050 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ -- กันยายน ๒๕๒๖

ผู้ได้เกิดศรัทธา เกิดความเห็นและเชื่อ แม้จะเห็น เชื่อ เป็นความเห็น เป็นสัมมาทิฏฐิ แต่เรายังไม่ได้ปฏิบัติ ยังไม่ได้ประพฤติ ยังไม่ได้เกิดสภาพธรรมที่เราสัมผัสรส สัมผัสสภาวะ ที่ได้รองรับ ได้เกิดจริง เราก็จะยังไม่มีปัญญาที่แท้ หรือว่า ไม่มีตัวศรัทธาที่จะคงมั่น

ศรัทธาที่จะคงมั่นก็คือ ศรัทธาที่จะต้องมีปัญญาเห็นแจ้งแท้ ไม่เปลี่ยนแปลง มันเป็นความเข้าใจ ความมีจริง ทรงจริง ยืนยันจริง ศรัทธาที่มีปัญญา เป็นศรัทธาที่ไม่งมงาย เป็นศรัทธาที่ไขความ เป็นศรัทธาที่บอกความกระจะกระจ่าง มันเป็นศรัทธาที่ยืนหยัดยืนยัน ไม่คลอนแคลนง่ายๆ เพราะงั้น เมื่อเราได้เห็น ได้รู้ ได้เข้าใจ ศรัทธาที่เป็นตัวเพิ่งรู้ หรือจะเรียกว่าปัญญาแรก เรียกว่า รู้แรก หรือ ศรัทธาเชื่อถือแรก ก็ได้ เชื่อถือแรก หรือปัญญาที่รู้แรก แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติ จนมีผลเกิดในสิ่งรับรสจริง ขอให้ปฏิบัติขึ้น

เมื่อผู้ใดศรัทธาในอะไร มันจะเกิดความขมีขมัน เรียกว่าวิริยะ เกิดความเพียร เกิดความอยากจะเป็นไป อยากจะได้ อยากจะมี ถ้ามันเกิดศรัทธา เพราะฉะนั้น จะมีพลัง จะมีอาการ เอาเรี่ยว เอาแรง เอาเวล่ำเวลา อะไรต่ออะไรเข้าไป ถ้ามันเกิดแรงพอ แต่ถ้าศรัทธาไม่แรง ศรัทธาเบาๆ อันอื่นที่มันมีกิเลส หรือว่ามีจุดที่เราชอบมากกว่า มันก็จะแบ่งเวลา แบ่งกำลังไปทำสิ่งที่เราชอบ มากกว่า โน้นก่อน

แต่ถ้าเผื่อว่าศรัทธาที่เราเห็น เป็นศรัทธาในสิ่งใด มันมีแรงมากกว่า มันก็จะมีวิริยะ หรือมีเพียรอันนั้นมามากกว่า เมื่อมีเพียรแล้ว มันก็จะเกิดผล เกิดสติ การใส่ใจ หรือการมีสติ ที่เกิดการรับรู้ พิจารณาเปิดกว้าง รับอยู่เสมอ พยายามที่จะรับ พยายามที่จะรู้ พยายามที่จะใส่ใจ มันจะเกิด เพราะงั้น ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราก็จะมีความรู้สึกตัวให้ดี ให้รับโดยมีปัญญา เข้าไปกรอง เข้าไปพยายามเลือกเฟ้น แล้วแบ่งเอา จัดสรรเอา เรียกว่ามีธัมมวิจัย จัดสรรเอา ถ้ามันเกินไป ก็มี ถ้ามันน้อยไป หรือว่ามันผิดไปก็มี ก็เลือกให้ดี มันก็จะได้สิ่งที่เป็นเนื้อเป็นแก่น เข้ามามากขึ้น ไอ้ที่เกิน เราก็พักไว้ก่อน ไม่เข้าฐาน ไม่เข้ากรรมฐาน แต่เป็นความรู้เสริม ก็ไม่เป็นไร ก็รู้ไว้

แต่อันใด เป็นความรู้ที่มันตรงตัวเลย กำลังเดี๋ยวนี้ทีเดียว กำลังเหมาะกับกรรมฐานของเรา กำลังเหมาะกับขนาดของเรา เรามีธัมมวิจัย เลือกเฟ้น เราก็มีวิริยะเสริมหนุนอยู่ด้วย เพียรได้แล้ว ก็เอามาฝึกมาปรือ มาอบรมเข้า จนเป็นเนื้อเป็นตัว จนเป็นรูปเป็นร่าง ได้อาศัยได้ลิ้มรส เราก็จะเกิดศรัทธาแท้ ศรัทธาที่มีปัญญา ศรัทธามีวิริยะ มีสติ แล้วจะเกิดสมาธิ คือจิตรับรส จิตจะเกิดตั้งมั่นเลยทีนี้ จะเกิดมีความแน่นอน มั่นคงขึ้น เห็นจริงเห็นจังขึ้น ตัวปัญญาก็ตามมา เป็นปัญญาที่เรียกว่า ปัญญาขั้นอธิปัญญา หรือเป็นญาณทัสสนวิเศษ เป็นตัวที่เห็นแจ้ง ในสิ่งที่เราได้เราเป็นเรามี หรือมรรคผลที่เราเกิด

