ทรัพย์แท้...ของมนุษย์ ตอนที่ ๑๑
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๓๔
เนื่องในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ครั้งที่ ๑๕
ณ พุทธสถาน ศาลีอโศก อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์


ชนเหล่าใด มีความรู้ในธรรม อันหาสาระมิได้ ว่าเป็นสาระ
และมีปกติเห็นในธรรม อันเป็นสาระ ว่าไม่เป็นสาระ
ชนเหล่านั้น มีความดำริผิดเป็นโคจร ย่อมไม่บรรลุธรรมอันเป็นสาระ
ชนเหล่าใด รู้ธรรมอันเป็นสาระโดยความเป็นสาระ
และรู้ธรรมอันหาสาระมิได้ โดยความเป็นธรรมอันหาสาระมิได้
ชนเหล่านั้น มีความดำริชอบเป็นโคจร
ย่อมบรรลุธรรมอันเป็นสาระ
ฝนย่อมรั่วรดเรือนที่บุคคลมุงไม่ดี ฉันใด
ราคะย่อมรั่วรดจิตที่บุคคลไม่อบรมแล้ว ฉันนั้น
ฝนย่อมไม่รั่วรดเรือนที่บุคคลมุงดีแล้ว ฉันใด
ราคะย่อมไม่รั่วรดจิตที่บุคคลอบรมดีแล้ว ฉันนั้น
บุคคลผู้ทำบาปย่อมเศร้าโศกในโลกนี้
ย่อมเศร้าโศกในโลกหน้า
ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
บุคคลผู้ทำบาปนั้น ย่อมเศร้าโศก
บุคคลผู้ทำบาปนั้น เห็นกรรมที่เศร้าหมองของตนแล้วย่อมเดือดร้อน
ผู้ทำบุญไว้แล้ว ย่อมบันเทิงในโลกนี้
ย่อมบันเทิงในโลกหน้า
ย่อมบันเทิงในโลกทั้งสอง

เรามาฟังธรรมกันต่อนะ เรามาถึงขั้นทาน จาคะ และสุตะ และ ก็จาคะแล้ว ตัวผลตัวจาคะนี่แหละ เป็นเรื่องของมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เราได้ยินได้ฟังมามากในทางธรรมขั้นโลกุตระ ขั้นสุดยอดทีเดียว เราก็ได้ยินมาว่าทุกอย่าง ไม่มีตัวไม่มีตน ทุกอย่างไม่ใช่ของตัวของตน เราก็ได้ยินนะ นี่เป็นคาถาสุดยอด เป็นคาถานะไม่ใช่แค่เคยยะ คาถาทีเดียว คั้นเอามาเลยว่า เป็นแก่น แก่นจริงๆ แล้วพวกเราก็ได้ยินมา เราก็ได้ฟัง เราก็รู้ พวกเราศึกษาธรรมะในระดับที่เรียกว่า ถึงขั้นจะไปนิพพาน ขั้นไม่ใช่ไปศึกษาธรรมะแบบอะไรมิอะไรเขาเล่นๆ อะไรพวกนี้ ก็รู้กันอยู่ ในวงการศาสนา ในระดับๆโลกุตระทีเดียวนะ เพราะว่าทุกอย่างถึงขั้นอนัตตา ถึงขั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของตัวของตน ก็แล้วไม่ใช่ของตัวของตนก็แล้ว ยังมีของตัวของตน จะไปสะสมกอบโกย มันก็ย้อนแย้งกับความโลภอยู่นั่นแหละ ถ้าเราไม่ใช่ของตัวของตน มันก็ต้องเอาออกให้มันสอดคล้อง ใช่ไหม ทีนี้มันสอดคล้อง ก็ต้องทาน ต้องให้ ต้องไม่เอา ต้องบริจาค ต้องจาคะ จาคะนี่ ท่านก็ยืนยันว่า มีอามิสจาคะ กับธรรมจาคะ

อามิสจาคะตั้งแต่หยาบมา คนไม่ได้เรียนธรรมะ ไม่รู้สัจธรรม ก็เอาทั้งนั้นแหละ เอาจนกระทั่ง ของที่ไม่น่าเอาก็ยังเอา ไปติดไปยึดไปหอบไปหามมา นามธรรมข้างในจิตวิญญาณนะ เป็นตัวไปหลง เป็นตัวไปชอบ เป็นตัวไปกอบไปโกย ไปเอามาเป็นของตัวของตน ซึ่งเอามาแล้วก็เอามาทำลายชีวิต ไปติดสิ่งที่เป็นนามธรรมๆ ก็คือ ความรู้สึก รสอร่อย ความเห็นว่า น่าได้มาเป็นของตน น่ามีเป็นของตน น่าเอามาไว้กับชีวิต เมื่อได้แล้วก็เป็นสุข เป็นชีวิตชีวา ทั้งๆที่มันทรมานตน มันทำลายตน อย่างไปติดรสอร่อยของพวกสิ่งเสพติด ยาเสพติดอย่างนี้ เป็นต้น ทำลายตนก็รู้นะ ไม่ใช่ว่าไม่รู้ รู้ว่ามันทำลาย รู้ว่ามันน่าอาย บอกใครก็ไม่ได้นะ เที่ยวไปเสพติด พวกยาเสพติด แล้วไปบอกเขา โอ๊ย ฉันไปเสพติดยาเสพติด เป็นโก้เก๋ ประกาศไม่ได้ ต้องลักลอบทำ ดูละคน มันโง่ขนาดไหนนะ คนเรา เรียกมันว่า มันเอามา เลือดของความเอามา ไม่ใช่เอาออกไปนะ เอามาเป็นของตน แต่เขาไม่ได้ เขาไม่ได้ศึกษาสัจธรรม ไม่ได้ศึกษาธรรม ไม่รู้ ชีวิตก็เป็นชีวิตอย่างนั้นน่ะ มีปัญญาก็ไม่เข้าใจในเรื่องสัจธรรม หลงงมงายเลอะเทอะไป เป็นอวิชชา เป็นโมหะ นี่แหละ คือลักษณะของอวิชชา ลักษณะโมหะ มันมีทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็แก้ตัวไปหาเอาอย่างนี้ ไปดื่มเหล้าแก้ทุกข์ ไปติดยาเสพติดแก้ทุกข์ ไปเล่นอย่างโน้น ไปเล่นอย่างนี้ เขาว่าไปบรรเทาทุกข์ ได้บันเทิงเริงรมย์ มาบำเรอตัวบำเรอใจ ได้คลายทุกข์ และมันก็ซ้อนเนียนๆ มา จนกระทั่ง ทุกวันนี้ สิ่งที่ครองโลกมากที่สุด ได้คลายใจในสายโกรธ หรือสายโทสะ ซึ่งกัดกร่อน ยึดเข้าไปก็ในทางกีฬา เรียกว่าคลายใจ คลายเครียด คลายทุกข์ด้วยความไม่รู้นะ ก็ไปติดกีฬา หรือไปเล่นกีฬา กีฬาถึงขนาดชกกัน ต่อยกัน เตะคนตรงๆ ไม่ได้ ก็เตะลูกกลมๆ ตีคนไม่ได้ ก็ตีลูกกลมๆ ไม่รู้ละ ตีลูกกลมๆ ชนิดไหนก็แล้วแต่เถอะ ก็หวดไปที่ลูกกลมๆ จนกระทั่งไม่รู้ ไอ้ลูกกลมๆ อั้ยที่หวดไม่รู้กี่อย่าง ประยุกต์ออกมาเตะกันแย่งกัน แย่งลูกกลมๆ เรียวๆบ้าง รีๆบ้าง ก็แล้วแต่เหอะ อย่างลูกรักบี้อะไร ก็ว่ากันไปนา เล่นไปสารพัด แสดงออกในทางรุนแรง คว้าได้เตะได้ ต่อยได้ กระชากได้ โขกได้ เขวี้ยงได้ อะไรต่ออะไร ได้ระบายออก มันเป็นทางระบายชนิดหนึ่ง ไม่งั้นตาย ก็ค่อยรู้สึกค่อยยังชั่วจิตใจ นั้นสายโทสะ

สายราคะ ก็ไปในร้องทางรำทางอะไรต่ออะไร เดี๋ยวนี้ก็ ร้องครองโลกเลย ผู้ที่มีรายได้มากที่สุด ขณะนี้ ในอเมริกา คือ ไมเคิล แจ๊คสัน เซ็นสัญญาครั้งสุดท้ายนี่ ตีราคาแล้ว ประมาณก็ ๕ พันล้านบาท ๑ ปี เซ็นสัญญาที่ญี่ปุ่น กับโซนี่ ๕ พันล้านบาท ๑ ปี คนเดียว และยังมีอื่นๆ อีกต่างหาก ไม่รู้ว่า ๕ พันล้านบาทนี่ หมายความว่า ล็อกที่จะได้บริษัทต้องจ่ายขาดทุนกำไรไม่ทราบ แต่เปอร์เซ็นต์อื่นๆ อีกต่างหากนา อย่างนี้เป็นต้น ๕ พันล้านนี่ ไม่รู้หากี่ชีวิต คนเดียวนะ ปีเดียวนะ และไม่ใช่เท่านั้นนะ ๕ พันล้านบาท นี่เป็นเซ็นสัญญาของบริษัทนี้เท่านั้นนะ ปีนี้ ส่วนเปอร์เซ็นต์อื่นๆ นั่นที่เขาทำมาแล้ว ตั้งหลายปีนั่นนะ ยังมีอีกต่างหากนะ ที่ยังได้เป็นน้ำซึมบ่อทรายที่อยู่นั่นน่า ยังได้อยู่อีกต่างหากนะ ไม่เกี่ยวนะ โอ นี่คือจำนวนเดียวปีที่จะได้ ที่เขาเซ็นสัญญาปีนี้กับบริษัทนี่ นอกนั้นอีกต่างหาก แล้วคนก็ติดตอนนี้ เบิร์ด พริกขี้หนู แต่งเนื้อแต่งตัว ใส่แหวนทุกวงทุกนิ้ว และก็เสื้อผ้าแจ๊คแก๊ต ก็ตัวหนึ่งราคาแสน ไม่ใช่หมื่น ราคาเป็นแสน ส่งมาให้ใส่นี่ เขาบอกว่า ส่งมาให้ใส่ ข่าวล่ามานี่ ส่งมาสองสามตัว แจ๊คเก๊ตที่จะใส่โชว์นี่แหละ เมืองไทยมาใส่แจ็คเก็ต อะไรกันนักหนา ยิ่งเดี๋ยวนี้นะ มันยิ่งไม่ต้องแจ็คเก็ตเลย ร้อนจะตายอยู่แล้ว ตับจะแตกอยู่แล้ว เอาแจ๊คเก็ตมาใส่ แจ็คเก็ตตัวนั้นส่งมาจากเมืองนอก ส่งมาตัวละแสนกว่าบาท เขาก็เล่นกันไป แล้วหลงใหลได้ปลื้มกันไป ติดยึดดี ระบายออกในทางที่แหม่ มันประทับหัวใจ มันโรแมนติก นี่ในสายกาม สายราคะ สายโลภ สายโทสะ ก็แสดงออกทางโน้น นี่คือลักษณะของกิเลส ที่ตีกลับซับซ้อน แล้วก็เนียน แล้วก็ซ่อนเนียนตราตรึงใจ พูดไม่รู้เรื่อง หลงใหลกันทั้งโลก มาราดอนน่า จากเด็กเล็ก จากเด็กสลัม เด็กที่ไม่ได้เรื่องอะไร ก็โอ้โฮ จนผงาด มีรายได้ มีเงินมีทอง ก็เพราะเตะลูกบอลอย่างเดียว มีฝีมือเตะลูกบอล เก่งอย่างเดียว หนำใจ โอ๋ เป็นอาชีพมหาศาล ร่ำรวย

