สัจจะมาฆบูชา'๓๔
พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔
ณ พุทธสถานสันติอโศก

เจริญธรรม ทุกๆท่าน

วันนี้เป็นวันสำคัญ ที่มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในศาสนาพุทธ ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น แล้วเราก็เอาเหตุการณ์นั้น นำเรื่องราว นำจุดก่อ จุดเกิดต่างๆ หลายอย่าง เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่จะสืบทอด ผู้ที่จะนำศาสนานี้ ถ่ายทอดแก่พุทธศาสนิกชนต่อและต่อๆไป ให้นานเท่านาน

เอ้า! ในประเด็นอะไรต่างๆ ของวันมาฆบูชา เราก็ได้พูดกัน วันนี้อาตมาจะพูดถึง ในความหมายของประเด็นที่เป็นความหมาย อาตมาว่าเขายังไม่ได้พูดกันนัก คือวันมาฆบูชานี่ เป็นวันสำคัญ ๒ ประเด็นง่ายๆ อาตมาบอกว่าง่ายๆ สำหรับอาตมา แต่หลายคนอาจจะรู้สึกว่ายาก คุณลองฟังดูว่าง่ายไหม แล้วก็ตรงไหน ลองฟังดูก่อนก็ได้นะ

ประเด็นที่ ๑. หมายความว่า วันมาฆบูชา เป็นเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ส่อแสดงถึงสภาพจริงแห่งความรวมกัน มีความรู้สึกอันเดียวกัน เป็นความรวมกัน แล้วก็เป็นความรู้สึกอันเดียวกัน เกิดขึ้นจากลูกของพระพุทธเจ้าโดยตรง มันแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียว แสดงถึงความเป็นสภาพหนึ่ง เป็นสภาพหนึ่งโดยไม่ต้องนัด ไม่ต้องมีการกำหนด ไม่ต้องมีการบอกกล่าว แล้วก็มารวมกันอย่างเป็นปึกแผ่น

คุณลักษณะอันเอกอันนี้ ในประเด็นที่กล่าวถึงนี้ เป็นความหมายของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จะมีวันมาฆบูชา และในวันมาฆบูชานั้น จะมีพระสาวกมารวมกัน โดยไม่ได้นัดหมาย โดยความเป็นหนี่งเดียว มารวมด้วยไม่ได้มีนัดหมายก่อน ไม่ว่าจะเกิดยุค พระพุทธเจ้าองค์ใดก็ตาม ทุกพระองค์จะมีมาฆบูชา พระพุทธเจ้าบางพระองค์มีหลายครั้ง เพราะว่าอายุท่านยืน อายุท่านตั้งแปดหมื่นปีค่อยตาย อย่างนี้ท่านก็มีวันมาฆบูชาถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง จะมีพระอรหันต์มารวมกัน โดยไม่ได้นัดหมายเลย ในวันมาฆบูชา ถึง ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง และครั้งละเป็นล้าน ในองค์ที่พระพุทธเจ้าที่มีอายุยืน ถึงแปดหมื่นปี ดังนี้เป็นต้น

สำหรับรุ่นหลังๆมา องค์หลังๆมานี่มีความสั้นลง ก็อย่างพระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมของเรา มีครั้งเดียว และมีจำนวนแค่ ๑,๒๕๐ แต่ก็เป็นความรวมที่ไม่ได้นัดหมายอย่างแท้จริง ไม่ได้เกิดการบอกกล่าวกันหรอก ถึงยุคหนึ่ง ที่จะมีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง อุบัติขึ้นมา เมื่ออุบัติขึ้นมาแล้ว มาฆบูชา ต่างคนก็ต่างมีความรู้ พวกเรานี่มีความรู้นะ มีความรู้เรื่องมาฆบูชา แต่ในสมัยพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ อุบัติขึ้นนี่ ในโลกยุคนั้นไม่มีศาสนาพุทธ คุณลองตั้งใจนึกตามดูดีๆ ในโลกยุคนั้นอย่างนั้นน่ะ ไม่มีใครรู้เลยว่ พุทธคืออะไร ศาสนาพุทธคืออย่างไร มีแต่ศาสนาอื่นๆใดๆ มีต่างๆนานาสารพัด ส่วนศาสนาพุทธนั้น ยังไม่อุบัติ ยังไม่ปรากฏพระพุทธเจ้า ลักษณะของศาสนาพุทธไม่เหลือ ไม่มีมาฆบูชา วิสาขบูชา หรือว่าจารีตประเพณี ระเบียบแบบแผนทฤษฎีหลักเกณฑ์อะไร อย่างของพุทธไม่มี สูญไปแล้ว ศาสนาพุทธถือว่าสูญไปแล้ว ไม่มีศาสนาพุทธ

เพราะฉะนั้น จะมีคำว่ามาฆบูชา จะมีพระอรหันต์มารวมกัน ตามจารีตประเพณีที่เคยมีมา อย่างที่เรารู้สึกนี่นะ ไม่ปรากฏ แล้วใครก็จะระลึกไม่ได้ จะไม่มีการรู้ตัว อย่างพวกเรานี่ ศาสนาพุทธยังเหลืออยู่ เราเรียนมานี่ วันมาฆบูชา บางทีมัธยมก็เรียนมาแล้ว ว่ามีอะไรๆ พวกคุณก็รู้ แต่นั่นคุณต้องนึกตามดีๆว่า สมัยนั้นยุคนั้นมันไม่มี ความเป็นพุทธไม่มี แม้เกิดพระพุทธเจ้าแล้ว ได้เทศนาแล้ว ได้มีอะไรแล้ว ประวัติศาสตร์ ตำนานมันก็ไม่มี เขาจะไม่รู้หรอกว่า วันมาฆบูชาคืออะไร มีพระอรหันต์มารวมกันหรือ เขาก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าจะมาตรัสเล่าทีหลัง ถึงประวัติแต่ดั้งเดิมในยุคกาลก่อนๆ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ จะมีมาฆบูชาอย่างนี้แหละ หลายครั้งด้วย อะไรต่างๆนานา ก็จะมาตรัสเล่า ตั้งแต่ละพระองค์ เพราะฉะนั้น การรวมกันโดยไม่ได้นัดหมายนี่ เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ไม่ใช่เรื่องธรรมดา เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก นี่ประเด็นหนึ่ง

ประเด็นที่ ๒. ก็คือ การมาแสดงความจริง การมาปรากฏตัวของความจริงว่า ศาสนาพุทธคืออะไร ศาสนาพุทธนั้นคือ การสอนคนให้เป็นอริยะ เอาง่ายๆ สอนคนให้มีความบรรลุ หรือสอนคน ให้มีความเจริญ ให้มีการเกิดใหม่ เป็นโลกุตรบุคคลถึงขั้นสำคัญ ถ้ามีสมัยพระพุทธเจ้า ก็จะถึงขั้นพระอรหันต์สุดยอดได้ เป็นเรื่องที่มันยากมาก เป็นเรื่องพิเศษมาก แม้เดี๋ยวนี้ขณะนี้ ก็ยังหาพระอรหันต์นั้นองค์หนึ่ง สององค์สามองค์ห้าองค์อะไร ก็ทั้งยากอยู่แล้ว

เนื้อหาแท้คือความเป็นอรหันต์ เนื้อหาของศาสนาของพระพุทธเจ้า ท่านสอนคนเป็นอรหันต์ แล้วอะไรต่างๆนานา มันจะปรากฏเอง ระบบมันจะปรากฏ จารีตประเพณีมันจะปรากฏ วัฒนธรรมมันจะปรากฏ ความสัมพันธ์อันสนิทของพุทธศาสนิกชน มันจะปรากฏ ความสุขเย็น มันจะปรากฏ สันติภาพจะปรากฏ ภราดรภาพ สมรรถภาพ อิสรเสรีภาพ บูรณภาพต่างๆ มันจะปรากฏ มันจะปรากฏเอง นี่เป็นประเด็นสำคัญอีกอันหนึ่ง

อาตมาจะพูดถึง ๒ ประเด็นนี้ ในวันนี้จะอธิบายขยายความให้ฟัง ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า แล้วขณะนี้ล่ะ เราต้องพูดถึงสิ่งที่เป็นจริงมีจริงด้วย ไม่ใช่เราจะพูดแต่ตำรา ไม่ใช่เราจะพูดแต่ทฤษฎี พูดแต่ตำนาน หรือหลักตรรกศาสตร์เท่านั้น ไม่ใช่ แต่เราจะพูดถึงสิ่งที่เป็นจริง เป็นไปได้ เป็นไปแล้วหรือไม่ เราจะพูดถึงสิ่งนั้นด้วยทุกทีไป อาตมาถือว่า อันนี้สำคัญ

ในประเด็นที่ว่า มันเป็นหนึ่งเดียว มีความรวม อาตมาบอกแล้วว่า เราจะพูดถึงลักษณะ ที่เป็นไปจริงด้วย สิ่งนั้นในชาวอโศกเรานี่ เราถือว่าเราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เราได้ก่อเกิดมา ตั้งต้นตั้งแต่ อาตมาออกมาทำงานศาสนามา ๒๐ ปี กำลังย่างเข้าปีที่ ๒๑ อาตมานี่เป็นมหาเถระแล้วนะ เลย ๑๐ ปีนี่ ท่านเรียกว่าเถระ คนที่บวชมา ๑๐ ปีนี่ ท่านเรียกเถระ ผู้ที่บวชเลย ๒๐ ปีขึ้นไปนี่ ท่านเรียกมหาเถระ แต่เลย ๒๐ ปีนี่ก็ไม่เคยได้ยินว่า ท่านเรียกอภิมหาเถระนะ ก็ยังไม่เคยได้ยิน เคยได้ยินเท่านี้ แล้วก็มีคนปฏิเสธเหมือนกันว่าไม่มี ในพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยเรียกกันว่า เป็นมหาเถระ ท่านไม่เคยได้ยิน แต่เขาก็เรียกกัน ในเมืองไทยนี่เรียก เคยได้ยินไหมล่ะ มหาเถระ ผู้ที่เป็นพระแก่ๆ แล้วบวชมานานพรรษาเลย ๒๐ ปีแล้วนี่ เขาเรียกว่า มหาเถระ

อาตมาทำงานมา ๒๐ ปีนี้ ทุกวันนี้นี่ ถ้าจะพูดถึงการรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ในชาวอโศกเรานี่ ที่ว่าลูกพระพุทธเจ้านี่แหละ คุณลักษณะอย่างนี้นี่ เหมือนอย่างสมัย มาฆบูชาของพระพุทธเจ้า ไม่ได้นัดหมายบ้าง มากันอย่างถึงแม้ว่าจะนัดหมายบ้าง ก็ง่ายดาย บอกกันเล็กๆน้อยๆ นัดกันพอสมควร หรือว่าให้ Signal (ซิกแนล) เราให้สัญญากันเล็กๆน้อยๆ เรารวมกันเป็นหนึ่งเดียว เรารวมกันทั้งรูปธรรม มารวมกัน ตัวบุคคลมารวมกันพรักพร้อมเป็นหนึ่งเดียว ถ้าจะทำอะไรก็พูดกันเข้าใจง่าย ทำได้เป็นน้ำหนักน้ำเนื้อ ที่สอดประสาน ทำงานอันใดที่สำคัญบอกว่านี้นะ เอาอย่างนี้นะ เป็นหนึ่งเดียว อันนี้ทำอย่างนี้ คุณลักษณะอย่างนี้รวมๆ ที่อาตมาค่อยๆ ขยายความ ไปนี่นะ ในชาวอโศกเรามีไหม เกิดขึ้นแล้วยัง เป็นไปได้ไหม อาตมาบอกแล้วว่า เราจะต้องนึกถึง คุณลักษณะเนื้อหาสาระของมัน เราอย่าเอาแต่รูปธรรมเป็นเปลือกๆ เป็นแต่แค่ที่มันเป็นไป อย่างที่เป็นไปนั่นน่ะ มันไม่มีแล้วล่ะ อย่างนั้นไม่มีแล้ว จะมีพระอรหันต์ ไม่ต้องเอา ๑,๒๕๐ รูปหรอก พระอรหันต์ ๑๒ รูป มาประชุมพร้อมกัน โดยไม่ได้นัดหมาย องค์ไหนอรหันต์บ้างล่ะ เราก็ยังสงสัย ก็ยังไม่ชัด เพราะฉะนั้น เราจะเป็นไปอย่างนั้นได้ยาก นี่ก็ว่ากันจริงๆแล้ว ก็มาฆบูชามาตั้งหลายปี เต็มทีแล้ว ก็รอไปจนกว่าจะมี ๑๒ รูป มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

ที่จริงก็รู้อยู่แล้วว่า มาฆบูชา เราจะนัดหมายกันเองอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้น มันก็จะเป็นไป เรียกว่า โดยไม่ได้นัดหมาย มันก็ในที มันก็เหมือนนัดหมายกัน อยู่ในทีแล้วล่ะ นั่นก็เป็นเนื้อหาใหญ่ ถ้าเป็นไปได้ดีก็ดี เนื้อหาใหญ่ เพราะฉะนั้น เนื้อหาใหญ่อย่างนั้นน่ะ เนื้อหาที่มันเป็นรูปธรรมของพระพุทธเจ้า เอง เรายกไว้ แต่เราเอาความหมายรวม ความหมายหลัก เอามารวมกัน เป็นความรวมกัน แล้วก็ความเป็นหนึ่งเดียว ที่สอดคล้องกัน โดยเรียกว่าพรั่งพร้อมใจกัน ไม่มีการขัดแย้ง เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีการต่อต้านลำบากอะไรเลย รวมกันได้ง่าย คุณลักษณะอย่างนี้น่ะ มีได้เป็นได้ ชาวอโศกเรา อาตมาว่ามีแล้วเป็นแล้ว อาตมาว่าอย่างนั้นนะ มีแล้วเป็นแล้ว เพราะฉะนั้น ในวันสำคัญๆนี่นะ เหมือนกับเรานัดหมาย ไม่ยากหรอก พร้อมๆพรั่งๆ จะมีจำนวนพอสมควร ตามฐานะของพวกเราจำนวนพอสมควร

ทุกวันนี้ ก็อยู่ในลักษณะเอาละ ไม่ถึง ๑,๒๕๐ ก็ ๑๒๕ ก็แล้วกัน จะต้องการเมื่อไหร่ล่ะ ๑๒๕ ได้ทันที ง่ายดาย พรักพร้อม ในจำนวนคนที่มีจิตวิญญาณนี่นะ มีความเข้าใจ เป็นศีลสามัญญตา เป็นทิฐิสามัญญตา เป็นเป้าหมาย ดิ่งไปสู่ทิศทางของโลกุตระ คนชนิดนี้นะ จะมารวมกันพรักพร้อม จริงๆ ร้อยคนขึ้นไป แล้วก็ไปมีน้ำหนัก ที่จะสร้างสรร ที่จะทำอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ขึ้นไปนี่นะ ทุกวันนี้นี่หายาก

คนร้อยกว่าคน ประมาณ ๑๒๕ ดังที่กล่าวแล้ว และเป็นคนที่มี ถ้าจะพูดว่าอุดมการณ์ จะมีอุดมการณ์เป็นหนึ่งเดียว เป้าหมายตรงกันเปี๊ยบ แล้วก็จะเป็นคนไม่ขบถ เป็นคนไม่เหลาะแหละ เป็นคนมั่นคง เป็นคนแน่ชัด นอกจากแน่ชัดแล้ว ยังมีปัญญาที่จะเข้าใจว่า จะก่อเกิดอะไรขึ้น สังคมนั้นให้เป็นไปในจุดหมายเดียวกัน อย่างที่อาตมาพยายามใช้ภาษาขึ้นมาตั้ง เราจะสร้างสังคมให้มีอิสรเสรีภาพ ให้มีภราดรภาพ ให้มีสันติภาพ ให้มีสมรรถภาพ ให้เป็นบูรณภาพขึ้นมาอย่างนี้นะ ยกตัวอย่างง่ายๆนี่ ให้เป็นอย่างนี้ได้นี่ จะมีความเข้าใจ มีปัญญาเข้าใจความหมายว่า เราจะประกอบไปด้วยอะไร เราจะทำอย่างไร มีคนในขนาดร้อยกว่าคนนี่นะ ๑๒๕ คนนี่ ทุกวันนี้ อาตมามีในมือ มีพร้อมแล้วก็ได้ทำงานกันอยู่ ที่จริงเกินกว่านั้น แต่ว่าใน ๑๒๕ คนนี่ตกๆหล่นๆ เรียกว่า บางคนอาจจะผลุบๆ โผล่ๆ บ้าง ยังไม่ค่อยจะว่ามั่นคง จะว่าแน่ชัด ก็มีการหล่นการร่วง มีจริงๆ ใน ๑๒๕ คน ไม่น้อยไปกว่านั้นได้ มี ทีนี้คนที่จะมารวมกันนี่ ในหมู่พวกเรา เวลาจะมีกิจกรรม มีงานนัดหมาย มีงานอะไรต่ออะไรกันนี่ เราก็พยายามรวมกันแล้วนะ คนในพวกเรานี่นะ ที่จะมาทำพิธีกรรม จะมาจัดกิจกรรม เป็นกิจกรรมศาสนาโดยตรง เช่น ปลุกเสก เช่น พุทธาภิเษก ที่จะต้องใช้ทั้งวันเวลาถึง ๗ วัน มาทำกิจทางศาสนากันนี่แหละ พยายามอบรม พยายามรังสรร พยายามสร้างสรรรังสรรอะไรกันอยู่นี่ ไปอย่างนี้น่ะ ในจำนวนเข้าบ้าง ออกบ้างๆๆก็ได้ ในประมาณนี้แหละ ค่าเฉลียแล้วประมาณ ๑,๒๕๐ นี่เราทำมาแล้วนี่ งานปลุกเสก พุทธาภิเษก นี่ ทำมากี่ปีๆแล้ว ก็ยืนอยู่นี่ ค่าเฉลี่ยได้ขนาดนี้ ๑ วัน ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ๗ วันนี่ ค่าเฉลี่ยจะได้ ๑,๒๕๐ นี่ ตอนนี้ เป็นหลักอยู่อย่างนี้ได้ ได้แล้ว สถิติต่างๆ ที่เราจดที่เราทำอะไรต่ออะไรพวกนี้ ทุกวันนี้ มันดีที่ว่า มันมีสถิติ มันมีเครื่องมือเครื่องไม้ มีอะไรต่ออะไรให้เราได้โน้ต ได้จดได้ทำกัน พวกเราก็ร่วมมือกัน จนกระทั่งมีอะไรต่ออะไร ตัวเลข มีหลักฐาน มีอะไรต่างๆนานา มายืนยันชี้บอก ก็เป็นข้อมูล เป็นหลักฐานอะไรต่างๆนานา ให้อาตมานำมายืนยันกับพวกเรา นำมาแจ้งมากล่าว มาบอกกับพวกเราได้นะ

