052 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ -- ตุลาคม ๒๕๒๖

ในมหาวิทยาลัยชีวิตแห่งนี้ เราได้ศึกษาชีวิตกันมา ยิ่งใช้เวลามากปี หลายปีหลายปีเข้า ผู้ที่อยู่แล้วก็ได้ศึกษามาจริง มีปัญญาสอดส่อง วิเคราะห์วิจัย อ่านสภาพที่เรามีชีวิตเป็นอยู่ และยิ่งมีปัญญาปฏิภาณ ที่เทียบเคียงกับโลก โลกีย์ธรรมดาๆ แม้เราจะผ่านโลกีย์ บางคนไม่มากไม่มายนัก แต่เราก็จะรู้ว่า โดยสามัญมนุษยโลกเราก็มี โลกธรรมเป็นเอก เสพโลกียสุข ที่เราอุปาทาน หรือยึดมั่นยึดหมาย แล้วเราก็ใช้องค์ประกอบของสรรเสริญ ยศลาภเป็นเครื่องช่วย ที่เราจะได้เสพโลกียสุข เท่าที่เราหมาย เราก็อยู่ในโลกอย่างนั้นมา แม้จะนานไปอีก ก็อย่างนั้นอีก ตลอดนิรันดร์ กี่โลก โลกจะแตกอีกกี่ลูก ก็คืออย่างนี้ทั้งสิ้น

แต่เรามาศึกษาในมหาวิทยาลัยชีวิตแห่งนี้ ที่เรียกว่าโลกุตระ ที่เราจะเข้าใจเท่าทัน ในสิ่งที่เป็นโลกียะ และเราก็มาหาทางออก ปลดปล่อย ซึ่งมาจากรากเหง้าของจิต รู้เห็นจริงถึงอาการ ถึงสภาพของโลกียะ ที่เราใคร่เราอยาก จนกระทั่ง เราละลดปลดปล่อย ให้บางเบาลงมา แม้บางเบา เราก็ตามมารู้อยู่ว่า มันยังเหลือเชื้อ เราก็ละล้างให้จางคลายต่อไปอีก แม้เราจะควบคุมตนได้ ไม่ไปดีดไปดิ้น ไม่ไปแสวงหา ไม่ไปเหน็ดเหนื่อย แล้วเราก็อยู่ในระบบ หรืออยู่ในหลักการของพระพุทธเจ้า ที่ได้นำมาเปิดเผย และขอยืนยันว่า นี่เป็นทิศทางของการสร้างมนุษย์ ของพระพุทธองค์ ที่ทำให้มนุษย์ มีคุณค่า มีประโยชน์ชั่วชีวิตหนึ่ง ชั่วชีวิตหนึ่งเราเกิดมาแล้ว เราก็จะตาย เราไม่ได้เสียแรงงาน ไม่ได้เสียเวลา ไม่ได้เสียอะไรไปบำรุงบำเรอให้แก่ตัวเอง แล้วหลงว่านั่นเป็นของน่าได้ น่ามีน่าเป็น ที่เรียกว่า โลกียสุขแล้ว

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสูงลึกซึ้งกว่านั้น แม้แต่ในภพ ที่กลายเป็นคนหยุดอยู่ กลายเป็นคนติด กลายเป็นคนขี้เกียจ กลายเป็นคนไม่เอาถ่าน ไม่ขวนขวาย ไม่ทำอะไร ไม่สร้างไม่สรร พระพุทธเจ้า ท่านก็ได้แก้ไขจุดนี้อีก แล้วเราก็ได้มาฝึกเพียรกัน เพื่อพิสูจน์