นี่คือ เรื่องของความไม่รู้เรื่องของอวิชชา เรื่องของโมหะ มันไม่ได้แก้ปัญหา มันไม่ได้แก้กิเลส มันมีแต่ย้ำซ้ำ แล้วก็กลายไปเป็นสิ่งที่ได้รับผลประโยชน์ ได้รับการบำเรอใจ แล้วก็ไร้คุณไร้ค่า ชีวิตก็ไร้อะไรต่ออะไรไป เป็นแต่เพียงการแสดงออกบทหนึ่งของโทสะ ของราคะเท่านั้นเอง ลักษณะยิ่งทำเข้าไป มันก็ยิ่งซับซ้อนแล้วก็ส่งเสริม เพราะว่า แขนงของกิเลส ลักษณะของกิเลส มันสอดคล้อง ลักษณะของกิเลสเนียนซ้อน มีอะไรผสมผสานปรุงแต่งๆ ลักษณะของโทสะ รากเหง้าของโทสะ โทสมูล กับราคมูล สองสายใหญ่ๆ นี่ก็ยกตัวอย่างให้ฟัง นี่แหละ ถ้าเขาบอกว่า เขาได้สละออก แสดงออกเป็นจาคะ แต่เขาก็ได้นะ เสริมกิเลส ไม่ได้แสดงออก ไม่ใช่จาคะแท้นะ มิจฉาทิฏฐิ ไม่ได้จ่ายออกนะ แต่เป็นเอามายั่วยวนกัน เอามาแสดงออกกันและกัน เออ แกก็มีเหรอ แกก็สบายใจดี เหรอ ได้เตะลูกบอลล์ เตะเก่งอย่างโน้นอย่างนี้ หรือว่า ได้ชกเขาได้เก่งอย่างโน้น อย่างนี้ แล้วคนก็อยากเป็นบ้าง อยากจะได้ลักษณะนี้บ้าง ในเรื่องของนามธรรม ในเรื่องของจิต ในเรื่องของกิเลส มันซับซ้อน เนียนใน กินลึกๆๆๆ อย่างนั้น นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง แค่เป็นหลักๆ โทสมูล กับราคะมูล มันก็ไม่รู้เรื่อง มันก็อยู่ในสังคมผงาด เพราะกิเลสนี่มีอำนาจแรงมาก จะทำบ้าๆ บอๆ จะทำอะไรรุนแรง ร้ายแรง จนกลายเป็นกิริยา กลายเป็นพฤติกรรม กลายเป็นอะไรต่ออะไร ที่ซับซ้อน รุนแรง โหดร้าย แล้วไม่แก้ปัญหาอะไรเลย เศรษฐกิจก็เสีย เศรษฐศาสตร์ก็เสีย แรงงานเสียเปล่า นักกีฬาที่ไปออกแรงมาก นี่ในสายโทสะ นี่ต้องออกแรงอย่างนั้น มากๆมาก เสร็จแล้วก็ชักนำ ให้คนอื่น ไปออกกำลังยังงั้นนะมากเกินไป เพียงแต่มองเผินๆ ว่าได้ออกกำลังกาย ถ้าออกกำลังกาย นิดเดียวก็พอ มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก นักกีฬาพวกอาชีพพวกนี้ ส่วนมากก็พิการ พอปลายมือก็พิการ ปลายมือก็โทรมทรุด เพราะทำลายสุขภาพ ไม่ใช่ออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพ มันมากไป เราออกกำลังกาย มาทำงานทำการ ทำอะไรอย่างที่เราเคยแนะนำกันนี่ พอเพียงแล้ว ชีวิตจะยืดยาว พวกนักกีฬาพวกนี้ ชีวิตไม่ยืนยาวดอก ไม่ยืนยาว ไม่ใช่แช่งนะ เป็นเรื่องสัจจะ พวกราคะนี่ ก็เสพเกินไป ก็ไม่ยืนยาวหรอก เสพไปแล้วต้องจ่าย ไม่ใช่ไม่เหนื่อยนะ พวกนี้ต้องแสดงออก ผสมผสาน แสดงถึงพลังตัวเอง อะไรต่อมิอะไร ตัวเองเหนื่อยเหน็ดเหนื่อย เหงื่อแตก เวลาแสดงบนเวที แหม่ ยิ่งแสดงซ็อกๆ แสดงความเด่น ความเก่งคนเดียว คอนเสิร์ตคนเดียวนี่ เหน็ดเหนื่อยมากมาย เอาละ

อาตมา ก็ขึ้นต้นด้วยแก่นรากเหง้าของอามิส นี่เป็นเรื่องของอามิส เราต้องสละออก ทีนี้พวกใด ไปติดอย่างนี้ นี่เลิกมา มันซับซ้อน มันเหมือนดีนะ เชิงฉลาด ของคนนี่จะต้องเหมือนผู้ดี เหมือนจอมโจรบัณฑิตขึ้น ที่อาตมาพยายามอธิบายให้ฟัง ก็เหมือนกะโจรร้ายนั่นแหละ แต่เขาหาเชิงชั้น ที่ลึกซึ้งเป็น จอมโจรบัณฑิตขึ้นมา โอ้โฮ เป็นที่ยอมรับกันในสังคมนะ ยอมรับกันมาก แต่ร้ายกาจมาก เพื่อที่จะได้เป็นของตัวของตน เป็นของกู โลภโมโทสันด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ที่คนอื่นต้องยอมรับด้วยว่า นี่สุจริต ใช้เชิงชั้น ใช้ฉ้อฉล ต้องได้มา ต้องหมุนเวียนมา อะไรมา กลายเป็นผู้ที่ได้เปรียบมากที่สุด สมความโลภ ได้เปรียบมากที่สุด และมีอำนาจ อำนาจนี่คือ ตัวยิ่งใหญ่ของโทสะ แล้วก็ต้องสั่งกัน อย่างฉันไม่โหดร้ายนะ ฉันเมตตา ฉันหวังดี เพื่อคุณนะ แต่แท้จริง บางทีฉันไม่ให้คนรู้ด้วยฉันสั่ง แต่คนอื่นต้องทำตามที่ฉันต้องการ ลูกน้องต้องรู้นะ ว่านายต้องการอะไร แล้วนายไม่ต้องปริปากเลย ลูกน้องจัดการเสร็จ จะสมใจ ด้วยวิธีการใดๆ ก็ตาม นี่คือลักษณะลึกๆ ลักษณะซ่อนเชิงอำพรางของสังคมมนุษยชาติ แล้วฉันก็ได้ยิ่งใหญ่ ด้วยอำนาจ และทรัพย์ศฤงคาร ตั้งแต่ปางไหน โลกกี่ปาง ตั้งแต่ไม่มีวิธีการ จนมีวิธีการ ยิ่งนานปี ยิ่งนานยุคสมัย จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ยิ่งมีวิธีการซับซ้อนที่สุด นั่นคือ โลกียะที่หยาบคาย ของกู อัตตา อัตตนียาที่หยาบคาย เป็นอามิส ซึ่งจะต้องจาคะออกให้หมด ถ้าไม่เรียนรู้ ไม่ล้างไม่เลิกไม่ละ เสียดายมากในอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เสียดายมากที่ลาภทรัพย์ศฤงคาร ที่มากหลายที่จะต้องได้ บางที ต้องการอำนาจมากกว่า ก็ทำทีเป็นไม่เอาลาภ ซ้อนเชิงนะ ให้เห็นอำนาจที่น่าบูชา ยกย่อง ฟังดีๆนะ ซ่อนเชิงให้เห็นเป็นรูปธรรมนี่นะ เรื่องของลาภ เงินทอง ข้าวของนี่ เป็นรูปธรรม เอามามากๆ เอ๊ มันยิ่งใหญ่หรอก เพราะว่า คนรู้ คนในสังคมรู้ว่า การไม่โลภโมโทสันนี่ดี การไม่โลภเอาอะไรนี่ดี เป็นใหญ่ เป็นคนที่น่านับถือบูชา ก็ไม่เสียสละส่วนนี้ เพื่อส่วนที่จะได้อำนาจ ความเคารพบูชา ยกย่อง เพื่อจะยิ่งใหญ่ ซ้อนเชิงในการเป็นใหญ่อย่างยิ่ง โดยการยิ่งกว่าประกาศิต เราเป็นอำนาจใหญ่ ยังไงมันก็พอกินอยู่แล้วนะ ลาภไม่ต้องได้ม้ากมาก มันก็พอกิน เหลือใช้อยู่แล้ว โลกียสุขอะไรต่ออะไร อยากจะได้อะไรต่ออะไรมันก็ได้ มันไม่เหลือบ่า กว่าแรงหรอก อาหารการกินหรือว่าสิ่งเสพในทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่างแพง ขนาดเรื่อง ผู้หญิงว่ายังงั้น ยกสมมุติตัวอย่าง ถ้ามีอำนาจยิ่งใหญ่ ผู้หญิงจะเท่าไหร่กันเชียวนา จะซื้อกี่ล้าน อย่างดีสิบล้านก็ได้แล้ว ผู้หญิงคนหนึ่ง ยอดๆ ระดับไหน ยิ่งใหญ่ยอดเยี่ยมสุดสวยสุดสูง ในเมืองไทย อย่างนี้ เป็นต้น ก็แค่นั้น ก็พอแล้ว สิบล้านมันก็ได้แล้ว อย่างนี้ เป็นต้น ไม่จำเป็นต้องเอามากกว่านี่

เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นจะต้องรวยเป็นหมื่นล้าน รวยเป็นแสนล้าน หรือ ว่ารวยเป็นพันล้าน ไม่ต้องถึง ขนาดนั้น นั่นก็อยู่ได้หรอก อยากจะอยู่กันสักกี่ปีเดี๋ยวก็ตาย เพราะฉะนั้น สละสิ่งนี้บ้าง เพื่ออำนาจ ที่ยิ่งใหญ่ซับซ้อนอย่างนี้ มีเหมือนกัน อำนาจที่ประกาศิตสั่งการ หรือฉันจะสมใจในสิ่งใด ไม่ต้องใช้ ความรุนแรงเลย ลูกน้องจะต้องรู้ใจนาย จะต้องหาบำเรอให้หาให้ จะดับที่ไหน จะสร้างที่ไหน ได้ทั้งดับ ได้ทั้งสร้าง อย่างนี้ เป็นต้น

นี่เป็นเรื่องของสังคม เรื่องของความฉลาดของคนที่จะหาสิ่งที่เป็นของกู ไม่ใช่จาคะ เอามาเป็นอามิส ซับซ้อน เป็นเชิงฉ้อฉล เป็นเชิงฉลาดเฉโก แล้วเอามาให้เนียนให้ดูเนียน ดูยิ่งใหญ่ ดูประเสริฐ ดูเป็นผลสำเร็จ อันยิ่งใหญ่ของโลก ของโลกีย์ ไม่ใช่ซื่อสัตย์ ไม่ใช่เรื่องของความสะอาดบริสุทธิ์ ที่อาตมาพูด ยังรู้สึกว่า พูดไม่ค่อยเก่ง พอเข้าใจไหม พอรู้เรื่องไหม ว่าอาตมาพูดถึง หมายถึงอะไร อาตมาไม่ได้ว่าใครนะ นี่ใครๆมาจะจับอาตมาไปเข้าคุกว่า อาตมาไปว่าเขาๆ ก็จำยอมๆ ยอม นะ อาตมาไม่ได้ว่าใครนะ นี่อาตมากำลังเปิดเผยสัจธรรม เปิดเผยที่ไหนได้มาเป็นปีนี้ ไม่ได้มาเดือนนี้ ไม่เป็นมาวันที่มันซับพอก มันซ้อนพอก มันฉลาดฉ้อฉลนี่ มันทำมาก จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ มันมียิ่งขึ้น ต่อไป คนที่ไม่เรียนรู้สัจธรรม เขาไม่เข้าใจหรอก อาตมาพูดนี่ บางทีอาจจะรู้เรื่องว่าตรงอย่างที่ก็ได้ ถ้าคนนี้มีปฏิภาณดี ถ้าคนนี้ไม่มีปฏิภาณ บอกไม่ใช่กูหรอก กูไม่ได้เลวร้าย เลวร้ายจะต้อง หน้าเขี้ยวงอก ตาโปน ถือมีดถือดาบนี่ซิน่ากลัว อย่างนั่นซิเลวร้าย แต่เดี๋ยวนี้ เลวร้ายที่ดูเหมือนผู้ดี ผู้ดี เลวร้ายที่เหมือนผู้ดี ที่ซ้อนเชิงอย่างนี้ อย่าว่าแต่สายของอาณาจักรเลย แม้แต่ในศาสนจักร ขอเขยิบเข้ามาอีก ก็เป็นอามิส ไม่ใช่จาคะ ยิ่งใหญ่ในอำนาจ ยิ่งใหญ่ในลาภ สรรเสริญเยินยอ เหมือนกัน ใหญ่อยู่ในศาสนจักรเหมือนกัน ผู้ไม่มีตาทิพย์ ผู้ไม่มีปัญญารู้ ก็ตกอยู่ในอำนาจ หลงยกย่อง บูชาเชิดชู กราบเคารพ นอบไหว้อยู่อย่างนั้น ผู้ที่รู้แล้ว โอ้โฮ น่าเกลียด รู้มาก รู้ชัด รู้แล้วเป็นจริงด้วยเท่าไหร่ ก็เห็นเป็นสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังมากเท่านั้น แม้แต่ในศาสนจักร ก็ซับซ้อน และก็หาวิธีการฉ้อฉล สร้างสภาพให้ซับซ้อน จนคนในสังคมยอมรับๆว่า ผู้นี้ดีๆๆๆ แต่นี่แหละคือ จอมโจรบัณฑิต ซับซ้อนอยู่ในสภาพพวกนี้ ความจริงไม่ได้เป็นคนจาคะที่สมบูรณ์

ศาสนาพุทธต้องมาจาคะเป็นยอด ในบารมี ๑๐ ทัศ ทานตัวเดียว ปารมี ๑๐ ทัศ มีทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา จำบารมี ๑๐ ทัศ จำเป็น ๔ แรก นี่เป็นตัวปฏิบัติ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา เป็นตัวก่อให้เกิดหลัก อีกสี่ตัวหนุน มีวิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน บารมี

วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน นี่เป็นตัวหนุน มีตัวเพียร มีตัวขันติ อดทน อย่างพวกเรานี่ปฏิบัติธรรม นี่ก็มาทาน มาสร้างบารมี มาสร้างทรัพย์ สร้างทรัพย์แท้ๆๆ คือ บารมี พูดไปแล้ว สั่งสมทำ ตลอดเวลา ถ้าสั่งสมเป็นสิ่งที่ไม่ดี ก็ได้สิ่งที่ไม่ดีไปเป็นทรัพย์ เป็นอุปนิสัย หรือเป็นสันดาน หรือ เป็นบารมี สิ่งดีเราเรียกว่า บารมี สิ่งไม่ดี เราเรียกว่า สันดาน หรืออุปนิสัย นั่นแหละ ในภาษาที่ท่านพูด ท่านอ่าน แล้วสั่งสมเป็นอุปนิสัย

