042 ธรรมปัจเวกขณ์
ประจำวันที่ -- สิงหาคม ๒๕๒๖

ใคร่ขอเน้นเรื่องที่ให้ตรวจตรา ดูสภาพที่มันโหยหาอาวรณ์ หรือดิ้น เราอยู่ที่ไหนๆก็ตาม เราจะสัมผัสสัมพันธ์ มีอะไรเป็นองค์ประชุม องค์ประกอบ เป็นสิ่งแวดล้อมอยู่กับเราก็ตาม แล้วเราก็กลายเป็นคนหลบเลี่ยง หนี นั่นเรียกว่าผลัก หรือดิ้นอยู่กับเราเอง

เราอยู่แล้ว เราก็โหยหาอันอื่น อยากจะไปนั่นอยากจะไปโน่น อยากจะเอาโน้นเอาอะไรที่อื่นๆ เราต้องตรวจตราใจของเราว่า มันไม่หยุดมันจรไปบ้าง หรือว่ามันอยู่ตรงนี้ แล้วมันก็อยู่ไม่ได้ มันผลัก มันดิ้น มันดีดดิ้น มันไม่สนิท มันไม่สงบ มันไม่ยอม มันไม่หยุด เราก็ตรวจจริงๆ ถ้าแก้ไขตัวนี้ได้ละเอียดลออแล้วละก็ จะเป็นคนที่ได้กำไรเพิ่มขึ้นอีกมาก

ในสภาพที่เรามีแบบฝึกหัดอยู่ ตามสถานที่นั้นที่นี้ ไปตามธรรมชาติ ฝึกปรือไป มีองค์ประกอบหรือมีกาโย สิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน ในสิ่งแวดล้อมที่มีคนมาก งานมาก ในสิ่งแวดล้อมที่มีคนน้อย งานน้อย มีที่ใกล้มีที่ไกล มีความพร้อม อะไรต่ออะไรต่างๆนานา ในองค์ประกอบต่างๆ เราเป็นคน จะต้องดีดดิ้นมากไหม หรือโหยหามากไหม ต้องตรวจตราจริงๆ แล้วก็พิจารณาว่า เรายังจะต้องการอะไร กันนักกันหนา ชีวิตนี้ของเรานี่ มันขาดแคลนอะไรกันนักกันหนา เราอยู่แค่นี้มันไม่สมบูรณ์อีกหรือ ยังไม่สันโดษอีกหรือ เรายังจะต้องตะกละตะกลาม จะต้องไปโน่นมานี่ อยากได้โน่นอยากได้นี่ ผลักโน่นดันนี่ อะไรต่ออะไรไม่เข้าเรื่องเข้าราว จนเราเองเราไม่อิสระสมบูรณ์ ไม่เป็นกลาง หรือไม่เป็นสูญ

เป็นกลางนี่ เข้าอะไรก็ได้ หรือเป็นสูญนี่ อะไรๆก็ไม่ต้องติด นี่เป็นตัวสภาพสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น มันยังมีเหลือเศษหรือไอ้โน่นไอ้นี่อะไร ต้องดูให้แยบคาย อ่านจริงๆ วกเวียนไป พิสูจน์ไป แต่ละปีๆ แต่ละสภาพที่เราเป็นอยู่ เข้าพรรษาบ้างออกพรรษาบ้าง มีกิจมีการมีงาน ไอ้โน่นไอ้นี่บ้าง อ่านให้ชัด

