056 ธรรมปัจเวกขณ์ วันที่ -- ตุลาคม ๒๕๒๖ |
ก็ปรับปรุงพวกเรานั่นแหละ ไม่ใช่เรื่องอื่นนะ คือเราอยู่กันมากหมู่มากคนขึ้นมา มันมีอะไรต่ออะไร หลายๆอย่าง ที่เราจะต้องช่วยกันดู และระมัดระวัง และก็จะต้องเตือนกัน เรื่องที่เกิดในขณะนี้ ที่เป็นว่าจะต้องบอกก่อน ก็คือเรื่องของคนที่ไปๆมาๆ ในที่นี้ และก็แอบแฝงเข้ามา มาในมุมร้าย มาในมุมเลว คือมาถึงก็ขนาดวางแผนต้ม นี่ก็มีแล้ว แล้วเราก็ตายใจ รายที่เกิดอยู่ขณะนี้ ที่เห็นบอกว่าชื่อทองพูน เข้ามาตีสนิท ยังนึกไม่ออกนะ อาตมายังนึกไม่ออกว่า เป็นคนไหน เคยเป็นอาคันตุกะ เข้าอบรมด้วยหรือเปล่า เคยหรือเปล่า ใครระลึกรู้บ้าง (ขออภัยนะคะ เห็นบอกว่า บัตรประชาชนก็ปลอมไม่ใช่หรือคะ) ก็นั่นแหละทั้งนั้นหละ อาตมาฟังนิดหน่อยก็เข้าใจแล้วว่า ส่อทุกอย่างหละ ว่ามันเป็นของปลอม ของที่เตรียมตัวมา มาวางแผนต้ม มาพราง วางแผนที่จะทุจริตอย่างจริงๆ ก็เข้ามาอดทน มาพยายามทำดี กะหลีกะหลออะไร พยายามแฝงซ่อนนะ เพราะว่าเราเองเรามีมาตรการ ผู้ที่มาอยู่ที่นี่ จะต้องกินต้องอยู่ ต้องอบรมตน ต้องประพฤติตน มีกิริยามารยาท เป็นอยู่หลับนอนอะไร ก็ต้องอยู่ในกฎในระเบียบอะไรนี่ ถ้าคนธรรมดา ไม่เป็นนักธรรมะมันปฏิบัติยาก มาอยู่ด้วยยาก ก็จะโดนตู่โดนท้วง โดนตั้งข้อสังเกตอะไรต่างๆนานา ก็เป็นที่สังเกตอยู่ แต่มันก็จะต้องพยายามทำ ซุกซ่อนให้ดี อะไรต่ออะไร แอบแฝงอะไรต่างๆนานา พวกที่จะทำเลวทำร้าย คนเหล่านี้จะมีมากขึ้น มันก็จะมีคนเลวคนร้าย มันก็มีด้วย ขอให้ช่วยกันดูแล ให้ช่วยกันระมัดระวัง อย่าไปเผลอไผล หรืออะไรต่ออะไรกัน ไว้ใจกัน โดยเฉพาะญาติโกโยติกา ญาติโยมที่อยู่ข้างนอก ที่บ้านอยู่ข้างนอกวัด แล้วก็อย่าเพิ่งรีบร้อนว่า เอ๊อ! คนคนนี้มาอยู่วัด มาไอ้นู่นไอ้นี่ ซึ่งเขาจะวางรูปวางแผน มาเป็นคนวัด มาอะไรต่ออะไร แล้วก็เลยคบหากันไป ไม่ช้าไม่นาน ยังรู้ไม่ละเอียด แล้วก็ไว้อกไว้ใจ เอาไปค้างบ้าน เอาไปอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ดังที่เป็นนั่นแหละ ก็เห็นตัวอย่างเกิดขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น เหตุปัจจัยมีอะไรมากๆ มันก็ยั่วยวน มันก็เป็นไปจริง ถ้าเหตุปัจจัยไม่มีมาก ตามที่ระบบ เดินตามแบบคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วนะ มันไม่เท่าไหร่หรอก มีเล็กมีน้อย มีโน่นมีนี่ มันไม่เอาหรอก ไม่คุ้มการลงทุนมัน คนหนะ ยิ่งโจร ไอ้ตัวใหญ่ๆ มันก็ต้องเอาของใหญ่ๆด้วย ถ้าเล็กๆน้อยๆ ก็เอาเถอะ แค่เล็กๆน้อยๆ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ไอ้นู่นนิดไอ้นี่หน่อย อะไรหยิบจับ โน่นนี่อะไร มันก็เป็นธรรมดา มันก็ต้องมี มันก็ไม่น่าเสียดายอะไรมากมาย มันเล็กน้อย ทีนี้มันมาก มันก็จะเสียดายมากซิ ระมัดระวังถึงอย่างไรก็ตาม ที่พูดที่กล่าวนี่ ก็เพื่อที่จะให้ดูแลกัน คนจะเข้ามามาก คนหลายประเภท หลายอย่าง เข้ามาไม่ซื่ออย่างนี้ก็มี หรือแม้แต่เข้ามาโดยเจตนาซื่อก็ตาม เรายังต้องคัดเลือก เรายังต้องช่วยกันดูแล เพราะบางที เข้ามาสร้างรูปแบบ มาทำอะไร ตัวอย่างที่ไม่ดีไม่งาม อยู่ในหมู่ในกลุ่ม เสร็จแล้วก็ก่อความเสื่อมเสีย เสีย คนที่เขายึดถือก็มี มาถึง เขาไม่ดูหรอก ว่าคนส่วนใหญ่หนะ ที่จริงในนี้หละดี คนส่วนมากหนะดี แต่คนไม่ดีมีบ้าง เป็นบางคน คนหนึ่งสองคนสามคน เขาเรียกว่า ปลาตัวเดียว พาปลาหมู่นี่เหม็นไปทั้งข้อง ปลาตัวเดียวพาหมู่ในข้องเน่าไปด้วย อย่างงี้มันก็พา หรือพาลพาให้เป็นได้เหมือนกัน เราจึงต้องระมัดระวัง ถ้าไม่มีเสียได้มันดี ก็ช่วยกันสอดส่องดูแล ไอ้นี่เรื่องๆหนึ่ง ที่จะช่วยกำชับกำชา ที่จะบอกกล่าวกัน โดยเฉพาะญาติโกโยติกา ระมัดระวังนะ เข้ามาแล้ว เขาก็ตีสนิท เพราะว่าในที่นี้เอง มันก็ไม่กระไรหรอก ยิ่งตัวผู้เป็นอารามิกาแล้ว อยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรมากมาย เพราะงั้น ญาติโยมที่อยู่บ้านๆ นั่นแหละ ระวังแอบแฝง แล้วขอตีสนิทไปอย่างโง้นอย่างงี้ เราไว้ใจ มอบไอ้โน่นให้ มอบไอ้นี่ให้ มอบกุญแจให้เลย แหม! สบายมาก เขาก็เปิดหมุน ไอ้โน่นไอ้นี่ สบายไปเลยนะ มันก็ยาก เราไม่เข้าใจ แล้วเราก็ มันไม่เชื่อเกินไป ที่จริงไม่ใช่ว่า ไม่ให้ไว้ใจคน ไม่ให้เชื่อคน เชื่อ อย่าไปเพ่งโทษกัน แต่ว่าต้องดูด้วยปัญญา สอดส่องอ่าน มีเหมือนมิเตอร์วัดดู ถ้าเผื่อไม่ชอบมาพากล ยัง ก็อย่าเพิ่งไปไว้ใจเกินไปนัก มองไปในแง่ดีก็ดีอยู่ แต่ก็ระมัดระวัง เพราะคนเลวมันมีในสังคม เราจะไปห้ามไม่ให้คนเลว ไม่มีไม่ได้ เราก็ช่วยกันลดคนเลวนั่นแหละ ลดได้เท่าไหร่ก็ดี แต่มันลด มันไม่ได้หมด มันก็ต้องระมัดระวัง ถ้าเราเองยังต้องเป็นอย่างนั้น อย่างนั้นอยู่ เพราะงั้น ความปลอดภัย ก็อยู่ที่เราเป็นคนไม่มีอะไร อย่างอาตมา ไม่กลัวหรอกของหาย เพราะอาตมามียังงี้ ไปไหนอาตมาก็สบาย ที่ไหนก็ได้ นั่งที่ไหน นอนที่ไหน วางที่ไหน อาตมาก็สบาย นี่อาตมารู้แล้วว่า อย่างนี้มันดีที่สุด แล้วอาตมาก็อยู่จุดนี้ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไปมีมาทำอะไรหละ เป็นภัยแก่ตัว