เพราะฉะนั้น เราจะมีวิริยะ เราจะมีความเพียร ความเพียรนี่ ต้องสร้างให้เป็นนิสัย สร้างนี่ ต้องสั่งสมนะ เรามานี่ มาปฏิบัติสูงขึ้นๆ ซ้อน คุณได้ทาน คุณได้จาคะอามิสหยาบ ได้จาคะอบายมุข ได้จาคะกาม ได้จาคะลาภ ยศ สรรเสริญในระดับหยาบ ในระดับกลางออกไปแล้ว คุณก็ต้อง มาจาคะต่อ ต้องมาทานต่อ คุณก็ต้องมาเนกขัมมะต่อ คุณก็ต้องมามีศีล ที่มาเป็นอธิศีลยิ่งขึ้นๆๆ ตัวบารมี ๑๐ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา นี่ต้องมีปัญญารู้ว่า อธิศีลคืออะไร เราต้องมีอธิศีล ระดับของอธิศีลเท่าไหร่ เราจะทานๆได้ออกไปเท่าไหร่ จาคะออกไปเท่าไหร่ ฟังดีๆ มันซ้อนอยู่ในนี้ และมันอันเดียวกันหมด ปฏิบัติธรรม บารมี ๑๐ ทัศนี่ ทุกตัวนี่หมด ทำพร้อมกันหมดทั้งนั้นแหละ เกี่ยวเนื่องกันหมด ไม่ใช่ว่า ทีละตัวๆ ไปอธิบายเป็นนิยายว่าบางที พระพุทธเจ้าปางทาน เป็นอะไร อาตมาไม่เคยไปท่องสักที ไม่ได้เห็นจริงเห็นจังเต็มที่อะไรขนาดนั้น ปางทานเป็นพระเวสสันดร ปางศีลเป็นอะไร เป็นพระภูริฑัต ปางเนกขัมมะเป็นพระเตมีย์ใบ้ ปางปัญญา เป็นพระมโหสถ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ไม่ใช่เป็นทีๆๆ แต่ก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าจำมาเป็นรูปๆ เรื่องๆ ตัวๆ แท่งๆ มาอธิบาย ก็เน้นอันนั้น ก็ขยายอันนั้น เท่านั้น

แต่ที่จริง ทำพร้อมกันไปหมด เหมือนเราปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติต้องเกี่ยวเนื่องกันหมด เป็นสมังคี ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ใช่ไปทำศีลตัวหนึ่ง ถ้าจะมาสำนักนี้ มีแต่ศีล ไปสำนักโน้น มีแต่สมาธิ ไปสำนักโน้น มีแต่ปัญญา แหม จะเอาช้างสักตัว ก็เอาแต่ส่วนขา ส่วนหาง ส่วนงวงไป เท่านั้นเอง ไม่ถึงตัวช้างสักทีหนึ่ง ศาสนาก็เอาหมด และจะได้พร้อมกัน และเกี่ยวเนื่องกันไป อันไหนก่อน อันไหนหลัง ซ้อนซับซ้อนเชิงกันไป

เรามีวิริยะเป็นตัวหนุนเนื่องทุกอย่าง วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน ต้องเพียรเสริมซ้อนเข้าไปอีก ต้องอดทน เสริมซ้อนเข้าไปอีก ไม่ใช่ยิ่งอยู่ไปก็ยิ่งเบาสบาย ยิ่งดูเบาๆๆ ก็เลยเข้าใจว่า เราสำเร็จแล้ว เราดูเบาแล้ว เราว่างแล้ว ต้องซ้อนขันติอดทนเข้าไปอีก วิริยะขันติต้องเอาจริง สัจจะต้องเห็นสัจจะ ต้องมีพหุสัจจะ ต้องได้สัจจะ ต้องถึงสัจธรรม ยิ่งๆๆขึ้นไปอีก สัจจะตัวนั้นน่าจริง ทั้งหมดนา จริงในลักษณะเอกๆ จริงขึ้นไปอีก จริงทั้งในลักษณะที่ได้เห็นความจริงๆ ได้ถึงความจริงที่จริง อย่างเกิดญาณ เกิดปัญญาซับซ้อนว่าจริงถึงอย่างนี้หนอ สมบูรณ์ไปด้วยความจริง นอกจากรู้ ด้วยญาณแล้ว ก็ได้ความจริงถึงความจริง เป็นความจริงที่ลึกซึ้งไปทั้งหมด จริงอะไร จริงที่เรา จะหมดตัว หมดตนโน่นแหละ จาคะ หรือสละออก ทานจนหมดโน่นแน่ะ ทั้งรูปธรรม และนามธรรม ไม่ติดยึด แม้กระทั่งรูปนามขันธ์ ๕ ร่างกายนี่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ทั้งจิตวิญญาณ ก็ไม่ยึด แม้แต่สิ่งดีเป็นมหาสมบัติ สั่งสมไปเนี่ย กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้านี้ พระพุทธเจ้าที่มี อภิมหาสมบัติ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่มีอภิมหาสมบัติ คือท่านไม่มีอะไรเลย พอสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า หมดทุกอย่างเลย ไม่มีอัตตา ไม่มีอัตตนียาอะไรเลย ใช่ไหม พระพุทธเจ้า จะประสบผลสำเร็จ มีทรัพย์ อริยทรัพย์แท้ของมนุษย์ผู้ประเสริฐสุด ผู้ที่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านี่ปางใด เมื่อใด ผู้นั้นมี ทรัพย์ประเสริฐที่สูงที่สุด ที่มีทรัพย์มีสมบัติที่วิเศษที่สุด ใช่ไหม สูงส่ง มีค่ายิ่งกว่าอะไรในสากลโลกนี้ ซึ่งมันจะรัก และหวงแหน บอกแล้ว มีทองเท่าหัวสละไม่ออก มีทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้ง จนเรือนไหว มีทองเท่าหัวนี่ ยิ่งจะไม่ใช่นอนสะดุ้ง คงจะนอนเต้นอยู่บนเรือนนั่นแหละ ไม่ใช่เรือนไหว มันจะพังเอา มีทองเท่าหัวระวัง เรือนจะพัง อย่าไปมีเข้า และมีราคา มันยิ่งกว่าทองเท่าหนวดกุ้ง มันยิ่งกว่าทองเท่าหัว มันยิ่งกว่ามหาสมบัติอะไรในมหาสากลโลก นี่ มันต้องรัก มันต้องหวงแหน แต่ก็ต้องสละ ต้องจาคะออก เป็นธรรมจาคะ ถ้าจะเรียกเป็นภาษาแล้ว เป็นธรรมจาคะ ไม่ใช่อามิสแล้ว ซ้อนเชิง และเนียนในมากแล้ว ต้องไม่ยึดเป็นเราเป็นของเรา นี่ พวกเราก็มีมานะ ได้คุณธรรมมาหน่อยหนึ่ง ก็เป็นทรัพย์ สละโน่นนี่ได้ โอย เราเดี๋ยวนี้ ไม่ติดแล้วอบายมุข แน่แล้ว บางคนก็แค่ ฉันไม่กินเนื้อสัตว์ได้เท่านั้นแหละ โอ้โฮ ยิ่งใหญ่ อิฉันเดี๋ยวนี้ ไม่แต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่า ไม่ติดรูปรสอะไร เหมือนของเขาแล้ว ก็ยิ่งใหญ่ หลงเป็นมานะ หวงแหนเป็นมานะติดยึด เอาไปเบ่ง ไปข่ม ไปอยู่ไม่เป็นสุขแล้ว ไปเที่ยวได้ทับถมข่มเขา ไปเรื่องทะเลาะวิวาท ไม่สมาน ไม่สงสารคนอื่น ไม่เห็นผู้อื่นด้วยความจริงว่า เออ เขายังไม่ได้ เขาก็เป็นน้อง ควรจะช่วยเขา ช่วยกัน เขาไม่รู้เป็นน้อง เขายังมืด เขายังโง่ เขายังอวิชชา เขาก็ต้องไม่เห็นดี เขาก็ต้องขัดแย้ง หรือเขาก็ต้องเขาก็เห็นว่าไม่ดี ก็อยากทำลายเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น มันมีในเรา เขาก็จะทำลายเราเหมือนกัน เพราะยังงั้นศัตรู ก็คือผู้ที่ยังไม่เข้าใจ คือผู้ที่ยังไม่รู้ เมื่อเขาไม่รู้ เขาก็จะเอาอย่างที่เราสละมาแล้ว เราเอาออกแล้ว เขาก็จะไปรับสิ่งนั้น ก็จะไปกอบโกยสิ่งนั้น เราก็ต้องสงสารเขาให้มากๆ เหมือนกับเราเห็นงูโอ้โฮ งูตัวนี้ เราทิ้งแล้ว เราหนีแล้ว เราพรากแล้ว เราไม่เอามาไว้ในพกในห่อแล้ว เขาก็จะเก็บงูเข้ามาใส่พกใส่ห่อ เราก็โอ้โฮ อย่าเลย น่าสงสาร ไปหอบงูเห่าไปใส่ตัวทำไม มันน่ากลัว นะ เราจะต้องมีใจอย่างนั้นนะ ไม่ใช่อย่างนั้น เออ เองดีๆ เองเอางูเห่าเข้าไปนั่นแหละ เอ็งจะได้ทรมาน เองจะได้เจ็บ เองจะได้ปวด เองจะได้ตาย คนจะไปคิดอย่างนั้นเหรอ คนคิดอย่างนั้น จะเป็นคนยังไง

เพราะฉะนั้น คนที่ดีแล้ว เขาไม่เห็นศัตรู ศัตรูไม่รู้เขาก็จะทำลายอีกฝ่ายหนึ่งใช่ไหม ถ้าเขารู้ว่า งูมีพิษ เขาก็เอางูนั่นแหละมาใส่เรา เขาก็จะให้งูมาจัดการแก่เรา ถ้าเขาเป็นศัตรูแก่เรา ก็เรารู้แล้วว่า งูนั่นไม่ดี เป็นสิ่งที่ไม่ดี เราไม่เอาแล้ว และมันก็เข้ามาในเราไม่ได้แล้ว แต่เขาซิจริงๆ เขาหอบงูอยู่ เอาแล้วๆ และมันก็เข้ามาในเราไม่ได้แล้ว แต่เขาจริงๆ เขาหอบงูอยู่ เราเห็นว่า โอ้โฮ เขาหลงผิด ไปหอบไว้ทำไม งูพิษทั้งนั้นเลย อสรพิษทั้งนั้นเลย หอบไว้ทำไม เราก็เห็นใจว่า โอ้ ควรจะอยู่ สงสารเขา น่าสมเพชเขา น่าเมตตา น่าช่วยเหลือเขา ศัตรูนี่เป็นผู้ที่น่าช่วยเหลือที่สุด ใครไม่รู้รู้ไว้ แล้วพิจารณาให้มากๆเลย ถ้าใครเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็เห็นอย่างนี้ในโลก โลกนี้จะอยู่กันอย่างสุข เย็นที่สุด แม้ใครจะเลวร้ายเป็นศัตรู ก็จะทำการไม่ได้เต็มที่ เพราะผู้ที่มีปัญญา จะเห็นศัตรู ไม่ใช่เรื่องที่จะทำเลย ขนาดที่เขาไม่ชอบใจเรานี่ มันก็เป็นสงครามที่เลวร้ายแล้ว ถ้าเขาจะมา ทำแรงอีก และเราจะมาทำเสริมให้มันแรงเข้าไปอีก เราโง่ตายเลย เราจะไม่สร้างให้เลวร้าย ขึ้นไปกว่านี้ เพราะงั้น ยอมได้ เราก็ยอมน่ะ ให้มาเปลี่ยนผ้าเราก็เปลี่ยน ไม่ให้เราเรียกพระ ทั้งๆ ที่เราเป็นพระแท้ๆ ก็ไม่ยึดนะ ไม่ติดจนเกินการ และบัญญัติ แต่เราก็เป็นพระของเราให้ก็แล้วกัน นี่ยกตัวอย่าง ประกอบ