จริงหรือไม่จริง เราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะใช้ ภูมิปัญญาของตนเองดูแล แล้วก็ทำความเข้าใจเอง ผู้ใดมั่นใจแล้ว มันไม่มีปัญหาอะไรเลย ที่พูดนี่มั่นใจว่า ได้วิเคราะห์วิจัยไว้ มากเหลี่ยมมากมุม แล้ววิเคราะห์ไว้ครบครันแล้ว เชื่อว่าไม่มีอะไรมากกว่านี้แล้วในโลก โลกียะกับโลกุตระทั้งปวง เพราะฉะนั้น อยู่ที่เจ้าตัวจะตัดสินเท่านั้น ถ้าเหลาะแหละ ๆ มันยังมีผีที่หลอก อย่างทางโลกียะอยู่ เราก็ยังง่องแง่งๆ วนเวียน กลับไปกลับมาอยู่กับมัน แล้วๆรอดๆ ไม่แล้วไม่เสร็จ แล้วก็ไม่แข็งแรง งอแงอยู่อย่างนั้นแหละ ตลอดอีกกี่ปีกี่ชาติ นับได้ จะทำไปอีกกี่ร้อยชาติ ก็ทำได้ ก็อย่างนั้นแหละ ไม่มีการจบสิ้น บางที รู้ทั้งรู้ แต่เราก็ไม่กล้า เรียกว่าอสุรกาย จิตใจมันไม่กล้าแข็ง มันก็จะเป็นคนที่มีลักษณะไม่กล้าแข็ง อย่างนั้นไปอีกนานเท่านาน

ถ้าเรากล้า เราก็จะเป็นคนกล้า ฉะนั้น ตัวกล้ามันไม่ได้มาเอง มันได้มาด้วยเราทำ เราฝึก เราตัดสิน แล้วเราก็กระทำด้วยปัญญา เราไม่ได้ทำอะไรอย่างงมงาย พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเรางมงาย ให้รู้วิเคราะห์วิจัย เมื่อแน่ใจว่า นี่ดีกว่าเหนือกว่า มันควรเป็นควรได้กว่า มนุษย์มันก็ไอ้เท่านั้น เมื่อชัดเจนแล้ว กล้าตัดสิน แล้วลงมือทำ ฝึกปรือเอา จนกระทั่งแข็งแรง แล้วเราจะมั่นใจ เมื่อเราเห็นแล้วว่า ชีวิตเราก็เท่านั้น เราก็เกิดมาเพื่อที่จะอยู่ไป ให้มันสิ้นตาย มันยังไม่ตาย มันก็มีความเบิกบานแจ่มใสอยู่ สร้างสรรไป เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร

วันหนึ่งคืนหนึ่ง ก็พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ชีวิตเราก็ กลางวันทำงาน กลางคืนพักผ่อนพอสมควร ไม่ใช่จะนอนไปทั้งคืนเลยทีเดียว ตั้ง ๑๒ ชั่วโมง

พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยสอนเอาไว้ นอนกี่ชั่วโมง เราก็กำหนดพอเหมาะพอเจาะ ท่านไม่กล่าวตายตัว เพราะว่าคนมีอินทรีย์พละต่างกัน แต่ก็ไม่ได้เคยสอนให้นอน ๑๒ ชั่วโมง ไม่เคยมีแบบ ไม่เคยมีอย่าง เพราะฉะนั้น เราก็นอนพอประมาณ เท่าที่มันต้องใช้กาละเวลา ใช้เรี่ยวแรง ใช้การสมดุลของการจ่ายพลังงานบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง แล้วเราก็ทำให้พอไปพอเป็นขนาดนั้น เราก็ยังรู้ว่า โลกเขา บางทีเขาก็ยังสู้ ยังอดยังทน

คนโลกเขาก็ยัง แม้แต่หลงโลกียะ หลงด้วยลาภ ยศ หลงด้วยอามิสต่างๆ เขาก็ยังกล้าที่จะเสียสละ ยังจะอดจะทน เพื่อที่จะสร้างสรรสิ่งที่เขาจะสร้างสรรขึ้น เพื่อไปแลกเปลี่ยนเอา สิ่งที่เขาต้องการ เขาก็ยังกล้าทำ ก็ถ้าเผื่อว่าเราอยู่ทางโลกุตระแล้ว เรากล้าทำ เรากล้าอดทน แม้จะเหน็ดจะเหนื่อย เราก็สร้างสรร โดยที่ไม่ได้เป็นไปเอาเลย เราไม่ได้ไปเอา เราให้เขาด้วยซ้ำไป เป็นบุญเป็นคุณ เป็นประโยชน์คุณค่า ทำไมเราไม่กล้าลอง คิดดีๆซิ ทำไมเราไม่กล้า เราสร้างคุณประโยชน์ เราไม่ได้สร้างความเห็นแก่ตัวสักหน่อย เราไม่ได้สร้างมาเพื่อตัวตน แต่เราสร้างเพื่อคุณค่า เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นแท้ๆ ทำไมเราไม่กล้า มันดีแสนดี ใครได้ยินใครรู้ ใครก็เข้าใจว่ามันเป็นความประเสริฐของเราแท้ๆ ทำไมเราไม่กล้าทำความประเสริฐให้ตน ทำไมเราไม่กล้าทำดี พิจารณาดู ที่พูดนี่ผิดมั้ย ที่พูดนี่ ใช้เลศใช้เล่ห์อะไร มันจริงหรือเปล่า มันตรงหรือเปล่า ฟังชัดๆ