หนักหนา ลำบาก อะไรยังงี้ ถ้าถึงที่สุดอย่างงี้ได้ มันก็ถึงสุดได้ ทีนี้คุณยังถึงที่สุดไม่ได้ คุณก็ต้องระมัดระวังพอสมควรนั่นแล้ว ก็พยายามปฏิบัติลดละ เพื่อความมั่นใจของเรา เมื่อเราจะมาถึงจุดที่ ไม่ต้องสะสมนี่ เราจะทำได้ไหม เราก็ค่อยๆเป็นไปกันมา ไต่ขึ้นมา บุญบารมีถึง ก็ชาตินี้มาได้ มาเป็นกัน อย่างที่อาตมาพาเป็นกัน ทั้งผู้หญิง ผู้ชายนี่ก็หมด หมดเนื้อหมดตัวมานี่ จอมปอกลอกก็คือ อาตมานี่แหละ พระโพธิรักษ์นี่ แต่ไม่ได้ปอกลอกแบบนั้นนะ แบบตัวอย่าง ที่ยกตัวอย่างให้ฟังนี่หละ แบบโกหก ตอแหล หลอกลวง ปลิ้นปล้อน แต่อาตมาปอกลอกอย่างจริงนะ ค่อยๆลอกคุณออก ทีละชั้น ละชั้นๆ เลยนะ ลอกกิเลส ลอกความหาบหาม ลอกความหอบๆหวง ลอกในสิ่งที่เรายังหลงใหลมากมายนั่นหนะ ออกมา จนคุณๆ สามารถที่จะอยู่ในขั้นที่เรียกว่า มันลอกออกมา จนไม่ต้องหอบต้องหามอะไรได้ หนสุดท้าย ก็ปลดปล่อยตัวเองได้ ก็มาเป็นคนวัด มาเป็นนักบวช มาเป็นอะไรต่ออะไรไปจริงๆ อย่างงี้ นี่การลอกงี้ ก็ใช้ศัพท์ซ้ำกัน ใช้ศัพท์ซ้ำกัน แต่ว่ามันความหมายคนละอย่าง ลอกอย่างงี้ลอกดี ปอกอย่างงี้ลอกเอา ไอ้คราบที่ไปหอบไปหาม จนล่อนสะอาดเลย ล่อนสะอาดสบายเบาเลย ก็อย่างผู้ที่เป็นที่มาแล้ว แม้จะในวัตถุ ไม่ค่อยลำบากลำบนอะไร แล้วยังต้องมาระมัดระวังจิตอีก ต้องลอกกิเลสที่ในจิตอีก นี่ขนาดวัตถุวัตเถอะ อะไรก็สบายแล้ว พวกเรานี่เยอะแยะหลายคน มาเป็นนักบวชแล้ว ก่อนจะถึงขั้นบวชที่นี่ ก็พยายามที่สุด ที่จะให้ไม่นุงนัง ในเรื่องโภคคักขันธา ในเรื่องของทรัพย์สมบัติ เรื่องของทรัพย์ศฤงคาร พยายามลอกขั้นหนึ่งแล้วนะ ขนาดนั้น ก็ยังมาลอกกิเลสในจิตอีก ซึ่งเป็นขั้นใน ลอกยากอีกมาก กว่าจะสะอาด ล่อนเกลี้ยงอีก มันก็ไม่ใช่เบา ขนาดเบาวัตถุ ก็สบายดีแล้ว ถ้าจะอยู่อย่างแบบนี้ ติดฐานติดแป้นอยู่อย่างงี้หละ พวกอาตมาสบาย ไม่ยากอะไรหรอก แต่อาตมาเอง อาตมาว่า ไอ้แค่นี้มันยังไม่จบสิ้น ยังไม่ถอนอนุสัยอาสวะ ยังไม่พ้นทุกข์อันสูงส่ง อย่างศาสนาพุทธ เรามีเป้าหมายละเอียดลออกว่านี้ เราก็แข่งกันไป ทำกันไป สูงไปกว่านี้อีกนะ เพราะงั้น เราจะเห็นขั้นตอน เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายของชีวิตนี่มันชัดนะ เบื้องต้นตั้งแต่วัตถุหยาบ เป็นระดับมา จนกระทั่งมาขั้นสูงยังมีอีก ว่าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของเรา แล้วหอบหามมันอยู่อย่างงั้นแหละ มันไม่ใช่ของตัวตนหรอก แต่ก็ทิ้งไม่ออก และก็อยู่กันอย่างงั้นแหละ มันประเดี๋ยว เราตายจากมัน มันก็หมด คุณคิดเอาง่ายๆ อย่างงั้นหละ เพราะงั้น สิ่งพวกนี้ ถ้าเผื่อว่าเราเข้าใจไม่ถึง และมันก็ไม่กล้าหาญจริงๆ มันก็ไม่เป็นจริง และเราก็ไม่ได้อยู่อย่างเบาจริง กิเลสที่ติด แม้แต่หยาบ เราก็ได้แต่ภาษา มาแก้ตัว เป็นจอมโจรบัณฑิตว่า โอ๊ย! ทุกอย่างไม่มีตัวไม่มีตน ทุกอย่างไม่ใช่ของเราของเขาอะไร เป็นเครื่องอาศัย สังเคราะห์ ก็สังเคราะห์มันไปอย่างงั้นแหละ แต่ไม่เคยที่จะลองทิ้งดูซิ ไปทิ้งมันทำไมหละ มันของมีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปอดมัน ไม่ต้อง สบายๆ ยังไงก็ได้ ก็อยู่บนมัน เหนือมัน ก็ปากโม้เอาเอง อยู่บนมัน เหนือมัน มันไม่ใช่บนมัน เหนือมันได้ง่ายๆนะ ขนาดบอกว่า ลอกตัวเอง ไม่ต้องอาศัยวัตถุอะไรมาก มีมักน้อยสันโดษอย่างงี้ คุณพอใจในความมักน้อยสันโดษ มีวัตถุน้อยอย่างงี้จริงไหม ถ้าไม่จริง คุณก็จะต้องสะสม สะสม เดี๋ยวนี้ ให้เห็นนี่แหละ มาเป็นนักบวชแล้ว ก็มานั่งสะสม นี่ก็ยังมีขั้นตอนอยู่เลย นักบวชของเราบางคน ก็ยังติดโน่นติดนี่ บางสิ่งบางอันซึ่งก็น้อยแล้วหละ แต่เรายังมาเจียนให้ละเอียดอีกเลย ในพวกเรา คุณคิดดูเถอะว่า มันมีสภาพที่ซับซ้อน ละเอียดลออ แยบคายขนาดไหน เรายังต้องมาเลย ไอ้นู่นนิดไอ้นี่หน่อย อะไรต่างๆนานา ก็บอกให้มันปล่อยให้ได้จริงๆ ทุกอย่างลดไป มันเกี่ยวข้องกัน มันเกี่ยวโยงกัน มันสัมพันธ์กัน มันซึ้งซับซ้อนนะ ผู้ที่มาปฏิบัติ แล้วมาเป็นอารามิกะ อารามิกา หรืออาคันตุกะ ใกล้เคียงเข้ามา ก็ยังมีขั้นตอน ที่เราจะต้องมาอบรมตน ประพฤติมาลดละจริงๆ ไม่ใช่คุณมาแฝง ไม่ใช่คุณมาอยู่ แม้อาคันตุกะก็ดี ก็มาลองลด มาอยู่วัดนี่ เรามีน้อยใช้น้อย มาหัดประหยัด ไม่ใช่ที่บ้านเราที่จริงหนะ มีน้อยด้วยซ้ำ พอมาที่วัด มีฟุ่มเฟือย มีหลายอย่าง ให้เปลืองได้สบายเลย น้ำท่าก็เยอะ เครื่องใช้บางสิ่งบางอย่าง สบู่ ผงซักฟอก ไฟฟ้า อะไร ของหลายๆอย่าง บางอย่างที่เป็นของกลาง อยู่ที่นี่มาถึง เอ๊ย! บ้านเราก็อดๆ อยากๆ มาที่นี่... มาผลาญ มาพร่าที่นี่เลย นั่นมาเลวนะ ไม่ใช่มาดี นั่นเลวนะ เพราะงั้นเราไม่เลว เราจะเป็นคนมาดี เราจะมาฝึกหัด อบรม เราจะพยายาม แม้ของนี่มีจริง คนอื่นเขาก็อุทิศมา คนอื่นเขาให้มาใช้เป็นประโยชน์ เพื่ออาศัยเขาให้ได้ก็ดี แต่เราเอง เราเป็นคนมาเจียนนิสัย อุปนิสัยใจคอ เป็นคนมักน้อยเข้าที่สุด เป็นคนเปลืองน้อยที่สุด ผลาญพร่าน้อยที่สุด ที่จะมีกระเหม็ดกระแหม่ลงไป และก็พอเป็นพอไป อบรมตนจริงๆ ยิ่งเข้ามาในสภาพที่เรียกว่า