เรายินดีสละ เรายินดีจาคะ แม้เป็นสิ่งดีๆ คุณจะเอาไปตอนนี้ก็เอา เราทำได้ ที่เรายึดดี เราจะยึดเสื้อผ้า เราจะยึดจีวร เราจะยึดเครื่องนุ่งห่ม เป็นสมมุติสัจจะ ให้คนเข้าใจง่ายๆว่า เราเป็นพระ ควรจะมาติดตาม ควรจะมาศึกษา เอาศาสนา เอาธรรมะ เรายิ่งมีธรรมะดีๆด้วย มีองค์ประกอบพร้อม มีอะไรที่แสดงลักษณะทั้งหยาบ และทั้งละเอียด เห็นพร้อมชัดเจน ง่ายๆ เขาก็ จะมาเปลี่ยน เขาก็จะมาให้ถอดออก ให้เปลี่ยนออก ทั้งๆที่เราไม่ผิด ทั้งๆ ที่เราก็เป็นพระ พูดจริงๆ เราเป็นพระยิ่งกว่าเขาด้วย เขาไม่รู้เขาก็จะจัดการ เรายอมได้ก็ยอมอย่างนี้ เป็นต้น แต่เราก็เป็น พระของเรา ให้ยิ่งๆขึ้นไปอีก ในตัว แก่นสาระของพระ เป็นให้จริงๆ ฝึกฝนอบรมตนให้จริงๆ ในเรื่องนี้ เรื่องนอก เรื่องปลีก ไม่เป็นไรหรอก เรายอมเขา เขาก็ต้องยอม ไม่ใช่นั่นจะเกิดสงคราม แรงกว่านี้ จะเกิดการเจ็บปวดหัวใจ จะเกิดการก่อเวร ก่อภัย จะต้องแก้แค้น จะต้องทำลายกันรุนแรง ด้วยวิธีการ ประเดี๋ยวก็เล่นกันด้วยอาวุธสงคราม ยิ่งร้อยสิบเจ็ดนัด มันจะรุนแรงอย่างนั้นขึ้นไปน่า เพราะฉะนั้น อย่าก่อให้เขาจิตใจต้องอาฆาตมาดร้าย เราเองเขาติดตรงนี้เท่านั้นแหละ อันอื่น ที่เขามองไม่ออกหรอก ว่าเราพากเพียรสร้างความเป็นพระ สร้างความเป็นสมณะ ให้ยิ่งขึ้นอยู่ทุกวัน เขาจะมาเปลี่ยนแปลงเราได้ยังไง ที่เราจะต้องพากเพียร สร้างบารมี ๑๐ ทัศนี้ขึ้นไป ยิ่งๆขึ้น เขาจะรู้ได้ยังไง เราทำจริงๆเถอะ แต่เขานั่นซิ ยิ่งกอบโกยเอาความสมใจ เอาความได้สมอาฆาต สมทำลาย ทั้งๆที่เราจะทำสิ่งที่ดีๆ กอบก่อสิ่งที่ดีๆ เอ๊า กลับไม่สนับ ไม่สนับสนุนเรา มาทำลาย ให้เราไม่ทำ เรามาทำอย่างนี้แล้ว ดีๆ ขนาดไหน เราควรจะได้ดี ตั้งแต่ทำงานมา กองทัพธรรม ผลประกาศเมื่อคืนนี้ๆ ออกฤทธิ์ออกเดชมาถึงวันนี้ พวกคุณก็รับ เกลียดตัวกินไข่ ให้รางวี่รางวัล มันมีที่ไหน คนทางโลกเขาจะแย่งกันเอารางวัล ต้องเล่นพรรค เล่นพวก จะได้ เป็นดี เป็นเดน จนกระทั่ง ไม่ได้ดีได้เด่นอะไร จะเป็นดีเป็นเด่น อย่างได้จะเอาๆ แต่ทางนี้ บอกว่า อย่าให้เราเลย เอาไปให้คนอื่นเถอะ ไม่ได้คุณ ต้องเอา อย่าให้เราเลย ไม่ได้คุณนั่นแหละ เหมาะสมที่สุด พวกเรามีแต่ลักษณะไม่เอาๆ เขาก็ยิ่งต้องให้ๆ มันยืนยันสัจจะอย่างนั้น ส่วนทางโน้นเขานี่ ฉันได้ทั้งๆที่ ไม่น่าจะได้สมใจจะได้ดีเด่นดีโด่อะไรเลย แต่เขาก็ยัดเยียดกัน แต่สุดท้ายเขาก็ จำนนต่อความจริง เออ เรานี่แหละควรจะได้ ทั้งๆที่หลายสิ่งหลายแห่ง รู้ว่า เราเป็นพวกอโศก และเขาก็ไม่อยาก ให้พวกอโศกได้ สุดท้ายเอาไปเอามา อโศกเอาไปกินหมด นี่ไม่ได้นัด ไม่ได้แนะ อะไรหรอก กล่าวดูซิโอ้โฮ พวกดีเด่นๆ ทางโลก เขาเป็นผู้ให้รางวัล ไม่ใช่เรา เขารับรองใช่ไหม ดีเด่น โอ้โฮ จนกระทั่ง ๓ ทุ่มนี่ ไล่กันไม่หมด ที่จริงก็มีอีก ถ้าจะว่ากันเรียงรายกันไปอีก ก็มีอีก อะไรเป็นต้น ผลมันออกฤทธิ์ขนาดนี้ ฝ่ายที่เขาคิดอยากจะปราบปราม เขาฟังช้ำชอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ตายแล้วหวา ปราบปรามยังไงทั่วประเทศเลยแบบนี้ ฮ้า ทำยังไง ปราบยังไง ถอดรากถอดโคนยังไงไหวนะ ตอนนี้

อาตมาบอกแล้วว่า อโศกมันไม่ได้หยั่งรากหรอก ตอนนี้มันแตกกิ่งแตกก้าน แตกสาขา โดยที่คนเขาไม่รู้ เขาก็ไม่รู้ แต่คนรู้ จะเห็น เขาก็จะเข้าใจ แตกกิ่งก้านสาขา และจงเป็นอย่างนี้เถิด มาเป็นคนเสียสละ อย่าไปเอาอะไร ทำอะไรขึ้นมา สร้างสรร เพื่อเกื้อกูล เพื่อแจกจ่าย เอื้อเฟื้อเจือจาน เพื่อทานตัวเดียว เพื่อจาคะตัวเดียวนะ มีวิริยะ ขันติ อดทน ซ่อนเชิง สัจจะเอาจริงให้ถึงความจริง ที่สูงขึ้นๆ ถ้าไม่ถึงที่สุดนะ เขาจะต้องรู้ว่า ยังไม่ถึงที่สุด เอาให้สูงขึ้นมานะ อธิษฐาน คือตั้งใหม่ๆๆ ตั้งใจอธิษฐาน คือตั้งจิตยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ตั้งเข้าไปเรื่อยๆ ได้แล้ว ก็ต้องมีปัญญาซ้อนลงไปว่าได้แล้ว คือแล้ว มีสัจญาณ กิจญาณ กตญาณ ต้องมีปัญญา มีญาณ คือปัญญานี่รู้ๆ นี่โดยความจริงนี่ เราระดับซี ๓ ได้แล้ว ซี ๑ ได้แล้วๆ ต้องต่อฐาน ซี ๒ แล้ว ต้องต่อฐาน ซี ๓ ต้องมีปัญญารู้ตัวเราเอง ตามฐานะ อธิษฐาน ต้องยิ่งขึ้นๆ พอได้แล้ว ก็เข้าใจด้วยญาณ ด้วยปัญญา อันนี้ตามสัจจะ ซี ๑ สั่งสมความเป็นซีให้ได้ พอได้เสร็จ ค่อยๆเพิ่มฐานขึ้นไปอีก ตั้งจิตอธิษฐานขึ้นอีก ตั้งฐานะนั่นเอง อธิๆๆๆๆ อธิฐาน อธิก็คือ ฐานะนั่นแหละ ทำฐานของเราให้สูงขึ้นๆๆ ตามลำดับ ไม่หยุดอยู่กับที่ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญคนหยุดอยู่ พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญคนวุฒิๆๆๆๆ เจริญยิ่ง ตลอดกาลนาน มันต้องเสริม มันต้องมีปัญญาญาณรู้ทั่ว นี่สัจญาณ ต้องรู้ความจริงว่า เราทำฐานไหน และรู้ว่า เราได้ทำหรือยัง กิจญาณรู้ว่า เราได้ทำแล้วหรือยัง กิจคือทำๆให้ได้ พอได้แล้ว รู้ว่าได้ เอาจบแล้ว กตญาณคือรู้จักจบ รู้จักแล้ว กต แปลว่า แล้ว สำเร็จแล้วๆ ก็ต่อ ฐานซี ๔ ซี ๕ ซี ๖ ซี ๗ ถ้ามันสูงสุดซี ๑๒ ก็ให้มันจบซี ๑๒ โสดาได้แล้ว สกิทาได้ อนาคาได้ อรหันต์ได้ ต่ออรหันต์อีก อยากจะต่อๆ ถ้าไม่ต่อจะจบแค่นั้นก็ทำงานต่อ มันมีโพธิกิจต่อ อย่างนี้เป็นต้น เราต้องมีปัญญา ต้องรู้อธิษฐาน ถ้าไม่มีปัญญา ปัญญาก็ต้องมารู้ว่า สัจจะคืออะไร เราจะวิริยะ เติมไปอย่างไร เราจะต้องอดทน ยิ่งขึ้นอีกๆ ซ่อนเชิงต้องอดทน

เพราะฉะนั้น ทุกคนมานี่ เราได้นี่ เอ๊ ทำไมเรารู้สึกว่า ยิ่งฝืนรู้สึกทน รู้สึกว่ายากยิ่งขึ้น แน่นอนซิ มันง่ายส่วนหนึ่ง มันก็ยากในส่วนหนึ่ง และเราก็จะทำงาน หรือทำกิจอะไรได้ขึ้นไปตามลำดับ นี่เรื่องของการสละ และเราสุดท้าย จิตของเราจะเป็นเมตตากับอุเบกขา เป็นตัวเอง เพราะฉะนั้น บารมีที่สั่งสมใน ๘ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา กับ วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน นี่ซ้อนเชิงทำงาน เสร็จแล้วเรา จิตจะเป็นฐานอาศัย คืออุเบกขา และจะมีตัวเมตตา เป็นตัวแสดงถึงทาน เป็นตัวแสดง ถึงตัวคุณธรรม หรือความประเสริฐของมนุษย์ มนุษย์ที่จะมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เมตตาต้องให้คนพ้นทุกข์ทั้งหมด เราพ้นทุกข์ได้แล้ว ช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ เห็นใจคนอื่น สงสารคนอื่น เมตตาคนอื่น ต้องการคนอื่นให้พ้นทุกข์ทั้งหมด สัตวโลก เมตตาต้องการคนอื่น พ้นทุกข์จริงๆ ด้วยความจริงใจ เมื่อเมตตาไม่พอ ต้องกรุณาๆ คือลงมือช่วยจริงๆ ลงมือทำจริงๆ มุทิตา คือทำสำเร็จ ทำพ้นทุกข์สำเร็จๆเป็นเรื่องๆไป เป็นคราวๆไป ทำไปเรื่อยๆ ช่วยให้คนพ้นทุกข์ มาได้เรื่อยๆ ได้มากเท่าไร ด้วยวิธีการ ด้วยสามารถ ก็นั่นแหละ เป็นสิ่งประเสริฐที่สุด แล้วก็อุเบกขา อุเบกขา คือปล่อย ตัวสุดท้าย วางเฉย แต่ตัวอุเบกขามีตัวกลไก ๕ อย่างที่ว่าบริสุทธิ์ สะอาด วาง ว่างเฉย ผ่องใส หนักเหน็ดเหนื่อยอยู่ยังไง ก็เบาเบาใจ หนักกายได้ ไม่มีปัญหา เป็นกายิกทุกข์ได้ เป็นทุกข์ทางกาย หนักได้รับบีบคั้นอะไรได้ แต่ใจเราไม่อึดอัดอะไรเลย ไม่อึดอัดจริงๆ โล่ง โปร่งสบาย เขาไปประกาศนียกรรมอาตมายังไงๆๆ ทั่วบ้านทั่วเมืองได้รู้ข่าว แต่ไม่มีปัญหา เมตตาเป็นตัวการงาน อุเบกขาเป็นตัวอาศัย สุดท้ายเมตตาเป็นตัวการงาน อุเบกขาเป็นตัวอาศัย

เรื่องสุญตา หรือความว่าง เขาว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ขี้เกียจ เพราะเรื่องสุญตา หรือความว่าง นี่เข้าใจสุญตา หรือความว่างอย่างมิจฉาทิฏฐิ ใช่ และมีแนวเชิงอย่างนั้นด้วย จะขี้เกียจ สุญตา ว่างอะไร ช่างมัน ของมัน ไม่ใช่ตัวเรา ของเรา ปล่อยวาง อย่าไปเอาภาระ มันจะยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่ได้ สุญตาอย่างนั้น มันมีเชิงชั้นอย่างนั้น ที่จริงมันลึกซึ้ง ต้องมีปัญญารู้ให้ดีนา เขาว่า พระพุทธเจ้า สอนให้ขี้เกียจ เพราะเรื่องสุญตา หรือความว่าง แต่ฟังเรื่องจาคะ อามิสแล้ว ก็มีการสร้างวัตถุ แต่ก็สละคืนอีกทีหลัง การสร้างอามิสนี่เปรียบเทียบกับ ทางตะวันตกนี่ เป็นทุนนิยม ทำให้เข้าใจว่า ทำไมจึงมีการล่าเมืองขึ้น ในสมัยก่อน ทำไมจึงมีบริษัทข้ามชาติ กอบโกยชาติล้าหลัง ทำไมจึงมีคอร์รัปชั่น ในเมืองไทยก็มีมาก เป็นเพราะไม่มีจาคะอามิสใช่หรือไม่ เพราะเข้าใจ พุทธศาสนาผิดไปอันหนึ่ง อีกอันหนึ่งก็คือ ไม่เอาศาสนา เข้าใจพุทธศาสนา แต่ขี้โกงในตัวเอง กิเลสมีก็เลยฉลาด เอาความคิดขี้โกงของศาสนา เข้าใจศาสนาได้นี่ แล้วเจโตหรือจิตนี่ มันยังมีกิเลสอยู่ จะต้องของตัวของตน ซับซ้อน แล้วเอาศาสนามาใช้บดบังปิดบัง เป็นมหาจอมโจรบัณฑิต เอา ไม่ใช่จาคะ เอา อย่างที่อธิบายตอนต้นแล้ว