การจะจรไป จรไปนั่นจรไปนี่ก็ตามน่ะ เราทำตามใจเรามากไปไหม ไม่ทำตามใจ ทำตามหมู่ ทำตามกฎตามระเบียบ ตามหมู่มิตรมวลสหาย เป็นไป ดูซิ จบที่สุด มันจะจบอยู่กับหมู่ เมื่อเราเข้าอยู่ มีหมู่มีมวลได้ จบแล้ว เราก็ไม่มีปัญหาอะไรกับหมู่กับมวลเนี่ย มีเรื่องมีสิ่งที่จะต้องสร้างสรรเป็นไป เป็นคุณเป็นค่าเป็นประโยชน์ เราก็ไปได้ ทำได้ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติสลับไปสลับมา แม้เราจะอยู่รวมหมู่รวมกลุ่มกัน เข้าพรรษานี่ จึงเป็นประโยชน์มาก ที่เราจะได้มีสัมผัส มีสิ่งแวดล้อม มีอะไรต่ออะไรต่างๆนานาพอสมควร

บางคนชอบไปตะลอน ไปเดี่ยว พอมาอยู่กับหมู่บ้าง ก็ต้องพยายามหัดละลด ถ้าไม่ละลด มันก็จะเป็นอย่างเดิม เราก็ตะลอนไปเดี่ยวอยู่นั่นแหละ ถ้าเผื่อว่าละลดได้ มันไม่ตะลอนหรอก มันก็อยู่กับหมู่กับฝูง อยู่กับหมู่กับฝูงก็ต้องทำงานทำการ ดังที่เอานาถกรณธรรม ที่เป็นข้อ กิงกรณีเยสุ ทักขตา ยืนยันแล้วว่า เรามีที่พึ่ง นาถกรณธรรมคือธรรมะอันเป็นที่พึ่ง เมื่อเรามีที่พึ่งแห่งตน มีความขยันหมั่นเพียร ช่วยเหลือเฟือฟาย งานการหมู่ฝูง เพื่อนสพรหมจรรย์ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่างานต่ำงานสูง แล้วเราก็ละลดกิเลสไป ซ้อนไปอีก ที่สุดมันก็จะจบอยู่ที่เรา พรหมจรรย์ทั้งหมด มันก็อยู่ที่มิตร มวลมิตรมวลหมู่ มิตรดีเพื่อนดีสหายดี พรั่งพร้อมกันประชุม พรั่งพร้อมกันตัดสิน พรั่งพร้อมกันเลิก พรั่งพร้อมกันทำกิจ มันก็เป็นไป ชีวิตมันก็จบสมบูรณ์ได้ หรือแม้ไม่จบ ถ้าเรารู้เป็นสัมมาแล้ว เราจะได้บทฝึกหัด เราจะได้ข้อที่จะต้องมาปฏิบัติขัดเกลา อยู่เสมอไป เพราะอันใดมันมากมันเกิน มันไม่ไหว มันแรง ก็เคลื่อนย้ายไปอยู่ในส่วนสัดที่มันพอเป็นไปได้ อันไหนที่มันน้อยไป เราก็เติมขึ้น อย่าเป็นคนเสียท่าในการศึกษา

สิ่งประกอบที่สำคัญ คนใดเลือกกรรมฐานให้ตนเองถูก ได้เก่ง คนนั้นจะมีการขัดเกลาได้มาก ตนจะได้ประโยชน์มาก ถ้าคนใดได้แต่หนี ได้แต่เลี่ยง ช้าๆเป็นชาติๆนะ มันไม่ได้เรื่อง ช้านี่ มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา ช้าเป็นชาติๆทีเดียวน่ะ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา

ถ้าผู้ใดขยันขันแข็ง หมั่นเพียร มีผู้รู้อยู่ ก็ต้องพยายามหาโอกาส ฉวยโอกาส เมื่อมีผู้รู้ มีผู้แนะนำ มีอะไรก็ขยันหมั่นเพียร เข้าไปตกอยู่ในหมู่ผู้ไม่รู้แล้ว ถูกยิ่งเขาแนะนำเพี้ยนๆ เบี้ยวๆ เบี่ยงๆ ออกไปไกล ช้า เสียเวลาออกไปอีกมากมาย ฉะนั้น เมื่อมีผู้รู้ ผู้แนะนำ ผู้อะไรดีๆอยู่แล้ว ขยันหมั่นเพียรทำเถอะ มันขาดตกบกพร่องอะไร เราก็มาสอน มาทาน มาศึกษาเข้าไปดีๆ แล้วก็ปฏิบัติจริงๆ ก็จะเห็นผลจริงๆน่ะ ความเพียรจึงเป็นที่มาแห่งความสำเร็จ อะไรทุกอย่างทุกๆอัน ข้อสำคัญต้องรู้ถูกรู้จริง เป็นสัมมาทิฏฐิให้ได้ แล้วเราก็ฝึกหัดอบรมของตนไป ที่พยายามเน้นพยายามย้ำ ในเรื่องของการตรวจ ดูจริงๆ ในเรื่องตรวจ การโหยหาอาวรณ์ หรือการดิ้นไม่หยุดนี่ จึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องอ่านจริงๆ