มีคนถามหลายที คนนอกนะ โดยเฉพาะคนต่างประเทศ เขาอยากจะทราบว่า สมาชิกทั่วประเทศ ของอโศก มีสักเท่าไหร่ อาตมาตอบกับเขาไม่ได้สักที แล้วก็ไม่ได้คิดจะไปหามาตอบเขาด้วย อาตมาเคยตอบกับชาวคริสต์ เคยตอบเขาว่า คุณอยากจะรู้สมาชิกของชาวอโศก คำตอบของอาตมาก็คือ คุณคิดถึงยุคสมัยของศาสนาคริสต์ของคุณ ตอนที่มีนักบุญ ๑๒ คน ได้ทำการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ใครบ้าง ที่บอกว่าเป็นชาวคริสต์ เปิดเผยได้ไหม เขารู้นี่ ตำนานประวัติศาสตร์ของศาสนาเขา ใช่ไหม พวกเราหลายคน ไม่รู้ก็จะงงๆ ไม่รู้เรื่อง แต่ใครพอจะรู้ประวัติแล้ว ก็จะรู้ว่า สมัยโน้นเขาไม่บอกตัว เขาไม่เปิดเผยตัวหรอก ขืนเปิดเผยตัว ตาย ตายนะ สมัยที่เขาจับพระเยซูตรึงกางเขน เสร็จแล้ว ก็นักบุญอีก ๑๒ นี่ หนีกันหัวซุกหัวซุน เสร็จแล้วก็ปลอมตัว แล้วก็พยายามที่จะเปิด ถ่ายทอดศาสนา พยายามที่จะสร้างหมู่กลุ่ม พยายามที่จะเผยแพร่ มีสัญญลักษณ์ มีสัญญาณ มีโน่นมีนี่กัน ทำงานกันใต้ดิน ไม่มีใครปรากฏตัวกันหรอก บอกกันอยู่นัยๆ ในประวัติเขารู้ดี ชาวคริสต์เขา อาตมาก็บอกว่า ชาวอโศกน่ะ ทุกวันนี้นี่นะ ไอ้ที่เขาไม่กล้าประกาศตัวเป็นชาวอโศกนี่ มีอยู่ไม่น้อย แต่ในวิญญาณของเขาก็รู้แล้วว่า อโศกเขาศรัทธา อโศกเขาเข้าใจ อโศกนี่เขาได้สนับสนุนอยู่ด้วย แต่เขาไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าบอก ไม่กล้ามาร่วม ไม่กล้ามาแสดงตัวมีอยู่เยอะ นัยคล้ายกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น เราจึงจะไปนับเอาจำนวนสมาชิก มาให้คุณนั้นไม่ได้ มีขั้นหัวกะทินี่แหละ บอกมีเท่าไหร่ ๑,๒๕๐ วันนี้วันมาฆบูชา ประกาศเลข ๑,๒๕๐ เสียเลย ใครจะเอาไปซื้อหวย ก็อย่าไปซื้อก็แล้วกัน เพราะว่ามันไม่ใช่เลขหวย ๑,๒๕๐ ค่าเฉลี่ยของเราได้ พอฟัง ๑,๒๕๐ แล้วนี่ โอ้ โฮ! ชาวอโศกนี่ มีคนแค่ ๑,๒๕๐ เท่านั้นนะ สมาชิก แต่ผลงาน กิจกรรม บทบาท การมีฤทธิ์ หรือว่ามีแรง ที่จะมีผลกระทบต่อสังคม มีอะไรต่ออะไรต่อสังคมนี่ เขาว่าชาวอโศกนี่น่ากลัว เขาว่าชาวอโศกนี่ร่ำรวย แล้วเขาก็รู้ดีว่า ชาวอโศกนี้แน่นแฟ้น เป็นปึกเป็นแผ่น จะสลายหรือจะทำลายไม่ง่ายนัก ผลมันออกไปอย่างนี้ เข้าในประเด็นที่ ๒

ประเด็นที่ ๒. ที่บอกว่า มีการมาปรากฏผล มีการบอกตัวผล ในความหมายของมาฆบูชา นั้นก็คือว่า แต่ละล้วนเป็นพระอรหันต์ แต่ละล้วนนั้น ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ก็คือ คนที่ได้สัจธรรม มาปรากฏมายืนยันสัจธรรม มายืนยันความจริง มี ๑,๒๕๐ คน มายืนยันความจริง ในสมัยพระพุทธเจ้า มายืนยันความจริงได้อย่างนั้น

ทีนี้ในสมัยนี้ อาตมาบอกแล้วว่า เราจะไปเอา ๑,๒๕๐ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่านั้นน่ะ มันไม่ได้ ได้ ๑๒๕ ก็บุญแล้ว แต่วันนี้มากกว่า ๑๒๕ นะนี่ สี่ร้อยจะถึงไหมนี่ คงถึงน่ะนะ ราวๆ ๓๐๐-๔๐๐ กว่า ๒๕๐ คงถึง ๓๗๕ ประมาณ ๓๗๕ คนคงถึง สิ่งเหล่านี้ นี่เป็นการยืนยันความจริง ไม่ได้นัดหมายนะ วันนี้จะมี มาฆบูชา อาตมาโผล่มาเมื่อเช้านี้ อาตมาโผล่มา ไม่ได้ประกาศล่วงหน้า ไม่ได้บอกใครๆ แต่พวกเราก็มา สดับตรับฟังซับซาบ วันนี้ไม่ใช่วันเสาร์ วันนี้ไม่ใช่วันอาทิตย์ วันนี้วันพฤหัส แล้วบ้านของคุณ ก็ไม่ได้อยู่ข้างๆวัด นี่ทุกคนเมื่อไหร่ ไม่ใช่บ้านอยู่ข้างวัดนี่ ก็ไม่ได้ประกาศ ไม่ได้นัดหมายโดยตรง ไม่ได้บอกเลยว่า วันมาฆบูชา จะมีการเทศน์เย็น ก็บอกเมื่อเช้านี่เองว่า จะมี ๖ โมง แล้วเราก็มีมา ได้ประมาณ ๓๗๕ คนนี่มาได้ แล้วคนที่มานั้นน่ะ มันไม่ได้หมายความว่า เอาตัวคนเป็นตัวๆๆ เฉยๆ แต่ละคนๆ นี่มีความเข้าใจ มีความศรัทธา มีความยินดีที่จะมารวม จะมีอะไร ก็ไม่ว่าอะไรหรอก อย่างน้อย อาตมาขึ้นมาแล้ว ก็มาพูดอะไรให้ฟัง ก็แล้วแต่เถอะ จะพูดจะฝอยอะไรไปต่างๆ นานา สารพัดยังไงไม่เกี่ยงละ จะเทศน์เรื่องอะไรก็ไม่เกี่ยงละ ขอมานั่งฟัง ก็แล้วกัน ขับรถขับรามา อยู่ข้างนอกโน่น ก็เสียค่ารถค่าอะไรมา บางคนมีงาน มีกิจ ก็บอกว่าไม่ไป จะมานี่ อะไรอย่างนี้เป็นต้น เราก็จะมา สิ่งเหล่านี้ มันถึงแสดงถึงลักษณะจากจิตใจจริงๆ ส่อถึงความจริงอันหนึ่งว่า เห็นความสำคัญ

เมื่อเช้า อาตมาเทศน์ถึงความมีศาสนา อาตมาเทศน์ถึงความเป็นศาสนาในตัวคน มีศาสนาในตัวคน คนมีศาสนาแล้วจะเป็นอย่างไร เมื่อเช้านี้ก็เทศน์ให้ฟัง คนที่จะมีศาสนานี้ มันจะรู้สึกอยู่กับคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเราก็จะมีกิริยา มีพฤติกรรม กาย วาจา ใจ มีความสัมพันธ์อยู่กับอะไรต่ออะไรนี่ มันเข้าบทโพธิปักขิยธรรม มีสติรู้ตัวถี่นะ รู้ตัวเสมอว่าเราจะไปๆมา จะมีอยู่ที่ไหน อย่างไรก็แล้วแต่ กระทบสัมผัส ทำโน่นทำนี่อะไรอยู่ ก็จะรู้จักกรรม มีธรรมวิจัย วิจัยกรรมของเรา กายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี แล้วก็วิจัยเวทนา วิจัยอารมณ์ เมื่อสัมผัสแตะต้องกับเรื่องนั้น เรื่องนี้ เราออกมาขึ้นรถเมล์ เดินมาถึง คนเขามองตั้งแต่หัวจรดเท้า เราก็รู้ว่าเขามองเรา บางทีคนมอง ก็เหมือนดูถูก เราก็รู้สึก เวทนาก็รู้สึก รู้สึกอย่างไร แล้วเราก็ปรับความรู้สึกของเราว่า มีวิจัยว่า เออ ! เขารู้สึกอะไรกับเรา เขามองเราตั้งแต่หัวจดเท้านี่ เขาคงจะคิดว่าเรานี่เป็นบ้านะ แล้วเราจะปรับใจอย่างไร มันจะปรับใจ หรือเดินมาก็มาชนกับเขา มาแย่งกันขึ้นรถเมล์ หรือขับรถไป มีคนมาแซง มีคนมาด่า แซง ไอ้บ้า ขับช้าอยู่ได้ อะไรต่างๆนานาก็แล้วแต่ เราก็ฟังเขา จะรับเขา คำด่า คำอะไรเขา เอามาวิจัย มีสติ รู้ทันอารมณ์ตน จะรู้ว่า เอ๊ ! เรารู้สึกอย่างไรนะ เราควรจะปรับจิต ที่มันเป็นอารมณ์อย่างนี้อย่างไร

แม้บางทีเราแพ้นะ แหม ! มันโมโหแล้วก็รู้ตัว อย่างน้อยก็รู้ตัวว่า เรายังมีกิเลสนะ เราข่มไม่อยู่ โกรธแล้วนะ ก็รู้ตัวว่าโกรธ แต่ก็รู้ รู้นะ มีวิจัยอยู่ แต่อดไม่ได้กิเลสมันแรง เราสู้กิเลสไม่ได้ นี่แหละ เราได้ปฏิบัติธรรม เราเป็นคนศาสนา เราเป็นคนที่ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม เราเป็นคนที่ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ มีสัมมัปปธาน ๔ มีการสังวร มีการระมัดระวัง สังวรปธาน ปหานปธาน พยายามรู้ กิเลส รู้อารมณ์ ก็พยายามเปลี่ยนแปลง สู้อารมณ์ที่มันเป็นโทสะ โลภะ มีความโลภ มีความโกรธ อะไรเกิด รู้เวทนา รู้จิต รู้กาย รู้จิต รู้เวทนา รู้จิต ปฏิบัติรู้นิวรณ์ รู้กาม รู้พยาบาท รู้ถีนมิทธะ รู้อุทธัจจกุกกุจจะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น รู้แม้จะรู้ยังไม่ละเอียดก็ตาม ยังรู้ยังไม่ลึกซึ้งก็ตาม แต่มันจะอยู่กับ ตัวเรา เราไปไหนๆ มาไหนๆ เราบางทีมีอะไรพวกนี้ คนที่มีอาการ มีศาสนา มีตัวปฏิบัติธรรม เป็นพระโยคาวจร เรียกว่าเป็นพระโยคาวจร จะมีพวกนี้ นี่คือการปฏิบัติธรรมของ พระพุทธเจ้า นี่คือตัวที่เป็นนักวิปัสสนา หรือเป็นนักปฏิบัติธรรม ที่มีตัววิปัสสนา เป็นตัวปฏิบัติธรรม อยู่กับตัวเรา เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆ เราก็จะได้ ได้จริงๆ จะได้มากได้น้อย คุณต้องปฏิบัติเอาจริงๆ อย่างนี้นะ เป็นอยู่บ่อยๆ เป็นอยู่เสมอ มีวันเวลา วันหนึ่ง คืนหนึ่ง สองวัน วันหนึ่ง ๒๔ ชั่วโมงนี่ ที่เรารู้สึกตัว ทั่วพร้อมอยู่ อาจจะไม่ถึง ๒๔ เพราะว่าเรานอนหลับ ไอ้นอนหลับนี่ ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ ไอ้ตื่นๆอยู่นี่ จะเผลอไผลล่วงๆหล่นๆบ้าง ก็มีน้อยกว่าที่เรารู้สึกตัวของตัว มันจะรู้ตัวจริงๆ พระโยคาวจรผู้ปฏิบัติธรรมนี่จะรู้ แล้วก็เราก็จะใส่ใจ รู้สึกพอใจที่จะติดตามคำสอนของพระพุทธเจ้า หลักธรรม ยิ่งตัวเรายังไม่มากนี่นะ ยังไม่มีธรรมะของพระพุทธเจ้ามากๆ ยังไม่มีบทพุทธภาษิต หลักเกณฑ์ต่างๆนานา ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ล้วนแต่เป็นพุทธภาษิต ที่บอกละชั่ว ประพฤติดี เป็นบทที่บอกให้ทำในสิ่งที่ดีงาม ประพฤติสิ่งที่ดีงาม เราจะรู้สึกว่ามันน่าใส่ใจ มันน่ารัก มันน่าที่จะได้รับรู้รับอ่าน บางทีก็ท่อง บางทีก็จำ จำได้เพิ่มๆ แล้วก็เอามาไว้ที่ตัว เหมือนเราเป็นนักสะสมวิชา นักสะสมตำรา นักสะสมความรู้ สะสมไว้แล้ว

สะสมความรู้นี่ มันมี ๒ ชนิด ชนิดที่สะสมความรู้เพื่อลาภยศสรรเสริญ เพื่อเป็นนักศึกษา ที่มีความรู้ทางศาสนานี่ แล้วเราก็จะได้ชื่อว่า เราเป็นผู้รู้ทางศาสนานี่นะ แต่เขาไม่มี ตัวเป็นพระโยคาวจร ไม่มีตัวอย่างที่อาตมาบอกว่า เป็นนักปฏิบัติ มีโพธิปักขิยธรรมในตัวเองนี่ มีสติปัฏฐาน ๔ มีสัมมัปปธาน ๔ มีอิทธิบาท ๔ อยู่ในตัว เขาไม่มีสติสัมโพชฌงค์ หรือว่าธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ยังไม่ถึงขีดนี้ เขาจะมีแต่สนใจตำรา แล้วก็เพลิดเพลินนะ สนใจเพลิดเพลินท่องได้ สอบเมื่อไหร่ ก็ได้คะแนนดีๆ ได้เยี่ยม ได้ยอมรับ มีความรู้ แล้วก็แสดงออก ทางโน้นทางนี้ จนกระทั่งได้ลาภได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้เป็นเจ้าคุณ ได้เป็นอะไร ต่ออะไรต่างๆนานา พัฒนาก้าวหน้าในการมีชีวิตอยู่ ได้รับลาภยศสรรเสริญกัน อย่างดีๆ นั่นคือการศึกษา เป็นผู้ที่ใฝ่หาความรู้ชนิดหนึ่งเหมือนกัน มีเยอะ ส่วนผู้ที่ใฝ่หาความรู้ อย่างที่อาตมาอธิบายไปแล้วเมื่อกี้นี้ ก่อนนั้นน่ะด้วย แล้วก็มีตัวที่ปฏิบัตินี้ด้วย เป็นพระโยคาวจรที่แท้ มีโพธิปักขิยธรรมอยู่กับตัว อยู่กับชีวิต จะมีมากในวันๆ หนึ่ง จะมีอยู่กับตัว เราจะมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ว่าเราเป็นนักปฏิบัติธรรม ยิ่งใหม่ๆ ยิ่งจะรู้ตัวง่าย ยิ่งใหม่ๆนี่ โอ้โฮ ! เรารู้สึกว่า เรามันอยู่กับธรรมนี่ ไปไหนมาไหน ก็รู้สึกว่าเราได้ ! ไม่ค่อยรู้ตัวทั่วพร้อมแล้ว ไปตามเรื่องตามราว ปล่อยๆ ปละละเลยไปเยอะอย่างนั้น เสียด้วยซ้ำไป ถ้าแก่วัด หรือเป็นผู้ที่ไม่สังวร เป็นผู้ที่ไม่ใส่ใจที่จะต้องให้มี โพธิปักขิยธรรมอยู่กับตัว ผู้นั้นก็จะประมาท หลุดๆล่อนๆ ไม่ค่อยทรงสภาพนี้น่ะ แต่ถ้าผู้ใดยังทรงสภาพนี้อยู่จริง แล้วก็มีจิตใจนี้น่ะ เบิกบานร่าเริง บันเทิงใจกับคุณภาพอันนี้นี่ คุณภาพอันที่เรา จะมีโพธิปักขิยธรรมอยู่กับเรานี่ มีสติปัฏฐาน ๔ เป็นผู้ที่มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม รู้จักกาโย องค์ประชุม คำว่าองค์ประชุม คือสิ่งที่อยู่กับตัวเรา รอบๆนี่ สัมผัสสัมพันธ์อยู่นี่

ถ้าคนที่มีปฏิภาณน้อย ก็จะนับองค์ประชุมอยู่ใกล้ๆ ถ้าคนที่มีปฏิภาณมาก ก็จะมีกระแสสัมพันธ์ ขยายออกไปไกล ออกไปต่อ ต่อออกไปตามที่ผู้ใดจะมีปฏิภาณ ปัญญา มีญาณลึกซึ้ง มีญาณไกลได้ องค์ประชุมอยู่นี่ เช่น เรานั่งอยู่ที่นี่ มีใครอยู่บ้าง แม้เรานั่งอยู่กับใคร เราก็มีสติสัมปชัญญะ รู้แต่ละคน แล้วศาสนาพุทธนี่ ไม่ใช่ศาสนาที่บอกว่า ไม่รู้จักคนอื่น ศาสนาพุทธนี่ จะพยายามรู้จักคนอื่น แล้วจะมีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่น ที่ท่านบอกว่า มีเจโตปริยญาณ จะรู้ใจคนอื่น แล้วเราก็จะต้องพยายามมี มัตตัญญุตา เป็นสัตบุรุษ มีการประมาณว่า เออ ! คนนี้เขานะ ปุคคลปโรปรัญญุตา รู้บุคคล คนนี้เขาอย่างนี้นะ คนนี้นี่ขี้งอน คนนี้ขี้ยึด ขี้ติด ไอ้ความไม่ดี เขาเรียกว่า ขี้สิ่งที่ดี เขาเรียก แก้ว เพราะฉะนั้น ยึดนี่ เขาก็เรียกว่าขี้ยึด ขี้งอน งอนๆมากๆ เขาก็ไม่ต้องเรียกมากหรอก เรียกขี้งอนเท่านั้น ก็ใช้ได้ รู้แล้วว่านี่งอนมาก งอนเป็นขี้เลย มีความใช้ไม่ได้ ที่มันไม่ดีมากๆๆ เขาก็เรียกว่าขี้ ขี้งอน ขี้เหนียว ขี้ติด ขี้ยึด อะไรต่างๆนานานี่ ขี้โกรธ ขี้โลภ เขาไม่เรียกแก้วโลภ เขาไม่เรียกแก้วโกรธ เขาไม่เรียก เขาเรียกขี้ ตัวไม่ดีมันมีมากๆ เขาเรียกขี้ ภาษาไทย เลวเขาเรียกขี้ ดีเขาเรียกแก้ว

