057 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ -- พฤศจิกายน ๒๕๒๖

สิ่งสำคัญอันนั้น เป็นทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย ซึ่งมันจะต้องเป็น ถ้าเราฉลาดใช้ มันจะเป็นไป แล้วมันจะเอื้อในการปฏิบัติธรรมเรามาก คือความไม่หม่นหมอง หรือความไม่ให้อารมณ์ไม่ยินดีอยู่ในใจ เราปฏิบัติอย่างนี้ มันสอดคล้องกับคำว่าเบิกบานแจ่มใส สอดคล้องกับคำว่าพุทธะขั้นปลาย และมันจะเป็นองค์ประกอบที่จะชำระจิต โทสะจิตของเราตลอดเวลา จะเป็นกรรมฐานอย่างดียิ่ง ที่เราจะกลายเป็นคนไม่โกรธเคือง หรือว่าโทสะมูลจิตลดลงได้ตลอดเวลา คือถ้ารู้สึกว่าเรามีความไม่ยินดี ไม่ชอบใจขึ้นเมื่อไหร่ คำว่าไม่ชอบใจนี่ มันเป็นปฏิฆะแล้ว ในภาษาบาลี ไม่ยินดีนั้นเป็นอรติ ในภาษาบาลี อ่อนกว่า มีสภาพธรรมที่เบาบางกว่าปฏิฆะ

แม้แต่ความไม่ยินดี ถ้าเรามีปัญญา อธิปัญญา สามารถจับติดในอารมณ์ของตน ขอให้หยุดทันที และเปลี่ยนเป็นอารมณ์เบิกบาน ยินดีแจ่มใส แม้เราจะกำลังสัมผัสภาวะ ที่หนักหนาเหน็ดเหนื่อย ลำบาก เหงื่อไหลไคลย้อยต่างๆนานาก็ตาม ถ้าเราคลายอารมณ์ไม่ยินดี ยิ่งหยาบขั้นไม่ชอบใจ เป็นปฏิฆะแล้ว ยิ่งไม่ต้องคิดเลย ขจัดออกทันที ยิ่งหยาบกว่านั้น เป็นการโกรธ ยิ่งไม่ต้องพูดใหญ่ เพราะว่าแน่นอนที่สุด เราจะต้องไม่ให้มีในใจของเราอย่างแน่แท้ เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดจับความรู้อันนี้ แล้วก็ประพฤติปฏิบัติ อันนี้เป็นเบื้องต้น และแม้แต่เบื้องกลาง เบื้องปลาย มันก็จะต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าเราทำอันนี้ก่อนเพื่อน หรือว่าระลึกเสมอเป็นกรรมฐานประจำ เราจะเป็นคนเบิกบานแจ่มใส แม้จะเหน็ดเหนื่อยหนักหนา แม้จะยังมีกิเลสอื่น ที่ยังคลุกคนอยู่ในใจ เราก็จะเบาบาง เราก็จะบรรเทาได้มากที่สุด