ทำไมเราถึงเป็นคนเพี้ยน ทำไมเราถึงเป็นคนโมหะ ทำไมเราถึงไม่ตรงคม เราทำไมถึงไม่แม่นชัดในสิ่งที่เป็นสัจจะ ได้พยายามชี้ จับประเด็น จับเป้าที่เป็นสัจจะที่แท้จริง ให้ฟังเสมอๆ แล้วเอาไปคิด ตัวเราเมื่อรู้แล้ว ทีนี้ก็กระทำ ขนาดรู้ๆ ใจมันยังไม่ยอม ใจมันเคยชิน มันยังไปติด ในสภาพที่เป็นกิเลส เสพตัวเสพตน เสพสิ่งที่มันเห็นแก่ตัวเห็นแก่ตน แม้ที่สุดอยู่เฉยๆ ว่างๆ เปล่าๆ มันเลยก็ไม่เคยปฏิเสธ มันก็ว่างก็เบา ก็ลอยชายไปวันๆคืนๆ เดินทางไปสู่ตาย ก็บอกก็แนะนำทุกทีไป ไม่เคยปฏิเสธ ก็จริง ไม่ใช่ไม่จริง แล้วมันได้อะไรเล่า มันก็เดินไปสู่ตาย เปล่าๆ ลอยๆ โมฆะ เป็นโมฆบุรุษ ซึ่งเป็นคำบอกแล้วว่า เป็นคำว่าที่เจ็บแสบของพระพุทธเจ้า เราจะอยู่ทำไม เราจะมีทำไม เราจะเป็นมนุษย์ขึ้นมาทำไม ก็เป็นก้อนดินก้อนหิน มันก็โมฆะอย่างเดียวกัน มันไม่ได้มีดีเด่อะไรกว่ากันเลย มาเป็นทำไม มาชื่อว่ามนุสโสผู้ประเสริฐ ผู้มีจิตสูง เพราะฉะนั้น เราจะเป็นมนุษย์ มีจิตสูงประเสริฐ เราก็ทำให้มันสมศักดิ์สมศรี คำว่ามนุษย์เสีย แล้วเราก็จะตาย มันก็ไอ้เท่านั้นเองนะ

เมื่อเราเข้าใจทุกเหลี่ยมทุกมุม ที่พยายามชี้แนะ พยายามที่จะบอกจะกล่าวแล้ว เราก็จะรู้ บอกแล้วว่า แม้แต่เรารู้ เราก็ยังจะต้องมาฝึกปรือ ต่อจิตใจของเราว่า เราต้องทำมัน จะปล่อยปละละมัน มันไม่เป็นไปหรอก มาเป็นไป เมื่อเราฝึกปรือไปแล้ว มันจะเป็นไปได้ อดทนได้ จนกระทั่งไม่ต้องอดทน จนกระทั่งเห็นจริงว่า เอ๊อ! มันก็เป็นความดี แล้วมันก็เคยชิน ไม่ใช่ชินชา เคยชินคือความชำนาญเกิด ความเคยเกิด ความเป็นไปได้ คล่องแคล่ว รู้ชัด จะจับจะต้อง จะเป็นจะไป จะสร้างจะสรรอะไร มันเป็นไปเอง มันง่าย มันง่ายขึ้น มันก็เบาขึ้นมา แม้มันจะไม่เบาเท่าอยู่เฉยๆ ว่าง ก็จริงอยู่ แต่มันก็เบาง่าย ในงานที่เรากระทำ หรือฝึกปรือขึ้นมา มันง่ายขึ้น เบาขึ้น คล่องแคล่วขึ้น สร้างสรรได้ดีขึ้น ชำนาญขึ้น แล้วเราก็จะเดินทางไปกับการงานย่างนั้นแหละ เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร ก็ซ้ำซาก พูดบอกอยู่ตลอดเวลา