เพราะฉะนั้น ล่าหมดละเนี่ย ล่าอามิส กอบโกยชาติล้าหลัง แม้แต่คอร์รัปชั่นก็ซับซ้อน ไม่ใช่คอร์รัปชั่นอย่างหยาบหรอก นี่เรื่องมันซับซ้อนลึกซึ้ง อาตมาพยายามอธิบายไป พวกเราเข้าใจ กันไปเรื่อยๆ เข้าใจมากขึ้น เชื่อว่าพวกคุณเนี่ย เป็นอุปสัมบันมากขึ้น เข้าใจสิ่งที่อาตมาพูดมากขึ้น เข้าใจรับซับซาบซับซ้อน ถ้ารับรู้ไม่ทันตามไม่ทัน ไม่มีโลกวิทู ไม่มีพหูสูต ไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้อย่าง อาตมาพูดนี่ รู้เท่าทันกลเล่ห์ กลของโลกโลกียะ ไม่เท่าทันโลกียะ และคุณจะไปหนีโลกียะอะไรได้ โลกียะมันก็ครอบงำคุณ คนที่อยู่ในโลก ที่ติดโลกอยู่ ก็เพราะเขาไม่เข้าใจเล่ห์กลของคนโลกๆ เขาครอบงำอยู่ ก็ติดบ่วง ของเล่ห์กลโลกโลกีย์อยู่ ก็ออกมาไม่ได้ โลกต้องฉลาดนะ ถ้าโลกไม่ฉลาด ดึงคนไปเป็นบริวารไม่ได้ ปุถุชนหมดโลก กลายเป็นโลกุตรบุคคลหมด โลกเขาก็ตาย โลกเขาก็เจ๊ง

เพราะฉะนั้น โลกเขาก็ไม่ยอมเจ๊ง แล้วทุกวันนี้ โลกียบุคคลปุถุชนมากขึ้นด้วย โลกุตรบุคคลน้อย โอ้โฮ แย่งชิงยาก เพราะคนเหล่านั้น ฉลาดเฉกัง ฉลาดอย่างโลกียะ ฉลาดอย่างปุถุชน ฉลาดอย่างหนา ฉลาดอย่างที่จะทำให้ตนเอง มีกิเลสหนายิ่งขึ้นๆ ยิ่งขึ้นๆๆ โหดร้ายรุนแรง เลือดเย็น ซ่อนเชิง เป็นสังคมเลือด เป็นเชือดนิ่มๆ ยิ่งๆๆ ขึ้น ทุกวันนี้ เชือดกันอย่างนิ่มๆ ที่สุด เขาถือว่า ผู้ดีนะเชือดนิ่มๆ ผู้ดี แต่โอ้โฮ เลือดเย็น เยียบเลยนะ ขนาดที่คนที่ถูกฆ่าตาย จะต้อง พี่อย่างเคารพนบนอบ อย่างจริงใจเลยนะ ยังไม่รู้เลยว่า ไอ้คนฆ่านั้น คือไอ้คนที่แกกราบอยู่เดี๋ยวนี้ ยังไม่รู้เลยว่า เอ็งกำลังจะตายอยู่เดี๋ยวนี้ ที่จริงเอ็งไม่ใช่คนอื่นเขาทำตายหรอก สิ่งที่เอ็งเคารพ นับถือบูชา คนนี้แหละฆ่าแก แกกำลังจะตาย แกยังกราบเคารพบูชา โอยที่ต้องจากไปแล้ว และยังเคารพน้ำใจพี่อยู่เลยนะ แต่เปล่า น้ำใจพี่นะ ไอ้คนตายไม่รู้หรอกว่า ที่จริงเองตาย เพราะพี่นี่แหละสั่ง แล้วก็ตายไปโดยไม่รู้จริงๆ ซ้อนถึงขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ พี่ฆ่าน้องหรือว่าพ่อ เรียกพ่อด้วยซ้ำไป แหม เรียกว่าพ่อด้วยซ้ำไป ไอ้พ่อนั่นแหละ ฆ่าลูกคนนี้ แต่ลูกไม่รู้เลย ซ่อนเชิง เยียบเย็น และมีอาการกิริยาโอ้โฮ และเขาจะไม่รู้ทันเลย ทีท่าทีช่วยเหลือยิ่งขึ้น มันอย่างนี้นะ สังคมอย่างนี้ ทุกวันนี้ เชือดนิ่มๆ สังคมใจเลือด เลือดชนิดเลือดเย็น เลือดไม่มีสี เลือดใส

แต่ที่จริงยิ่งซ่อนยิ่งพรางยิ่งขึ้น สังคมโลกเป็นไปอย่างนี้ไปทุกที เพราะฉะนั้น สังคมเขาก็มี ความฉลาดยิ่งขึ้น ที่จะซับซ้อน ไม่บอกใครง่าย แล้วเป็นก๊ก เป็นเหล่าอยู่ ทางด้านความดี โลกุตรบุคคล เมตตาแล้วโอ้ รู้ว่าเขายิ่งร้าย เขาก็ยิ่งบาปมาก เราไม่ต้องการให้ใครบาป ช่วยเขาไม่ได้ เราก็ได้แต่พยายามช่วย อย่างประเภทให้ยาทิพย์ เข้าไปในขุมขน ไม่ให้เขารู้ตัว รู้ตัวแล้วเดี๋ยวจะ กลับมา แล้วมาเล่นงานเรา เพราะเขามีอำนาจจริงๆ เราต้องรู้อำนาจโลกนา นี้ก็พยายามขยาย ให้เห็นว่า ไม่ใช่เรื่องเล็ก จาคะมีแค่อามิสจาคะ และมีแค่ ธรรมจาคะ ก็จริงอยู่ ๒ ตัวเท่านั้น แต่ลึกซึ้งมาก ในโลกนี้ก็มีจาคะอยู่ ๒ อย่างนี้ เท่านั้นแหละ

สุดท้ายมนุษย์ก็มาทาน มาจาคะ ไม่มีอะไรอื่น มาเป็นผู้ให้ ไม่ต้องมามีตัวมีตน ไม่ต้องมีของตัว ของตน บอกแล้วจะมีสมบัติชั้นดีขนาดไหน ก็ต้องมาลดมาละ ไม่ติดเป็นเรา ไม่ติดเป็นของเรา เป็นพระโพธิสัตว์นี่ อาตมาเข้าใจจิตจริงๆ อย่างนี้รู้อย่างนี้ เราก็ต้องทำอย่างนี้ อาตมาไม่เอาสมบัติ ทางโลกพวก ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์ ศฤงคาร เกียรติยศต่างๆในโลก ไม่เอา และมันก็ไม่ได้ด้วย บารมีทุกวันนี้ เกียรติยศแบบโลกๆ ไม่ค่อยได้หรอก ไม่ค่อยมี ปริญญาใบหนึ่งก็ไม่ค่อยมี รางวี่รางวัลอะไรๆ ก็ไม่ค่อยได้หรอกนา ไม่มี

อาตมาจะเล่าเรื่องได้รางวัล ในชีวิตนี้ได้รางวัลอยู่ครั้งเดียวในชีวิต ได้รางวัลอะไร ได้รางวัล แต่งเพลงชนะ และคนที่ให้รางวัลคือใคร ล้วน ควันธรรม ส่วนตัวๆนี่เป็นจริง ที่เป็นเรื่องซับซ้อน อาตมาดูแล้ว โอ๋ โลกมันเป็นอย่างนี้เอง บุญบารมีเราเป็นอย่างนี้ จริงๆ ในชีวิตนี้ อาตมาเคยพยายาม อยากจะได้รางวัลหลายอย่าง ไปประกวดกับเขา แข่งขันกับเขา ไม่เคยเข้าร่วม ไม่เคยได้เรื่องเลย สักอย่าง ในชีวิตไม่เคยมีรางวัลอะไร ไม่เคยได้รางวัลอะไร เป็นคนที่ไม่มีบุญในรางวัล ทั้งๆที่เราก็ว่า เอ เราก็เราดีนะ ฝีมือเราก็ไม่ใช่ย่อยๆนะ แต่งเพลงได้รางวัลอย่างนี้ มันตลกที่สุด เขาก็ประกาศ แต่งเพลงมาแล้ว ก็ออกทำนองเพลง ให้แต่งเนื้อเพลงมา แล้วก็เอามาประกวดกัน ส่งมาหมด ไพบูลย์ บุตรขันธ์ นี่ส่งมาประกวดทั้งนั้นนะ ศักดิ์พิศิษฏ์ พิจิตรคุรุการ นี่แต่งเพลงสุนทราภรณ์ ใช่ไหม แต่งดังไป จนกระทั่ง เดี๋ยวนี้ก็ยังเอามาเป็นอภิมหานิรันดร์กาล อะไรอยู่นี่ เยอะแยะ เพลงอาตมาไม่ต้องรื้อฟื้นละ เดี๋ยวมันจะยาว มันจะหมดเวลานะ เขาก็มาแต่งเพลงทั้งนั้น เนื้อพงเนื้อเพลงกันมาโอ้โฮ ไม่รู้กี่ร้อย ก็แต่งแข่งกัน สรุปปรากฏว่า อาตมาชนะได้รางวัล ที่จริงได้ ๒ รางวัล ที่ ๑ เขาไม่รู้จะตัดสินยังไง เขาเลยให้ที่หนึ่ง ๒ รางวัล ของอาตมาอันหนึ่ง ของศักดิ์พิศิษฏ์ พิจิตรคุรุการ อันหนึ่ง ที่จริงเขาจะให้ศักดิ์พิศิษฏ์ เป็นที่ ๑ อาตมาอยู่กับคุณล้วน แล้วไอ้แฟ้มเพลง ก็อยู่กับอาตมา อาตมาก็ช่วยเก็บ ช่วยทำอยู่แล้ว อาตมาก็ เอ๋ เราลองดูมั่งเถอะ เขาไม่รู้นะว่าอาตมา เขาไม่รู้หรอก อาตมาใช้นามปากกา ยุบลรัตน์ แต่งเพลงแต่งมา เสร็จแล้ว อาตมาก็เอาสอด เขารู้นะ เขาตรวจตลอดเวลา อันไหนควรจะได้ที่หนึ่ง เขาก็ตรวจตลอดเวลา อาตมาก็รู้แล้วว่า เขาให้คะแนน อันไหนได้ยอด อาตมาก็รู้ทั้งนั้นน่าใช่ไหม เขาตั้งใจเอาไว้แล้ว อันนี้มาที่ ของศักดิ์พิศิษฏ์ เนี่ย เสร็จแล้ว จวนจะถึง วันที่จะประกาศ จวนๆ แล้วล่ะ อาตมาก็เอามาเหน็บอีก เอาของอาตมามาเหน็บ เอามาตรวจ เฮ้ย อันนี้ มาจากไหนวะ พึ่งได้รับๆๆๆ เขาก็มาตรวจ โอ้โฮ ดีนี่หว่า เขาก็ตรวจ ก็เอาเทียบกัน ๒ เนื้อ นี่ ๒ อันนี้เทียบกันยังไง โอ้โฮ กูจะตัดสินอันไหนวะ มันยอดทั้งสองอันเลย เราก็ลืม อาตมานั่น อาตมาก็อายุยังไม่ถึง ๒๐ อาตมาก็กรึ่มในใจของอาตมา แหม เขาไม่รู้ว่าเรา กรึ่มไปเลยน่า