แม้แต่เรื่องที่เรายังซึม ซึมเศร้า โงกง่วง หลบน่ะ อันนี้ไม่ใช่สภาพสมบูรณ์ ก็ต้องพยายามหางานหาการ หาความตื่น เบิกบานร่าเริง ให้มันเป็นใส่ใจ งานอะไรที่มันเป็นงานที่เราควรใส่ใจ หางานให้ใส่ใจน่ะ หางานใส่ใจในงานนั้นๆๆ ที่ทำอยู่ ก็แก้ นี่เป็นข้อที่ ๑ เลย ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน เราทำงานอะไรอยู่ ใส่ใจงานนั้นให้ดีๆ ไม่มีงานก็หางานให้ตัวเองได้มีอะไรทำ ใส่ใจในงานนั้นๆ ทำงานนั้นๆ แล้วเราจะเลิกง่วงเลิกโงก ไม่เช่นนั้นเราก็ได้แต่ซึมเงื่องๆ หรือไม่ก็ตกไปอยู่ในภวภพ อยู่อย่างนั้นเอง แล้วมันยิ่งชินยิ่งชา แล้วเราก็ไปหลงผิดด้วย ถ้าไม่หลงผิด ก็อย่าไปสร้างความชินชาในสิ่งเหล่านั้น จะต้องเป็นคนที่ตื่นอยู่ รู้อยู่ เบิกบานอยู่ ไม่ใช่ซึมๆเซาๆ หลบๆเลี่ยงๆ อย่างนั้นน่ะ

ความหมายพวกนี้ ฟังดูมันเล็กน้อย แต่แท้จริงลึกซึ้ง เราจะต้องเข้าใจให้ถูกต้องเต็ม ตรงตามที่ได้แนะนำละเอียดลออมาเรื่อยๆ เสมอๆ ขอให้พวกเราได้สังวรสำรวม ให้ได้ประโยชน์ ในการอยู่กับหมู่ก็ดี หรือว่าในการที่จะเป็นไปแต่ละวาระเวลา แต่ละวันแต่ละปี เราจะได้ประโยชน์ตลอดทุกๆเวลาน่ะ ก็ขอย้ำ จุดที่ย้ำนี้ให้สำคัญ และพยายามทำให้แยบคายละเอียด อย่าเอาความเข้าใจเดิม ที่เป็นความเข้าใจปักมั่น อะไรมั่น โดยที่หลงตัวหลงตนอยู่ เป็นโมหะ หลงเป็นอัตตา ตัวเองพอใจตัวเอง อย่าไปหลงอย่างนั้นเป็นอันขาด

พยายามวิเคราะห์วิจัย และทำตัวเอง ถอดตัวถอดตนออกมาดู ด้วยเหตุด้วยผลชัดๆ เราจะเป็นคนที่มีปัญญาละเอียดลออ จะได้รู้ว่า อ้อ! เรานึกว่าเราถูก แท้จริงส่วนผิดมันมีอยู่แท้ เราจะได้แก้ไขปรับปรุง และเราก็จะได้ผ่านขั้นเลื่อนขั้น ไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการ ได้สมบูรณ์สูงสุดเป็นที่สุด

สาธุ.

*****