เราจะรู้คนอื่นเขา แล้วเราก็จะประมาณ เออ ! เขาดีของเขา เขาเป็นของเขา เราต้องเข้าใจเขา เราจะมีปัญญาอย่างไร ที่จะทำให้เขาลดลงได้บ้าง มีวรยุทธที่จะทำให้เขาลดได้ ถ้าลดไม่ได้ เราก็ต้องอนุโลมให้เขา แล้วก็ปล่อย เออ ! อย่าถือสาเขา เขาย่อมเป็นเขา เขาขี้งอน เออ ! ก็ขี้งอน เราช่วยเขาไม่ได้ ก็อย่างนี้น่ะ เราอย่าไปตอแย อย่าไปเที่ยวได้ทำอะไร ให้มันเกิดกระทุ้งกระเทือนอะไรกันมากนัก แล้วมันจะไม่สงบ อย่างนี้เป็นต้น จะรู้จักผู้อื่น อยู่กับผู้อื่นอย่างประสานมิตรดี ศาสนาพุทธไม่ใช่ว่า ช่างหัวเอ็ง ข้าคือข้า ไม่เกี่ยว ตัวใครตัวมัน ไม่ใช่ ศาสนาพุทธไม่เรื่องของ ตัวใครตัวมัน ศาสนาพุทธเป็นเรื่องของความประสาน เป็นภราดรภาพ ซึ่งมีฝีมือในการประสานมาก มีฝีมือ จึงเกิดสันติภาพอยู่ได้

คุณจะหาคนในสังคมนี่ เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด รวมกันอยู่ไม่มีหรอกในโลก พระโสดาบัน ไม่ได้หมายความว่า คนหมดความโกรธ ความโลภ พระโสดาบันนี่ไม่ใช่นะ เพราะฉะนั้น สังคมนี่ ไม่ได้หมายความว่า สังคมมีแต่นักบวช มีแต่พระอรหันต์ ไม่ใช่ สังคมไม่ใช่มีแต่นักบวช สังคมมีทั้งฆราวาส มีอุบาสกอุบาสิกา และในอุบาสกในอุบาสิกานั้น ก็ไม่ได้หมายความว่า มีแต่พระอรหันต์ทั้งหมด มีโสดาบัน และโสดาบันก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นผู้หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ใช่ เป็นผู้ที่รู้จักความโลภ ความโกรธ ความหลงแล้ว แล้วก็มีทิศทาง ที่แน่นอน รู้จักวิธีปฏิบัติที่แน่ใจว่า คนนี้มีมรรค มีทางเดินที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่ไม่มีทางที่จะไม่ได้เป็นพระอรหันต์ในอนาคต มีความรู้ทางที่แน่ชัด รู้ทางที่แน่ชัด ยังไม่รู้ภูมิตัวทั้งหมดเท่านั้นเอง ยังไม่รู้กิเลสของตัว ทั้งหมด ยังไม่รู้ภูมิของตัวทั้งหมด แต่รู้แล้วว่า ทางปฏิบัติอย่างไร จึงจะไปสู่ ความเป็นพระอรหันต์ รู้แล้ว แล้วก็ได้ปฏิบัติลงไปแล้ว ถ้ารู้เฉยๆ ยังไม่ปฏิบัติ ก็จะมีเล็กๆน้อยๆ ยังไม่รับรองว่าเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันที่เป็นโสดาปัตติมรรค ยังไม่มีการเดินทางไปถึงครึ่งทาง ยังไม่มีมรรคที่เป็นผลนี่นะ

ที่จริงมรรคก็คือ ทางเดินที่เดิน สมมุติว่า ทางเดินร้อยกิโลนี้ เป็นถึงผลของ พระโสดาบัน เรายังไม่ได้เดินมาถึงห้าสิบกิโลล่ะ เราเดินมาได้บ้าง ๑๐ กิโล ๒๐ กิโล ถูกทางแล้วนะ แต่ยังไม่มีผลถึงการเดิน นี่ถึง ๕๐ กิโล ครึงหนึ่งนี่ ยังไม่ถือว่า เป็นผู้ที่ถือว่าเข้าข่ายผล แต่มีผลล่ะ ได้เดินแล้ว ได้มีมรรคผล ได้สารัตถะของศาสนา ที่ปฏิบัติลดละจางคลายโลภ โกรธ หลง ลดละอะไรที่มันเป็นโลกียะ ซึ่งเป็นความสุขความทุกข์ของโลกๆ โลกียะ จะเป็นระดับต่ำ ตั้งแต่อบายมุขมาก็ตาม เราได้เลิกเราได้ละมาจริงๆ เราได้รับผลอันนั้นอย่างมั่นใจ เป็นผลที่เรารู้ว่า นี่เป็นโลกุตรผล เป็นผลแห่งการเลิกละลด หน่ายคลาย จิตหมดโลภ หมดติด หมดยึดอร่อยโลกียะ ได้ดับโลกอย่างนั้นมาจริงๆ แม้ในตัวเราเอง นี่มีในระดับขีดสมมุติว่า อบายมุขนี่มี ๑๐๐ หน่วย เราก็ไม่ได้ทำไปหมด ที่จริงอบายมุขควรจะหมดในโสดาบัน อบายมุขนี่ควรจะหมด แต่เราก็ยังไม่หมด เรายังมีกิเลสกาม กิเลสโลกธรรม กิเลสความโลภ โกรธ ในกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส แล้วก็ในเรื่องของลาภยศสรรเสริญ อะไรอีกตั้งเยอะแยะ อัตตามานะมีอีกมากมาย เพราะฉะนั้น พระโสดาบันนี่ จะได้ส่วนหนึ่งเท่านั้น และรู้แน่ๆเลย อย่างนี้เป็นอารมณ์ของจิตสงบ อารมณ์ของโลกุตรภูมิ อารมณ์ของโลกุตรจิต จะรู้สภาพ แล้วก็รู้อารมณ์ มั่นใจแล้วว่า รสนี้เป็นวิมุติรส รสนี้เป็นธรรมรส เป็นรสสงบอย่างพุทธศาสนา ไม่ใช่รสอย่างฤาษีนะ

รสอย่างฤาษีนั้น นั่งสะกดจิตเอา แล้วก็ว่าดับไปเฉยๆ ปั้นรูปล่อตัวเองไว้เป็น มโนมยอัตตา ขึ้นสวรรค์ ลงนรก เล่นอะไรต่ออะไรต่างๆนานา อย่างที่เขาเล่นน่ะ ยังมีคนสงสารอาตมาเลยว่า อาตมานี่ ควรจะต้องไปนั่งหลับตาอย่างธรรมกาย ไปนั่งหลับตาอย่างสายโน้นบ้าง จะได้เจริญทางธรรมบ้าง ก็มีคนเขียนจดหมายมาบอกอาตมาอยู่ ให้อาตมาต้องพยายามไปอะไรต่างๆนี่ อาตมาก็เพิ่งอ่านจดหมายเขา เขาเอามาให้ดู วันนี้บอกว่า จะได้เจริญทางธรรมบ้าง เขาก็หวังดีนะ เขาก็เข้าใจว่า อาตมานี่หลงทาง แล้วเขาเองน่ะ เขามีทาง เขานั่งสะกดจิต เขานั่งทำอะไรพวกนี้ มีมโนมยอัตตา มีสวรรค์มีนรก มีอะไรต่ออะไรต่างๆนานา เขาก็มั่นใจของเขานะ อาตมาก็เข้าใจนะ เขามั่นใจของเขาจริงๆ แต่ที่อาตมานำมาเปิดเผย และนำมาให้พวกคุณไปพิสูจน์นี่ อย่างที่อาตมากำลังเล่า กำลังบอกนี่ แต่ละคนต้องรู้ของตนๆ มีสภาพรู้ ว่า อ้อ วิมุติรสเป็นอย่างนี้ ธรรมรสเป็นอย่างนี้ แล้วคุณก็จะมีสภาพ ที่ได้อันนั้นพอเพียง อย่างมั่นใจทีเดียวว่า ทิศทางอย่างนี้ เราแน่ชัด เราไม่ไปอื่นล่ะ ถึงแม้ว่าจะมีกิเลสมาก ก็จะออกไปที่อื่นบ้างก็ตาม คุณไปแล้ว คุณก็จะระลึกถึงว่า อันนี้มีน้ำหนักที่แน่ชัด ยังไงๆ ไปโน่นก็ยังระเริงไปตามกิเลสน่ะ โสดาบันก็ตาม

บอกแล้ว โสดาบันก็ยังมีกาม ยังมีโลกธรรม ยังหลงไปในลาภในยศบ้าง หลงไปในกามบ้าง อะไรก็ยังมี แล้วก็ไม่ต้องไปมีมากนักหรอก อย่าบอกว่าไม่เป็นไรหรอก นางวิสาขายังไปมีลูกมีเต้ามาตั้ง ลูกชาย ๑๐ ลูกหญิง ๑๐ ใครจะไปมี เอาให้เท่านางวิสาขานะ น้อยกว่านั้นไม่ควร ใครจะเอามั่งๆ อยู่นี่ก็เชิญ ถ้าไปแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะได้ลูกชาย ๑๐ ลูกหญิง ๑๐ แล้วอย่าไป เดี๋ยวมันมาไม่ได้ แต่ถ้าคุณไปมีลูกชาย ๑๐ ลูกหญิง ๑๐ อาตมาเชื่อว่าจะคิดถึงอาตมา ยิ่งยุคกาลนี้แหละ จริงๆ ถ้าจะไปแต่งงานแล้วไปเชียว แล้วมีให้ได้ มีลูกหญิง ๑๐ ลูกชาย ๑๐ ให้ได้เชียว แล้วอาตมารับรอง จะนึกถึงอาตมาจริงๆ ไม่ต้องกลัวล่ะ แน่ๆเลย ยุคกาลสมัยนี้ มีลูกชาย ๑๐ ลูกหญิง ๑๐ ดูเถอะ ผีมาเกิดไม่ใช่น้อย ลูก ๑๐ คนนี่ อาตมามั่นใจ ลูกชาย ๑๐ ลูกหญิง ๑๐ นี่ผีอยู่ในนั้นไม่ใช่เบา เพราะทุกวันนี้ คนมันเยอะแล้ว ผีมันเยอะมาเกิด มันเสี่ยงมาก การมีลูกนี่เสี่ยงมาก เพราะว่าวิญญาณเทวดามาเกิด มันน้อยแล้ว เดี๋ยวนี้มันมีแต่ผีกันทั้งนั้น นี่พูดอย่างเราๆนะ คนข้างนอก เขาฟังรู้เรื่อง ไม่รู้เรื่องยังไง อาตมาไม่มีปัญหาหรอก พวกคุณฟัง อย่าให้มันเป็นเรื่องบ้าๆบอๆ ไปก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น ให้เข้าใจชัดๆน่ะ เพราะคนเรานี่มีวิบาก ของแต่ละคนใช่ไหม แล้ววิบากพวกนั้นน่ะ มันมาเกิดเข้ามา มันบอกไม่ได้หรอก ใครได้อย่างไรก็ตามวิบาก

ถ้าเผื่อว่า เราปิดประตูพวกนี้ มันจะได้ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรมากเกินไปนัก ก็อย่าไปเปิดประตู ถ้าเรามีทางปิดประตู ในสมัยนี้ปิดประตูได้เลยนี่ ไม่ต้องไปหรอก พรรคพวกก็มี หมู่ฝูงก็มี เพราะฉะนั้น ในเรื่องของโสดาบัน เราเข้าใจไม่ค่อยถูกกันทุกวันนี้ ในศาสนาพุทธ นึกว่าเป็นพระโสดาบัน เข้าใจเลยเถิด เข้าใจสูงไป เมื่อคนเข้าใจในฐานต้นนี่ สูงเกินไป เกือบๆ จะเป็นอย่างนี้ เขาเข้าใจว่าโสดาบันนี่ เหมือนกับคุณลักษณะของพระอรหันต์ แล้วคนเราเข้าใจผิดอย่างนี้ แล้วจะเจอพระโสดาบันเหรอ ก็เพราะเขาจะเอาคุณภาพ ในระดับพระอรหันต์ มาเรียกว่าโสดาบัน เขาจะไม่เจอ เขาจะเอาไม้บรรทัดอันนั้น มาคอยวัดอยู่เรื่อย นี่ยังไม่ใช่โสดา ไม่ใช่โสดา เพราะขนาดยังไม่ถึงอรหันต์ ตามที่เขาหมายนะ เขาก็เรียนมา ยังไม่ถึงโสดา มันยังไม่หมดตัว ละสักกายสังโยชน์ นี่ ต้องละตัวละตน หมดตัวหมดตน ยังมีตัวมีตน นี่ยังไม่ได้โสดา คนเหล่านี้ น่าสงสาร เพราะฉะนั้น พระโสดาบัน เขาก็ไม่เจอ เพราะเขาตั้งจิตไว้ผิด ประเมินค่าไว้ผิด ไม่เจอ เขานึกว่า คุณลักษณะ มันขนาดอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อคนเราไปผิดอย่างนี้แล้ว ต้นไม่มี ไม่ต้องพูดถึงปลาย ต้นไม่เคยเกิดเลย แล้วจะเอาปลายที่ไหนมาเกิด ไม่เกิดไม่มี

ทีนี้ความจริงของคนที่ ไม่ผิดระดับนี่ เราจะรู้ โสดาบันมีขนาดไหน อาตมาก็พยายามบอกขนาด อธิบาย พวกเรามาศึกษากัน แล้วก็จะเข้าใจ ที่อาตมาเน้นวันนี้ ก็เน้นให้รู้ว่า ตรวจตนเอง เราเองว่า เรามีธรรมรส วิมุติรส แม้ว่ามันยังจะไม่สนิทเด็ดขาด แต่มันสงบระงับ ที่คุณมั่นใจตัวเองได้ ไว้ใจตัวเองได้ว่า อบายมุขอย่างนี้ เราเคยติด โดยเฉพาะ ยิ่งเราเคยติดมาแล้วนี่ มันจะยิ่งชัด แม้คุณจะไม่ติดมาก่อน แต่คุณก็แน่ใจด้วยปัญญาอันยิ่ง แน่ใจด้วยเจโต จิตของคุณเลยว่า โอ้ ! ไอ้นี่ เราไม่เคยติดมาเลย แล้วเราก็ไม่ติด เป็นอบายมุขอย่างนี้ๆ นี่คุณได้ฟรีมาแล้ว

เรามาตรวจจริงๆ คนที่แม้ว่าตัวเองนี่ไม่ติดอบายมุขเป็นต้น เราก็ไม่ได้ติดมา เราก็ไม่ต้องล้าง แต่เราได้ฟรี เราได้มาแล้ว คนเรานี่มีบุญบารมี มีวิบาก มีสิ่งที่เราเคยได้ เคยเป็นเคยมี อาตมาเคยเล่าให้ฟังว่า อย่างอาตมานี่ พยายามที่จะไปเป็น อย่างคนเขาเป็นน่ะนะ คนโลกๆเขานี่นะ เหมือนกับอาตมา เคยใช้ศัพท์ว่า มันเหมือนลิงลมอมข้าวพอง มาโลกีย์เขาก็มอมเมาเรา มาเป็นอย่างโน้นซิ แมน เขาเป็นอย่างนั้นน่ะ ที่จริงมันไม่ใช่แมนหรอก มันถูกหลอกไป อะไรนี่ มันจะต้องไปเต๊ะท่า เป็นแมน ที่เขาว่า ผู้ชายมันต้องเผด็จศึกผู้หญิงเก่งๆ อะไรอย่างนี้นะ อาตมาว่า เอ๊ ! เราทำไม เผด็จศึกผู้หญิงไม่เป็นว้า มันน้อยใจเหมือนกันนะ เรารู้สึกว่าน้อยๆ ต่ำต้อยเหมือนกัน เผด็จศึกผู้หญิงไม่เป็น เหมือนเขานี่ แหม ! เราไม่แมนนี่นะ เขากล้า แต่ก่อนไม่มีโรงอาบอบนวด โรงโสเภณีโดยตรงเลยละ เขากล้าไป เอ๊ ! ไปดูกับมันบ้างนะ ไปก็ไปแอบดูเขา เอ๊ ! เราทำไมมันไม่แมนเหมือนเขาเลย เขามันยังไงนะ มันอย่างนี้จริงๆนะ แล้วอาตมาก็ไม่มีใครมาบอกหรอก เราก็ช่างมันเถอะว้า เราไม่เป็นไม่เก่ง ก็ช่างหัวมันเถอะ แต่ทำทีเป็นเก่ง เป็นเต๊ะท่าเหมือนกันนะ เต๊ะท่า ปิดบังเขาไป ไม่ไป มาคุยโขมงโฉงเฉง บางทีก็กล้อมแกล้มไปกับเขาอย่างนั้น แต่ตัวเองไม่ได้ไปเป็น ที่อย่างเขาเป็นหรอกนะ อย่างนี้เป็นต้น หัดกินเหล้า หัดสูบบุหรี่ หัดโน่นหัดนี่ อบายมุขต่างๆนี่นะ หัดเล่นไพ่ โอ้! เล่นไพ่นี่ เขาเรียกว่าตือสนาม เล่นฉิบหายมากมาย เพราะว่ามันตือสนาม เขาเรียกว่าหมู หมูสนาม คือภาษาจีน แปลว่าหมู หมูสนาม เล่นก็เสียกันเรื่อย อาตมานี่เสียเรื่อยนะ เราก็เล่นกับเขา เล่นอะไรก็แล้วแต่เถอะ การพนันไอ้โน่น ไอ้นี่อะไรต่างๆนานา ก็พยายามเล่นกับเขา กินเหล้าเมายา ก็พยายามกินกับเขา ไม่ติด ไม่เป็นแมนเลย ไม่เก่ง มันรู้สึกต่ำต้อยเหมือนกันนะ น้อยใจเหมือนกัน นี่มันคิดไม่เป็นเห็นไหม

เดี๋ยวนี้ล่ะเหรอ อ๋อ ! เรานี่มันเข้าใจแล้วละ รู้จักสัจธรรมแล้วละ เพราะฉะนั้น ใครที่ไม่เป็นอย่างเขา น่ะนะ อย่าได้ไปเสียน้ำใจเลย อย่าได้ไปน้อยหน้าน้อยตาเลย ไอ้คนที่ไปเป็นน่ะซี แหม! เรานี่มันก็โง่นะ ไม่ต้องไปให้เขาหลอก ตัวเองไปหลอกเขาเสียอีกน่ะ เพราะฉะนั้น รู้ตัวซะ เลิกซะเถอะ ปรับปรุงตัวมาๆ นี่ เราจะต้องรู้ตัวเราเอง ชาตินี้เราไม่ได้ไปตกต่ำ เราไม่ได้ไปติดอบายมุข ไม่เห็นต้องไปเลิกเลย ไม่เห็นต้องติดเลย ดี มันมีของตัวของตนมานั่น มันเป็นบุญ สะอาดบริสุทธิ์มาได้เท่าไหร่ ยิ่งดียิ่งดี ไม่ต้องแปดเปื้อนอบายมุขมาได้ยิ่งดี ต้องรู้ตัวเอง ตรวจ แล้วเราก็จะรู้รส รสที่เราไม่เคยไปติดมานี่ มันก็ว่างๆ อย่างนี้ เขาอร่อย มันไม่เห็นอร่อยตรงไหนเลย อย่างผู้ชายนี่ถาม ทาลิปสติกนี่ อร่อยไหม ไม่เคย เอ้า ! นึกๆ ซิ มันอร่อยอย่างไร นึกออกไหม ทาลิปสติกนี่มันอร่อย แหม ! เพลิน มันชื่นใจ มันได้นึกออกไหม ไม่ออก นั่นแหละ คุณไม่มีกิเลสตัวนี้ ไม่มีรสอร่อยอันนี้ ไม่มีความสุขความทุกข์อันนี้ ไม่ได้ทาลิปสติกทุกข์ไหม ได้ทาลิปสติกสุขไหม ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ขนาดนี้ยังอย่างนี้ เคยทาลิปสติกไหม ไม่ได้ทาลิปสติก เคยทุกข์มีไหม พอทาลิปสติกเคยสุขมีไหม ชอบ แอ๊คด้วยใช่ไหม เป็นรส นั่นแหละคืออัสสาทะ คือรสโลกีย์ มันก็เป็นรส คนที่ไม่มีรส มันก็ไม่มีรส

อย่างที่ถามนี่ อาตมาเจตนาถามให้ฟัง เคยกินเหล้าไหม แล้วเวลาทุกข์ เพราะไม่ได้กินเหล้ามีไหม ได้กินเหล้าเข้าไปแล้ว มันก็สุขดีอร่อยดี มันดี มีไหม ไม่มี นั่นแหละ มันก็เฉยๆ เอ๊! มันเป็นยังไง เรานึกไม่ออกด้วยซ้ำไปว่า มันเป็นยังไง มันกินเหล้า แล้วมันก็สุขดี อร่อยดี มันดีเพลิดเพลินดี มันเป็นยังไง มันนึกไม่ออกใช่ไหม คนที่ไม่เคยน่ะ แล้วก็ไม่เคยเอาจิตไปนึก เอาจิตไปลอง เอาจิต ไม่เคยนี่ คุณก็ไม่มี คุณก็ได้เปล่า แล้วเราไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีสวรรค์ไม่มีนรก มันไม่ได้สุข ไม่ได้ทุกข์อะไร เฉยๆ ไม่ติด คุณได้แล้ว ของใครๆ เกิดมาเป็นผู้หญิงก็ของอย่างผู้หญิง เกิดมาของผู้ชายนี่ อาตมาพยายามสมมุติ ของผู้หญิง ผู้ชายให้มันชัดเท่านั้นเอง มันก็ติด ของผู้หญิงก็ของผู้หญิง ของผู้ชายก็ของผู้ชาย โลกมันหลอกเราทั้งนั้นแหละ

สมัยโบราณนะ สมมุติสมัยโบราณให้ฟัง คุณเดาๆไปสำหรับคนสมัยใหม่ คนเก่าๆแก่ๆ พอจะตามได้ สมัยโบราณนี่ เขาไม่ได้หรอก คนแก่มีไหม ที่แก่มาแล้ว จนสมัยนี้ ไม่เคยทาลิปสติกมาเลย ตั้งแต่เด็กจนกระทั่งโต แก่เดี๋ยวนี้ ไม่เคยทาลิปสติกนี่ มีไหม ไม่เคยสุข ไม่เคยอร่อยกับลิปสติกเลย มีไหม ไม่รู้ด้วยเหรอ เอ้า ! โยมพลอยบอก ไม่รู้ด้วยลิปสติก ไม่เคยสุข ไม่เคยทุกข์กับลิปสติกเลยใช่ไหม ไม่เคย นั่นสมัยก่อนนี้ ยิ่งคนแก่เขาไม่มี เขาก็ไม่หลงมอมเมา คนยุคโน้นก็เฉยๆ จริงๆแล้ว จะบอกให้ คนทาลิปสติกนี่ เขาบอกว่าเป็นพวกผู้หญิงหากินด้วย แต่ก่อนๆ ว่าไหมโยมพลอย เคยได้ยินไหม คนที่เขาทาลิปสติกนี่ เขาบอกว่าเป็นผู้หญิงหากิน ใช่ โยมพลอยบอกว่า ใช่คะ แต่ก่อนนี้อย่างนั้น เดี๋ยวนี้ยอมรับว่า เข้าที่สังคมไป อะไรต่ออะไรไป จะบอกว่าหากิน ไม่หากิน เท่ากันเลยเดี๋ยวนี้น่ะ อาตมาก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว ประเดี๋ยวจะหาว่า มาว่า (หัวเราะ)

เอาละ ก็ขยายความตื้นๆ หรือหยาบๆ ขึ้นมาพอเป็นตัวอย่าง เป็นรูปธรรมที่เห็นชัดเจน ทีนี้ก็เข้าหาเนื้อแก่นต่อว่า ในคนที่ได้ปฏิบัติธรรมแล้ว รู้จักปรมัตถธรรม รู้จักเนื้อหา โสดา สกิทา อนาคา โลกที่อาตมาพยายามแบ่ง พยายามที่จะอธิบาย ตัดเกรดในขนาดของโสดา สกิทา อนาคา อะไรให้ฟัง ที่จริงน่ะ โสดาบัน ไม่ใช่มาละอบายมุขอย่างเดียว ละความโลภ ความโกรธ ที่ไปสัมพันธ์กับโลกในระดับของกาม ในระดับของโลกธรรม ในระดับของอัตตามานะด้วย เช่น ยังมีอัตตามากจัดจ้านอยู่ ก็เป็นโสดาบันไม่ได้หรอก อัตตามานะยังหยาบอยู่ ก็เป็นโสดาบันไม่ได้ ต้องลดอัตตา มานะลง ประมาณหนึ่งเหมือนกัน แต่ไม่ใช่หมด ส่วนอบายมุขนี่ต้องขาดน่ะ ถ้าจะเอาโสดาบันที่แท้นี่ จะต้องเอาเกรดนี้ อบายมุขในระดับที่เราเข้าใจง่ายๆนี่ พวกอบายมุขทั้งหลาย หยาบๆนี่ขาด ความหลงกาม กามไม่จัดจ้าน กามไม่หยาบคาย ก็กามอยู่ในระดับหนี่งของโสดาบัน จะต้องขาด กามหยาบจัดจ้าน ในกาม ในราคะ ในโทสะ โทสะหยาบๆ กามหยาบๆ พยาบาทหยาบๆ กามหยาบๆ ต้องลด หลงในลาภในยศ ในสรรเสิรญในขั้นหยาบ เพราะฉะนั้น ในการที่จะไปตะกละตะกลามลาภ จะไปทุจริตในลาภ โสดาบันไม่ทำแล้ว โดยเฉพาะทุจริตไม่ทำ ไปทุจริตหยาบๆ ทุจริตใหญ่ๆ ทุจริตที่มันตีกลับนะ มันตีกลับ ถ้าเผื่อว่าให้โกงห้าร้อย ไม่โกง ทุจริตนะ

แต่โกงห้าล้านล่ะ เอ๊! โสดาบัน บางทีก็ไหวหวั่นนะ ๕๐ ล้านล่ะ โสดาบันก็โส ก่อนเถอะ ภาษาอีสาน โสนี่ หมายความว่า เสี่ยง ยอม โส นี่นะ เสี่ยง ยอมเสี่ยง โส คือยอมเสี่ยง เอาละ บาปก็บาปก่อน ละวะ ๕๐ ล้านนี่หว่า แต่ถ้าห้าบาท ห้าสิบบาท ห้าร้อย โสดาบันไม่เอาหรอก (ผู้ฟังหัวเราะ) โสดาบัน ระดับขี้หมาหน่อยน่ะ โสดาบันขึ้นแม้ห้าพันก็ไม่เอา โสดาบันดีขึ้น ห้าแสนก็ไม่เอา โสดาบันดีขึ้น ห้าล้านก็ไม่เอา เอาละ ต่อไปก็ไม่ต่อละ อธิบายเอาเอง อย่าไปทำก็แล้วกัน ความโลภนี่ ในหยาบๆนี่ต้องไม่มี โสดาบัน ความแค้น พยาบาท โกรธเคือง ที่จะทำหยาบคาย ก็ไม่ต้องไม่มีในลาภ ในยศก็เหมือนกัน สรรเสริญก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น อบายมุขนี่ขาด แต่สิ่งเหล่านี้ยังมีอยู่นะ โลภในลาภ ที่ยังโลภอยู่ โสดา โลภในยศในสรรเสริญ ก็ยังโลภอยู่ แต่ในทุจริตนี่ ถ้าเผื่อเราแน่ใจของเรา คือเราไม่ทุจริตเลย ไม่ว่าจะกี่ล้าน กี่แสน กี่ยศ ชั้น สรรเสริญอะไร ขนาดหนักๆ จะไปทำอย่างทุจริต หมายความว่าอย่างนั้น โสดาบันจะต้องไม่ทำ ให้เราแน่ใจอย่างนี้แล้ว เราจะมั่นใจว่า เออ ! อย่างนี้ จิตใจของเราไม่แล้ว อาจจะวูบวาบ แต่ว่ากล้าทำลงไป เป็นรูปธรรมจริงๆ ไม่ละ ใจมันอาจจะมีกิเลส แต่ทำลงไปโดยเป็นรูปธรรม ไม่กล้าทำชั่วอย่างนี้น่ะ จะไปทุจริตเพื่อลาภ เพื่อยศ โสดาบันไม่ทำ อย่างนี้เป็นต้น ตัวทุจริตไม่กล้าทำ

เราต้องพยายามอ่านอาการ อ่านอารมณ์ อ่านจริงๆ แล้วคนเราจะรู้ชัดเจนว่า นี่คือ คุณค่าของความเป็นมนุษย์ ความประเสริฐ เป็นสมบัติอันแท้ โสดา สกิทา อนาคา เพราะฉะนั้น เราปฏิบัติ อย่างที่อาตมากล่าวแล้วเริ่มต้นมา เราจะมีตัวปฏิบัติ เราคิดไปเรื่อย มีโพธิปักขิยธรรม มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ปรับปรุงตนเองไป ปรับปรุงกาย วาจา อย่างนี้รู้ว่ามันไม่ดีไม่งาม กรรมกิริยาอย่างนี้ ไม่ดี ไม่งาม ปรับใจเรานี่ จะปรับทั้งโลก ปรับทั้งธรรม กิเลสลาภยศ กิเลสโลภโกรธ หลง ที่ประกอบไปด้วย การทำกิจทำการ ทำงานต่างๆนานา มันจะค่อยๆซึม ค่อยๆสูง ค่อยๆชัดเจน ค่อยๆเป็นไป ลำดับๆ สูงขึ้นเรื่อยๆๆ อย่างจริง ตัวคนต้องรู้ของตนๆ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ

ที่อาตมาต้องขยายความเหล่านี้ เพื่อที่จะเอามาถามพวกคุณ ในประเด็นที่ว่า มีของจริง มีความจริง นี่ขยายความ เนื้อหาของปรมัตถ์เหล่านี้ นี่ ไม่ได้พูดถึง อรหันต์นะ ต้องมีอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูปนั้นน่ะ อาตมามิบังอาจแล้วละ มิบังอาจแน่ๆแล้วละ แต่เราจะเอาความจริงของโลกุตรธรรม วันมาฆะ อย่างนี้ อาตมาพูดไปนี่ คุณก็นั่งฟัง ๑๒๕ คนนี่ ฟังแล้วชัด โอ้ ! อย่างนี้ นี่เราผ่าน วันนี้เหมือนกับ สอบนะ อาตมาก็ทบทวน คุณก็บุพเพนิวาสานุสสติ ระลึก ระลึกชาติ ระลึกตามที่อาตมาเทศน์ อาตมาพูด ก็ระลึกตาม อ๋อ ! อย่างนี้เราทำมา บางคนมาแล้วหลายปี แม้ไม่หลายปีก็ตาม อย่าไปดูถูกดูแคลนกันว่า เฮ้ย ! ไอ้คนนี้เพิ่งมาไม่กี่เดือน เรามา ๗ ปีแล้ว ยังโซดาอยู่เลย เรามา ๗ ปี แล้วยังโซดา เฮ้ ! อะไร จำนวนผู้ที่มาร่วมงานทั้งหมด ทั้งในและนอกศาลา ๓๗๕ คน เป็นไปได้ยังไง โมเมหรือเปล่า นับจริงหรือเปล่า มีสมณะ ๒๗ สมณุทเทส ๒ สิกขมาตุ ๙ รูป จำนวนผู้มาร่วมงานทั้งหมด ทั้งในและนอกศาลา ๓๗๕ โมเมเหรือเปล่า ทำไมมันตรงเลขนักล่ะ

นี่ อาตมาไล่พื้นฐานตั้งแต่โสดา อาตมาขอของจริงๆ แล้วเรารู้เป็นปัจจัตตังนะ รู้โดยตนของตน มีเวทิตัพโพ วิญญูหิ หมายความว่ามีธาตุรู้ เวทิตัพโพคือความรู้ ญาณทัสสนวิเศษ เป็นบัณฑิตเสียเอง เวทิตัพโพ วิญญูหิ มีธาตุ วิญญู มีธาตุรู้ของตน ตนเองเป็นวิญญู เป็นบัณฑิตเสียเอง เราต้องรู้ของตนๆ ไม่ใช่ให้ใครมาสอบญาณ โอ้ ! นี่ญาณ ๒ นี่ญาณ ๕ ญาณ ๘ ญาณ ๑๖ ไอ้นั่น อย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ใช่ นั่นออกนอกทางหมด พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเลย อย่างนั้นน่ะ แต่มันก็เป็นของมันเอง มากันใหญ่เลยทุกวันนี้ มีสภาพสอบญาณ สอบอะไรต่างๆ นานา อาตมาพูดไปแล้ว ก็ไปพูดเหมือนกับไปแว้ง ไปว่าคนอื่นเขาอยู่เรื่อยน่ะนะ ที่จริงไม่ได้ไปแว้งไปว่าหรอก เขาเป็นอย่างนั้นมา หมายความว่าอย่างนั้น มันไม่ถูกทาง แล้วอย่างนี้มันถูกทาง ก็พยายามยืนยันกับพวกเราให้ฟัง

เพราะฉะนั้น อาตมาพูดอยู่เดี๋ยวนี้นี่ พวกคุณก็ระลึกถึงตัวเองแต่ละคนๆ ว่า เออ ! เราจะเข้าท่านะ โสดาบันพอไหวไหม

ถ้าเราได้ตรวจสอบจริงๆ นี่คือความจริงของคุณลักษณะแท้ เกิดมาเป็นคนเป็นลูกพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่จะปฏิบัติ ประพฤติ ให้ได้ทรัพย์ให้ได้สมบัติอันนี้ ให้ได้คุณค่าอันนี้แหละ เป็นธรรมะที่ พระพุทธเจ้าท่านมาประกาศ ให้ผู้เรียนรู้ตาม ก็ปฏิบัติตาม ให้เรียนรู้ตาม และปฏิบัติตามให้ได้ ได้จริงๆ เป็นมรรคเป็นผลได้จริงๆ ที่อาตมาพยายามอธิบายไปแล้ว เมือกี้นี้ว่า คุณลักษณะของพระโสดาบัน เกรดตัดของโสดาบัน ถ้าใครฟังแล้ว ก็ยังไม่แน่ใจว่า เอ๊ ! แล้วเราอย่างนี้ มันจะถึงขีดโสดาบันหรือยังหนอ ถ้าสงสัย ไล่ขึ้นไปให้สูงกว่านั้น เผื่อไว้เลย บอกว่าอบายมุข นี่หมายความว่าฐานต้น เอ้า ! แน่ใจหมด แต่ว่าทุจริตนี่ ทุจริตมันยังไง กามก็ดี ลาภยศ เอาให้มัน แข็งเป๊กเลย ทุจริตไม่มี ลาภยศอะไร เราก็พยายามรู้เลยว่า เราไม่ทุจริตละ เอาตามระดับของสังคม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กาม หรือเรื่องผู้หญิงผู้ชายลดจริงๆ ลดกิเลส ลดๆๆๆ จนกระทั่ง แหม ! มันใกล้ขีดอนาคามีนะ ว่าอย่างนั้นน่ะ อนาคามีคือขนาดไหน อนาคามี คือกามราคะหมด กามราคะหมด หรือแม้ไม่หมด มันก็เหลืออ่อนเต็มทีน่ะ บอก เฮ้ย ! สบาย เรื่องผู้หญิงผู้ชายนี่เหรอสบาย สบาย ให้ชัดเจนจริงๆเลยนะ กระทบสัมผัสด้วยตา หูจมูก ลิ้นกาย มีเล่ห์มีเหลี่ยม มีเชิงชั้นอย่างโน้นอย่างนี้ ทีหลอกทีล่อยังไง เราก็เฉย เราก็ไม่มีสุข หรือว่าเราลด ไม่มีการกระเหี้ยนกระหือรืออะไร อาการของกิเลส คุณจะต้องรู้สภาพของมันจริงๆ อ่านอาการ ลิงคะ นิมิต ของมันออกจริงๆสบาย ยิ่งมันใกล้อนาคามี หรือเป็นอนาคามีภูมิ คุณก็จะรู้ตัว เอาละ นี่เป็นขีดที่เห็นชัดในกามราคะนี่

ปฏิฆะก็ไม่มี อนาคามีนี่ปฏิฆะไม่มี คือประเภทที่กระทบสัมผัส อย่างโน้นอย่างนี้แล้วก็โกรธนะ คุณต้องอ่านอาการของความโกรธ อารมณ์ของความโกรธ ออกใช่ไหม มันโกรธ มันปฏิฆะ มันไม่ชอบใจ แล้วมันฮึดฮัด มันร้อน ไม่มีแล้ว มันเย็นๆ กระทบสัมผัสแล้ว ก็ เอ๊ ! มันก็ไม่โกรธ คนอื่นไปโกรธแทนเสียแล้ว เราก็ไม่ได้โกรธอะไร คนอื่นโกรธแทนแล้ว แต่เราก็ไม่โกรธ คุณต้องอ่านให้เป็นจริงๆนะ ของใครของมันนะ อ่านให้ได้ ถ้าคุณอ่านไม่ได้นี่ ไม่มีใครบอกคุณหรอก