คนเขาให้ด้วยใจบุญแล้ว เรามาผลาญพร่า ด้วยความประมาท ด้วยความไม่เข้าใจ บาปมันยิ่งเยอะนะ บาปมันยิ่งเยอะ ฟังดีๆนะ บาปมันยิ่งมากมันยิ่งแรง เพราะเขาให้มาด้วยจิตอย่างหนึ่ง จิตที่ตั้งเป็นกุศล เพื่อที่จะให้ใช้อย่างสนิทใจ เขายิ่งสนิทใจ เขายิ่งให้ฟรี ไม่ต้องการแลกเปลี่ยนเท่าไหร่ บุญมันยิ่งสูง ตัวเจตนา เจตนารมณ์มันยิ่งสูง แล้วเรายิ่งผลาญพร่ามาก เรายิ่งบาปมาก ยิ่งบาปมาก บวชในวัดเลว ระมัดระวังบาปได้ง่ายกว่าบวชในวัดดี ยิ่งวัดดี ยิ่งคนมาทำบุญด้วยดี ยิ่งมีเจตนารมณ์ มีภูมิปัญญาสูง สิ่งที่ให้แก่กันและกัน มีคุณค่ายิ่งสูง หาค่าบ่มิได้ เรายิ่งผลาญ ของที่หาค่าบ่มิได้นี่มาก เรายิ่งบาปมาก นี่มันมีภาวะซับซ้อนอย่างงี้ อาตมาก็พยายามใช้ภาษา ที่จะสื่อให้คุณเข้าใจ ได้สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน พวกนี้ ให้ลึกซึ้ง เรายิ่งอยู่ในวัดที่เขาดีแล้ว เราทำตัวยิ่งเลว มันยิ่งบาปมาก เราอยู่ในวัดดี เป็นประเทศอันสมควร ในหมู่กลุ่มสัตบุรุษ ใกล้เคียงบัณฑิต ประเทศที่ขัดเกลาดี เราก็ต้องพยายามระมัดระวังให้ดี ถ้าไม่ดีบาปมันก็มาก บุญมันก็มากถ้าเราอบรมตนได้ มันก็ดีจริง มันก็ยิ่งบุญเยอะจริงๆด้วยนะ เพราะงั้น ระมัดระวังในจุดเหล่านี้กันดีๆ พวกเรานี่อยู่ไปก็ยิ่งมากคน ตัวเราเองจะบ่อนจะทำลายตัวเราเองกันเอง ถ้าเราเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี มันก็ไม่น่าเลื่อมใส คนเขาฟังสันติอโศกนี่ เขาฟัง โอ้โฮ! เคร่งครัดนะ มีคุณธรรมสูง บุคคลดี อย่างโง้นอย่างงี้ๆ พอบกพร่องนิดๆหน่อยๆแล้ว เขายึดถือแล้ว เขาถือสาแล้ว ถ้าวัดเลอะๆ เขาไปดูเขาไม่ถือสา เขาไม่ได้มีกระแสเกียรติคุณเฟื่องฟูอะไรไป วัดนี้ยังไงเขาก็รู้ว่า วัดเลอะๆ เขาก็ไม่ถือสา เข้าไปมันก็เละๆอยู่แล้ว เขาไม่ว่าอะไร จะเลื่อมใสไม่เลื่อมใส เขาก็อย่างงั้นๆอยู่แล้ว แต่ถ้าเขาเลื่อมใส เขาตั้งค่าไว้สูง เสร็จแล้ว เรามาเป็นไปในทางที่ไม่ดี มันยิ่ง(ไม่)เลื่อมใสมาก ใครทำ คนนั้นจึงบาปมาก จึงต้องพยายามช่วยกันรักษาดูแล อบรมขัดเกลาเป็นไปด้วยดีนะ มีอีกจุดหนึ่งที่อยากจะเตือน ก็คือ การผู้ที่มีอัจจารัทวิริยะ กับอัตติริณวิริยะ ในส่วนหยาบ มันก็อยู่ด้วยกันนั่นแหละ มันก็รวมๆกันอยู่ มันช่วยเหลือ สนับสนุน หรือส่งเสริมกันอยู่ ผู้ที่ไม่ลงตัวไปในทิศทางที่มันดี มันก็ช่วยกันฉุด ถ้าผู้ใดที่ไปในทิศทางที่มันดี สมส่วนเพียงพอ มันก็ช่วยกันส่งช่วยกันเสริม อาตมาใช้สำนวนอย่างนี้ แนะนำ เพราะฉะนั้น ผู้มาทำแล้ว ไม่ถึงคุณค่าที่มันเข้าสัดส่วนส่งเสริม มันก็จะฉุด เพราะฉะนั้น ผู้ใดมาขี้เกียจมาก ในที่นี้มันมีที่ให้ขี้เกียจมากแล้ว เราจะเสื่อมมาก ถ้าผู้ใดมาขยันๆมาก มันก็จะดีมาก ทีนี้มันยังมีทิศทางที่สูงขึ้นไปอีก ขยันมากจนเรายึดมั่นมาก ก็ทำให้เราเองสุขภาพร่างกายเสีย เพราะว่าที่นี่มีงานให้ทำมากแน่ และมีช่องทางให้อยู่เฉยๆ ขี้เกียจ หลบลี้ได้มากด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าใครมาแฝง มาอาศัยที่นี่หลบลี้ ก็ช่วยกันเข็น ผู้ใดช่วยกันจี้คนที่หลบๆเลี่ยงๆ มาก ก็ช่วยกันดูแล ให้ขยันหมั่นเพียรขึ้นมาบ้าง ทีนี้ผู้ขยันมีอะไรให้ทำ มีกะจิตกะใจก็ดี ขยันก็ดี แต่ระมัดระวัง พักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าพักผ่อนไม่เพียงพอแล้ว มันสุขภาพร่างกายก็เสีย หรือแม้แต่จุดหนึ่งคือ เปลี้ยเพลีย เมื่อเปลี้ยเพลียแล้ว ความง่วงก็มีมากด้วย เปลี้ยแล้วความง่วงก็มีมากด้วย พอพูดอย่างงี้ ผู้ที่รู้สึกว่าตัวเปลี้ยเพลีย ก็ต้องคิดให้ดีว่า เปลี้ยเพลียจริงหรือกิเลส เจ้าช่องทางกิเลสนี่ มันชักเก่งนะ พอได้ทางอย่างงี้ ได้ช่องแล้วโว้ย จอมโจรบัณฑิต เอาอีก ได้ช่องแล้ว โอ๊ย! ผมทำมากไป เปลี้ยเพลีย ผมมันง่วงเก่ง เพราะเปลี้ยเพลียนี่เอง เพราะผมทำมากไป จริงหรือเปล่า จริงเปล่านะ ขอให้ถามตน ขอให้พยายามจริงๆ คนเรานี่ อาตมาเคยยกตัวอย่างว่า คนโลกเขาขยันนะ เขามุ่งมั่น มีปีติเลี้ยง ไอ้ปีตินี่เลี้ยงคนได้ เพราะฉะนั้น ถ้าใครจำใจมาทำงานนี่ นิดๆหน่อยๆนะ ไม่มากนัก เปลี้ยเพลียแล้ว และง่วงจริงๆด้วย เพราะไม่มีปีติเลี้ยง มันขี้เกียจ มันทำด้วยฝืนใจ ทำแล้วก็ไม่สดชื่น ไม่ร่าเริง ไม่เห็นดี ไม่พากเพียร ไม่บากบั่น ทำด้วยจำใจจำทน เปลี้ยเพลียเร็ว แล้วเปลี้ยจริงๆ เพลียจริงๆ แล้วก็จะโงกง่วงง่าย ทำแล้วก็ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไร มากมาย แต่ถ้าคนนั้นมีปีติ คำว่าปีตินี่คือ ความฉันทะ ใช้ศัพท์มันสับไปนิดหนึ่ง ขออภัย ใช้ว่าปีติเลี้ยงนี่ เป็นภาษาของทางเขาอธิบายกันมานาน มีปีติเลี้ยง ที่จริงมีฉันทะ มีความยินดีนะ มีความยินดีพอใจ ในงานนั้น ดีไปทีเดียว มันเลี้ยงและมันร่าเริงเบิกบาน มันไม่ง่วงง่าย ซับซ้อนนะ ที่พูดนี่ซับซ้อนมาก เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่มีฉันทะดี เออ! ภาคภูมิยินดีนะ มันตื่น มันไม่ง่วงหรอกนะ มันพักผ่อนก็พอ พอเปลี้ยเพลียหน่อย ก็ไปพัก พักแล้วมันก็หลับดี ไม่ฟุ้งซ่าน และไม่ต้องห่วงงาน งานในโลกนี้ ไม่ต้องไปห่วงมันหรอก