สุดท้าย ก็ถึงประกาศผล เขาก็ปรากฏว่า ดีเยี่ยมอยู่ ๒ อัน ตัดสินให้อันใดเป็นที่สองก็ไม่ได้ ขอตัดสิน ให้เป็นที่หนึ่งทั้งคู่ เขาประกาศไปรางวัลไม่มีอะไรหรอก ปากกาเชฟเฟอร์ ซื้อปากกาเชฟเฟอร์ สลักนามของผู้ชนะให้ เสร็จแล้ว รางวัลที่ ๑ ศักดิ์พิสิทธิ์ เขาก็ไม่มีปัญหา เขาก็มารับรางวัลไป พอถึงทีเรา ทำยังไงหว่า จะรับรางวัลได้ ทำยังไง จะรับรางวัลได้ ก็ไม่รู้จะทำยังไง เอ๊ อยากได้รางวัล ก็อยากได้ ทำยังไง ศักดิ์ พิสิทธิ์ เขาเข้ามาแสดงตัว เขาก็รับรางวัลไป อั้ยเราก็แสดงตัวยังไง แล้วก็รับใช้ทำอะไรอยู่ ถึงเวลาเขาก็ให้เอาไปสลัก เมื่อนั่น เมื่อนี่ เอ่อ ดีแล้ว เขาไปซื้อเมื่อไหร่ จะไปสลัก เรารับงานไปสลักชื่อเอง เราไปรับมาเองอะไรเอง เราก็รับยังงี้ เสร็จแล้วเราก็เอาไปสลักชื่อ อะไรเสร็จเรียบร้อยหมด อันนี้ให้ ทางนี้เขาให้ไป แล้วก็ให้ไปอีกอันหนึ่ง เราก็งิบไว้เลย เราก็ไม่ให้ เขาบอกว่า อีกอันอยู่ไหนหว่า อีกอันล่ะ เอ๊า ก็บอกให้เขาไปแล้ว เฮ่ะให้เขาไปยังไง กูต้องให้ซิวะ เอ็งเอาไปให้เองได้ยังไง เราจะเลี่ยงยังไงไม่ไหว ก็แล้วจะทำยังไง ก็บอกอันนั้นน่ะ ผมเอง ไอ้ห่าเอ้ย อั้ยห่าเอ๋ย (ผู้ฟังหัวเราะ ให้กูเสียเงิน (ผู้ฟังหัวเราะ) อาตมาละน้ำตาไหลเลย ปัดโธ่ เอ๊ย แทนที่จะยินดี ว่าเด็กของเรามีฝีมือ ไม่เลย ที่ไหนได้ ด่าเสียอีกแน่ะ พุทโธ่ชีวิตหนอๆ ไอ้เราจะได้ รางวัลทั้งที ก็แสนที่จะอาภัพจริงๆน่ะ เป็นเรื่องอาภัพจริงๆ มานึกถึงตัวเอง โอ้โฮ ปากกา ด้ามนั้น ยังอยู่ ไม่รู้ให้ใครไปไม่รู้ ปากกาด้ามนั่น สลักชื่อยุบลรัตน์ในนั้นสลักเป็น ภาษาอังกฤษ มันมีแต่อังกฤษ มันไม่มีภาษาไทยหรอกแต่ก่อน สลักชื่อข้างปากกา เชฟเฟอร์ ยุบลรัตน์ ได้รางวัลมาครั้งหนึ่ง โอ้โฮ แสนจะอาภัพแสนจะอับเฉา ด่านั่นไม่ใช่ด่านั้นน่ะ ด่ายาวต่อด้วย ทำไมต้องให้กูเสียเงินด้วย อะไรต่างๆนานา ล่อไปอีกเยอะแยะเลย แต่แทนที่เขาจะทึ่ง แต่ในใจเขา คงนึกอยู่เหมือนกัน เอ่อ ไอ้นี่มันพอได้นะๆ ฝีมือพอได้ คงนึกอยู่บ้างน่ะ ไม่รู้เขานะ เขาจะคิดยังไง ก็แล้วแต่เขา นี่ก็เล่าอะไรแซมๆ ให้ฟังน่ะ จะหมดเวลาแล้วว่าไป

เพลงกลางไพรสน เพลงชมวนา ชมไพรชมพฤกษา แต่ของศักดิ์พิศิษฏ์ เขาชมผู้หญิง ของเขาชมผู้หญิง เป็นเนื้อหาเนื้อความชมผู้หญิง ด้วยภาษาเขาหวือหวามาก ศักดิ์พิศิษฏ์ นี่ภาษาหวือหวา ภาษาของเขา ฟังแล้วบางทีมันไม่ใช่ภาษาๆดัดน่ะ อาตมาไม่ชอบเลย แต่ว่าภาษาของเขา สมัยใหม่มาก สุดท้ายก็ไปอยู่กับสุนทราภรณ์ เขาไปแต่งให้สุนทราภรณ์เยอะ ภาษาหวือหวา ที่เขาแต่งเพลงภาษาหวือหวาอะไรต่ออะไร ของเขาทั้งนั้นแหละ ว่างๆวันหลังจะบอก อาตมานึกไม่ออก ว่าเพลงอะไรบ้างตอนนี้ นึกก็ได้แต่ตั้งใจ มันจะเสียเวลาตอนนี้ อาตมาก็ไม่ตั้งใจจะนึก

เอาละพอ ตัดเข้าสู่จาคะ มันจะต้องสละออกหมด อะไรๆก็ได้หมด แล้วคนจะมีบารมีอะไรมา จะเป็นอย่างนั้นน่ะ ไม่ต้องได้หรอกแบบโลก อย่างอาตมาพูด ถึงบอกว่า  อาตมาไม่มีบารมี ที่จะมา ได้ศักดิ์ศรีอะไรแบบโลก ในปางนี้อย่างมากเลย ไม่ค่อยได้หรอก ได้เกียรติ ได้ยศ ได้รับความชมเชย ได้รับความยกย่อง ได้ศักดิ์ศรี เพราะฉะนั้น อาตมาไม่แปลก ที่อาตมาไม่ได้ปริญญาสักใบ ไม่แปลก มารู้ทีหลัง มาระลึก ยิ่งมาระลึกอะไรมา หยั่งญาณของเรา รู้อะไรของเราเอง อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาไม่พูด ไม่บอกหลายๆอย่างนะ ก็เข้าใจทุกๆ อย่าง และอาตมาก็เปิดเผยกับพวกเรามา เยอะแล้ว นะนี่ บอกอะไรต่ออะไร แม้จะไม่ออกมาบอกอะไรบางอย่าง ก็บอกอะไรบางอย่าง ถ้าใครเข้าใจ ก็จะรู้อะไรบางอย่าง ออกมาตามนี้ เยอะก็เข้าใจว่า เอ่อ ไม่ได้เสียใจกลับดีใจ ถูกแล้วละ ฐานะของเราอยู่นี่ และเราก็ทำซ่อนแซงอย่างนี้ๆขึ้นมา ให้มันซ้อนกัน ถ้าอาตมาจบด็อกเตอร์ มาทำงานอย่างนี้ อาตมาจะง่าย มันจะไม่เก่งหรอก ง่าย มันจะไม่มีตัวสู้เยอะ ที่จริงด็อกเตอร์ ต้องเป็นคู่ต่อสู้ ของอาตมาทั้งหมด อาตมาถึงจะเยี่ยมจะใหญ่ ไปเอาคนกอไก่ ขอไข่ ไม่ได้เรื่องอะไร มาต่อสู้อาตมา ปัดโธ่ มันจะมีระดับอะไร อาตมาไม่มีอะไรเลยนี่แหละ สู้กับคน มีอะไรที่สุด ใครก็ตาม ที่ไม่มีอะไร สู้กับคนไม่มีอะไรที่สุด นั่นแหละ ถึงจะเรียกว่าฉันเอง ทั้งหมดแน่ๆ ไม่ต้องเอาอลังการของโลก ไม่ต้องเอาอะไรมาสนับสนุน

เพราะฉะนั้น ใครถึงบอกว่า อาตมาจะสร้างฐานะของทางการเมือง จะสร้างฐานะของทางด้าน ทรัพย์สิน เพื่อที่จะมากอบกู้บัลลังก์ อาตมาจะได้ขึ้นไปเป็นสังฆราช โธ่เอ๋ย ไม่รู้จักโพธิรักษ์ โพธิรักษ์ถ้าจะใหญ่ ใหญ่ด้วยศูนย์ อย่าไปเอาพลังทางการเมืองมาส่งเสริมเลย เสียหน้ามาก เสียเหลี่ยมมาก เสียเชิงมาก อย่าไปเอาพลังทางเศรษฐีมาช่วย อย่า ไม่ต้องเอาพลังทางเศรษฐีกัน ด้วยซ้ำไป คุณยังมีเลือดของทุนนิยม มีเลือดของผู้ที่จะต้องใช้อุบายซ่อนเชิง อาตมาพูดแล้ว ความฉลาด ซ่อนเชิงฉ้อฉลในโลก มันพยายามที่จะล่วงล้ำ เหมือนเขาสร้างล่าอาณาจักร ล่าเมืองขึ้น โดยจะรอเอาเมืองที่ล้าหลัง เป็นอาณานิคมทางเศรษฐกิจ หรือทางอำนาจ รู้ไหมว่า ประเทศไทย พูดไปเดี๋ยวจะลำบากอีกแหละหนอ เป็นอาณานิคมของประเทศไหนบ้าง ในทางเศรษฐกิจ และอำนาจ รวมทั้งเป็นทาสทางวัฒนธรรมอะไรบ้าง ไม่รู้ นี่เรากำลังกอบกู้วัฒนธรรมไทยคืนมา กำลังกอบกู้เศรษฐกิจ เศรษฐศาตร์ ในภาพทางเศรษฐกิจคืนมา กำลังกอบกู้ทางความเป็นไทย ชนิดแม้แต่ ในเรื่องอำนาจ อำนาจอะไรก็แล้วแต่ ที่จะครอบงำ ไม่ใช่อำนาจอาวุธยุทโธปกรณ์ อำนาจศักดิ์ศรีของทาง...แหมเป็น นามธรรมที่เยอะนะ แต่มันก็อยู่ในรูปธรรมด้วย ถ้าใครเข้าใจ กำลังจะปลดปล่อยพวกเรานี่ ปลดปล่อยออกมา และเราปลดปล่อย ประเทศไทยเราทั้งหมดด้วย

เพราะฉะนั้น ใครจะบอกว่า ประเทศไทยนี่ด้อยพัฒนา อาตมาไม่ยอมรับ ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศ ด้อยพัฒนา แล้วอาตมาเห็นประเทศที่ด้อยพัฒนา อยู่อีกตั้งเยอะ โลกเขาถือว่าว่าพัฒนา แต่อาตมาว่า เขานั่นแหละด้อยพัฒนา และ กำลังแพร่เชื้อโรคที่ด้อยพัฒนาเหล่านั้น

พ่อท่านไม่ต้องรับรางวัลจากคนอื่นกระมังคะ แต่จะเป็นผู้ให้รางวัลคนอื่นมากกว่า จึงสมฐานะ ของพ่อท่าน

ใช่ แต่อาตมาเป็นผู้ให้รางวัลคนน้อย ชมเชยน้อย ถ้ารางวัลที่อาตมาจะให้ก็คือ ใครถูกดุ ถูกว่า ถูกเคี่ยวเข็ญ คนนั้นแหละได้รางวัล ถ้าคนไหนไม่ได้ถูกดุถูกว่า ถูกเคี่ยวเข็ญ คนนั้นนะ ไม่ได้รางวัล ยิ่งอาตมาไม่เอาถ่านด้วยเลย ยิ่งพรหมทัณฑ์ ยิ่งปล่อยเลย แกจะเป็นจะตายยังไง เหมือนกะแก ไม่มีอยู่ในโลก ด้วยเลยนะ นั่นแหละ ยิ่งหมดท่าเลย ไม่ได้รับรางวัลอะไรเลยสักนิดเดียว ยิ่งพรหมทัณฑ์ ยิ่งไม่ได้รับรางวัล มันเป็นอย่างนั้นนะ

ขอเติม อามิสจาคะกับธรรมจาคะ โดยสรุปอีกนิดหนึ่ง อามิสก็คือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข วัตถุแท่งก้อน สิ่งที่เป็นโลกๆ โลกียอามิส เราก็ต้องสละออกให้ได้จริงๆ สละซ้อนเชิงนะ ใจต้องวาง ต้องปล่อย แม้ที่สุด มันจะมีกลับคืนมา สลัดคืนมาย้อนๆกลับ แต่ใจก็ต้องรู้ว่า เราวาง และเราก็ ไม่โกง ไม่ฉ้อฉลในเชิงชั้น ว่าฉันจะมามีไว้เป็นสมบัติของฉัน ชื่นใจบำเรอจิตไม่เอา จะต้องให้ออกไป ซ้อนเชิง ยิ่งสูงเท่าไหร่นั่นแหละ ยิ่งซ้อนเชิงได้ยิ่งให้ซ้อนเชิง นั่นแหละคือ ธรรมะๆนะ อามิสจาคะ ธรรมจาคะ คุณยิ่งปล่อยทรัพย์ศฤงคารแบบวัตถุแบบโลกๆ แบบลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แบบอย่างไร ออกไปๆๆเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้ธรรมขึ้นมามากๆ และคุณต้องมาวางธรรมะอีกๆ