อาตมาขอย้ำยืนยันอีกว่า คนที่จะเป็นพระอริยะนั้น ต้องรู้ของตนของตัว ต้องรู้อาการ ลิงคะ นิมิต รู้รูป รู้นาม รู้อาการโลภโกรธหลง เมื่อสัมผัสสัมพันธ์ต่อสิ่งข้างนอก ที่ประชุมอยู่ เรียกว่ากาโย กระทบแล้วก็เข้าไปหาจิต จิตมันก็เกิดอาการเป็นโลภะ หรือเป็นราคะ หรือเป็นโทสะ เป็นพยาบาท เป็นแค้น เป็นโกรธพวกนี้น่ะ อ่านอาการมันให้ออกจริงๆ แล้วคุณก็ปฏิบัติอย่างที่ เคยบอกแล้วเล่าแล้ว วันนี้ไม่ขยายความ เรื่องการปฏิบัติ เรื่องการที่จะทำยังไงๆ ให้มันลด ที่จะเป็นสมถภาวนายังไง วิปัสสนาภาวนายังไง ไม่อธิบายวันนี้

คุณไปทำจริงๆ แล้วรู้สภาพของมันจริงๆ จนกระทั่งมันอ่อนแรง จนมั่นใจ ถ้าคุณไม่แน่ใจว่า เอ๊ ! เรานี่จะโสดาบัน แน่ชัดหรือเปล่า ทำให้มันเจริญงอกงามไป จนใกล้อนาคามี คุณก็จะรู้ว่า อย่างน้อยโสดาบันเราได้แน่ ใช่ไหม อย่างน้อยโสดาบันได้แน่ๆ ใช่ไหม อย่างน้อยโสดาบันได้แน่ๆ เพราะว่ามันไม่รู้ว่า มันจะตัดเกรดกันตรงไหนแน่ๆชัดๆ มันนามธรรม ของใครของมันนี่นะ มันก็เอาอย่างที่ว่านี่ เอา อย่าไปย่อหย่อน พยายามพากเพียรไป ในขณะที่เรามีมิตรดี สหายดี มีสัตบุรุษ มีบุญกิริยาวัตถุ ได้ฟังธรรม ได้ฟังเทศน์ ได้มีมิตรดีที่เกื้อกูลกัน พยายาม แล้วพวกเราก็มีมิตรดี บางทีดีเกินไป ติเขาตะพึด มีแต่ขัดเกลาให้คนอื่นตะพึด ตัวเองไม่ดูตัวเองน่ะนะ ระวัง ใครมาก็กิเลส ชี้แต่เขานะกิเลส ชี้เขานะนี่ แต่ว่าที่ตัวเองนี่ ล่อ ๓ นิ้ว ชี้ไปให้เขานี่ นิ้วหนึ่งนะ แต่ตัวเองนี่ซัดซะ ๓ นิ้ว แล้วก็ไม่ดูตัวเอง ระวังเถอะ หวังดีต่อเขาเรื่อยไปๆ มันน้อยหรือมากก็ตาม มันอดยาก ที่จะเห็นกิเลสคนอื่นนี่ มันอดยาก เห็นแล้วเราก็ชอบที่จะช่วยเขา แต่ไม่ช่วยตน ตนเป็นยังไง เป็นผีหนักกว่าเขา ก็ไม่ค่อยรู้ตัว ไปช่วยแต่เขา ระวัง มันธรรมดาธรรมชาติน่ะ เพราะคนเรา มันตาออกนอกตัว ตามันไม่ได้มองเข้าหาตัวหรอก ตามันมองออกนอกตัว มันจะไปเห็นคนอื่น ก่อนเห็นตัวเองเสมอน่ะ มันเป็นธรรมดา มันเป็นธรรมชาติอย่างนั้น

พยายามสำนึกให้ดี มองตัวเอง อ่านตัวเองเมื่อกระทบ มองคนอื่นเขาพั้บ พยายามระลึกถึงตัวเองว่า เอ๊ ! เรานี่ แล้วดีกว่าเขาแล้วหรือยัง ดีกว่าเขาหรือยัง แม้ยังไม่ดีกว่าเขา ก็บอกกันได้ ถ้าเราสำนึกนะว่า อ๊อ ! เราไม่ได้ดีกว่าเขานี่ เมื่อมีสำนึกอย่างนี้ เราก็ไม่อวดดีเท่าไหร่หรอก มันก็จะบอกเขาอย่างมีสัมมาคารวะ หรือบอกเขาอย่างเกรงใจ โถ ! ตัวเราก็ไม่ได้ดีกว่าเขานี่ มันไม่กล้าที่จะไปว่าเขาแรงหรอก แต่ถ้าเผื่อยิ่งไปหลงตัวว่า ฉันดีกว่าเขา หรือเผลอๆ ไม่รู้ตัวนี่นะ มันมักจะไปว่าเขาแรงได้ แล้วก็ชอบอ้างด้วยนะว่า หวังดีๆ ซัดเขาไปอย่างหนัก แล้วก็หวังดี หวังดีต่อคุณน่ะ ช่วยคุณเป็นยังไง ขอบคุณเพราะฉัน นะ มันขี้มักจะไป ไม่พยายามจะรับผิดของตัวเองหรอก หลงว่าตัวเอง นี่ไปปรารถนาดีกับเขา เรื่อยไปนะ

เอาละ อาตมาได้พยายามชี้ พยายามที่จะขยายความ ถึงคุณลักษณะของโสดานี่ บอกแล้วว่า เพื่อที่จะเอาไปยืนยันประเด็นที่ ๒ ว่ามีความจริงบ้างไหมในคน เอาละ ในคนเมื่อกี้เขานับจำนวนมา ๓๗๕ อย่างที่อาตมาว่า ขอ ๑๒๕ มาชุมนุม ๑๒๕ มั่นใจว่าเรานี่แหม โสดาได้แค่นี้ ก็เป็นสิ่งพิสูจน์ว่า มีของจริง มีความจริงไหม ทางด้านโน้นฟังแล้วก็บอก ไอ้พวกนี้มันเหลือเกินนะ นี่อวดอุตริมนุสธรรมกันเหลือเกิน พูดกันอย่างไม่เกรงอกเกรงใจชาวบ้านเขาเลยนะ เอาอุตริมนุสธรรม การเป็นมนุษย์โลกุตระที่แท้จริง เป็นอุตริมนุสธรรมแน่นอน เป็นพระอริยะ โสดา สกิทา เป็นโลกุตรธรรม เป็นอุตริมนุสธรรม แน่นอน แล้วเราก็ต้องพูด แล้วเราก็ต้องอธิบาย

ขณะนี้ยังไม่มีใครอวดหรอก ใช่ไหม ใครรู้ของใครก็รู้ซิ ของตัวเรามั่นใจไหม พูดไม่ได้ ไม่ได้หรอกต้องพูด พูดแล้วเราต้องตรวจตรา แล้วก็ไม่ใช่เราจะเอาไปอวดไปอ้างใคร แต่เราต้องรู้ว่า ความมีจริง เป็นจริง ศาสนาพระพุทธเจ้า สอนอันนี้เป็นสาระสัจจะ ถ้าเรายังสืบทอด ถ้าเรายังทำได้อย่างแท้จริง ลดโลภ โกรธหลงที่แท้จริงๆๆ มีคุณลักษณะของโลกุตระอย่างนี้จริงๆ แล้วมันจะบอกเรา มันไม่บอก แต่เพียงว่าเราได้แล้ว เราก็สบาย เราก็เป็นสุข สุขอย่าง วูปสโม นะสุข อย่างไม่มีสุขไม่มีทุกข์ ที่อาตมพิสูจน์ให้ฟังว่า มันไม่สุขไม่ทุกข์หรอก มันเฉยๆ นั่นแหละ เป็นความสงบ ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรกนั่นแหละ มีอย่างนั้นน่ะ สุขอย่างนั้น วูปสโมสุข สุขอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าสุขเพราะอยากจะทาลิปสติก ได้ลิปสติกจะทา ไอ้อย่างนี้ สุขอย่างนี้โลกีย์ อาตมาพยายามแยกโลกียสุข กับวูปสโมสุขมานานแล้ว สำหรับพวกเรา เราได้โลกุตรธรรมอย่างนี้ ได้กันอย่างแน่ๆอย่างนี้ ศาสนาพุทธก็ยังอยู่แน่นอน นี่เป็นสาระสัจจะ แล้วเมื่อมีอย่างนี้แล้ว ถ้าได้ศาสนาพุทธแล้ว ได้วิมุติแล้ว ถ้ามิจฉาทิฏฐิ หรือว่ามันไม่ใช่สาระสัจจะของพุทธ นะ มันจะไม่เป็นบทบาท พฤติกรรม เป็นจารีตประเพณี วัฒนธรรม มันจะไม่เป็น มันเป็นเหมือนกัน มันเป็นวัฒนธรรมแบบฤาษี วัฒนธรรม ถ้าไม่เป็นอย่างนี้นะ ถ้าเป็นอย่างจริงอย่างนี้นะ เรารู้จักโลก โลกที่เป็นโลกอบายภูมิ โลกอบายมุข โลกธรรม โลกกาม

ถ้าคุณเอง คุณรู้จริงๆ เข้าใจจริงๆสิ่งเหล่านี้แล้ว คุณอยู่เหนือโลกนี่ ไม่ใช่ว่าคุณหนีจากอบายมุข ไม่ใช่หนี โลกุตระนี่ไม่ได้หนี ยิ่งคุณแข็งแรงจริงๆ เลยแล้วนะ อย่างสะเด็ดจิต เป็นสมุจเฉท เป็นปฏินิสสัคคะ เป็นลักษณะสลัดคืนนี่ คุณจะอยู่กับคนขี้เหล้าก็อยู่ได้ คุณก็จะเข้าใจเขา จริง คุณเอง คุณก็เห็นว่า มันเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งามแล้วละ เราไม่มีแล้วละ แต่คนอื่นเขายังมีอยู่นี่นะ ตอนแรกจะชัง ยิ่งคนใกล้คนชิดน่ะ แหม ! เราได้แล้วนี่ คนใกล้ๆชิดๆนี่ เราอยากให้เขาได้นี่นะ มันมีความอยากให้เขาได้แล้ว แหม ! มันแรง ถ้าเขามีขึ้นมา แล้วยังติดยังยึด ยังเป็นอยู่นี่ เราเดือดร้อนเหลือเกิน ลูกได้ อยากให้พ่อแม่ได้ พ่อแม่เป็นอยู่นี่โกรธพ่อแม่จังเลย ไอ้พรรค์นี้ มันไม่ได้นะ คนเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน ใหม่ๆที่เรายังไม่ได้ศึกษา มันเป็นอัตตามานะ เป็นความถือดี เราได้ดีแล้วเราถือดี เราก็อยากให้คนที่ใกล้ชิด ความเป็นคนใกล้ชิดนี่ เรายึดติด เป็นอัตตามานะชนิดหนึ่ง เป็นอัตตนียาอย่างหนึ่ง เป็นเรา เป็นของของเรา นี่พ่อเรา แม่เรา เราดีแล้วนี่ เราไม่อยากให้พ่อเราไม่ดี ไม่อยากให้แม่เราไม่ดี เราอยากให้พ่อเราดี เราอยากให้แม่เราดี เราได้ดีแล้ว มันหลงในดี มันยึดในดี พ่อแม่เราไม่ดี แล้วเราบอกว่า นี่เป็นของของเรา นี่เป็นส่วนหนึ่งของเรา

พ่อแม่ได้ก็อยากให้ลูกได้ ลูกหนึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา เป็นของของเรา ไอ้ลูกไม่ได้ก็ฮึดฮัด แหม ! มันไม่ได้ ฮึดฮัด โกรธพ่อโกรธแม่ พ่อแม่ก็โกรธลูก บ้านแตกสาแหรกขาด พรรค์นี้ไม่ใช่โสดาบันแล้ว นอกจากว่าเราเอง เราได้แล้ว เราไม่รู้เรา ไม่รู้เขา ทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด แบบนี้นี่นะ แหม ! โสดาบันประเภทให้บ้านแตกนี่ อาตมาว่ามันก็ไม่น่าดูหรอกนะ สังคมหนอ ใช่ไหม สังคมบ้านแตกอย่างนี้ มันไม่น่าดู เพราะฉะนั้น เราต้องเรียนรู้ ตอนแรกๆ ใหม่ๆ มันจะแรง พอนานๆไป ได้ฟังธรรมะไป เราก็ได้ไปหัดวาง วางอัตตามานะนั่นเอง ได้ดีแล้วถือดี แล้วก็เอาดีไปตีคนอื่น ตีใครไม่ตี ตีพ่อตีแม่ ตีใครไม่ตี ไปตีลูก ตีคนใกล้คนชิด ตีคนที่เรารัก คนที่เราหวง ตีคนที่เรานึกว่า จะเป็นส่วนหนึ่งของเรานั่นแหละ จะเป็นมิตรสหายใครก็ตาม อย่างนี้เป็นต้น อันนี้ก็ต้องอ่านอาการ ของอัตตามานะ ของเรามันยังแรง มันยังหยาบ มันยังไม่ประสาน

ถ้าเผื่อว่าเราเอง ของเราได้แล้ว แล้วเราก็ไม่มีความโกรธความโลภเกิน เพราะสิ่งที่ได้ สิ่งที่ดีนี้ สิ่งดีมันไม่ควรจะทำให้เรากลายเป็น สภาพเชื่อมโยง เป็นตัวต่อ ที่มันกลายเป็นตัวร้าย แล้วร้ายหยาบด้วย มันร้ายเล็กๆน้อยๆก็ไม่เท่าไหร่ เพราะฉะนั้น โสดาบันควรจะต้องเข้าใจ ในมุมพวกนี้ชัดขึ้นอีก เราต้องไปปรับขบวนท่า เราต้องไปหัดวางใจ ต้องเข้าใจเขา แล้วเราจะอยู่กันได้ มีพี่มีน้อง มีการประสาน ไม่ใช่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ด้วยอำนาจอัตตามานะ ไม่ใช่ จะต้องประสานจะต้องยืดหยุ่น อนุโลมปฏิโลมอะไรบ้าง ถ้าจำเป็น วิบากของใครวิบากของมัน พ่อแม่ของพวกคุณบางคน หรือลูกของพวกคุณบางคน มันไม่เอาถ่านเลยจริงๆ มันผีมาเกิดแท้ๆ ไม่รู้นะ อาตมาว่าพ่อแม่ใครก็ตาม เขาเกิดก่อน เขาก็เป็นผีมาก่อน คือวิบากของเขา จิตวิญญาณของเขา มันไม่มีบุญ มันไม่มีเชื้อของบุญ ไม่มีโลกุตระอะไรมาง่ายๆ เขารับไม่ได้ รับไม่ได้จริงๆ มันบุญแล้วละที่คุณได้ แม้พ่อแม่ก็ไม่ได้นี่ มันบุญมากแล้วนะ อาศัยเขาเกิดมา แล้วคุณก็มาได้นี่ มันบุญมากแล้วนะ จริงๆแล้วนี่ พ่อแม่คุณควรพาคุณไปอยู่หลุมผีโน่น ไม่ควรจะได้โผล่เข้ามาหาพระเลย เพราะว่าคุณเกิดกับพ่อแม่ผี ใช่ไหม แล้วคุณหลุดมา โผล่มา แล้วคุณได้คุณธรรมพระไปได้ เสร็จแล้วพ่อแม่คุณ ไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ แล้วก็ต่อต้าน แล้วก็อะไรๆ ต่ออะไรก็แล้วแต่ คุณเห็นใจพ่อแม่ให้มาก ว่าโอ้ ! เรานี่บุญนะ เรารอดมาได้ พ่อแม่ไม่ชักไม่จูง ไม่ดึงไปเสียแย่เลยนี่ บุญนักบุญหนา

คุณพ่อแม่ทั้งหลาย ที่มีลูกเป็นผีก็เถอะ มันเป็นความซวยของคุณ อย่าไปฮึดฮัดอะไรมากนักเลย ว่าไอ้ลูกนี่มันโง่จริงๆ ไอ้ลูกกูนี่เจ็บใจจริง คุณก็ได้เจ็บใจคุณจนตายไปน่ะแหละ ถ้าลูกคุณมันไม่มีบุญ ลูกคุณมันจะได้เป็นคนแบบนั้นน่ะ มีวิญญาณผีมา มันไม่ค่อยรู้เรื่อง มันไม่ค่อยมีจริงๆนะ ใครไม่อยากแกล้งหรอกนะ ในมนุษย์ ไม่อยากแกล้งหรอก ถ้ารู้ว่าสิ่งนี้ดี เป็นความประเสริฐแท้ แล้วเขาเอาได้ ใครมันอยากแกล้ง ที่จริงแล้วธรรมะนี่นะ มันมีค่า ยิ่งกว่าเพชรกว่าทอง ทำไมเขาไม่อยากได้ คุณฟังออกใช่ไหมว่า ธรรมะนี่มันโลกุตรธรรม มันยิ่งกว่าเพชร มันยิ่งกว่าทอง ถ้าเขารู้ เขาเอาได้ เขาจะปฏิเสธคุณทำไม เป็นลูกคุณก็ตาม เป็นพ่อแม่ของคุณก็ตาม เขาต้องเอาแน่นอน แต่เขาไม่รู้ ภูมิเขาไม่ถึง แม้เขาจะรู้ เขาเอาไม่ได้ ก็คือไม่ถึงเหมือนกัน ก็ยังดีคนรู้ ยอมรับแต่ว่าทำไม่ได้ แล้วมันมีมานะซ้อน คนที่ทำไม่ได้ รู้เหมือนกัน ทำมานะซ้อน ยิ่งว่า เอ้า ! ลูกได้นะ แล้วพ่อแม่ฟังลูก โฮ้ย ! มันดีจริงๆโว้ย แล้วพ่อแม่เอายังไง ก็เอาไม่ได้ ทำไม่ได้ มันอายนะ ไอ้ลูกมันได้ พ่อแม่ไม่ได้ มันอาย มันมีมานะซ้อน อัตตามานะซ้อน เพราะฉะนั้น คุณอย่าไปเที่ยวได้ไล่เบี้ย พ่อแม่อีกเลย จะต้องเห็นใจพ่อแม่บ้าง แม้เขารู้นะ เขายอมรับ เข้าใจ ถ้าเขารู้แล้ว เขาอนุโลมอนุญาตคุณอย่างเดียวน่ะ บุญแล้วๆ บุญแล้ว เขาเอาไม่ได้นี่ อย่าไปบี้เขา ตามเร่งตามบี้เขา ไม่ถูกหรอก เราต้องเข้าใจผู้อื่น ต้องเห็นอกเห็นใจคนอื่นเขาบ้าง จะเป็นลูกของเราก็ตาม จะเป็นพ่อแม่ของเราก็ตาม หรือจะเป็นเพื่อน เป็นมิตรสหาย เป็นญาติอะไรก็ตาม มันมีบุญมีบารมี มันมีวิบากไม่ใช่น้อย