เราจึงจะรู้ว่า อ้อ! ชีวิตคนนี้ ประเสริฐตรงไหน มีค่าตรงไหน มีคุณตรงไหน มันเรียกว่าประเสริฐนี่ มันตรงไหนกันแน่ เราจะได้รู้ชัดรู้เจนว่า อ้อ! ประเสริฐตรงที่ เราสร้างสรรเพื่อสรรพสัตว์ เพื่อมวลมนุษยชาติในโลก อะไรสำคัญ เราก็ดู เราสู้ด้วย เราก็เสนอแนะหมู่ฝูง หรือเราก็นำพาทำ ถ้าเราไม่รู้ เราก็ทำตามหมู่ฝูง ที่ช่วยกันคิด เห็นว่าอะไรสำคัญ อะไรควรทำ อะไรดี แล้วเราก็ทำไปด้วยกัน ต่างคนต่างพยายามใช้จิตวิญญาณ พิจารณา แล้วก็พยายามรู้สิ่งดี สร้างสรรสิ่งดีนี่ไป ไป ไป ทั้งเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่าง ทั้งเป็นสิ่งที่ประเสริฐอยู่ในโลก

สำหรับตัวเรานั้น ได้ละได้ลด ได้ล้างออกมาแล้ว มันไม่มีอะไรมากหรอก กินขี้เยี่ยวนิดๆหน่อยๆ วันหนึ่งคืนหนึ่ง ไม่เปลืองไม่ผลาญไม่พร่า ยิ่งเราได้พิสูจน์มาขนาดนี้แล้ว ก็เชื่อแน่ว่า เราเองจะมั่นใจ และเชื่อเด็ดขาดว่า มันไม่ยุ่งไม่ยากอะไร ชีวิตมันยิ่งกว่าดอกหญ้า ดังที่กล่าวแล้ว มันไม่ใหญ่ไม่โต มันไม่หนักไม่หนา มันไม่ยุ่งไม่ยากเลย

รักษามันไว้ให้แข็งแรง สุขภาพกายก็ดี โดยเฉพาะแม้เรายิ่งรู้ชัด และทำจิตใจของเรา เป็นไปได้ ทั้งจิตใจก็ดี มันแสนสบาย มันแสนง่าย มันไม่ยากเลย ชีวิตมนุษย์นี่มันไม่ยาก เมื่อเราสบายแล้ว ลดละกิเลสที่เห็นแก่ตัว ตั้งแต่สักกายะ จนกระทั่ง ถึงอัตตาออกมาได้มากๆ แล้วจะเห็นชัด ยิ่งมากถึงขนาดคุณเป็นพระอรหันต์ได้ คุณยิ่งจะชัดเจนเลยว่า ชีวิตนี่มันไม่ยาก แล้วเราก็ใช้มัน ขับเคลื่อนมันไปวันต่อวัน ใจเราก็จะไม่มีการวูบๆวาบๆ ใจมันก็จะทรงทน รู้เท่ารู้ทัน รู้จริง สบาย ปลอดโปร่ง เบิกบาน แจ่มใส

คนอื่นเขาพูดยังไง คนอื่นเขาประชดประชันยังไง เขาตำหนิติเตียน เขาด่าทออย่างนั้นอย่างนี้ จะเข้าใจ ไม่มีปัญหาอะไร เราจะไม่วูบวาบไปด้วย เสียงด่าเสียงทอ เราจะไม่ฟูฟ่องไปด้วย เสียงสรรเสริญเยินยอ และอำนาจโลก ตั้งแต่วัตถุสัมผัส รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ที่มีอยู่ในโลก ห้อมล้อมกันอยู่ในโลกนี้ เราก็อยู่ด้วย เราก็จะไม่เป็นทาสสิ่งเหล่านั้นเลย จริงๆ เราจะรู้สารัตถะ ที่จะเอามาผสมผสาน มาสังเคราะห์ ไม่มากไม่เปลือง นอกกว่านั้นก็มีแต่สิ่งประกอบ องค์ประกอบที่จะสร้างสรรกิจการ สร้างสรรการงานอะไร จะเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่คน อีกมากฐานะ มากฐานะเหลือเกิน คนในโลก แล้วเราก็จะช่วยคนในโลก ที่มากฐานะเหล่านั้น เราก็จะเป็นอยู่ ทั้งสบายใจและประเสริฐ มีคุณค่า ตามความหมายที่ได้อธิบายมานี้