ทีนี้ธรรมะตั้งแต่นามธรรม ความรู้สึกรสชาติ ความรู้สึกรสอร่อยโลกียะ ความผูกติดยึดในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขนั่นเป็นนามธรรม ความหลงใหลได้ปลื้มในลาภ ยศ สรรเสริญ ในโลกียสุข เป็นนามธรรม คุณก็ละออกจางออกๆ จนกระทั่ง จนคุณละอกุศลธรรมเหล่านั้น เป็นกุศลๆขึ้นมา สุดท้าย ก็ต้องมาปล่อยวาง วางกุศล ธรรมจาคะ ลึกซึ้งอีกทีหนึ่งด้วย มาปล่อยวางกุศลที่ว่า มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราอย่าไปมีความติดยึด ความผูกพัน ความเอามาเป็นของเรา ความไปผูกพันเป็นของเรา บอกแล้วว่า สมบัติที่ได้นั่นเป็นจริง พระพุทธเจ้าสั่งสมคุณงามความดี กุศลทั้งหลาย ไม่สันโดษในกุศล แม้แต่กระทั่งชีวิต สุดท้าย เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังไม่สันโดษในกุศล ยังไม่พอในกุศล ยังสร้าง สร้างโดยจริง เป็นกัมมัสสโกมหิ เป็นของๆตน แม้แต่เป็นของๆตน เราก็ต้องมีตัววางใจ ใจวางก็ว่าไม่ใช่ของๆตน เป็นของทุกๆคน ใจสาธารณะๆนะ เป็นของทุกๆคน จริงๆเลย ใจเอาเถอะ เกื้อกูลคนไหนควรได้ คนทุกคนเหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนลูกเหมือนหลาน คนนี้ควรได้มาก คนนี้ควรได้น้อย คนเกื้อกูลต้องมีปัญญา ญาณ ปัญญาควรให้ใครๆ มากๆ ก็ให้กัน คนนี้ควรให้ คนนี้ไม่ควร ก็ยังไม่ได้หรอก ให้ไปก็ยังเอาไปไม่ได้ ก็ต้องไม่ให้หรอก คนนี้ให้ก็เสียเวลาเปล่า ให้มันก็รับไม่เป็น แล้วก็เห็นเป็นของไม่น่ารับด้วยซ้ำ เสียเวลาทำไม ให้ของที่ควรรับ น่ารับ ให้ๆๆ และเขาก็รับได้ดีมาก ก็ให้เขาไวๆ ให้เร็วให้มาก เขาก็จะได้รับไว้มากๆ เป็นผู้สืบทอดสกุล เป็นผู้ที่รับสมบัตินี้ไปใช้ ไปทำกับมนุษยชาติในโลก เป็นธรรมจาคะ เป็นธรรมทาน ให้ธรรมะเป็นทาน ให้ทั้งที่เราให้ทั้งใจก็ไม่ติดยึด ว่าเป็นของเรา เป็น ธรรมจาคะอันสูงสุด เรายิ่งให้เรายิ่งมีคุณค่า เรายิ่งเป็นผู้ได้ รู้แล้วว่าให้ยิ่งเป็นผู้ได้ อันใดที่เราได้ให้ อันนั้นเราได้ อันใดที่เราให้ไปได้หมดสูญ นั่นคือเราได้เต็ม ถ้ายังให้ไม่หมด ยังมีนามธรรม อาลัย อาวรณ์ ผูกพันเราเป็นของเราอยู่ อันนั้นยังไม่สูญ อันนั้นยังไม่ได้เป็นของเรา สูญไม่มี คือมีเต็ม หูหักไหม ไม่ใช่ปรัชญาปากเปล่า เป็นเรื่องจริง เป็นสัจจะ

เพราะฉะนั้น ต้องอ่านอาการ ลิงคะ นิมิต ของจิตใจเลยว่า เราได้ให้จนหมดสิ้นจนไม่ห่วง ไม่หา ไม่อาวรณ์ ไม่มีเรา ไม่เป็นของเรา จะจริงๆหรือไม่ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ ทั้งวัตถุสมบัติ คุณค่า คุณธรรม มีของเราอย่างมาก อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่ามีของตนเป็น กัมมัสสโกมหิ โดยกรรม โดยวิบาก โดยกัมมสกตา เชื่อ มีปัญญาเข้าใจ รู้จริงว่านี่เป็นของของเรา เป็นทรัพย์มหาทรัพย์ บรมทรัพย์อย่างยิ่งใหญ่ ของพระพุทธเจ้า เป็นบรมทรัพย์อันยิ่งใหญ่ อาตมาเป็น พระโพธิสัตว์ อาตมาก็มีทรัพย์ อาตมาก็ต้องสละอยู่ตลอดเวลา ต้องวางคืนอยู่ตลอดเวลา ต้องปล่อย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อยู่ตลอดเวลาให้ได้จริงๆ และเราก็ยิ่งจะไม่มี ยิ่งจะไม่มีนั่นแหละ ยิ่งคือจุดสูงสุด ถ้าจะเรียกว่า ยิ่งมีความประเสริฐสุด ยิ่งไม่มีตัวไม่มีตนสูงสุด ไม่มีของๆตนสูงสุด แต่ในคนจะต้อง เป็นคนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด สร้าง จึงเรียกว่าพระเจ้า หรือเป็นพระผู้สร้าง เป็นพระผู้ให้ เป็นพระผู้ประทาน ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นคุณธรรมสุดยอด ของพระเจ้า ผู้สร้าง ผู้ให้ ผู้มีจิตวิญญาณบริสุทธิ์สุดยอด

สุดท้าย ก็มีแต่ จาคะ เป็นเนื้อหา และก็มีปัญญา เป็นองค์ประกอบ จะจาคะอะไร จาคะอามิส จาคะธรรม จาคะยังไง สุดท้ายก็จาคะกับปัญญา เป็นตัวรู้ได้ จาคะแล้วหรือยัง มีวิมุตติญาณทัสสนะ หลุดพ้นหมดแล้ว ขาดแล้ว สูญแล้ว ถึงซึ่งความไม่มีตัว ไม่มีตน ถึงความไม่เป็นของๆตนแล้ว ก็โดยใจเป็นยังไง วางคือยังไง ปล่อยคือยังไง ขาดคือยังไง สูญคือยังไง ควรพิสูจน์ เราอยู่กับสังคมที่เขาทวงเอาคืน เขาจะย้อนยอก เขาจะทำให้เราต้องเผลอว่า เป็นของตัว ของตนอยู่ยังไง มีลีลามากมายที่เราจะต้องรับกระทบสัมผัส เราจะต้องรู้จริงๆ โอ๋ย เราไม่เอา เราไม่เป็น แล้วเราก็ไม่มีของเรา ไม่เป็นของเราได้อย่างสูงสุดจริงๆ ต้องรู้อาการที่ลึกซึ้งละเอียด รู้นิมิตของกิริยาของนามธรรมที่เป็นที่ว่านี้ อย่างละเอียดจริงๆ ต้องมีญาณทัสสนวิเศษ ที่ลึกซึ้งจริงๆ นี่ภาษาบอกคุณได้ คุณจะต้องไปมีญาณทัสสนวิเศษนั่นเอง มีตาทิพย์อันที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง

เพราะฉะนั้น จาคะ ปัญญา สุดท้ายปัญญานี่ก็มีปัญญาอีกมากมายเลย ลองอ่านปัญญาในหน้า ๒๓ ต่อไปดู

จาคะปัญญาว่าด้วยเหตุปัจจัยให้ได้ปัญญา ๘ ประการ เหตุปัจจัย ๘ ประการนี้มีย่อมเป็นไป เพื่อให้ได้ปัญญา อันเป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ที่ยังไม่ได้ เพื่อความงอกงามไพบูลย์ เจริญบริบูรณ์ แห่งปัญญาที่ได้แล้ว หมายความว่า เพื่อเบื้องต้นพรหมจรรย์ เบื้องต้นที่เราจะบำเพ็ญบารมี ให้มีทรัพย์ เป็นโลกุตรบุคคล มาเรื่อยๆ ตั้งแต่โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆๆๆ นั่นแหละ ให้มันงอกงามไพบูลย์ จนกระทั่งบริบูรณ์ เป็นความบริบูรณ์ของปัญญา ที่จะรู้ ในความเป็นจาคะ เป็นทรัพย์ที่สุด ก็จาคะปัญญา เป็นผลสุดท้าย

๑. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อาศัยพระศาสดา หรือเพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู เรามีสัมมาทิฏฐิข้อที่ ๑๐ แล้วหรือยัง คือ รู้จักผู้ที่เป็น สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจะ โลกัง ปรัญจะ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ

คือเป็นสัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เป็นผู้ที่ปฏิบัติ เป็นพระสัมมัคคตา เป็นผู้ที่เข้าถึง เป็นผู้ดำเนินไปดี สัมมัคคตา เป็นผู้ที่ดำเนินไปดีแล้วจริง ดำเนินไปดีคืออะไร อธิบายให้ฟังแล้ว สุคโต ผู้ดำเนินไปดี เราไปดีแน่ เราไม่มีทางที่จะตกต่ำ และเราก็ไปดี ในระดับฐานะ ยิ่งเป็นอรหันต์แล้ว ยิ่งดำเนินไปดี ยิ่งสูงกว่าอรหันต์ ยิ่งดำเนินไปดีแน่ ต่อไปในระดับที่จะเดิน ต่อไปๆๆๆ ก้าวต่อไปไม่มีเป็นนรก ไม่มีทางเป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นการบกพร่อง อะไรไปเรื่อยๆๆ นั่นไปดี คุณมีครูอย่างนั้นหรือยัง พบอริยะหรือยัง อริยะที่เปิดเผยโลกนี้โลกหน้า ให้คุณรู้ได้ด้วย สยัง อภิญญา ด้วยความรู้ยิ่งของท่านเอง ไม่ใช่ไปหยิบของคนนั้นมา หยิบของคนนี้มา เป็นนักทำวิทยานิพนธ์ มีบัญชี อะไรล่ะ บรรณานุกรม เที่ยวไปที่เอาของใคร เขามาเยอะแยะมากมาย แท้จริงไม่ใช่ของตัวเอง ไม่ใช่ของตัวเองจริงๆ สยัง อภิญญา เป็นสิ่งที่รู้เอง เป็นเอง ได้เอง มีเอง เอาออกของตัวเองมาเปิดเผย มาแจกจ่าย มันยิ่งใหญ่นะ สยัง อภิญญา นี่ อภิญญาคือความรู้ยิ่ง สยังคือของตนเอง ให้คนอื่นรู้ตามได้ แค่อาตมาเปิดเผย สิ่งที่กำลังพูดอยู่นี่ กำลังอธิบาย กำลังแจกอยู่นี่ คุณรู้ตามได้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดาน่ะ คุณมานั่งฟังอยู่เป็นพันคนนี่ รู้ได้ขนาดนี้ รู้ได้ลึกถึง ๕๐๐ คนนี่ เป็นความประสบผลสำเร็จอย่างยิ่งแล้ว ฟังธรรมะโลกุตระ แล้วมีศรัทธาๆ คือ เชื่อๆในเหตุในผล เชื่อในการฟัง หรือคุณมีสิ่งรองรับของตนเองด้วย ยิ่งเชื่อยิ่งกว่านั้น เป็นศรัทธินทรีย์ แล้วเอาไปปฏิบัติตาม ไปเชื่อฟัง ยิ่งมีตัวเชื่อมั่น ในหลายอย่าง เป็นรากฐานด้วย และคุณก็พร้อมจะมีวิริยะอุตสาหะขึ้นไปอีก มีอิทธิบาทขึ้นไปอีก ยินดี วิริยะ จิตตะ วิมังสา ขึ้นไปอีก จะไปทำต่อขึ้นไปอีก มันจะเป็นอย่างนี้ เนื่องหนุนกันขึ้นไปเรื่อยๆ มีครูอย่างนั้น เราจะต้องอาศัยพระศาสดา ตอนนี้พระศาสดาไม่อยู่ ก็ต้องอาศัยเพื่อนพรหมจรรย์ รูปใดรูปหนึ่ง ผู้ตั้งอยู่ในฐานะครู ซึ่งเป็นที่เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความรัก และความเคารพ ไว้อย่างแรงกล้า อาตมาไม่อธิบายหรอก มันจะเข้าเนื้อตัวเอง เหมือนกับไปบังคับ ให้คุณมาเคารพ อย่างแรงกล้า ไม่อธิบายต่อ คุณเข้าใจเอาเอง ทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งในนี้ให้ได้ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสออกมา เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ควรจะบอกให้กระจ่าง สั้นๆ แต่กระจ่างมาก

การสร้างพระพุทธศาสนาในโลกนี้ อันประกอบไปด้วยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพุทธบริษัท เป็นจาคะธรรม ของพระพุทธเจ้าหรือไม่ หรือเป็นอย่างอื่น โปรดจงอธิบาย เอาไว้ตอบตอนโน้น ที่ตอบปัญหานะ

เอาละ ในข้อที่ ๑ นะ ความในนี้ เป็นตัวเริ่มต้น เราจะต้องอาศัยศาสดา หรืออาศัย เพื่อนพรหมจรรย์รูปใดรูปหนึ่ง ในฐานะครู แล้วก็เป็นที่ตั้ง เข้าไปตั้งความละอาย ความเกรงกลัว ความละอาย หมายความว่า เราเองมีสิ่งที่น่าละอาย เพราะฉะนั้น อีกคนหนึ่งผู้สะอาด เราจะ ต้องละอายความสกปรกของเรา เพราะเป็นที่ตั้งของความละอาย หิริ เป็นที่ตั้งของความเกรงกลัว โอตตัปปะ ความรัก และเคารพไว้อย่างแรงกล้า

เพราะฉะนั้น เราจะต้องรัก และเคารพ รักคำนี้ ไม่ใช่มิติที่ ๑ แต่เป็นมิติที่ ๘ ที่ ๙ ที่ ๑๐ ขึ้นไป เป็นความรัก ที่เป็นมิติที่สูง หรือมิติที่สูงในระดับที่ ๗ ก็ได้ เป็นรักทางด้าน เป็นพระเจ้า เมื่อกี้ ก็บอกแล้ว พระเจ้าก็คือผู้สละ ผู้สร้าง ผู้อะไร ผู้บูชายกย่องเชิดชูรักอย่างนั้น รักอย่างบูชาอย่างนั้น เคารพอย่างนั้น น่ะ