ในอินทรีย์ ๕ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มันจะเกิดส่งผลอย่างนี้เรื่อยไป เราปฏิบัติอย่างโพชฌงค์ ๗ ก็เหมือนกัน มันก็จะเกิด มันก็ทำด้วยสติ แล้วก็มีโพชฌงค์ มีการธัมมวิจยะ มีการวิจัย แล้วก็มีวิริยะ เราก็จะได้ดีเพิ่มขึ้น เรียกว่าปีติ ซอยลงไปอีก มีปีติ ได้ดี แล้วตัวดีตัวนั้นหนะ เป็นดียังไง มันดีดีใจ ดีดีใจ หมายความว่า เราได้ดีแล้ว เราเกิดยังมีกิเลสซ้อน เรียกว่าดีใจ เมื่อมีกิเลสซ้อน เราลดกิเลสลง กิเลสดีใจลดลง มันก็จะแน่นดี ตัวเนื้อที่ได้ดีขึ้น ตัวเนื้อที่ได้นั่นแหละ ทางธรรม ตัวที่ได้คือ การลดกิเลสลง ตัวกิเลสลดลงนั้น และไม่ใช่มีกิเลสใหม่ มีปีติเป็นกิเลสใหม่ หลงยินดีรุนแรง และเราก็มีอะไรแรงเกินไป แล้วก็ไปหลงติดอยู่ในแรงๆ แรงๆมันก็ไม่สงบ เพราะว่าแรงๆนั้น ก็จะไปแรงๆ ปะทะกะไอ้โน่นไอ้นี่ ก็ไม่ปัสสัทธิ เพราะจะสงบรวบ สงบทั้งกิเลสของเราลดลง ทั้งความเป็นอยู่ ทั้งความเกี่ยวข้อง ความสัมพันธ์ ความจะอยากให้ผู้อื่นรู้ หรืออยากให้ผู้อื่นได้เป็นบ้าง อะไรพวกนี้ ก็จะพอดีพอไป จะไม่เกิดว่า ได้สงบจิตจากกิเลส แต่เราก็เกิด มันไม่สงบ เพราะเราเอง ไปมีปีติแรง และเราไปทำอะไรด้านนอก ที่เราไม่เข้าใจ มันจะเกิดทุกข์ซ้อน เมื่อทุกข์ซ้อน แล้วเราไม่รู้ แล้วเราจะเกิดว่า เอ๊ะ! นี่ท่า(ถ้า)ไม่ใช่ นี่มันเกิดว่า เรายิ่งได้ดี แล้วมันเกิดทุกข์ มันจะเวียนกลับ มันจะส่งผลให้เราเวียนกลับ หรือส่งผลให้เราว่า เอ๊ะ! อย่างงั้นไม่เอาดีกว่า เพราะว่าได้แล้ว เอาอุตส่าห์ไปให้คนอื่นเขาดีแล้ว ตัวเองก็เกิดทุกข์ แต่ก็ไม่รู้ว่า ทุกข์นั้นมันคนละตัว เหตุคนละเหตุ สมุทัยคนละสมุทัย ทุกข์ที่จริงเราลดแล้ว เราละกิเลส เราลดกิเลสอื่นมาแล้ว แต่ทีนี้ พอได้ดีแล้ว ก็ไปเที่ยวได้แสดงมานะ แสดงความใหญ่ แล้วไปเกิดกระทบสัมผัส เกิดทุกข์มา แล้วก็เลยมาหลงผิด เพราะมันคนละเหตุ แล้วก็เลยทำให้เรากลับไป ไปเสพกิเลสเก่า คืนอีก ก็มีเหมือนกัน