ขอให้พิจารณา และขอให้นำไปใช้ดู นี่เป็นยาหรือเป็นธรรมโอสถ เป็นธรรมาวุธอันสำคัญที่เราจะไปใช้ เราจะเห็นผลของการบำบัด หรือว่าการแก้ไขตนเองที่ว่า ถ้าเราได้ประพฤติจริงๆ ทำจริงๆ เราจะรู้ว่าทุกอย่างมันง่ายขึ้น ทุกอย่างมันเบาขึ้น แม้เราจะแบกหนักเหงื่อไหลไคลย้อย ก็จะเบา เอ้า! เราจะมีอะไรปะทะอยู่ เขากำลังจะด่า เรื่องกำลังจะแรง อะไรร้ายอยู่ต่อหน้า ก็จะเบา จะเบาจริงๆ และจะมีผลดีขึ้น จะมีการสังเคราะห์ที่ดีขึ้น จะมีเกิดปฏิกิริยาที่ดีขึ้น บรรยากาศนอกบรรยากาศใน ตัวเราเองก็จะดีขึ้นทันที ขอให้พิสูจน์กันจริงๆ นี่เป็นกรรมฐานสำคัญนะ ถ้าผู้ใดจับได้ทำได้ แต่แล้วแต่ใครจะมีจิตแยบคายขนาดไหน ถ้าจับถึงขนาดความไม่ยินดีนี่ยังจับไม่ได้ จับได้ความไม่ชอบใจ ก็เริ่มทำ ถ้ายิ่งโกรธแล้ว ถ้าจับไม่ได้ ก็ไม่รู้จะพูดกันยังไง ความโกรธ ความอาฆาตมาดร้าย แค้นเคืองหนักหนา ถ้าเรายิ่งจับไม่ได้ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว นักปฏิบัติธรรม พระโยคาวจรที่ไม่รู้แม้อารมณ์รุนแรงปานนั้น็ ก็ต้องเรียนกันหน่อยหละ ต้องเรียนกันมากหน่อย ต้องมาเริ่มต้นใหม่กันมาก แต่ถ้ารู้แล้ว แล้วพยายามรู้จักวิธีการทำออก สลัดคืน อย่าให้มีอารมณ์อย่างนั้น อย่าให้มีสภาพอย่างนั้นในตน ถ้าทำได้ก็เก่งขึ้นสบายขึ้นเจริญขึ้น ส่วนจะเป็นราคะเป็นโลภะ อื่นๆอีกนั้น เราก็จะค่อยๆเรียนรู้มัน ราคะจัด แรง เป็นอภิชฌาวิสมโลภะ เราก็จะต้องรู้ และแม้จะเป็นราคะ หรือเป็นความโลภชนิดรองลงไป อ่อนลงไป เราก็จะต้องเรียนรู้ ร้อยเรียงลงไป อย่างซับซ้อน ซาบซึ้งให้ดี เพราะว่าแม้แต่ที่สุด เราก็จะต้องใช้การปรารถนา เป็นการอยากใคร่ ที่เรียกว่าธัมมกาโมนั่นแหละ เป็นเครื่องนำ และเป็นเครื่องอาศัย เพื่อที่จะขึ้นไปสู่สุดท้าย จนมีคนต่อว่า ว่าถ้าเราต้องการนิพพาน ปรารถนาความหลุดพ้น มันจะไม่ใช่กิเลสตัณหาหรือ เรายอมรับ ลำลองได้ทันทีว่า ใช่ จะเรียกว่ากิเลสตัณหา ก็ใช่ แต่ในภาวะซับซ้อนนั้น เราต้องการการหลุดพ้น ต้องการนิพพานนั้น เราต้องการการขจัดเอาอกุศลทุจริต หรือว่าตัวกิเลสตัณหาที่หยาบคาย เห็นแก่ตัวนี่แหละออก เราละความเห็นแก่ตัว ตั้งแต่โลกหยาบ จนกระทั่งถึงโลกละเอียด จนแม้เราได้ดี เราก็ไม่หลงในดี ไม่ติดในดี ไม่ใช้ดีของเรานั้นไปข่มขู่ หรือว่าทำให้มันลำบากแก่ผู้อื่น จนเกินการ เราจะรู้จักลดหย่อนผ่อนเบา เราจะรู้จักขนาด เราจะคำนวณเป็น เราจะใช้ให้เกิดคุณค่าประโยชน์ แม้เราจะดีจริงแล้วก็ตาม ดั่งนี้เป็นต้น

สุดท้ายเราก็รู้ว่า ดีก็คือสิ่งสร้าง เป็นสิ่งที่เกิดเป็นกรรม แม้แต่กรรมเหล่านี้ เราก็ไม่ติดยึด อโหสิ แม้แต่ดีนี่ เราเป็นเจ้าหนี้ เราก็จะสลัดคืนความเป็นเจ้าหนี้อันนี้ ให้แก่โลกไป เราจะไม่ถือเป็นของตัวของตนเลย แม้คุณงามความดี จะประเสริฐเลิศยอด ดังสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์มีคุณความดีล้นเลิศสุดสูง พระองค์ก็ยังไม่ติดยึดเอาไว้ ท่านก็สลัดคืนให้แก่โลกไปทั้งหมด ไม่ถือว่าเป็นเจ้าหนี้ เป็นเจ้าบุญเจ้าคุณ เป็นเจ้าดีอย่างแท้ชัด นั่นคือสุดท้าย เราจะปลดปล่อยปานฉะนั้น เราจะค่อยๆ ไล่เลียงกัน แต่ฐาน ทำได้ดีหยาบๆ แล้วก็ดีกลางๆ แล้วก็ดีอย่างขั้นสูง ดีอย่างละเอียดขึ้นมา มันยิ่งเนียนใน มันยิ่งติดใจ มันยิ่งจะหลงความดีที่เนียนใน ความดีที่วิเศษของเรามากขึ้น มันตีตลบกลับอย่างงี้เสมอ แล้วเราก็จะปลดปล่อย ดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปลดปล่อยได้ ดังพระอรหันต์เจ้าปลดปล่อยได้