๒. เข้าไปหา มีผู้อย่างนั้น แล้วก็เข้าไปหา ไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราว ต้องฟังคำว่า ครั้งคราวให้ดีนะ ไม่ใช่ว่าครูจะเข้าหาเรื่อย และครูก็ไม่ใช่ว่ามีคนเดียว ไม่ใช่ว่าอาตมาเป็นครูคนเดียว ในพวกเรา แล้วก็ต้องรู้จักการแบ่ง แล้วเราต้องรู้ว่า คนที่ควรเคารพ ควรจะเป็นครู มีอยู่เยอะ เรามีครู หลายคนก็ยิ่งดี เพราะครูหลายคน ก็หลายจริต หลายแบบ หลายมุม หลายเหลี่ยม เราจะกว้างขวาง เป็นผู้มีสุตตะ เป็นพหูสูต แล้วก็มีโลกวิทูดี ยิ่งเข้าไปหาแล้ว ก็ไต่ถาม สอบถามเป็นครั้งคราวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภาษิตนี้เป็นอย่างไร เนื้อความแห่งภาษิตนี้ เป็นอย่างไร ท่านเหล่านั้น ย่อมเปิดเผย ข้อที่ยังไม่ได้เปิดเผย ทำให้แจ้ง ข้อที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้ง และบรรเทาความสงสัยในธรรม อันเป็นที่ตั้ง แห่งความสงสัยหลายประการแก่เธอ มันเรื่องธรรมดา เข้าไปหาให้ท่านอธิบายรายละเอียดให้ฟัง อย่างที่พวกเราเป็น บางคนไม่เคยเข้ามาก็ไม่เป็นไร เอาคนอื่นๆ ค่อยบรรยายเข้าไปเป็นทอดๆ เมื่อถึงตอนลึกซึ้ง แล้วคุณจะรู้เลยว่า ฐานะคุณจะใกล้ คุณจะชิดเข้ามาเอง ไม่จำเป็นจะต้อง ลุยลัดคิว เอ้า จริงๆ ประเดี๋ยว ลุยลัดคิวเกินไปแล้วเละ และมันไม่เป็นลำดับ และมันไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นขั้น เป็นตอน เละ อันนี้ไม่ใช่ว่าพูดกันนะ แต่ว่าจะต้องรู้ความจริง ฐานะแห่งความจริง ไม่เช่นนั้น มันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม มันเสีย สับสน

๓. เมื่อฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมยังความสงบ ๒ อย่าง คือ ความสงบกาย และความสงบจิตให้ถึงพร้อม

๔. เป็นผู้มีศีล สำรวมระวังในพระปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระ และโคจร มีปกติเห็นภัยในทุกข์ โทษ แม้มีประมาณมีน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย นี่เขาอ่านพยัญชนะ อ่านตัวอักษร พวกนี้แล้วนะ เขาท่องจำได้คล่องปากนะ แต่เขาจะไม่ซาบซึ้งประทับใจ ในความหมายเหล่านี้ คนที่ประทับใจในความหมาย เหล่านี้ๆแล้ว จนกระทั่งถึงขั้นเอาไปประพฤติตาม เอาไปทำรู้จักว่า เออ สงบกายเป็นอย่างนี้ สงบจิตเป็นอย่างนี้ เสร็จแล้วก็เป็นผู้มีศีล แล้วเอาศีลมาปฏิบัติ เพราะว่า ศรัทธาแล้ว ต้องมีศีลตามทันที ต้องมีศีลมีอธิศีลกำกับตนเอง และก็เจริญๆๆ อธิศีลนั่นขัดเกลา กาย วาจา ใจ มีปัญญารู้ว่า ทำอย่างนี้เป็นกิจญาณ แล้วเป็นกตญาณ แล้วเอาใหม่ ตั้งสัจจะใหม่ มีสัจจะใหม่ เมื่อเริ่มต้นสัจจะต่อสูง ทำสัจธรรมเพิ่มขึ้นอีก แล้วก็ปฏิบัติกิจญาณ ทำไปมีญาณรู้ว่า เราได้ทำกิจ ได้ปฏิบัติธรรมไปเรื่อย จนได้อีกแล้วจบแล้ว เป็นกตญาณอีก เอาใหม่ วนเวียน อยู่นั่น ในกตญาณ กิจญาณ กตญาณ กิจญาณเรื่อย สลับซับซ้อนอยู่เสมอไป ไม่มีจบสิ้น สังวรในโอวาท ปาฏิโมกข์ คำสอนของพระพุทธเจ้า ศีลต่างๆ โอวาทปาฏิโมกข์ มีขั้น มีตอน มีระดับหมดเลย ลึกซึ้งมาก น่าเห็นโทษภัย อันมีประมาณน้อย สำรวมอาจาระ สำรวมความประพฤติ รู้จักสถานที่ รู้จักการไปการมา อันไหนควรไป ทางไหนควรเดิน จริงเรียกว่า สุคติ สุคโต โคจร หรือเป็นดำเนินไป ในทางที่เจริญเท่านั้น ไปสู่ที่ไม่เจริญ ไปสู่ที่จะพาเราจะตกต่ำเราไม่ไป รู้ที่ไป รู้ที่มา รู้ทั้ง ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน มีปกติเป็นธรรมดา เห็นโทษภัยอันมีประมาณน้อยนั้น เป็นโทษเป็นภัย ที่ไม่ประมาท ไม่ใช่ว่าเห็นโทษภัยเล็กๆน้อยๆ มันจะประมาท คุณพยายามระลึกถึงจิตใจตนเอง ไอ้นี่นิดหน่อย ช่างมันเถอะๆ ผู้ที่ไม่มีปกติเห็นโทษภัย ที่มีประมาณน้อยอย่างนี้ ไม่ใช่ผู้เจริญ ผู้เจริญจริงๆ นั่นจะรู้สึกจริงๆว่ายังงั้นไม่ได้ ประมาทไม่ได้ นิดๆหน่อยๆ อย่างนี้นะ มันเป็นความเสื่อม มันเป็นความไม่ดี ต้องควบคุมอาจาระ คุมโคจร คุมการที่จะไปทำ ที่จะยังอยู่ ที่จะมีพฤติกรรม อาจาระ แปลว่าความประพฤติ จะต้องควบคุมจริงๆ แล้วปรับๆๆ จริงๆ โทษอันมีประมาณน้อย ผู้นั้นจะต้องรู้สึกเองจริงๆ เลย ไม่ประมาท ถ้าผู้ใดยังประมาทอยู่ ผู้นั้นจะไม่เจริญ นี้จะต้องใช้ปัญญา อย่างนี้ เฉลียวฉลาดอย่างนี้

๕. เป็นพหูสูต ทรงจำสุตะ สั่งสมสุตะ เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก ทรงจำไว้มาก คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดี ด้วยทิฏฐิ ซึ่งธรรมะทั้งหลาย อันงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง ในที่สุด ประกาศ พรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถะ ทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็เป็นพหูสูตแท้ พหูสูตจะต้อง ท่องจำได้ด้วยธรรมะเหล่านี้ แล้วก็ทำให้ชัดเจน หมายความว่า เมื่อได้เมื่อเป็นเมื่อมี ผู้ที่ผ่านข้อ ๓-๔ มีศีล สำรวมปาติโมกข์ จนกระทั่งเจริญด้วยอาจาระด้วยโคจร มีพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจ จนกระทั่ง มีปกติเห็นภัยในโทษอันเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ศึกษาคือ เจริญอยู่ในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา หมายความได้มรรคได้ผล แล้วก็เป็นผู้ที่ต้องท่องจำ ต้องดู ในพหูสูต ต้องท่องในพยัญชนะ บัญญัติ ทำตามคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้าเอาไว้ให้ได้ ม้ากมากขึ้นด้วย แล้วเอามาอธิบายให้งดงาม ในเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ท่านไม่ได้ให้สอน คำสอนของท่านบอกว่า ต้องตั้งตน ให้มีคุณอันสมควรก่อน แล้วสั่งสอนผู้อื่นในภายหลัง จักไม่มัวหมอง ท่านไม่ได้สอน บอกว่า ต้องไปสอนเขาก่อน ท่องจำแล้วเอาภาษาไปสอนเขาก่อน แล้วถึงจักไม่มัวหมอง ไม่ใช่ เพราะเอาแต่พยัญชนะมาสอน โดยไม่ได้ทำให้มี คุณอันสมควรก่อน ไปสอนเขา จึงมัวหมอง ทุกวันนี้ศาสนาจึงมัวหมองลงไป เพราะเหตุนี้ เอาแต่พยัญชนะ ไม่ปฏิบัติ ไม่ประพฤติ อาตมาถึงเตือนติงผู้ที่เก่งพยัญชนะ เก่งแต่บัญญัติภาษา ว่าทำเสียบ้างซิ ประพฤติ ให้มันได้มรรค ได้ผลบ้างซิ จะได้ไม่มาว่าอาตมาให้มันบาป ดูว่าอาตมาก็บาป เขาไม่รู้ตัวหรอก เขาเตือนติง เขาก็ไม่เชื่อกัน ไม่เชื่อกัน มันก็ต้องมัวหมอง มันก็เสื่อม ศาสนามัวหมอง เพราะเขา ไม่รู้ตัวๆ จริงๆนะ น่าสงสารจริงๆนะ นี่ อาตมาไม่ได้พูดเล่นลิ้นนะ มันน่าสงสารจริงๆ เขามาด่าอาตมา นี่ โอ้โฮ อาตมา น่าสงสารเขาจริงๆเลย เขามาด่าอาตมาทำไม พูดจริงๆ อาตมารู้ว่า อาตมาเป็นใคร อาตมารู้เขาจริงๆ อาตมารู้ บางคนเป็นใครด้วย เขาจะมีสิทธิ์มาด่ามาว่าอาตมาทำไม มันเหมือนน้อง อั้ยน้องมันก็น้อง ตีมันก็ตายเปล่า มันจะมาสู้อะไรเรา ก็มันน้อง ด้วยสัจจะ มันน้องจริงๆ มันน่าสงสาร ก็ต้องปล่อยไป ปล่อยให้มันด่า ผู้ใหญ่มันก็คือผู้ใหญ่ เด็กด่าก็ด่า ถือสากันได้ยังไง ไปโกรธ ก็คือเราโกรธ เราก็โง่ตาย จะไปโกรธได้ยังไง ไปรังแกเด็ก เอ๊า บ้าหรือไปรังแกเด็ก ปล่อยให้เด็กรังแกผู้ใหญ่ เหมือนกับเขาเข้าใจนะ เด็กรังแกผู้ใหญ่ น่าเกลียดไหม เด็กรังแกผู้ใหญ่ เอ้า จริงๆ ผู้ใหญ่รังแกเด็ก น่าเกลียดกว่า เราก็อย่าไปทำ แต่เด็กรังแกผู้ใหญ่ อยู่แหละ เออ มันไม่รู้จักอะไรเสียเลย อั้ยเด็กพวกนี้ มันไปรังแกผู้ใหญ่อยู่ได้ ถ้าเขาพัวะให้ที ก็กระเด็นติดฝา แต่เขาไม่ทำหรอก ผู้ใหญ่จริงๆก็ไม่ทำ ไอ้ที่ทำอยู่นั่นไม่ใช่ผู้ใหญ่ เอาละ มันหมด เวลาลงไปแล้ว อาตมาว่าจะหยุด ๑๕ ก็ยังหยุดไม่ได้ อันที่จริง อาตมาจะหยุด ๑๕ เผื่อไว้ จริงๆ นั่นตกลงกับทางหมู่ไว้ว่าจะหยุด ๓๐ แต่ว่าก็เผื่อตัวเองไว้ เป็นก็ยังงี้จริงๆนะ ก็เตือนมาแล้วตั้ง ๒๐ นะ บอกกับคุณจำลองไว้ก็ตี ๕ ครึ่ง ประมาณนั้นก็เอาละ อาตมาคิดว่าไม่ต้องต่อ พรุ่งนี้อาตมา จะต่อปัญญาของตัวสุดท้ายแล้ว พรุ่งนี้วันสุดท้าย ต่อปัญญา แล้วก็จะสรุปรวมไปทั้งหมด เพราะได้ขยายมาแล้ว ขยาย พยายาม ที่จริงมันไม่หมดง่ายๆหรอก บรรยายมันไม่ใช่เรื่องเล็ก มันเรื่อง ใหญ่นะ มันตัวว่ากันยาวนาน ขนาดสองครั้ง สองคราวแล้ว พูดซ้ำพูดซากพูดซ้อน แล้ว พวกคุณ รับไปหมดเท่าไหร่ เก็บไปได้เท่าไหร่ ตะแกรงใครดีบ้างละ ร่อนเอา กรองเอาไปได้เท่าไหร่ บางคนรับไป ก็ผ่านไปเหมือนสายลม ไม่ได้เรื่องอะไรมากมาย ขนาดตั้งใจรับดีๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ค่อยๆว่ากันไป เอาตอนนี้ พักเอาไว้ก่อน


ถอดโดย นายยงยุทธ ใจคุณ
ตรวจทาน ๑. โดย สม.ปราณี ๒๐ มิ.ย.๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒. โดย ป.ป.
FILE:1337T.TAP