แล้วยิ่งงานของเรา ไม่ได้ไปเที่ยวไปแย่งไปชิงใคร ไม่ได้ไปแย่งลาภแย่งยศอะไร เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปห่วงมันหรอก พอประมาณนะ เราตื่นขึ้นมา ก็ตื่นเต็มแล้ว ก็มารับผิดชอบอะไรต่ออะไร จะโน้ต กลัวลืมก็จดไว้ จดไว้ติ๊กไว้ ทำสัญญาณไว้ เรียบร้อยแล้ว เราก็ทำงานของเรา นอนหลับก็หลับอย่างสบาย สงบเงียบ แล้วตื่นขึ้นมาก็ตื่น เบิกบาน ร่าเริง ถ้าเราฉันทะอยู่ในงานด้วย งานนั้นก็จะเข้ามาหาตัวเราเลย แล้วเราก็จะเริ่มต้น พอตื่นแล้วก็ทำงานนั้นต่อ อย่างสดชื่นเบิกบานร่าเริง เป็นฉันทะนะ ภาษาไทยเรามาแปลว่า ยินดี ทั้งคู่ ฉันทะก็ยินดี ปีติก็ยินดี มันยินดีในงานนะ ทีนี้แล้วเขามาอธิบายสับสนกัน ก็ว่าปีติเลี้ยง ไอ้เราก็เลยไป ต้องอธิบายตามเขาว่านะ มันมีฉันทะอยู่ในตัวของมันเอง ซึ่งเป็นอิทธิบาท เป็นบทบาทการงาน เป็นตัวที่เมื่อสั่งสมดีแล้ว ผู้นั้นจะมีเลย เป็นตัววิญญาณว่า เออ! เรานี่ฉันทะ อันนี้ก็ฉันทะ ฉันทะ เพราะฉะนั้น ทำงานด้วยฉันทะ มันไม่มีทุกข์หรอก นอกจากไม่ทุกข์แล้ว มันทำได้ทนด้วย แล้วมันทำได้ดีด้วย เมื่อฉันทะนำแล้ว วิริยะก็จะตาม แล้วจิตมันก็จะสมบูรณ์ วิมังสาก็เกิดเนื้อแก่น ตริตรองไตร่ตรอง พิจารณาแยบคาย ทำด้วยความอุตสาหะดี ไม่ทำลวกๆ ไม่ทำสักแต่ว่าส่ง มันจะทำอย่างละเอียดลออ ไตร่ตรอง พิจารณา ประณีต งานสละสลวยดีเป็นที่สุด ถ้าอิทธิบาทเต็ม ครบทั้ง ๔ องค์แล้วละก็เจริญ งานการดี ทุกอย่างเจริญ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ไม่ทุกข์ มีแต่การสร้างสรรที่สมส่วน ผู้ใดที่ขยันๆ จนสุขภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ไม่ดี ก็ระมัดระวัง แต่ยังไม่เห็น ที่จนกระทั่ง ร่างกายมีแต่จะอ้วนปี๋ อ้วนปี๋ขึ้นเรื่อยๆ ปึ้งๆ แข็งแรงขึ้นดีๆ นอกจากโรคขี้เกียจ เป็นโรคประท้วงตัวเอง ก็เลยกลายเป็นเจ็บนั่นปวดนี่ ไอ้โน่นไอ้นี่อยู่ ทำมากไปอย่างงี้ นั่นโรคจิต ไซโคซิส โรคประท้วง ทำไอ้โน่นนิด ทำไอ้นี่หน่อย ก็ไม่ทน ไม่ขยัน ป่วยบ้าง ทำบ้าง แล้วก็เจ็บโน่นป่วยนี่ เป็นนี่ นั่นมันมันออเซาะนะ โรคประท้วง ไม่ได้เรื่อง แต่คนที่ขยันจริง มันไม่ค่อยป่วยหรอก และแข็งแรงด้วยนะ สมส่วนนะ กินอยู่ก็สมบูรณ์ดี พักผ่อนก็พอสมควร มันก็จะสมตัวสมทรง รูปร่างคล่องแคล่ว กระปรี้กระเปร่า จะคล่องแคล่ว กระปรี้กระเปร่า ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่มีอ่อนแอ ไม่เจ็บป่วย เจริญงอกงาม เบิกบานร่าเริง คนนั้นจะเบิกบานร่าเริง และเมื่อเรามีชีวิตที่เบิกบานร่าเริง สร้างสรรขยันเพียร อยู่กับกลุ่มหมู่สนิทเนียน เป็นสามัคคีธรรม ไม่หลุดไม่ร่วง ไม่หล่น ไม่แอบ ไม่ลี้ ไม่ป่วยทางกาย ไม่ป่วยทางใจ เป็นสังฆมณฑล เป็นหมู่กลุ่มของสังฆะ สังฆะนี่แปลว่า หมู่กลุ่มที่มีอริยคุณ หมู่กลุ่มของคนที่เป็นอริยบุคคล ถ้าโดยปรมัตถ์ โดยอริยบุคคลที่ถูกต้อง ก็คือเป็นหมู่กลุ่มที่มีพระอริยะ ตั้งแต่ อริยะโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ถ้าอยู่ในตัวคนเดียว ก็ตัวคนเดียวเป็นสังฆะได้ เป็นพระอรหันต์ แต่ทีนี้สมมุติโลกเขาไม่ยอมรับ เอ้า! เมื่อไม่ยอมรับ ก็ต้องใช้บุคคล ๔ คน สมมุติว่าคนหนึ่งเป็นโสดา สมมุติว่าคนหนึ่งเป็นสกิทา สมมุติว่าคนหนึ่งเป็นพระอรหันต์ เมื่อไม่ได้ก็ เอ้า! โสดา ๔ สี่องค์ ก็แล้วกัน พระอริยะ ๔ รูปก็ได้ หนักเข้าไม่ได้ เอ้า! พระโสดามีองค์เดียว แต่ขอพระกเฬวรากอีก ๒-๓ รูป หนักเข้าไม่ได้ สมมุติสงฆ์มันทั้ง ๔ เลย นี่มัน อาตมาพูดไม่ไหว ประวัติศาสตร์พวกนี้ และนัยที่ละเอียดซับซ้อนพวกนี้ พูดไม่ไหว มันไม่มีเวลาพอ มันซ้อนอยู่อย่างงี้ จนทุกวันนี้ ถ้าบอกว่าครบองค์สงฆ์ ก็คือมนุษย์ ๔ รูป จะมีคุณธรรมไม่มีคุณธรรม ไม่เกี่ยว ถือว่าครบองค์สงฆ์ มีพระ ๔ องค์ก็แล้วกัน และในความหมายที่ลึกซึ้ง ดังที่กล่าวไปนี้ ไม่รู้เรื่องเลย เดี๋ยวนี้เขาไม่รู้เรื่อง อาตมาพูดนี่ เขานึกว่าอาตมาพูดเอาเอง ก็จริง เพราะมันไม่รู้แล้ว อาตมามันมีญาณรู้ แล้วก็เอามาอธิบายเอง แม้จะไม่ตรงกับเกจิอาจารย์ องค์ไหนก็ตาม แต่เข้าท่าไหม อาตมาไม่สงสัยนะ เอาพระ ๔ รูป สมมุติสงฆ์ มาเป็นองค์สงฆ์ อาตมาไม่สงสัยนะ อาตมาก็เอาด้วย เอา เอาซิ ก็มันไม่มีอะไรแล้ว เอาแค่นี้ก็เอาแค่นี้ซิ จะไปว่าอะไร แต่ถ้ามันมีคุณค่าสูงกว่านั้น มันไม่ดีหรือ และมันที่ถูก เป็นอย่างนี้ คุณจะคิดด้วยเหตุผลได้ไหม รู้ด้วยปัญญาได้ไหม ถ้ารู้ได้ ไม่เห็นมีปัญหาอะไร สังฆะ นี่แปลว่า กลุ่มก้อนของสิ่งประเสริฐ เพราะฉะนั้น เรายิ่งมีอยู่ ว่าแต่สี่องค์เลย พระอริยะมีมากกว่าสี่องค์ ก็ยิ่งเป็นสังฆมณฑลที่ยิ่งใหญ่ ประเสริฐนะ เราจะมาสั่งสมสังฆมณฑล สั่งสมคนที่เป็น สาวกของพระพุทธเจ้า อยู่ในลัทธิของพระพุทธเจ้า เป็นทั้งอุบาสกอุบาสิกา แต่ พระโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ได้ แม้จะเป็นอุบาสกอุบาสิกา ก็อริยคุณนี้จริงๆ เพราะฉะนั้น พุทธบริษัทนี้ ไม่ใช่ของปลอม พุทธบริษัทนี้ แม้จะเป็นฆราวาส ก็เป็นพระอริยะ อริยบุคคลจริง และคุณคิดดูซิ สังฆมณฑล หรือพระบริษัทของพุทธ ที่มีคนเป็นพระอย่างนี้แล้ว มันจะไม่สบายได้ยังไง แม้อยู่ในประเทศไทย จะถือศาสนาพุทธไม่หมด แต่ในจำนวนของศาสนาพุทธนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นพระ ซะมากกว่ากึ่งหนึ่ง คือพระโสดา สกิทา อนาคา กันจริงๆ มีสมมุติ และก็เป็นคนที่พากเพียร เป็นผู้ที่เป็นอาหุเนยยบุคคลแท้ ปฏิบัติธรรมะอย่างแข็งขัน เป็นโคตรภูบุคคล คือเป็นบุคคลที่เข้าใจ ทางที่จะมาเป็นบุคคลที่ว่า มีตระกูล มีโคตรมีเง่า มีเชื้อเป็นอริยะ แม้เรายังจะเข้าโคตรไม่ได้ เข้าตระกูลเข้ากลุ่มเข้าหมู่ เข้ากระแสของพระอริยะ แม้โสดายังไม่ได้ เราก็รู้หลักเกณฑ์ เราก็รู้ทางประพฤติ เราก็ปฏิบัติ แม้จะยากจะเย็นหน้านองน้ำตาอยู่ เราก็ขอปฏิบัติ เพื่อเข้ามาสู่โคตรของพระอริยะแท้ ปฏิบัติจริงๆ อย่างเอาใจใส่พากเพียรอยู่ เป็นอาหุเนยยบุคคล เป็นผู้ที่ควรเคารพบูชา เพราะว่าอุตสาหะวิริยะ ด้วยหลักศีลหลักธรรม ของพระพุทธเจ้าจริงๆ ปฏิบัติจริง เห็นได้ แม้โดยรูปหยาบก็เห็นอยู่ว่า ตั้งอกตั้งใจทำ อุตสาหะวิริยะจริงๆ แม้บารมีจะไม่มีคนแบบนี้เป็น อาหุเนยยบุคคลชนิดหนึ่ง ในเก้าจำพวก นอกจาก ตั้งแต่โสดาขึ้นไป จนกระทั่งถึงอรหันต์ โสดาปฏิมรรค ไปจนถึง อรหัตตผลแปด นับโคตรภูบุคคล ที่มีความหมายอย่างที่กล่าวนี้ด้วย เป็นอาหุเนยยบุคคล แม้มาบวชเป็นพระ ยังเป็นสมมุติสงฆ์ ยังไม่ได้แม้พระอริยะโสดา แต่ก็เป็นผู้ปฏิบัติ ด้วยความพากเพียร ด้วยศีลด้วยธรรมอยู่ ก็เป็นอาหุเนยยบุคคล เป็นผู้ที่ควรคารพบูชา เป็นทักขิเนยยบุคคล เป็นผู้ควรได้รับของทาน แม้จะไม่เป็นปาหุเนยยบุคคล คือเป็นผู้ที่ควรต้อนรับอย่าง เพื่อที่จะเอาธรรมะจากท่าน ทีเดียวก็ตาม แต่ก็เป็นปาหุเนยยบุคคล อยู่เหมือนกัน คือ เป็นผู้ที่ควรจะได้รับการต้อนรับ เพราะเป็นผู้ที่อุตสาหะวิริยะ อย่างน้อยก็มีคุณค่า ในทางที่อุตสาหะวิริยะ แม้ยากเย็น ปฏิบัติธรรมหน้านองน้ำตา ก็เป็นผู้ที่น่าเคารพ เพราะฉะนั้น เราจะเป็นอย่างไร ที่นี่เราอบรมธรรมะของพระพุทธเจ้า มีองค์ธรรม มีคุณธรรมมากเหลือเกิน ที่เราจะศึกษา เพื่อทำตนให้เป็นคนดีของสังคม เราก็สบาย พ้นทุกข์ และเราก็เป็นตัวอย่างอันดีงาม แม้เป็นโคตรภูบุคคล เราก็เป็นตัวอย่างอันดีงามแล้ว แล้วยิ่งเราบรรลุธรรมด้วยแล้ว เรายิ่งสอนคนได้ด้วย อบรมคนได้ด้วย มีปฏิภาณ มีความรู้ เป็นครูคนเข้าไปอีก มันก็ยิ่งดีใหญ่ซิ นี่ภาวะที่อธิบายอยู่ ก็ซับซ้อน หมุนเวียนไปหลายนัยนะ ก็ขอให้พวกเราได้ไตร่ตรอง ตรวจตนเอง เป็นผู้ที่ดูขยันพอสมควร หรือขยันยิ่ง จนไม่เกินเขต ไปจนมีส่วนเสื่อม โดยเฉพาะสุขภาพ ร่างกายก็เสีย หรือเปลี้ยเพลียจนเกินไป จนกลายเป็น เสียไปทางธรรม กลายเป็นคนโงกง่วง กลายเป็นคนหิวโหย อาลัยอาวรณ์ กลายเป็นคนที่ไม่สมดุล ก็จะต้องจัดสัดส่วนให้ดี จัดสัดส่วนให้สมควร ระมัดระวัง พอดู อย่างนี้ก็ได้เตือนอีกแล้ว ระวังช่อง จอมโจรบัณฑิต เลยกลายเป็นขยันน้อยไปเลย เพราะว่า เอ๊ย! ไม่ได้หรอก เปลี้ยเพลียเกินไปแล้ว เราก็เลยต้องง่วง ไม่ดี เดี๋ยวจะเสีย ต้องนอนมากๆหน่อย พักมากๆหน่อย นักวิ่งหนะ ยิ่งวิ่งมาก เขาก็ยิ่งซับซ้อน เขาก็ยิ่งแข็งแรงมาก แต่ก็ต้องอย่าให้เกินแรง ถ้าเกินแรงก็เสียเหมือนกัน นักวิ่งนะ ซ้อมมากเกินไปตาย นักมวยซ้อมมากเกินไป ชกไม่ออก หรือไม่มีกำลัง นี้มันซับซ้อนอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าสมดุล ทำได้สมดุลโดยจริงแล้วละก็ ทุกอย่างเจริญ งอกงามไปด้วยดี ไม่มีส่วนบกพร่อง ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ไม่ป่วยไม่เจ็บ สุขภาพแข็งแรง และจิตใจเบิกบานร่าเริง พักผ่อน ไม่มีกิเลสเข้า จิตนิวรณ์อะไร ก็สมดุล ระมัดระวังได้ ก็เพราะปฏิบัติสัมมา อันพอเหมาะพอดี ได้สมดุลดี เอ้า! วันนี้ขันเกลียวเรื่องสัมมาคารวะ สมดุลพวกนี้ให้ ตอนท้ายนี้ ให้เราได้รับฟัง ได้รับรู้ ก็ขอให้พวกเราได้สังวร พวกนี้ บางทีบางอย่าง ออกรูปที่น่าเกลียดน่าชัง ไม่ว่านักบวช ไม่ว่าฆราวาส ถ้าเกินไป ก็ระมัดระวังนะ แล้วก็ทำให้มันสมดุลพอดี ทุกอย่างจะดีทั้งบุคคล ดีทั้งกิจกรรม ดีทั้งทุกอย่างลงตัว เป็นไปด้วยดี ต้องฉลาดเข้าใจ อย่ากลายเป็นจอมโจรบัณฑิต เท่านั้นแหละสำคัญ เมื่อไม่เป็นจอมโจรบัณฑิต แล้วเราก็พากเพียร ตั้งตนอยู่ในความลำบากพอสมควร และก็พอเป็นไป กิเลสต่างๆ มันก็จะได้ถูกขัดเกลา แล้วเราก็จะทำได้ดีขึ้น ทุกอย่างจะเจริญงอกงาม และก็มีนัยความรู้ แต่ละบุคคลจะรู้โดยตนเอง ว่าเป็นความรู้ที่ซับซ้อนลึกซึ้ง ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่ามันไม่เพียงพอ คนมามาก ผู้ที่รับชอบอยู่มาก แบกหามมาก มันก็เป็นภาระมากๆ และทำไปลำบาก เปลี้ยเพลีย หนัก เหนื่อย อาตมานี่นักหนัก เนื้อยเหนื่อย เปลี้ยเพลียมาก นี่ไม่ใช่แก้ตัวแบบจอมโจรบัณฑิต แต่ก็พยายามที่สุดที่จะให้เก่ง อาตมาเป็นนักวิ่ง ที่ต้องซ้อมอยู่ตลอดเวลา ซ้อม อาตมาเป็นนักวิ่ง เป็นนักยกลูกเหล็ก อะไรก็ซ้อม เป็นนักมวยที่หัดฝึกอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่จะไม่อืดอาด เพื่อที่จะเป็นคนคล่องแคล่ว