อาตมาก็บอกแล้ว ซ้ำอีก ถ้าเขารู้ โลกุตรธรรมนั้น มันสูงกว่าค่าของเพชรของพลอย เพราะฉะนั้น ถ้าเขารู้แล้วเขาเอาได้ เขาไม่ปล่อยหรอกน่ะ เขาไม่ปล่อยให้โอกาสเขาเอาแน่ เอาแน่ เพราะฉะนั้น เราได้แล้วก็บุญแล้วละ แล้วทีนี้ ถ้าเผื่อว่า เราพยายามไปเปิดเผย พยายามที่จะไปให้คนที่ควรได้ เขาก็รับไม่ได้ เราก็ค่อยๆไป จะขยันหมั่นเพียร อุตสาหะบ้าง ก็อย่าไปให้มันเบียดเบียนกัน อย่าให้ไปกระทบ อย่าให้มันไปได้ไปเที่ยวทำให้เขาเอง เขาอึดอัดขัดเคือง ลำบากใจนัก เท่าที่เราพอจะพยายาม ที่จะให้เขาด้วยความเมตตา หรือว่ามีวิธีการ มีวรยุทธที่จะไม่ให้เขาต้อง อึดอัดขัดเคือง ลำบากอกลำบากใจอะไรนัก มันก็ประกอบกันน่ะว่า ผู้ที่จะเอาไปให้นั้นน่ะ มันปัญญาชาญฉลาด มีความสามารถที่จะให้ได้อย่างไรหรือไม่ ข้อสำคัญ อาตมาเคยแนะมากคนนะว่า เราเอาตัวเราเป็นหลักให้ดี ดีจริงๆ ดีขึ้น อย่างที่เรียกว่า เขาจะมองเราออกเอง แล้วเขาจะจำนน แล้วเขาก็จะยอมรับในที่สุด เมื่อเขายอมรับ ถ้าเผื่อว่าเขาเห็นดีด้วย เขาก็จะทำตาม บอกแล้วว่าสิ่งเหล่านี้ มีค่ายิ่งกว่าเพชร ยิ่งกว่าทอง คนที่เกิดปัญญาญาณเห็นอันนี้ จะเอาอย่างพวกเรา เห็นอันนี้ยิ่งกว่าเพชร ยิ่งกว่าทอง เพราะฉะนั้น พวกคุณก็ทิ้งเพชรทิ้งทอง หรือ ทิ้งเงิน ทิ้งลาภ ทิ้งยศ ทิ้งได้ เพราะอันนี้มันเหนือกว่า มันเหนือกว่าจริงๆ แล้วมันซ้อนเชิงอยู่นี่

จริงๆแล้วก็คือ ธรรมะที่เป็นโลกุตระก็คือ มันไม่เอาเพชร ไม่เอาทองนั่นเอง ที่เทียบว่า มันยิ่งกว่าเพชรกว่าทอง นั่นก็คือ เทียบอารมณ์ของคนโลกีย์ว่า มันหลงว่าเพชรว่าทองเป็นของมีค่า ที่จริง โลกุตระนั้น กลับตรงกันข้ามว่า อ๋อ ! ยิ่งเพชรยิ่งทอง ยิ่งไม่เอานะ โลกุตระแท้ยิ่งเห็นว่า เราเข้าใจโลก แต่ว่าเราไม่ได้ไปดูถูก ว่าทองไม่มีค่า เพชรไม่มีค่า เงินไม่มีค่า เราไม่ได้โง่อย่างนั้น เรารู้ว่าเงิน เป็นของ มีค่าของโลก ที่เป็นสมมุติสัจจะ เพชรก็ดี ทองก็ดี ก็มีค่าสมมุติสัจจะในโลก เราไม่ไปเหยียบย่ำ ไม่ไปดูถูก เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่โลกเขาเห็นว่ามีค่า อย่าไปดูถูกของที่เขามีค่า ที่โลกเขานับถือเป็นอันขาด คนเขาบูชาสิ่งเหล่านี้ จะเป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง ที่เขาบูชา เขากราบ เขาเคารพก้อนหิน ซึ่งเราเห็นว่า มันก็ก้อนหินธรรมดา ไปลบหลู่เขา เขาเคารพนับถือ ไม่ได้นะ

เพราะสิ่งเหล่านี้คือ สมมุติสัจจะทั้งนั้น เช่น คนต่างศาสนา ไม่ใช่พุทธ มาถึงก็ไม่เข้าใจ เป็นผู้หญิงด้วยนะ เห็นพระพุทธรูป เออ ! ดีโว้ยกระโดดไปขี่คอพระพุทธรูปเลย ถ่ายรูปแอ๊คใหญ่เลย เกือบตาย เห็นไหม เขาเกือบเอาตาย เขาเกือบประชาทัณฑ์ ข่าวคราวเคยได้ยินไหม ข่าวคราวเรื่องนี้น่ะ ที่พวกต่างประเทศ พวกแหม่มอะไร ที่เขามาเห็นพระพุทธรูป ไปเที่ยวโบราณสถาน ไปเห็น โอ้ ! ดีโว้ย จะแอ๊คถ่ายรูป กระโดดไปขี่คอพระพุทธรูป เขาจะเอาตายเลย คนไทยเห็นเข้า หน็อย ! ไปขี่คอพระพุทธรูปได้เหรอ เขานับถือบูชา อย่างนี้เป็นต้น หรือของศาสนาอื่น เขาก็เหมือนกัน ของกลุ่มหมู่อื่นเขาก็เหมือนกัน เขาเคารพ เขานับถือ เขาบูชา ต้องรู้ นะ

สมมุติสัจจะของเขา เราอย่าไปลบหลู่ ถ้าลบหลู่ เราเองเราโง่ เราเป็นคนไม่มีสมมุติสัจจะ ไม่มีปัญญารู้จักสัจจะหนึ่ง เพราะฉะนั้น คนโลกุตระ จะต้องเข้าใจสมมุติสัจจะ แล้วก็ปฏิบัติกับสมมุติสัจจะเขาได้ อย่างไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ปฏิบัติกับสมมุติสัจจะเขาได้ อย่างไม่ทำให้เดือดร้อนกัน จะเกิดสันติภาพ ด้วยปัญญาอย่างนี้ นี่ อาตมาสมมุติ ยกตัวอย่างให้ฟังแต่แค่ว่า แหม่มไปขี่คอพระพุทธรูป หรือว่าของที่คนอื่นเขาเคารพนับถือ ในศาสนาอื่น หรือไม่ต้องใช้ เป็นของในศาสนา เงินทอง เพชรพลอย ของอะไรก็แล้วแต่ ที่เขาเคารพนับถือ อันโน้นอันนี้ อะไรก็ตาม แม้แต่อย่างศาลพระภูมิ อะไรต่ออะไรต่างๆนานา แม้แต่ต้นหมากรากไม้ที่เขาเอง เขาบูชา นับถืออะไรของเขาต่างๆนานานี่ คุณเข้าไปในย่านอย่างนั้นนี่ ของเขาแล้วนี่นะ จริง เขาเคารพนับถือ อย่างโง่ๆเง่าๆ ก็ตาม แต่คุณไปถึง คุณก็ไปแสดงออก ไปถึงก็เยี่ยวรดมัน เสียหน่อย ประเดี๋ยวตาย ระวังเถอะ ไปเยี่ยวรดศาลพระภูมิเขา หรือว่าทำอะไร เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวตายน่ะ เดี๋ยวตาย นี่บอกไว้ อย่าไปลบหลู่ของที่เขาถือว่ามีค่าของเขา เขาจะเคารพนับถือสิ่งเหล่านั้น อย่างนี้ ลักษณะอย่างไรก็ตาม อย่าไปลบหลู่เขา ถ้าลบหลู่แสดงว่า เราไม่มีปัญญา แล้วไม่รู้จักสมมุติสัจจะ

ศาสนาพุทธนั้น จะต้องรู้จักสมมุติสัจจะอย่างดี แล้วเราก็ทำตัวเราให้อยู่เหนือ สมมุติสัจจะนั้น จนไม่เป็นทาสสมมุติสัจจะนั้น แล้วเราก็รู้ด้วยว่า สมมุติสัจจะนั้น บางทีเรายังเคย หลงบูชาเคารพเลย หรือแม้เราจะไม่เคยไปหลงเคารพบูชาก็ตาม เราต้องรู้ว่า คนอื่นเขามีสมมุติ คนอื่นเขาเคารพ คนอื่นเขาบูชา เพราะฉะนั้น อย่าไปลบหลู่เขา เราก็เคยงมงาย ก็ธนบัตรมันมีอะไร มันก็คือกระดาษแผ่นหนึ่งใช่ไหม เพชรคืออะไรคุณรู้ไหม ถ่าน เพชรก็คือถ่านชนิดหนึ่ง ตระกูลถ่าน ธรรมดานั่นเอง ถ่านธรรมดา แต่เป็นถ่านชนิดที่เรียกว่า มันสังเคราะห์ตัว ที่มันหายากหน่อย เพราะว่า มันต้องสังเคราะห์ตัว มากกว่าถ่านหลายๆชนิด มันหายากหน่อย เขาก็เลยเอาแทน เหมือนกับธนบัตร ธนบัตรปั้มตัวเลขไปใส่เฉยๆหรอกนะ เพชรนี่ เป็นวัตถุโลกหายากหน่อย ทองคำ หายากหน่อยอะไรอย่างนี้ เขาก็เลยเอาอันนี้มา เป็นวัตถุโลหะอะไรที่เทียบราคาเงิน พอมาเทียบกันแล้ว เสร็จแล้วก็เอามาเป็นรูปพรรณ มาเป็นเพชรรูปพรรณ มาเป็นพลอยรูปพรรณ มาเป็นทองรูปพรรณ เสร็จแล้ว ก็ยิ่งสมมุติราคา ยิ่งมีสิ่งที่หายากเข้าไปใหญ่ ตีราคาจนกระทั่ง ถ้ามันมีสิ่งเดียวในโลก โอ้ ! ยิ่งตีราคากันไว้ นับค่าไม่หวาดไม่ไหว เขาก็สมมุติไว้เท่านั้นเอง

โดยจริงแล้ว เพชรนี่ เวลาแกงมันไม่เค็ม เอาเพชรไปใส่แทนจะเค็มไหม เวลาปวดท้อง ปวดหัว เอาเพชรมาฝนๆๆ กินแก้ปวดหัวได้ไหม ไม่ได้ เวลามันหนาว ก็เลยเอาเพชรก้อนมาเอามาห่มเลย มันก็ไม่มีมากจนห่มเลย ใช่ไหมเพชรน่ะ ราคามันตั้งเป็นแสน อย่างนี้เป็นต้น เพชรน่ะ เอ้า ! มันหนาว เอามาไว้ตรงไหน หายหนาวไหม มันแก้อะไรก็ไม่ได้หรอกนะ อย่างดีเพชรก็เอาไปตัดกระจก มันแข็งหน่อย มันมีคุณภาพอย่างหนึ่ง แข็งแต่เปราะนะ เพชรนี่แข็ง แต่ก็มีลักษณะเปราะ แต่ก็แข็งอะไรอย่างนี้ มันก็มีลักษณะเด่นอันหนึ่ง คือถ้าว่ากันจริงๆแล้ว มันแทนค่าอะไรก็ไม่ได้ จะใช้ประโยชน์ ในชีวิตประจำวันอะไร ก็ไม่เห็นค่อยได้ อาตมาถึงว่า เพชรนี่สู้เกลือไม่ได้ อาตมาก็เคยเทียบให้ฟังแล้ว พิสูจน์ เหมือนอย่างพีชคณิต จนสุดท้ายก็ออกมาว่า เพชรไม่มีค่าเท่าเกลือ เพราะคนขาดเกลือนี่ตาย คนขาดเพชรไม่ตายหรอก ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีเพชรสักเม็ดเลย ก็ไม่ตาย แต่คนที่ใกล้จะตาย ไม่มีเกลือตายแหงๆ ตายเด็ดขาด ไม่เหลือ ชีวิตตาย

เพราะฉะนั้น เกลือมีค่ายิ่งกว่าเพชร ซ.ต.พ. ก็พิสูจน์บ่อยไป ตรงนี้พิสูจน์บ่อยไปน่ะ

สรุปแล้ว ก็คือจะต้องเข้าใจสมมุติสัจจะ โลกุตระนั้นรู้จักสมมุติสัจจะ ของเราเป็นโลกุตรจิต เป็นปรมัตถสัจจะ เพราะเราอยู่เหนือสิ่งนั้นๆ ไม่ทำทุกข์ให้เราได้ เราไม่หลงเป็นทาสสิ่งนั้นได้จริง แล้วเราก็รู้ด้วยว่า คนอื่นเขาหลงอยู่ ก็เรื่องของเขา เราอย่าไปลบหลู่เขา เราอย่าไปดูถูกดูแคลนเขา เราก็จะเป็นผู้ที่อยู่กับโลกนี้ อย่างประสาน อยู่อย่างเหนือโลกที่มีมิตร อยู่อย่างเหนือโลก แล้วคุณก็มีมิตรด้วย แต่ถ้าคุณอยู่เหนือโลกของคุณได้จริงๆ คุณไม่ทุกข์ไม่สุขกับไอ้สิ่งเหล่านั้น สมมุติเขานี่ แต่คุณก็ไปเที่ยวได้ดูถูกเขา แล้วก็ไประรานเขา อะไรเขา อยู่ไม่ได้หรอกคุณ เหนือโลกอย่างไร คุณก็ไปอยู่โลกของคุณเถอะ คุณมาอยู่ในโลก ไอ้คนที่เขายึดเขาถืออะไรอย่างนี้ในโลก ไม่ได้หรอก แล้วคุณจะสอนเขาด้วยก็ไม่ได้ จะแนะนำเขาก็ยาก จะทำอะไรให้เขาเข้าใจก็ยาก ก็ไปดูถูกเขาก่อนแล้วนี่ยาก เราจะข่มหรือตำหนิ จะดูถูกดูแคลนสิ่งนี้ว่ามันต่ำ มันหยาบ เลิกเถิด อะไรนี่นะ โดยเฉพาะระดับสูงขึ้นมาๆ ในระดับอบายมุขนี่ พอเขามีปัญญารวมกัน เขาพอรู้ พอรู้ง่าย กินเหล้าเมายา ต่ำ เสพสิ่งเสพติด กินฝิ่นกินกัญชาต่ำ พูดกันก็พอรู้เรื่อง เขาก็รับได้ อย่างนี้ ก็ไม่ว่ากันอะไร

พอสูงขึ้นมาหน่อย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ อะไรไปดูถูกเขาไปนี่ ชักยากขึ้นแล้ว ยิ่งเป็นสรรเสริญเยินยอ ยิ่งเป็นอุดมการณ์ ยิ่งเป็นชั้นสูงขึ้นไปอีก ติดยึด ในระดับสูงขึ้นไปอีก ยิ่งยาก อย่าเพิ่งไปดูถูกเขาง่ายๆ ต้องรู้ค่าของมัน เป็นระดับๆ แล้วก็ต้องรู้ตนด้วยว่า เราเองเราจะดูถูกสิ่งนี้กับใคร เราเองคนเขายอมรับแค่ไหน อย่างท่านพุทธทาส ท่านจะดูถูกอะไรต่ออะไรขนาดไหน ดูถูกอะไรออกมานี่เขาเฉย เพราะเขายอมรับท่าน โพธิรักษ์ลองไปดูบ้างซิ เลียนแบบท่านพุทธทาสนะ ทั้งๆที่ผอมกว่าท่านนี่ แบนกว่าท่านแน่ ทั้งๆที่ผอมกว่า แบนกว่าแน่ เขาเอาแบนแน่ จริงๆ นี่เราต้องรู้ตัว แล้วเราต้องรู้ว่า เราควรจะทำได้แค่ไหน

เอาละ ก็เป็นอันว่า เราได้พยายามที่จะพิสูจน์ในประเด็นที่ ๒ ตรงที่ว่า ความจริงของจริงของคน ที่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้านั้น เมื่อมารวมกันแล้ว มีคนชนิดนั้นไหม อย่างมาฆบูชา คนอย่างพระพุทธเจ้า นี่เอายอดมาเลย เอาพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป มีแล้วก็มารวมกันเป็นหนึ่งเดียว มาโดยไม่ได้นัดหมาย มาจริงๆ มีของจริง วันนี้วันมาฆะ เราไม่ได้จัดงานมาฆะ เราไม่ได้รวมกันในวันมาฆะ ในวันอย่างนี้ ในที่อย่างนี้ ไม่ได้นัดหมาย เรานัดกันไปแต่งานปลุกเสกฯ ปีนี้งาน มาฆะ เราก็เล่นไม้ดื้อเลย เอาเดือน ๓ แต่เขาเอาเดือน ๔ กัน เดือน ๔ ก็เลยเป็นมาฆบูชา ก็ปิด หยุดการหยุดงานวันมาฆะ แล้วเราก็ไปจัดมาฆะก่อนแล้ว เลยเกิดวันมาฆะ มีงานขึ้นมาได้ที่นี่ ไม่ได้นัดหมายอะไรนักหนา เอ้า ! ไม่ได้นัดหมายนี่ก็จริงแล้ว แล้วเมื่อมาแล้ว นี่มีตัวจริงบ้างไหม อย่างน้อยก็โสดาๆ ใน ๓๗๕ อาตมาไม่เอาหมดหรอก เอาแค่ ๑๒๕ ได้นี่ เรียกว่ามีของจริงยืนยัน อาตมาไม่เช็คหรอก ไม่ต้องเช็คหรอก บอกในตัวบุคคล

อาตมามั่นใจนะว่า ธรรมที่อาตมาได้เปิดเผย อาตมาได้พาปฏิบัติประพฤติมาแล้วนี่ พวกคุณได้ จะมีบ้างไหม ไม่มี โสดาไม่มีเหรอ สัก ๑๒๕ นี่ สัก ๑๒๕ นี่ จาก ๓๗๕ คิดว่ามีไหม โสดา ๑๒๕ ว่าใน ๓๗๕ เมาๆหมัดหลงตัวเอง แหม ! หลงว่าอะไร คิดว่าอย่างนั้นไหม คุณก็อยู่กับผมมานานแล้วนี่ ๑๐ กว่าปีแล้วนี่ ไม่หลงงมงายนะ เช็คคนเดียว ไม่เช็คคนอื่นมากมาย เช็คคนเดียวก็พอ

