดต้องละ ต้องล้างออกไป หารายละเอียดอย่างที่มันเป็น เหมือนอย่างอันอื่นๆ ที่เราได้เรียนรู้มาแล้ว ความชำนาญจะมากขึ้น ความแข็งแรงที่จิตของเรา ได้ล้าง ละ ลด ลงไปเรื่อยๆ ก็จะมากขึ้น มากขึ้นๆ จะเป็นจริงน่ะ

ก็ขอให้พิสูจน์กันจริงๆ แล้วก็อย่าเป็นผู้ติดแป้น ติดฐานะ ติดภูมิเดิมภูมิเก่า ไม่มีสัจจญาณ กิจจญาณ อย่างนั้นไม่เอา ต้องมี มีความจริง มีงานที่ทำกับมัน จนกระทั่ง แล้วก็ให้รู้ว่าแล้ว เป็นกตญาณ จบให้รู้จบ เหลือน้อยให้รู้เหลือน้อย เก็บกวาดให้ละเอียด ให้รู้เก็บกวาดให้ละเอียด จึงจะเป็นการปฏิบัติธรรมที่เร็วน่ะ ไปได้เร็ว ไปได้ไว ไม่เนิ่นช้า และละเอียดลออ สูญสนิทสมบูรณ์

สาธุ .

*****