แม้เราจะเป็นอนาคา เราก็จะต้องฝึกหัดปลงมานะ ปลดปลงความดี ไม่ยึดดีเป็นของตน ไม่เสพไม่ติดเป็นฐานสุดท้าย ทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเป็นสภาวะลึกซึ้ง ที่เราจะเรียนรู้เป็นขั้นตอน ตั้งแต่หยาบไป เพราะฉะนั้น การโลภหรือราคะ หรือต้องการความต้องการที่สุด เป็นความต้องการทำดี เมื่อทำดีแล้ว ไม่ติดดีนั้น ไม่ใช่ภาษาพูด แต่เรียกเป็นภาษาพูดได้

สุดท้าย ผู้รู้ด้วยตนเป็นปัจจัตตังว่า เราทำอย่างนี้ เขาตู่ท้วง ตู่ได้ด้วยอากัปกิริยาความจงใจ แต่ว่าเราจะปล่อยเป็น หรือปล่อยไม่เป็น วางสุดท้ายเป็นหรือไม่เป็น เราจะรู้เป็นปัจจัตตังของเรา บอกใคร ใครจะเชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็แล้วไป แล้วเราก็จะรู้อย่างแยบคายว่า บอกไปนั้น ตรงกับความเป็นจริง ที่เราสละเราปล่อย ที่สุด ได้จริงๆนะ เอ้า! เราจะรู้ด้วยตนอย่างลึกซึ้งซ้อน สิ่งเหล่านี้บอกใครก็ไม่ได้ ถึงบอก เขาจะเชื่อ หรือไม่เชื่อก็ไม่ได้

การศึกษาชั้นสูงเหล่านี้ ก็จะมีเป็นที่สุด จะเรียกว่าเป็นตัณหา เป็นกิเลส เป็นวิภวตัณหาระดับสุด ดังที่เคยอ้างให้ฟังว่า แม้พระพุทธเจ้าก็ปรารถนาจะสร้างพุทธบริษัท ให้ครบพุทธบริษัท ๔ และในพุทธบริษัท ๔ ของท่าน จะอบรมสั่งสอน ปรารถนาช่วยเหลือให้เขาเก่งที่สุด เป็นพหูสูตร เป็นผู้สาธยายธรรม เป็นผู้ท่องจำได้ เป็นผู้ทำลึกให้ตื้น ทำของหยาบให้ละเอียด ทำของยากให้ง่าย ทำของที่ไม่เปิดเผยได้ ให้ลึกซึ้ง เป็นผู้สามารถอบรม เป็นผู้สามารถสั่งสอน สืบศาสนาได้ ดังกล่าวง่ายๆ นี้อย่างแท้จริง นั่นก็จะว่า เป็นความปรารถนาของพระพุทธองค์ ก็ปรารถนา ก็ต้องการ ก็มุ่งหมาย แต่เราจะเรียกท่านว่า มีกิเลสหรือไม่มีกิเลส ผู้รู้ดีแล้วก็หมดปัญหา ใครจะกล่าวว่าท่านมีกิเลส แล้วจะถือว่า ไปว่าพระพุทธเจ้ามีกิเลส มีตัณหา ก็ถือโดยภาษา ถ้าใครจะไม่ถือโดยภาษา ด้วยความเข้าใจอย่างสนิทเนียน แล้วเราก็ไม่ถือ แต่มันเป็นกรรมกิริยาอย่างนั้น ดั่งนี้เป็นต้น

เราจะเข้าใจ และเราจะไม่แก้ตัว เราจะเป็นผู้ที่แยบคาย อ่านรู้ความจริงอันสูง สูงสุด เราจะเป็นผู้ที่ทำได้ ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด และก็ขอย้ำสุดท้ายเสียก่อนว่า เราจะเป็นผู้เรียนรู้จิตของเรา ตัวแรก ความไม่ยินดี ความไม่ชอบใจ อาการแม้อย่างนี้ เราจะเป็นผู้สลัดออกให้ได้ จะรู้เท่าทันอาการอย่างนี้ ให้เป็นทั้งเบื้องต้นและบั้นปลาย เราจะเป็นคนเบิกบานแจ่มใส สังคมเราจะมีแต่ผู้เบิกบานแจ่มใส อารมณ์หดหู่หม่นหมอง ความไม่ยินดี ความไม่ชอบใจ จะไม่มี แต่เราจะรู้ว่า สิ่งใดไม่ควร หรือสิ่งใดควรจะปลดปล่อย หรือจะให้ออกห่าง เราก็จะรู้โดยธรรมะ ขอให้พิจารณา และใช้กรรมฐานนี้ ให้ได้ประโยชน์แก่ตนทุกคน

สาธุ

*****

ตรวจทาน 1/07/2567