กระปรี้กระเปร่า เบากายเบาใจ ขยันหมั่นเพียร ชำนาญ มีสมรรถภาพ ไม่ลดหย่อน อาตมาจะไม่เรื้อ จะไม่พยายามกลายเป็นคนขี้เกียจ แล้วก็เอาแต่ชี้นิ้ว เอาแต่สั่งการ ไม่กระทำ ตัวเองก็ไม่ฝึกปรือ ไม่ซักไม่ซ้อม ไม่เป็นอันขาด อาตมาไม่อยากเป็นคนเสื่อม อาตมาอยากเป็นคนที่มีสมรรถภาพอยู่ตลอด แม้จะสังขารร่วงโรย ก็เป็นเรื่องของสังขาร ตอนนี้ตาไม่ดี ทำงานบางอย่างไม่ได้ อย่างอาตมา ให้มาทำเลย เอาเดี๋ยวนี้ ที่จริงใจอยากทำนะ จะติดเลย เอาตัดเจาะ อะไรต่ออะไร นี่ต้องใช้มือและตามาก อาตมาแต่ก่อน ทำได้ดีทีเดียวหละ ถ้าซ้อมไปอีก ก็มีความสามารถมากกว่านั้น แต่เดี๋ยวนี้ มันสังขารไม่ทันแล้ว มันทำไม่ได้แล้ว แต่ใครมีฝีมืออยู่ ก็ทำไป มันก็จะช่วยกันอยู่นั่นเอง อย่างนี้เป็นต้น ยกตัวอย่างอาตมา ถ้าเผื่อจะต้องตั้งโต๊ะเลย์เอ๊าท์ ขึ้นมาอีกแล้วนี่ อาตมาทำไม่ได้แล้วเดี๋ยวนี้ อย่างนี้เป็นต้น แต่อันอื่น อาตมาว่าพอทำได้ อาตมาว่าพอทำได้ อาตมาจะเอา อาตมาบางอย่างไม่เป็น อาตมาจะฝึก ในสิ่งที่สำคัญ ในงานพวกนี้ ทั้งๆที่อาตมางานมาก อาตมาก็ไม่ว่า ปลีกเวลาก็ยาก แต่อาตมายังเห็น บางคนนี่ไม่เอื้อเลย ขี้เกียจทั้งๆที่มีฝีมือ บางคนเรียนมาด้วยซ้ำ ไม่เอาถ่าน เอ้อ! ก็ไม่รู้จะทำยังไง อาตมาก็ไม่เป็นนักใช้ ที่จะต้องไปจี้ใช้ อะไรมากมายเกินไปด้วย ถึงบอกว่า มันมีโอกาส ในที่นี้มีโอกาสจะเก หรือกับว่าขี้เกียจได้ง่าย แต่ก็มีโอกาสที่จะขยันเกินการเหมือนกัน เพราะฉะนั้น สิ่งสมดุลพวกนี้ ขอให้พยายาม ระมัดระวัง แล้วทำ แล้วคุณฟังดีๆ แล้วคุณจะรู้ว่า เรามาทำตนเป็นคนเหลวไหล หรือทำตนเป็นคนที่เจริญ เราต้องคิดให้เห็นเองๆเลย ถ้าคุณพอใจอยู่ก็อยู่ คุณไม่พอใจอยู่ คุณก็ไปได้ ที่นี่ไม่มีปัญหาอะไร แต่เราจะเข็นกัน จะเคี่ยวเข็ญกัน จะพยายามขัดเกลากัน พยายามที่จะปรับปรุงกัน นัยซับซ้อน ไม่รู้จะพูดยังไงไหว ที่มาทำงานศาสนานี่ ตัวเองมีตัวสำคัญตัวหนึ่ง ที่รู้ขึ้นมาได้ คือตัว คัมภีราวภาโส ที่พยายาม แปลว่า เป็นภาวะซับซ้อน หรือหมุนรอบเชิงซ้อน อันนี้เป็นตัวเด่นที่สุดเลย จะเห็นว่า โอ้โหย! จะนำคนหรือว่าสอนคนนี่ มันยากจุดนี้หนะ ยากจุดสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนนี่ โอ้โฮ! ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่พยายามที่สุด ที่จะหาทางทำยังไง จะให้คนเขาเข้าใจจุดนี้ แล้วก็ทำตน โดยที่เราระมัดระวัง อย่าให้กลายเป็นตัวเอนเอียงไปในทางใฝ่ต่ำ หรือสั่งสมความต่ำ แต่เอนเอียงไปในทางใฝ่สูง หรือสั่งสมความสูง แล้วอย่าตีกินด้วยกิเลส นี่สภาพนี้ มันมีสภาพหมุนไปหมุนมา คล้ายๆกัน ซับซ้อนอยู่ อ้างนี่ ตีกินก็ทุกวันนี้ จนกระทั่ง บรรยายมาจนได้คำว่า จอมโจรบัณฑิต ถ้าเราจะติดแป้นตรงไหน ติดได้ทุกแป้น ติดได้ทุกจุด และยังจะเอาแค่นั้น สบายได้ เหมือนกับศาสนาบางหมู่บางกลุ่ม เขาบอกว่า เอ๊อ! ไม่เป็นไร แค่นี้สบายแล้ว อยู่บนมัน เหนือมัน จิตว่างแล้ว เขาก็ได้แค่นั้น ศาสนาแค่นั้น แล้วพวกนี้เป็นคนมีบารมี กินบุญเก่า ร่ำรวย สมรรถภาพพอสมควร แล้วก็กินเสพดื่มสูบ อยู่ขนาดนั้นหนะ เขาอาจจะไม่หยำเป แต่เขาก็ขนาดนั้นแหละ เขาก็รักษาชีวิตอยู่ขนาดนั้น ไปได้ตลอดตายนะ และไม่ได้เจริญขึ้น อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะมักน้อยสันโดษ ผู้ที่จะขัดเกลาตนเองลงไปอีก ได้อีกมาก ตัวอย่างพระพุทธเจ้า ตัวอย่างพระมหาสาวก ตัวอย่างทั้งฆราวาส ทั้งนักบวช มีอีกเยอะ ที่เราจะทำให้ยิ่งๆ สูงๆยิ่ง แล้วก็จะเรียนรู้สภาวะ ที่เราหัดปลดปล่อย ทางจิตนี่ มันจะซับซ้อนเข้าไป จนกระทั่งรู้ว่า โอ๊! ว่าเราจะมาเป็นอย่างนี้ เราก็เป็นได้ และเป็นได้แล้ว เราก็เบา สบายด้วย สอดคล้องกัน อาตมาไม่มาแกล้งจนนะ อาตมาไม่มาแกล้ง ไม่มีทรัพย์สมบัติเลย อาตมาไม่มีกุฏิซักหลังหนึ่ง เป็นของตัวเอง ไม่ต้องสะสมสมบัติอะไร อาตมาไม่แกล้งนะ ไม่แกล้ง สบายใจ สบายจริงๆนะ ถ้ายิ่งอิสระกว่านี้ ทุกวันนี้ อาตมาติดขัดอยู่แต่ว่า มันต้องทำงานอยู่ที่ ที่มีกลุ่มหมู่ มีอุปการะ มีอะไรต่ออะไรมาก อาตมาก็ต้องไปต้องมา ถ้าเผื่อว่าไม่ต้องเลยนะ อาตมาไปโน่นมานี่ จะไปไหน มีคนรับผิดชอบจุดนั้นจุดนี้ได้ ไม่รู้ชาตินี้ จะเจอไอ้สภาพอย่างนี้หรือเปล่า แล้วอาตมาจะพาจาริกบ้าง จะไอ้โน่นไอ้นี่บ้าง ไม่ต้องห่วงหา ทุกคนรับผิดชอบช่วยเหลือเฟือฟาย ทดแทนกันได้อย่างดีเลยนะ ทุกอย่างก็เกิดวงจักร หรือจักรกล ที่มีเครื่องมีอะไหล่ มีสิ่งที่เดินบทได้ เป็นสังฆจักรอย่างสมบูรณ์นี่นะ ถ้าได้อย่างนั้นแล้ว โอ้โฮ! ทุกอย่างอิสรเสรี หรือว่าทดแทนกันได้อย่างดี แล้วก็เป็นไปได้ อย่างสมบูรณ์เลย อาตมาไม่เชื่อว่า มันจะเป็นไปรอด แม้ชีวิตของอาตมา แต่ในระบบความรู้อันนี้ จะมีอีกในอนาคต จะสมบูรณ์ขึ้น ตอนนี้มันหนักเหลือเกิน แม้แต่จะขยายออกไป อาตมาเห็นได้ รับรู้ว่า จ่ายค่าแสตมป์เดือนละ สี่หมื่นกว่าบาทนี่ อาตมาก็เห็นแล้วว่า โอ้โฮ! นี่เรากระจายกองกำลัง หรือว่าจังชั่น ของจุดที่จะกระจายงานนี่ ยังขยายไม่ออกเลย เพราะอาตมายังไม่เก่ง ที่จะอบรมพระ ไปดูแลสถานที่ แล้วก็จะกระจายต่อไปสู่สถานที่ แต่ละจังหวัด แต่ละแห่ง และจะได้ดูแลรับผิดชอบ เพราะแต่ละคนกลัวจะต้องไปเกาะงาน ทั้งนั้นเลย ซึ่งที่จริงมันไม่น่ากลัวอะไร แต่ว่ามันก็ยังไปไม่รอด เพราะว่า สัมมาอริยมรรค ๘ นี่ เพิ่งเปิดเผย และพวกเรานี่ก็ถูกมอมเมา ในลัทธิแบบเดียรถีย์มานาน ทั้งๆที่มีบารมีบ้างแล้ว ยังขนาดนี้ เพราะฉะนั้น ยังต้องเข็นกันอยู่ อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง จนกว่าจะรับผิดชอบแล้ว ขยายกันไปได้ เผื่อแผ่ไปได้ ก็กระจาย และก็ไปมีหลายจังหวัด ค่าแสตมป์ก็ต้องลด การติดต่อการเชื่อมโยง ก็จะเกิดจังชั่น เกิดจุดรวม เกิดสถานีย่อย ซึ่งก็ต่อกับสถานีใหญ่ ซึ่งมีรูปร่างคล้ายกัน จะมีกิจกรรมเพิ่มเติม มีคนไปช่วยดู และทำอะไรขึ้น คล้ายๆรูปนี้ แต่ย่อยลงไปอีก มันก็จะมีได้ แต่ตอนนี้ มันยังมีไม่ได้เลย ที่ไหนก็กลายเป็นอรัญวาสีหมด มีคามวาสีอยู่สันติอโศกแห่งเดียว นอกนั้นเป็นอรัญวาสี ที่มีอยู่ ๓-๔ แห่งนี่ ตอนนี้เป็นอรัญวาสี จะไปมีกลไก จะไปมีงานการ เหมือนอย่างกับงาน ที่จะเผยแพร่แบบสันติอโศกนี้ ยังตั้งไม่ลงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้น ยิ่งสถานที่พุทธสถาน อยากจะมาให้ตั้งขึ้นไปอีก อาตมามาคิดหนัก และอาตมาไม่พยายามจะกระจาย เพราะผลยังไม่สามารถ อาตมายังทำคน ผู้เป็นตัวจักรสำคัญนี่ ยังเป็นผู้ที่รับผิดชอบ ที่จริงไม่ใช่แบกภาระ แต่มันก็มีภาระ คนเรามันมีภาระ พอมาเป็นอุปัชฌาย์ หรือมาเป็นอาจารย์ใหญ่ มันก็ต้องเป็นภาระ เขาก็มามอบให้เรารับภาระ ทั้งนั้นแหละ แต่เป็นภาระที่เราอิสระ เป็นภาระที่อาตมาเอง อาตมาจะหยุดเดี๋ยวนี้ก็ได้นะ อาตมาจะล้มงานเดี๋ยวนี้ เลิก อาตมาไม่เอาภาระเลย เลิกเดี๋ยวนี้ อาตมาก็ทำได้ ไม่มีใครมาต่อว่าอาตมาได้เลย จริงๆ อาตมาไม่ได้ไปเที่ยวได้ผูกมัดอะไรไว้หรอก แต่เราก็รู้ด้วยสามัญสำนึก ด้วยมโนธรรมสำนึกเลยว่า เอ๊! เราไม่รับผิดชอบ แล้วใครจะรับผิดชอบ เหมือนพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เราไม่สอนคน สอนแล้วประเดี๋ยวก็ โอ้โฮ! มันยากนะ คนนี้จะสอนยังไงกันนี่ เต็มไปด้วยกาม เต็มไปด้วยกิเลสทั้งหลายแหล่ สอน ถ้าเหนื่อยเปล่ามั้ง แต่พร้อมกันนั้น ท่านก็เกิดคุณธรรมพรหม พรหมธรรมที่เกิดขึ้นแก่จิตทันทีทันใด เร็วยิ่งกว่าเหยียดแขนออก คู้แขนเข้า แล้วเขาก็อธิบาย เป็นบุคลาธิษฐานว่า พรหมมาอาราธนา นั่นแหละ ท่านก็รับผิดชอบว่า เออ! ไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่สอน ก็ฉิบหายใหญ่ละซี ใครจะรับผิดชอบ พระพุทธเจ้าก็ต้องสำนึก นั้นเป็นมโนธรรมสำนึกของท่าน ฉันเดียวกัน มันเป็นความรู้ที่จริง ถ้าเราไม่รับผิดชอบ ใครจะรับผิดชอบ มันเข้าใจแล้ว อย่างพระพุทธเจ้าท่านเข้าใจ อย่างอาตมายังเข้าใจเลย ก็เราเดินไปหาตายเท่านั้นนี่ จากนี่ไปก็เดินทางไปหาตาย อื่นเราจะไปต้องการอะไรอีก ไม่เห็นมีอะไรที่ต้องการ แล้วเราก็ทำงานนี่ไป ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ประเสริฐที่สุด ก็เท่านั้นเอง ชีวิตมันก็ไอ้เท่านั้น จะกินอยู่หลับนอนอะไร เราก็ไม่มีปัญหาอะไร เสาะแสวงหาอะไรอีก เราก็ไม่เห็นจะมีอะไร ก็มีจะฝึกฝน หาดูองค์ประกอบ ดูข้อมูลวัตถุปกรณ์ ดูอะไรหละ กรรมกิริยาอะไรที่เราจะรังสรรค์ ที่จะสร้างสรร ที่จะเป็นไปด้วยการเผยแพร่ ช่วยเหลือเฟือฟายมนุษย์ ให้เปลี่ยนพฤติกรรม มาสู่ดีให้ได้มากๆ ก็มีเท่านั้น ไม่มีอื่นเลยนะ ถ้าเราสามารถที่จะดูแล รับผิดชอบอะไรได้มากขึ้น ก็เอา มันได้แค่นี้ มันเปลี้ยมันเพลียเกินไปนัก ไม่หวาดไม่ไหว ก็เอาแค่นั้น ถ้าไปพอได้ สู้ทนได้อยู่ก็เอา ถ้ามันเสื่อมนะ นี่ทำอย่างนี้มากไป แล้วเราก็ทำอะไรบกพร่อง แล้วมันก็กลายเป็นเสื่อมศรัทธา ไม่ดี เราก็ต้องพยายามหยุดบ้าง ดันทุรังเกินไปนัก มันก็ไม่ไหว ก็ทำเท่าที่พอเป็นไปได้นะ นี่ก็ขยายอะไรต่ออะไร ให้รู้เพิ่มขึ้นแล้ว คุณก็สังเกตดู อ่านดู แม้ตั้งแต่อาตมาไป จนกระทั่งถึงใครๆ อื่นๆ ดูเป็นตัวอย่าง ส่วนพระหรือส่วนนักบวช หรือส่วนผู้ที่รับผิดชอบมากๆ ก็ต้องศึกษา แล้วก็ทำตนให้สอดคล้อง มันก็จะเจริญ สนับสนุนกันขึ้นไปนะ เป็นวงจักรเป็นสังฆจักรที่ดี เพราะฉะนั้น อยู่ในที่นี้ ก็จะช่วยกันดูแลรับผิดชอบกัน อบรมกัน แล้วผู้ที่มาเป็นอาคันตุกะ ผู้เป็นปะ เป็นนาค เป็นอารามิกะ อารามิกา อะไรก็ดี เป็นระบบที่เกิดเอง อาตมาไม่เคยไปวางแผน ว่าคุณต้องอบรมกันนะ อย่างงั้นอย่างงี้ ไปจ้ำจี้จ้ำไชอะไร พวกคุณก็รู้กันเอง แล้วก็ช่วยกันแนะนำ ช่วยกันพอเป็นพอไป และก็พยายามเข็นกัน ขัดเกลากันไป พยายามวางใจดีๆ ไอ้เรื่องขัดเกลา นั่นดี ไอ้ขาดการขัดเกลาแล้ว ก็หมดศาสนาเท่านั้นเอง ขัดเกลากันนั่นดี แต่ระวังว่า มือหนักเกินไปนัก ขัดด้วยแปรงทองเหลือง หรือแปรงตะปูเลย ขัดทีหนึ่งเลือดโชก มันก็เกินไป ก็ขัดกัน แต่แรงบ้าง พอให้เกิดรู้สึกตัว ก็ดีอยู่ แล้วขัดเกลากันไป แล้วผู้ที่วางใจ ผู้ขัดเกลาเขาหมายดีแล้ว เราก็รับฟัง เอามาพินิจพิจารณา เอามาแก้ไขปรับปรุงได้ ผู้นั้นเป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นผู้ที่รู้จักความดีงาม