ที่อาตมาเอง อาตมาพาทำงานแล้วก็บรรลุผลเป้าหมาย บรรลุอะไรต่ออะไรออกไป อาตมาขอ ยืนยันอีกทีว่า นอกจากผู้ที่ได้คุณธรรมเป็นอริยบุคคล หรือเป็นโลกุตรธรรม อย่างนี้ ขึ้นมาแล้วนี่ มันไม่ได้เกิดที่คนเท่านั้น มันเกิดจารีต เกิดประเพณี เกิดวัฒนธรรม เกิดระบบสังคม อาตมาขอยืนยันเลยน่ะว่า เกิดระบบสังคม เป็นภราดรภาพ มีสมรรถภาพ มีสันติภาพ มีจริงๆ เพราะคนที่ได้คุณลักษณะพวกนี้แล้ว เมื่ออยู่รวมกันแล้ว มันก็จะเกิดความเป็นอยู่ เกิดอาชีพ เกิดการงาน เกิดกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เกิดพฤติกรรม แล้วก็เกิดกิจกรรม เกิดการงาน เกิดพิธีกรรม กรรมต่างๆนี่แหละ คือสังคมมนุษย์ ที่มีพฤติกรรม มีกิจกรรม มีพิธีกรรม ที่อยู่ร่วมกัน แล้วก็มี ระบบ เป็นรูปร่างอย่างพวกเราอยู่ มีการงาน

อาตมาว่ามันเรื่องมหัศจรรย์ คนข้างนอกเขามองพวกเรา เขามองอยู่ว่า เอ๊ ! ไอ้พวกนี้ มันอยู่กันอย่างไร สอนๆๆ ให้กินน้อยใช้น้อย ทำงานมากๆ แล้วก็ไม่ต้องไปเอาเงินเอาทองของใครนะ พยายามที่จะลดละ ไม่ไปเอาเงินเอาทองของใคร ไม่ไปขี้โลภ ไม่ไปกอบโกย ไม่ไปสะสม แล้วก็มีตัวอย่างให้เขาเห็น แล้วก็ยืนยันจนเขาก็จะหมั่นไส้ บางคนน่ะ มันอวดจริงๆ ที่จริงนะ มันน่าอวดยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำไป มันก็ต้องอวด มันก็ต้องบอกยืนยันเขาว่า การยืนยันสิ่งที่ได้นี่ จะบอกว่าอวด จะบอกว่าแสดง ทำให้ปรากฏ ทำให้คนรับรู้ร่วม มันเป็นเอหิปัสสิโก มันเป็นสิ่งที่ท้าทายให้มาพิสูจน์ เรียกร้องให้มาดู เชื้อเชิญให้มาดู มาดูของจริง มาดูสิ่งที่มันเป็นไปได้ มันเป็นสิ่งที่ทวนกระแส มันเป็นสิ่งที่เป็นได้ยาก มันเป็นความประเสริฐที่แท้จริง

อาตมาว่า อาตมาพยายามขยายความเรื่อง เอหิปัสสิโก อาตมาว่าเราไม่ได้อวดตัว เราไม่ได้อวดตนอะไร เราไม่ได้อยากได้อยากโชว์อะไร แต่ว่ามันเป็นเอหิปัสสิโก ที่เป็นสวากขาตธรรม ที่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่ท่านทำให้เป็นอย่างนี้ เป็นสวากขาตธรรมอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่มาเรียนรู้ได้ด้วยตน แล้วมันก็เป็นสิ่งที่ไม่จำกัดกาล แม้ ๒,๕๕๐ กว่าปีแล้ว มันก็เป็นไปได้ แล้วมันเป็นแล้ว มันก็มีลักษณะเอหิปัสสิโกอยู่นี่ เขาบอกไอ้พวกนี้ มันอวดอุตริมนุสธรรม ที่จริงมันเป็นเอหิปัสสิโก ที่จริงมันเชิญให้คุณมาดู แต่คุณน่ะไม่มาดู ไม่เชื่อ นอกจากไม่มาดู ไม่เชื่อแล้ว ยังหมั่นไส้ แต่แท้จริงแล้ว มันมีลักษณะเป็นเอหิปัสสิโก เป็นลักษณะที่ท้าทายให้มาพิสูจน์ ว่าเป็นความจริงนะ ที่เรากินน้อยใช้น้อย เราลดโลภ โกรธ หลง เราอยู่เหนือโลกียะ เราลดลาภลดยศ ลดสรรเสริญ เราวาง เราปล่อย เราเป็นไปได้ นี่มันเกิดระบบ ในสังคมของชาวอโศกเรา เกิดความจริงอันนี้จริงๆ มันไม่ได้เกิดอาตมาคนเดียว เกิดอาตมาคนเดียว จะเกิดระบบสังคมไม่ได้ เกิด ๒ คน ก็เกิดระบบสังคมไม่ได้ ไม่พอ เกิดแค่ ๕ คน ก็เกิดระบบสังคมไม่ได้ ๑๐ คนยังไม่เกิดเลย แค่ ๑๐ คนก็เกิดระบบสังคมไม่ได้ มันต้องมีเป็นร้อย มีตั้งเป็นพัน มันจึงจะเกิดระบบสังคมได้ ก็สังคมน้อยๆ แค่ร้อยแค่พันนี่แหละ

ทุกวันนี้ ในระบบร้อยๆพันๆของพวกเรา มันจะมีศีลสามัญญตา ทิฐิสามัญญตา มีลาภธัมมิกา อาตมาเอาสาราณียธรรมนี้มาประกาศ หรือมาบรรยาย ย้ำยืนยันเสมอว่า สภาพลาภธัมมิกา สภาพเฉลี่ยลาภ นี่แหละ เป็นระบบสังคมที่เราอยู่ได้ คนนี้ทำงานฟรี คนนี้ทำงานไม่มีเงินแล้ว อะไรต่างๆนานา คนนี้มีรายได้เป็นร้อยเป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน ทิ้งมา แล้วก็มาอยู่รวมกัน มีงานการ แล้วก็มีระบบของสังคมอย่างนี้ ๆ แล้วก็อยู่กันไป เลี้ยงดูกันไป เจ็บป่วยได้ไข้ พึ่งแก่พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันไปได้อย่างนี้ มันเกิดระบบสังคมอย่างนี้ เป็นระบบพี่น้อง เป็นระบบเอื้อเฟื้อเกื้อกูล ไม่เห็นแก่ตัว มันจึงจะทำได้ เห็นแก่กัน มีเมตตากัน มีเมตตากายกรรม มีเมตตาวจีกรรม มีเมตตามโนกรรม มีลาภธัมมิกา มีการเฉลี่ยลาภ เพราะเรามีแนวทาง ศีลสามัญญตา ทิฐิสามัญญตา ร่องเดียวครรลองเดียวกัน อย่างชัดเจน มันจึงเกิดสภาพระบบสังคม เกิดความอยู่ได้ ทั้งๆที่ไม่ได้ไปเที่ยวได้โลภโมโทสันใคร ไม่ได้ไปกอบโกย ไม่ได้ไปเอาเปรียบเอารัด พยายามมีระบบสังคม มีการงาน มีอาชีพ ที่จะช่วยเกื้อกูลออก

บริษัทพลังบุญฯ ก็พยายามปรับตัว เพื่อที่จะให้ประโยชน์แก่สังคม ลงไปให้ได้เสมอ ด้วยอุดมการณ์ ที่มั่นใจ แต่มันทำได้แค่นี้ พยายามที่จะทำให้มากกว่านี้ ชมร.ก็ดี ธรรมทัศน์สมาคม ที่ต้องขายอะไรต่ออะไรอยู่บ้างก็ตาม ฟ้าอภัยฯ ที่จะทำงานในด้านเกี่ยวกับ การหนังสือหนังหา ต่อไป แม้เราจะมีอะไรต่ออะไรเพิ่มเติมขึ้น มันมีการผลิต แล้วก็ต้องมีการจำหน่าย ไปสู่สังคมให้มากขึ้น ให้กว้างขึ้น ต่อไปถ้าเผื่อว่า ยิ่งเราผลิตได้จริง มีสินค้า มีผลผลิต ที่จะออกไปสู่สังคม เพื่อที่ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้มากขึ้น เราก็จะทำจริงๆ จะมีข้าวธรรมชาติ ที่บริสุทธิ์สะอาด ขายให้ประชาชน พวกเราก็อาศัยกินในนี้แหละ เรื่องอะไรล่ะ เราทำได้ก่อน เราก็กินของบริสุทธิ์ก่อนละ เสร็จแล้วก็มากพอ เหลือก็แบ่งแจกกระจาย ไปให้ต่อคนอื่นไปอีก ไม่ใช่เพื่อที่จะมาทำอย่างโลก อย่างโลกเขาทำพืชธรรมชาติได้ เขาก็จะมาขายแพงๆ คนนิยม คนมันอยากได้ กลัวตายเหมือนกันนี่ของกิน ไอ้นี่มันปราศจากพิษ จะขายราคาแพงๆ เขาก็จะมาอุดหนุนซื้อได้นะ ได้เปรียบ เพราะมีอำนาจต่อรอง ก็ของดี มันต้องราคาแพง ของบริสุทธิ์ สะอาด

แต่เราไม่มีอุดมการณ์อย่างนั้น ไม่มีนโยบายอย่างนั้น เราจะให้ถูกไปได้ ถูกได้เท่าไหร่ เท่าที่จะทำได้ เรารู้เหมือนกันนะ ในสมมุติโลกนี่ว่า แพงก็ยังไปรอด ถ้าเราจำเป็นที่จะต้องใช้ทุนรอน เหล่านี้พอสมควร เราก็อาจจะไม่ถูกอย่างมากๆ แต่ก็จะต้องไม่ไปฉวยโอกาสว่า เราจะต้องแพงกว่าตลาด สมมุติว่าข้าวของเขาขายธรรมดา อย่างนี้ ถึงแม้ข้าวมีสารพิษ เขาขายได้กระสอบละ ๗๐๐ ข้าวเราบริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษ เราก็จะไม่เกิน ๗๐๐ อย่างนี้เป็นต้น ถูกกว่า ๗๐๐ ได้ เราก็จะเอา แต่ในโลกเขา เอ้า ! ข้าวมีสารพิษ คุณยังขาย ๗๐๐ ของเราไม่มีสารพิษ ๙๐๐ โว้ย เอาไม่เอาล่ะ คนก็ต้องเอา ถ้าเผื่อว่าเขาเอง เขาเดือดร้อน เขากลัวตาย เขาก็ต้องมาเอาข้าว, ๙๐๐ ก็ต้องเอา แล้วยิ่งมีที่คุณคนเดียว คุณจะโก่งราคาเท่าไหร่ก็ได้ ถ้ามีของคนอื่น ถ้าเผื่อว่าอย่างโลกีย์เขานี่นะ เขาก็จะเป็นอย่างนี้ แต่ของเรามีความมั่นใจ มีความมุ่งหมายที่จะพยายาม ไม่ใช่เราจะไปเอาเปรียบ ถ้าเราพออยู่พอกิน สังคมของเรา มีวงจรของเศรษฐกิจที่มันอยู่ได้ เราก็จะไปโลภโมโทสันมาทำไม เราไม่จำเป็นจะต้องสะสม แต่เราจะมีวงจักรของเศรษฐกิจ ที่หมุนเวียนที่อยู่ได้ แล้ว ยิ่งอยู่ได้ ยิ่งมั่นคง ทุนรอนอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ทั้งทุนรอนที่มาใช้ ทั้งเครื่องไม้เครื่องมือ ทั้งโน่นทั้งนี่ ที่อะไรสมบูรณ์ มันไม่ต้องลงทุนอีก อะไรต่ออะไรอีก แล้วภาวะผลิตนี่ มันก็จะผลิตหมุนเวียน ที่จะต้องได้มากขึ้น ทุนลดลง ตามหลักของเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจพวกนี้นี่ เราก็จะลดลงไปได้มากๆ เรื่อยๆ ยิ่งมีคน มีแรงงานฟรี เข้ามาพร้อม ไอ้เรื่องแรงงานฟรีนี่ อาตมาอยากจะย้ำให้ฟัง แรงงานคนนี่ มันเป็นบุญมากกว่าเงิน ขอเล่าเรื่องนี้ เป็นอันสุดท้าย ที่จะได้พอสมควร ยังไม่สองชั่วโมงดี

เอ้า ! อันนี้เป็นอันสุดท้าย แรงงานนี่ เป็นบุญยิ่งกว่าทำบุญด้วยวัตถุ แรงงานของคนนี่ เพราะฉะนั้น คนจนก็ตาม อย่าไปน้อยใจว่าเราไม่มีเงินทองมาทำบุญ แรงงานของคุณน่ะ ยิ่งกว่า เงินทอง เพราะมันเป็นของสด เป็นของแท้ บางคนไปเอาเงินมาทำบุญ เงินใครก็ไม่รู้ บางคน ไม่ใช่เงินคนอื่นหรอก เงินของเรานั่นแหละ แต่เงินของเราไปได้มาอย่างไร มอบตัวในทางผิดหรือเปล่า เอาตั้งแต่กุหนา โกงมาหรือเปล่า หลอกลวงมาหรือเปล่า บิดเบี้ยวอย่างไรมาหรือเปล่า ตลบตะแลงมาหรือเปล่า นี่เอาสัมมา-มิจฉาชีพ ๕ มาไล่กันก็ได้ มอบตนในทางผิดหรือเปล่า ที่มอบตนในทางผิดนี่ลึกซึ้งนะ ในกลุ่มที่คุณอยู่นั่นแหละ จะมีทุจริตใน เอาเปรียบข้างใน มีระบบฉ้อฉลข้างใน กลโกงอยู่ข้างในนั่นเยอะ คนเอาเปรียบกว่า คนฉ้อฉลที่ได้เปรียบ จนเขาจำนน นี่แหละ ในโลกนี่ มันมีความฉลาด ที่ทำให้คนอื่นเขาจำนน เขาต้องเอามาให้ฉันโดยดุษณีย์ โดยสงบ โดยไม่มีทางเลือก ต้องยอมอย่างจำนน เพราะสร้างเครือข่าย หรือระบบกลไก ของสังคมเอาไว้ อย่างนั้น นั่นแหละ แล้วก็ได้เปรียบเขา จนเกินเรื่องเกินราว เงินเหล่านั้นน่ะ ไม่ใช่ค่าแพงหรอก ยิ่งเอาเปรียบเขามากเท่าไหร่ ค่ามันยิ่งถูกลง

เราเอามาทำบุญ เราก็เอาเยอะๆมา แล้วก็เอามาทำบุญเยอะๆ เงินพวกนั้น จึงมาทำบุญด้วยวัตถุ มันสู้แรงงานไม่ได้ แรงงานนี่สด แรงงานที่แท้ ไม่ได้ไปผ่านสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์อะไรมาได้ แล้วมาทำงาน ออกเป็นแรงงาน ออกเป็นผลผลิต ยิ่งเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์ตัวนั้น ที่เราทำอย่างนั้นน่ะ อันนี้มันงานจำเป็น อันนี้มันงานสำคัญ อันนี้งานที่มีคุณค่า ที่มีความจำเป็นมาก พูดไปแล้ว อย่าหาว่าอาตมา โปรประกันด้า (Propaganda) ให้งานตัวเองเลย อย่างงานทำหนังสือทุกวันนี้ ธรรมะนี่ มันมีอุปสงค์สูง มีดีมานสูง เพราะคนขาดธรรมะ เพราะฉะนั้น สินค้าธรรมะ ยิ่งเป็นธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรม ธรรมะที่จะทำให้คนบรรลุธรรม ธรรมะที่จะให้คนอื่น มาเกิดเป็นสภาพจริงๆ แท้ๆของพระพุทธเจ้าให้ได้ มันยิ่งน้อย มันเพี้ยนมันผิด มันอะไรไปเยอะ เพราะฉะนั้น หนังสือธรรมะนี่ นี่คุณฟังให้ดีนะ หนังสือนี่ มันเป็นสิ่งที่สำคัญของสังคม มันขาดแคลน ธรรมะที่เป็นโลกุตรธรรมที่แท้ ที่เอาไปประพฤติปฏิบัติ พิสูจน์ได้ ยืนยันได้ เพราะฉะนั้น การมาผลิตอย่างนี้ ด้วยแรงงานจริงๆเลย มาช่วยพับ อย่านึกว่าเป็นราคาถูกนะ พวกนี้อะไร ไม่ทำอะไร มานั่งเคาะกระดาษอยู่ทุกวันนี่ อาตมาว่าพวกนี้แหละ เนื้อหาสาระไม่ใช่เบาๆเลย ถ้าคิดเป็นราคา

ถ้าคุณฟังธรรมะเป็นนะ ค่าราคาของบุญระบบนี้ โดยแรงงานแท้ ของสูง สูงกว่าคุณไปทำงาน ทางสังคม ได้มามากๆ เดือนหนึ่งก็ได้แสนๆ เอาละ เราทำบุญเดือนละเก้าหมื่นๆ ก็ได้เดือนหนึ่ง ตั้งแสนนี่นะ แล้วไอ้ระบบที่คุณได้แสนมานั่นน่ะ มันฉ้อฉล ระดับไหน อาตมาไม่รู้ คุณจะได้แสนมา มันคุ้มหรือเปล่า ทำงานทั้งวันได้พันห้า เดินไปเดินมาได้ห้าพัน มันลักษณะเดินไปเดินมา ได้ห้าพันหรือเปล่า คนทำงานทั้งวันได้พันห้า อะไรกันแน่ คือ ฉ้อฉลขนาดไหน หรือไม่เอาเปรียบเอารัด เอาเถอะ คุณจะใช้มันสมอง ใช้หัว ลึกซึ้งละเอียดขนาดไหนก็ตามแต่เถอะ องค์ประกอบของคุณน่ะโอ้โฮ ! มันไม่ได้เหน็ด มันไม่ได้เหนื่อยอะไรเลยนะ คอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้กดเอง อะไรก็ไม่ต้องไปทำเองหรอก คนนั้นคนนี้ อย่างนี้ใช่ไหม แต่ฉันนี่ค่าตัวของฉัน เงินเดือน แสน ไอ้ที่แท้ มันไม่ค่อยได้ทำอะไรเท่าไหร่หรอก ไอ้คนนั้นคนนี้ เขาทำแทนหมด เสร็จแล้ว ต้องการอะไรก็มีหมดพรักพร้อม นี่ระบบฉ้อฉล ที่มันซับซ้อนอยู่ตั้งเยอะตั้งแยะ ตัวเองเล่นราคา เดือนหนึ่งเป็นแสน หลายแสนด้วยนะ แต่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรหรอก คิดอะไรบางทีไม่ต้องคิดหรอก เพราะมีที่ปรึกษา คิดแล้วก็เอามารวม เอ้า ! จ่ายมา ออกมาพั้วะๆ เสร็จแล้วรับคอมมิชชั่น เราก็รับเองอีก