เพราะงั้นตัวนี้แหละ เป็นตัวสำคัญ ถ้าเราไม่รู้เท่าทันเหตุแห่งเหตุ ตัวที่แท้แห่งมันเอง แต่เราไปกลับเข้าใจ คำกลางๆว่า ทุกข์ ซึ่งมันเกิดได้ จากเหตุหลายๆเหตุ สมุทัยคนละตัว เราก็สับสน แล้วเราก็ไม่รู้ ตกลงก็วนเวียนไปวนเวียนมาได้ เพราะความไม่รู้แจ้งชัด อย่างนี้ก็เป็นได้ ขอให้เราได้จับให้แม่น สิ่งที่ได้แล้ว ได้ให้ชัดเจน เหตุที่ดับแล้วดับไป อย่าไปวนเวียนเอาใหม่อีก เอามาอีก ติดใหม่อีกได้นะ เพราะฉะนั้น ไปเสพเหตุเก่า ไปเสพปัจจัยเก่าอีก ติดได้อีก เพราะงั้น ถ้าเผื่อว่าเราไม่ ไม่แล้วเรารู้ชัด เราไม่ไปวนเวียนเสพอีก เรารู้ว่าเหตุที่มันทำให้ทุกข์ใหม่นั่น เป็นเพราะมานะ เราก็แก้มานะ เราก็จะสงบเป็นปัสสัทธิ ที่สบายทั้งสองส่วน ทั้งสภาพที่ลดกิเลสส่วนตน ทั้งกิเลสส่วนที่เป็นมานะ ที่จะไปทำอะไรให้พอดี พอเป็นพอไป เราก็จะเป็นปัสสัทธิ เป็นสงบ อย่างสองชั้น อันนี้ก็สั่งสมลงเป็นสมาธิ ได้ทั้งกิเลสเบื้องต่ำ เบื้องตัวตน ทั้งกิเลสเบื้องที่จะมันเฟ้อ ซึ่งมันไม่ใช่กิเลสเพื่อตัวเพื่อตน แต่กิเลสเพื่อผู้อื่น แต่ก็พาๆ ให้เป็นทุกข์ได้ ถือดี ถือตัว ถือตน ถือแก่ผู้อื่นอย่างนี้ พวกนี้เราก็จะต้องละเอียด เกิดสมาธิที่มั่นคงขึ้น สั่งสมไปเรื่อยๆ เป็นสมาธิสัมโพชฌงค์ สุดท้ายมันก็จะเป็นเลิศ เรียกว่าอุเบกขา

อุเบกขาเป็นเลิศนั้น คือสภาพที่มันเยี่ยมยิ่ง สภาพที่เกิดได้ว่างโปร่ง สะอาดนะ เป็นอัตตาใหม่ เป็นอรหัตตา แต่เราจะไปติดอุเบกขา เป็นอัตตาอยู่ เป็นวิปัสสนูกิเลสอีกไม่ได้ คือเป็นได้ สิ่งที่เป็นวิปัสสนาแท้ เป็นความรู้ด้วยปัญญา แต่เราก็ไม่รู้เท่าทันสิ่งที่ได้ ว่าว่าง ว่าโปร่ง นี่ไปติดมันอีก หรือถือเป็นตัวเป็นตนอีก เราก็ไม่สมบูรณ์สุด เพราะฉะนั้น แม้แต่อุเบกขาสุดท้าย ที่มีลักษณะดีเยี่ยม ถูกต้องตามหลักการ ของศาสนาพุทธก็ตาม ถ้าเราละล้างไม่ได้ ก็ยังเป็นเศษสุดท้ายอยู่ ถ้าเราละได้เราก็จะสมบูรณ์ โพชฌงค์ ๗ ถึงอุเบกขา โพชฌงค์ข้อที่ ๗ นี้แหละ เป็นฐานที่จะก้าวเดิน ไปสู่นิพพานสูงสุด เพราะฉะนั้น เราได้ฐานนิพพานคืออุเบกขา เราก็จะต้องไม่ติดแม้แต่อุเบกขา หรือไม่ติดแม้แต่นิพพานทีเดียว

นี่อธิบายอย่างใช้หลักการไม่กี่ข้อ และก็อธิบายย่อๆ ก็คิดว่าเป็นการทบทวน เป็นการอธิบายที่มีนัยที่ลึกซ้อน ละเอียด อยู่ในนี้พอสมควร ฟังดีๆ ถ้าไม่เข้าใจก็เอามาฟังใหม่ ไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก แต่ว่ามันก็เป็นสภาพลึกซึ้งอยู่ ในหลักเกณฑ์ที่สำคัญนี้ด้วย

ก็ขอให้พวกเราได้ไตร่ตรอง ทบทวน และประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องลงตัว ตามทฤษฎีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดั่งนี้ เราจะเกิดมีมรรคจริงผลจริง และเราก็จะได้ไปสู่ความบริสุทธิ์บริบูรณ์ ถึงที่สุดได้

สาธุ

*****