เขาจะขัดเกลาเราด้วยเจตนา มีกิเลสผสมด้วยโกรธ ด้วยอาฆาตเคียดแค้นก็ตาม แต่ถ้าเขาขัดเกลาเราถูกต้อง ก็ขัดเกลาเราดี แม้เขาจะเป็นช่างโทสะ โกรธเคือง แต่เขาก็มีปัญญา รู้ดี แล้วเขาก็ขัดเกลาเราได้ ด้วยเหลี่ยมมุมที่ถูกต้องดี เดี๋ยวก็ไม่ได้ ก็ขอบคุณเขาเถอะ เขาจะมีกิเลสอะไร ก็ช่างเขาเถอะ ถ้าเขาไม่ระมัดระวังกิเลสของเขา ก็กิเลสของเขานั่นแหละ เราจะไปทำยังไงได้ แต่ส่วนดีเขาทำให้เรา มันได้ดีแล้วนี่ ถ้าเข้าใจมอง เข้าใจอ่านสิ่งเหล่านี้ เราจะไม่เกิดโกรธเคืองกัน และเราจะไม่ถือสากัน และเราจะรับสิ่งที่ให้แก่กันและกัน ด้วยประชดประชัน แดกดันก็ตาม หรือเจตนาให้อย่างดีงาม ก็แน่นอนหละ ถ้าให้อย่างดีงามก็ยิ่งดี เราก็จะต้องพยายามรับเอาสิ่งที่ควรรับให้ได้ แล้วก็ปล่อยวาง สิ่งที่ควรปล่อยวาง ให้ได้ คำว่าปล่อยวาง ไม่ใช่ว่าปล่อยแต่ปากนะ ใจต้องปล่อยด้วยนะ อย่าถือสา ปล่อยใจ วางใจ เอ้อ! อันนี้เขามาร้ายมาแรง ก็ช่างเขาเถอะ ปล่อยไป เอ้า! มันไม่ดีไม่งาม ก็ช่างเขาเถอะ เสร็จแล้ว เราก็พยายามรังสรรค์กันไป สังคมอย่างนี้ไม่ใช่ของง่าย สังคมที่ยากเย็นยิ่ง มันหาแบบอย่างยากยิ่ง เรามาเป็นตัวหัวหอก ตัวผู้นำ กลุ่มนำ นี่เขาก็นั่งด่าวันด่าเย็น ด่าเช้ากันอยู่กะเรานี่ เขาก็ด่าไป เพราะเขาไม่เข้าใจ เอา เขาด่า เราก็ฟัง เขามีเชิงแนะอะไรดีๆเหมือนกัน บางอย่างบางเชิงก็ เออ! ช่างคิดนะ อันนี้ๆๆ ก็ช่างคิดช่างแนะ เราก็รับเอามาแก้ไขปรับปรุง ถ้าคุณว่ามันถูก มันดี ไม่ว่าจะเป็นไอ้โจร ไม่ว่าจะเป็นศัตรู มาช่วยแนะช่วยวิเคราะห์วิจัย บอกเหตุบอกผล มันดีทั้งนั้น แบบด่าสาดเสียเทเสีย ไม่มีเหตุไม่มีผลซิ มันไม่เข้าท่า และด่าเรา เราผิดด้วย บอกผิด เลว ชั่ว แล้วอะไร เหตุผลอะไร ไม่บอกเลย ไอ้อย่างงั้นก็โยนทิ้งได้ เล่นด่าฟรี สาดเสียเทเสีย ไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่วิเคราะห์ไม่วิจัยอะไรให้เราเลย เอ๋อ! ด่าเปล่า เขาจะด่าเปล่าก็เรื่องของเขา แต่เขาไม่ด่าเปล่า เขาวิจัยวิเคราะห์ให้เราด้วย ฟัง รับฟังเหตุผล ใครอยากด่าเรา ด่าเถอะ แต่วิเคราะห์วิจัยให้เราด้วยนะ ด่าสาดเสียเทเสียเฉยๆ เราไม่ฟังหละ เราโยนทิ้งเท่านั้นเอง เราจะไปรับมาทำอะไร ด่าไม่มีเหตุไม่มีผล ไม่มีเรื่องราว ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรเลย ไม่มีวิเคราะห์วิจัยให้เรารู้อะไรเลย เรียกว่าด่าสาดเสียเทเสีย ถ้าอย่างงั้น ถ้าด่ามีเหตุมีผล บางที สาดเสียเทเสีย ไม่ได้หมายความอย่าง ด่าไม่มีเหตุผลเท่านั้น มีเหตุผลด้วย แต่เหตุผลเลวๆ ร้ายๆ เหตุผลไม่เข้าเรื่องเลย อ่อนๆ ยาวๆ นั้นยิ่งสาดเสียเทเสีย แล้วเอาไอ้ของไม่จริง มาป้ายเปื้อนด้วย สาดโคลนเลย สาดเสียเทเสีย แล้วป้ายเปื้อนด้วย ไอ้เราก็รู้ โอ้โฮ! คนนี้เล่นโกหกตอแหลเลยนะนี่ ไอ้เราไม่เป็นจริง ไม่ใกล้เคียงเลย เอาอะไรมายำเส็งเราไม่รู้ สาดโคลนเราเลอะเลย ไอ้อย่างงั้น สาดเสียเทเสียอย่างเหม็นเน่าด้วยนะ นี่ก็รู้ความหมายพวกนี้ให้ชัดเจน และเราก็เป็นอยู่ดีๆ ใครจะด่าจะว่าอะไร รับคำของเขาให้เป็น ปล่อยวางให้เป็น แล้วเราจะได้ดี เพราะคนด่าคนว่านี่แหละ คนชมเชยหนะ ระมัดระวังเหลิงลอย แล้วไม่เข้าเรื่อง ชมนี่พาให้ตายง่าย พาให้เลวง่าย แต่ถ้าขัดเกลานี่ ฟังให้ดี ได้ดีได้ง่ายได้มากนะ เพราะฉะนั้น เราจะต้องเรียนรู้มุมเหล่านี้ ใจเรามันชินชามา ในการชมเชย และก็มักโกรธไว ด้วยคำตำหนิมานานแล้ว เราต้องมาฝึกฝน แล้วอย่ากลายเป็นคนด้านชา เขาตำหนิติเตียน ด่าเราก็เฉย ไม่เอามานึกมาคิด ไม่เอามาไตร่มาตรอง และกลายเป็นคนหน้าด้าน กลายเป็นคนจิตด้าน อย่างนี้ก็ไม่เอา อย่างนี้ไม่เกิดคุณค่าอะไรเลย กลายเป็นคนยิ่งเลวใหญ่เลย กลายเป็นคนด้านชา อันนี้หนัก ไม่เข้าท่า เพราะฉะนั้น เรารับฟังอะไรด้วยดี ด้วยเหตุผล เอ้า! นี่ก็ได้กำชับกำชาอะไรหลายๆอย่าง ตั้งแต่หยาบๆ มีคนเข้ามาปน ในเรื่องที่คนเลวๆ ร้ายๆอะไร ก็ช่วยกันสอดส่องดูแล แม้จะมาอยู่แล้ว ก็มานิวแซน มาเที่ยวได้ทำตัวเอง เกะๆ กะๆ กฎมี ระเบียบมี หลักการมีอะไรต่ออะไร ก็ไม่เอื้ออนุเคราะห์ ไม่เอื้อธรรมไม่เอื้อวินัย ไม่เอื้อระเบียบอะไร ก็ช่วยกันดูพอสมควร การอุ้มชูเกื้อหนุนกันได้แค่ไหน ก็เกื้อหนุน มันเป็นการแสดงน้ำใจ เกื้อหนุน เอาภาระ คนละไม้คนละมือ มันจะมีประโยชน์มาก ก็เพราะพวกเราเข้าใจทฤษฎี เข้าใจหลักการพวกนี้ แล้วก็พยายามอบรมตน ตนก็สบาย หมู่กลุ่มก็จะมากขึ้น สามัคคีธรรมก็จะมีประสิทธิภาพ เหมือนอำนาจแม่เหล็ก จะมีแรงทั้งดึงดูด และไปสามารถทำให้ผู้อื่น เขาเป็นอย่างที่เราเป็นด้วยนะ นั่นแรงสามัคคีธรรม มันจะเกิดอย่างนี้ เป็นภาวะซับซ้อนจริงๆ ขอให้พิสูจน์ อันที่อธิบายไปเหล่านี้ อาจจะยังไม่เข้าใจดีนัก แต่พวกเรา ผู้ใดที่สามารถทำละเอียดลออ ทำความเข้าใจสู่กันฟังได้อีก ก็ช่วยกันทำความเข้าใจ แล้วเราก็จะได้เป็น ผู้ที่เจริญงอกงาม เพราะการศึกษา การอบรมฝึกฝน ให้เราพ้นทุกข์ด้วย และให้เราทำให้สังคมมันเจริญด้วย สอดคล้องกัน สำหรับวันนี้ก็สมควร เอาละพอแค่นี้ สาธุ ***** ๑/๐๗/๒๕๖๗ |