ขอให้พวกเราได้สอดส่อง ตรวจตราตนเอง และความรู้ที่ได้ทบทวน หรือได้สรุปเอามาขยายความสั้นๆ เท่าที่เวลามี ช่วงนี้ให้ฟังแล้ว เราก็จะได้เป็นคนที่ไม่หลักลอย หรือว่าไม่วกเวียน วนเวียน แปรปรวน จะเป็นคนมั่นคง ชัดเจน แม้ตัวเราเองได้มากได้น้อย เหลือเศษเหลือส่วน หรือว่าได้ดีแล้ว เราจะไม่สับสน เราจะไม่น้อยใจ จะไม่มีมานะ เราทำได้ทำไม่ได้ ส่วนนั้นส่วนนี้

คนหลายจริต คนหลายความสามารถ คนทำได้ก็ทำ เราทำได้อีก เราก็ทำ ต่างคนก็ต่างช่วยกันไป คนละแง่คนละมุม แล้วมันก็เดินไป แล้วมันก็เป็นหมู่กลุ่ม เป็นสังฆมณฑล เป็นสภาพของมนุษย์กลุ่ม ที่มีหลักการอันนี้ มีความเข้าใจเป็นทิฏฐิสามัญตา มีหลักเกณฑ์ ระเบียบวินัย เป็นศีลสามัญตา อาศัยศีลหลัก หรืออาศัยความเห็นที่ตรงกันนี้ ไปด้วยกันเป็นมวลหมู่ที่สอดคล้อง และมีพลัง มีความสุขเย็นสันติ พร้อมกันนั้นก็สร้างความเจริญงอกงาม ให้แก่สังคมกลุ่มหมู่อื่นๆด้วย ไม่เฉพาะแต่ตน เท่านั้น เพราะตนเราก็พึ่งตนได้ เราก็พอกินพอใช้ พอเลี้ยง ไม่ขาดแคลน ไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์เลย และเราก็จะมีเหลือเฟือ เผื่อแผ่ออกไปสู่มนุษย์อื่นๆ อีกด้วย นั่นคือความประเสริฐ เราไม่ผลาญ แต่เรากลับเป็นผู้สร้างสรรให้แก่โลกเขาอีกด้วย ดั่งนี้

นี่เป็นจุดเป้าหมายของความประเสริฐ ของ... ขอยืนยันว่า นี่เป็นศาสนาพุทธ ส่วนจะอยู่ว่างๆ ลอยๆ ร่องๆแร่งๆนั้น ก็พูดกันมากเหมือนกัน ก็คิดว่าเราจะรู้จะเข้าใจ เพราะฉะนั้น ผู้ใดจะเลือกอย่างนั้น ก็เชิญเลือกเถิด ตามอิสรเสรีภาพ แต่ใครจะเลือกอย่างนี้ ก็เลือกเถิด และจงมีความมั่นใจ รู้แม่น รู้ชัด

เราจะได้ไม่เป็นคนที่ ฟูฟองลอยล่อง อะไรกระแทกก็เคลื่อน อะไรกระแทก อะไรกระทบก็หวั่นไหว อะไรต่ออะไรก็แปรปรวน แต่เราจะกลายเป็นคนแน่นอนมั่นคง และเราก็จะเป็นหลักให้แก่คนประเภทนี้ ให้แก่คนชนิดที่เรียกว่า ศาสนาพุทธนี้ ช่วยคนยืนหยัดยืนยัน ด้วยตัวจริงของตัวมนุษย์ โลกนี้ก็จึงจะมีสิ่งจริง ที่ไม่ใช่มีแต่ความรู้ มีแต่ปัญญา มีแต่ตรรกวิทยา เหตุผล แต่เสร็จแล้ว ก็พิสูจน์ไม่ได้ ทำไม่ได้
แต่เราจะมีความจริงของคนจริง ยิ่งมากคนเท่าใด โลกก็จะยิ่ง จะจำนน และต้องยอมรับมากขึ้น เท่านั้นๆ

สาธุ

*****