นี่พูดแล้วยาว พูดแล้วเยอะ เหมือนสำนวนหนังจีน โอ้ ! เล่าแล้วยาว เล่าแล้วยาว เพราะฉะนั้น แรงงานของคนที่ถูกต้องตามหลักเศรษฐศาสตร์ ที่มีอุปสงค์ที่สำคัญของสังคมนี่ การที่จะไปสร้างผลผลิต อย่างนั้นอย่างนี้ มีค่า นี่ อาตมายกตัวอย่าง ตัวชัดๆเด่นๆว่า หนังสือธรรมะ คนขาดแคลนธรรมะ

ทีนี้ ยกตัวอย่างอันอื่นบ้าง ข้าวบริสุทธิ์ อาหารบริสุทธิ์ ขาดแคลนไหมทุกวันนี้ ผักที่ไม่มีสารพิษ นี่หาง่ายไหม คนไปลงแรงปลูกผักขึ้นมา เพื่อให้คนได้กิน พืชที่บริสุทธิ์ ไม่มีสารพิษนี่ เป็นดีมานด์ (Demand) ของสังคม เป็นไหม เป็นอุปสงค์ของสังคมไหม ถ้าคุณโดดจากงานราคาแสน มาปลูก ผักที่ไม่มีสารพิษนี่ ออกไปสู่สังคมได้อย่างจริงๆจังๆ ได้นี่จะมีบุญมากนะ คุณเข้าใจอย่างนี้ได้ไหม อย่างนี้เป็นต้น

เอาละ อาตมาได้พยายามที่จะชี้สัจธรรมให้ฟัง ในวันสำคัญในวันมาฆบูชา ให้เห็นว่า มันมีสภาพ เอกภาพ ความรวม ความไม่ได้นัดหมาย ความเป็นหนึ่งเดียว ประเด็นที่ ๑ นี่ มันมีไหม ในวันมาฆบูชา ไม่ใช่ของเราหรอก ของสากลมาฆะ แต่ว่าเรามามีพิธีกรรม มีมาได้รวมกัน โดยไม่ได้นัดหมายอะไรกันนักหนา ใช่ไหม วันนี้บอกแล้วว่า ส่วนมากเราก็ไปงานปลุกเสก แต่ปีนี้ พอดีมันเกิดอะไรขึ้นมา มันก็เลยได้มีมาฆะที่นี่กันขึ้นมา โดยไม่ได้มีกิจกรรม กิจการอะไร โดยไม่ได้นัดหมาย ไม่ได้เป็นกิจจะลักษณะ ไม่ได้เคยมีบอกกล่าวกัน เป็นเรื่องเป็นราวอะไร แล้วหลายคนก็ไม่รู้ด้วยว่า อาตมาจะมาที่นี่วันนี้ ใช่ไหม แต่เราก็มารวมกันได้ เป็นจำนวนไม่ใช่น้อย ขนาดนี้นี่ ก็นี่ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง ที่มันเกิดไปตามธรรม เพราะเรานึกว่า วันสำคัญของศาสนา จะไปไหนดี จิตใจมันก็ชะแง้ สำเหนียกฟัง เออ ! พ่อท่านมาเหรอ เทศน์เหรอ ๖ โมง นี่มีเหรอ เอ้า ! เราก็มา อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันพอใจที่จะมา มันยินดีที่จะมา สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องจริง

และประเด็นที่ ๒ มีความจริง มีของจริง มีลักษณะสัจบุคคล มีคุณธรรม เป็นสัจธรรม มีในคนจริง อาตมาก็พยายามอธิบาย เพื่อให้คุณตรวจสอบ มันมีไหม ในจำนวนปริมาณ และในคุณภาพ ในตัวคุณ คุณตอบของคุณเอง อาตมาก็บอกแล้วอธิบายแล้ว ลองทดสอบ ท่านอโสโกดู ถาม ท่านไม่โกหกอาตมาหรอก โกหกได้เหรอเป็นพระ เสร็จแล้วก็เอาละ พวกคุณก็ยืนยันสิ่งเหล่านี้มีแล้ว อาตมาก็ได้ขยายต่อด้วยว่า เมื่อมันเกิดแล้วมีของจริง มันไม่ได้เกิดที่ตัวคนคนเดียว เกิดแล้ว มันจะเกิดเป็นระบบ เกิดเป็นวัฒนธรรม เป็นจารีต เป็นประเพณี เกิดเป็นพฤติกรรม เกิดเป็นกิจกรรม เกิดเป็นพิธีกรรม เกิดเป็นสิ่งที่เป็นสังคม มีระบบของสังคม มีกลไก มีความเป็นอยู่ มีความเป็นไปของสังคม

แม้กระทั่งที่สุด ที่อาตมาขยายความส่งท้ายว่า คนเรานี่ เมื่อเวลามาเป็นอะไรต่ออะไร ขึ้นมาได้สูง แล้ว เราจะเป็นคนมีบุญ แล้วเป็นคนมีบุญรู้จักลักษณะบุญ เราทำทานแค่วัตถุทาน ก็วัตถุทาน แต่ว่าเราเสียสละแรงงาน นี่ มันยิ่งกว่านั้น แล้วเราก็จะเข้าใจถึงหลักเศรษฐศาสตร์ บอกแล้ว ธรรมของพระพุทธเจ้ามีหมด เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์อะไรนี่ มีทั้งนั้น แล้วมันก็เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับเศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ค่ามันสูง ราคามันสูง อย่างที่อาตมาได้ขยายความ พยายามที่จะชี้ให้เห็นชัดๆ พยายามอธิบาย เอาแต่แค่มาทำหนังสือ มาทำข้าวที่ปลอดสารพิษ อะไรอย่างนี้ก็ตาม หรืองานอื่นๆ จะเป็นงานด้านค้าขาย งานอะไรก็สมมุติได้ แต่ว่ามันเลยเวลาไปมากแล้ว มันก็เป็นลักษณะที่ว่า เรามาเอาแรงมา เราเอาชีวิตของเรานี่มาทำ มันแท้ มันสด แล้วมันก็มีค่ามากกว่าวัตถุสมบัติได้ แต่ก็ไม่ได้ไปดูถูกวัตถุสมบัติ ไม่ได้ไปดูถูกเงินทอง อะไรต่างๆนานา ไม่ได้ไปดูถูก เราก็ต้องใช้ เราก็ต้องรับเหมือนกัน คนที่ยังมาไม่ได้ แม้เข้าใจก็ทำไป สักวันหนึ่งก็จะได้ หรือคนที่มาได้ เขาก็ยังพยายามวางส่วนนั้น มันจะสอดคล้องกันเข้ามา แล้วมันจะหมุนเวียน สนับสนุนซ้อนอยู่อย่างนี้ คุณอย่านึกว่า เอ๊ ! เราเองนี่นะ ทำงานอยู่ทางโลก ก็ได้เงินได้ทองพอสมควร แล้วก็มาช่วยพวกคุณอยู่นี่แหละ เดือนหนึ่ง ตั้งเป็นแสน เป็นหลายหมื่น ไปช่วย ถ้าเราออกจากงานมาแล้ว ใครจะมาช่วยเล่านี่ แสนนี่ก็ขาดไป หมื่นนี่ก็ขาดไป ใครจะช่วย อย่าออกเลย นี่เป็นข้อแก้ตัว ถ้ามาได้แล้ว มาเถอะ คนอื่นจะมาแทน มาเรื่อยๆ คนอื่นจะมาทดแทนๆๆๆ มันไม่หยุดยั้งในการเผยแพร่ ในการเปิดเผย ในการประกาศ ในการที่จะเข้ามาทดแทนๆ มันจะมีมาตามลำดับเอง ไม่ต้องกลัวหรอกว่า ไม่มีแล้ว ถ้าเราออกไป ใครจะมากิน มาอุดหนุน อยู่ได้ ไม่ต้องกลัวหรอก แรงงานนี้จะแพงกว่า อาตมาต้องการแรงงานคุณ หรืออาตมาชี้บอก ที่พูดนี่ ไม่ได้เร่งรัดให้ลาออกจากงานนะ

เอ้า ! จริงๆ ประเดี๋ยวคุณเข้าใจผิดอีก อาตมาชี้สัจจะ พูดถึงสัจจะ ถ้าเผื่อว่าคุณเข้าใจอันนี้แล้ว ถ้าคุณจริงๆนะ ใจของคุณได้จริง อาตมาไม่ต้องการคนไฟแรง แล้วก็มาประเภทวูบๆวาบๆ นะ มาเสร็จแล้ว แหม ! เอาแล้วเรา ตอนนี้ออกมาจากงานแล้ว เสร็จแล้วมาอยู่ มาเจอเสือ สิงห์ กระทิง แรด นะนี่ ทีนี้อยู่ไม่ได้ ทีนี้ตกโลก โลกุตระก็ตก โลกีย์ก็ตก ไม่รู้จะไปอยู่ฝั่งไหน ตายนะ ไม่มีโลกจะอยู่แล้วยุ่ง อาตมาเตือนอยู่เสมอ ไม่ได้พูดเล่น

ถ้าเผื่อว่า คุณมาได้ คุณจะมาจริงๆ แล้วอย่าไปคิดค้างคา นี่ อาตมาอธิบายสัจจะ มุมประเด็นหนึ่งให้ฟัง ไม่ต้องกลัวหรอก เราหาเงินให้ ทำบุญให้อยู่นี่ ถ้าออกมาแล้ว ก็ขาดซิเงิน ไม่ต้องกลัวหรอก แรงงานคุณสูงกว่า ทุกวันนี้ เราขาดแรงงานมากๆ แล้วการทำแรงงาน ที่สร้างขึ้นมานี่แหละ มันจะเป็นตัวที่ยืนยัน ยิ่งกว่าเงินทอง ทุกวันนี้ คนเข้าใจว่าอโศกร่ำรวย มีเงินมีทอง ทำอะไรต่ออะไรขึ้นมานี่ เขาเข้าใจผิด เข้าใจผิดจริงๆ ว่าเรามีเงินทองมากมาย ร่ำรวย เพราะว่ามีสำนัก มีหน่วยขบวนการอื่น อย่างงธรรมกายนี่ เขาทำอะไรของเขาได้หวือหวา เขาร่ำรวยของเขา มีลักษณะอย่างนั้น เขาทำได้แบบของเขา ซึ่งของเราไม่เป็นอย่างของเขา การทำงานกับสังคมขึ้นมา นี่ หน่วยกระบวนการศาสนานี่ เราก็ไม่ได้น้อยหน้าธรรมกายนัก แม้เราจะไม่มีรูปใหญ่ แต่อะไรๆ หลายๆอย่าง เขามองแล้ว เขาก็บอกว่าพวกนี้มันก็รวย อโศกนี่มันรวย เขามอง ที่จริงเราไม่ได้รวย พวกคุณรู้ดี ข้างในนี่ ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันซ้อนเชิง

อาตมาถึงบอกว่า แรงงานนี่มันสูงกว่า เพราะเรามีแรงงานนั่นเอง คนอื่นจึงมองไม่ออกว่า แท้จริงเราจน เขาเลยเข้าใจว่าเรารวย เพราะแรงงาน มันมีค่ากว่าเงิน เรามีคนขนาดนี้ ทั้งๆที่ขาดคนอยู่นะ แต่ก็มีไม่มากนี่แหละ จึงทำให้คนอื่นเขาว่าร่ำรวยเลยเห็นไหม คุณพอเข้าใจไหม อาตมาไม่รู้จะอธิบายอย่างไร มันซับซ้อนอยู่ในชั้นเชิงของมัน มันซ้อนอยู่ในสภาพที่ อาตมาจะควักมา อาตมาว่า อาตมาอธิบายยังไม่เก่งนะ มันมีลักษณะของมัน แต่คิดว่าคงพอเข้าใจได้ มันสำคัญกว่า มันจึงทำให้คนอื่น เขาเข้าใจไม่ผิดนะ ว่า อโศกนี่รวย เพราะเราให้แก่เขาได้มาก เขาเห็นสิ่งที่เราสะพัดออกไป ให้ แก่สังคมได้มาก มีอย่างเหรอ มาพิมพ์หนังสือแจก แจกจนกระทั่ง กูยังอ่านไม่ทันเลย มันส่งมาให้อีกแล้ว (ผู้ฟังหัวเราะ มันเอาเงินที่ไหนวะมาพิมพ์ เล่มเบ้อเร่อเบ่อร่า กูไม่ได้อยากได้เลย มันก็ยัดเยียดจังเลย มันเอาทุนที่ไหนมาพิมพ์ ปีแล้วปีเล่า ไม่ได้หยุดเลย เขาก็จำนนว่า มันทำยังไง คนอื่นเขาพยายามทำ เขาก็ไม่มีทุนจะทำแล้ว ขบวนการอื่น เขาพยายามจะทำ หนังสือของเขาเล่มแรก ออกโตนะ ตอนหลังมา เล็กลงๆๆๆๆ เดี๋ยวนี้มันนานหลายเดือนออกเล่มหนึ่ง จริงๆ นะ เขาหมดไปจริงนะ แต่ของเรานี่ เดี๋ยวนี้มี นิตยสารตั้ง ๕ ฉบับทำอยู่นี่ ไล่แจกกันอยู่นี่ จนเขาบ่นอยู่นั่น ไล่แจกเขาอย่างนี้ นี่ก็ส่วนหนึ่ง อันอื่นก็เหมือนกัน อย่าง ชมร. มันอยู่ได้ยังไง มันขายถูก ตรึงราคา ๕ บาท อย่างนี้เป็นต้น มันเอาที่ไหน มาสนับสนุน มันอยู่ได้ยังไง อะไรต่างๆนานา อะไรก็แล้วแต่ อื่นๆใดๆก็ตาม เราทำโน่น ทำนี่ มีการรวมกันไปโน่นไปนี่ มีค่าใช้จ่าย เขาบอกว่า ดูซินี่ มันทำได้อย่างไร ไม่มีค่าใช้จ่ายยังไง ไปไหนพรึบพรั่บๆ รถราอะไรมันยังไง ทำยังไง ไม่ใช่คนจนๆ อะไรหลายอย่าง อาตมาพูดไปก็ไม่หมด

สิ่งเหล่านี้แหละ มันเป็นเรื่องของน้ำใจ แล้วมันเป็นเรื่องของค่าแรงงาน นี่เป็นผลผลิต ที่สะพัดออกไป สังคมเขารับอันนั้นจริงๆ แล้วเขาก็เอา สิ่งที่ผลผลิตอันนั้น มาตีราคา เหมือนอัตราของโลกียะที่ลงทุน แท้จริงเราลงทุนน้อยแต่ได้มาก ตามโลกุตระ ของเขาต้องลงทุนมาก เขาจึงจะได้ผลลัพธ์เท่าที่เขาลงทุน แบบนั้นตามอัตราโลก เขาก็คำนวณ ย้อนมาหาเรา เขาก็บอกว่า ถ้าผลผลิตเท่านี้ เอ็งต้องลงทุนเท่านี้ เพราะฉะนั้น เอ็งต้องรวยขนาดนี้ ตามอัตราที่เขาคิดแบบโลก มันยังซับซ้อนอีกนะ จริงๆแล้ว ซับซ้อนกว่านั้น เพราะว่าค่าที่มันมี อย่างที่เรานับแล้วว่า ค่าของพวกนี้ ไม่ใช่ค่าถูกๆ ค่าของคุณธรรมแพงกว่านั้นอีก ยิ่งกว่าเพชรกว่าพลอย เขาคำนวณ ไม่ออกหรอก แต่แม้ว่าเขาคำนวณได้แค่วัตถุ แบบโลกีย์นี่ เขาก็ยังเห็นเลยว่า เรารวย อย่างนี้เป็นต้น

เอาละ พูดไปพูดมาประเดี๋ยวก็ ๓ ทุ่ม อาตมาก็วันสำคัญอย่างนี้ ก็ขอแสดงความยินดี สำหรับผู้ที่ระลึกได้ และได้มาพบหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย เป็นกิจจะลักษณะอะไร ก็เป็นลักษณะหนึ่ง ที่อาตมาไม่ได้ตู่เอา พูดความจริง จับเอาความจริงมาเทศน์ จับเอาความจริงมาพูด ไม่ได้เตรียมการ ที่จะเอาหลักธรรมะที่พูดภาษายากๆ อะไรมาพูด แต่เอาสภาวะจริง เอาเรื่องจริงๆ มาขยายความให้คุณเอาไปยืนยัน สอบทานกับธรรม ของพระพุทธเจ้าว่า แม้ยุคสมัยนี้ก็มี อกาลิโก ยุคสมัยนี้ก็มีเอหิปัสสิโก ยุคสมัยนี้ก็มีปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ยุคสมัยนี้มีสิ่งที่พิสูจน์ได้ ด้วยตน มีอกาลิโก เอหิปัสสิโก และมันก็มีโอปนยิโก ถ้าคุณเข้าใจแล้วว่า สิ่งเหล่านี้ แหละ มันเป็นสิ่งที่ควรได้ เป็นดอกฟ้าที่หมาวัด แม้เราจะเท่าหมาวัด เราก็จะต้องเอื้อมเอามา ให้ได้ เป็นสิ่งที่ควรเอื้อมมาให้แก่ตน อย่างยิ่งจริงๆ ในความเป็นมนุษย์ เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เป็นสิ่งที่ทุกคนจะรู้ได้ ด้วยตนเอง

อาตมาเทศน์ไปแล้วนี่ คุณรู้ว่า จริง ไม่จริงแค่ไหน อาตมาขอยืนยันว่า อาตมาเทศน์วันนี้ เทศน์ไม่ใช่ภาษา เทศน์เอาความจริงมารองรับความจริง ให้คุณรับรองความจริงอันนี้กับอาตมา คุณรับรองความจริงอันนี้กับอาตมาไหม ถ้าคุณรับรองความจริงของอาตมา ในวันนี้ที่เทศน์ไป คุณฟังรู้เรื่องนะ ที่อาตมาถามนี่ รู้เรื่องนะว่า อาตมาเทศน์นี่ อาตมาไม่ได้เอาตำรา ไม่ได้เอาภาษาตรรกศาสตร์ ไม่ได้เอาทฤษฎีมาเทศน์ แต่อาตมามาเทศน์เนื้อหา เทศน์ความที่เป็นมา เป็นแล้ว เป็นจริงกับพวกคุณ ถ้าอาตมาเทศน์อันนี้ คุณยอมรับ แล้วคุณรับรอง ว่าอาตมาเทศน์นี่คือ สัจธรรมที่เกิดแล้ว พุทธศาสนายังอยู่ เนื้อหาสารัตถะนี้มีจริง วันมาฆบูชาวันนี้ก็คือ วันที่มีสาวก พระพุทธเจ้ามาพร้อมกัน ณ ที่นี้ ในบัดนี้นั้นแล

(สาธุ)


ถอดโดย อารามิก ดงเย็น จันทร์อินทร์ ๒๙ มี.ค.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑. โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๖ เม.ย.๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒. โดย สม.ปราณี ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๓๔
ตรวจทาน ๓ ที่สุด ๑๖ กันยายน ๒๕๖๗