ถาม-ตอบปัญหาใน
ผีวิญญาณ นรกสวรรค์ มีจริงหรือ ? พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ เนื่องในงานรามบูชาอาสาฬหะ ครั้งที่ ๑๑ ณ ตึก เอ.ดี.๑ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๓๔ ท่านคิดว่าคนที่กลัวผีนี่ กลัวบรรยากาศมากกว่าหรือเปล่าคะ คนที่กลัวผีหลอกอย่างนั้นน่ะ กลัวบรรยากาศด้วย จริงคนกลัวนี่กลัวคืออะไร คนกลัวเพราะยังไม่รู้สิ่งนั้นจริง คนที่รู้สิ่งนั้นจริง จะไม่กลัวสิ่งนั้นเลย คนที่รู้ที่มืดจะไม่กลัวที่มืด คนที่รู้จักผีแท้จะไม่กลัวผีแท้ คนที่รู้อะไร จะไม่กลัวสิ่งนั้น รู้แจ้งรู้จริงจะไม่กลัว คนที่ยังกลัวอยู่เพราะยังไม่รู้จริง คนเวลาตายไป ไปนรกจริงหรือคะ เป็นๆนี่ก็ไปนรกกันอยู่ ถ้าคุณมีดวงตา มีตาทิพย์ที่แท้ จะเห็นว่าเราเองนี่ ลงนรกอยู่วันหนึ่งไม่รู้กี่หลุม วันหนึ่งไม่รู้กี่ครั้งนะ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เป็นๆ จิตวิญญาณของคุณมีกิเลส และมีวิบากอย่างนั้น มีพฤติกรรมอย่างนั้น ไม่ได้ล้างจริงๆ คนไม่ใช่ชาติเดียวตายแล้วก็สูญ คนนี่ไม่ใช่ชาติเดียวตายสูญ ศาสนาพุทธสอนอย่างแน่ชัด คนมีสังสารวัฏ เวียนว่ายตายเกิด มีวิบากกรรมเป็นที่ไป มีกรรมเป็นที่อาศัย กัมมปฏิสรโณ มีกรรมเป็นที่อาศัย มีกรรมจำแนกสัตว์ เพราะฉะนั้น จะมีเป็นสัตว์นรก หรือเป็นสัตว์เทวดา หรือว่าเป็นสัตว์จริง เทวดาจริง เทวดาปลอม ก็ไปตามวิบากนั้นๆ เวลาตายไปแล้ว ไปนรกจริงหรือ ตั้งแต่เป็นๆ นี่ก็ไปแล้วนรก เพราะฉะนั้น ตายแล้วยิ่งไม่มีร่างกายนี่ เป็นจิตวิญญาณของคุณเอง ทีนี้จิตวิญญาณของคุณ อยู่กับจิตวิญญาณแท้ๆนั่นแหละ ตัวนี้นรกชัดเลยทีนี้ เหมือนเวลาคุณนอนหลับ คุณไม่รู้จักทวารทั้ง ๕ ข้างนอก ตา ปิดหู จมูก ลิ้น กาย ข้างนอก ไม่รู้สึก ไม่ได้รับสัมผัสอะไร มีแต่อยู่กับจิตวิญญาณ นัยอย่างนั้นแหละ นรกสวรรค์จะเป็นอย่างนั้นนะ แล้วดิ้นไปไหนก็ไม่ออก คนเป็นๆ นี่ก็ยังดี ดิ้นออกมาทางทวารนอก เรียกว่าจิตขึ้นรับวิถี ขึ้นตามตา หู จมูก ลิ้น กาย ยังพอไปพอได้ แต่เวลาตายแล้วจริงแล้ว ทีนี้อยู่ในนรกอย่างนั้น มีทุกข์อย่างนั้น ดิ้นไปไหนไม่ออกเลย ทรมานที่สุด ถ้าเป็นสวรรค์ลวง ก็ประเดี๋ยวก็ลงนรกใหม่ ถ้าเป็นสวรรค์แท้ จะยืนนานบ้าง ถ้าเป็นสวรรค์วิสุทธิ์สบายเลยนะ หนูไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้นัก เรื่องชาติหน้า ชาติอะไร อาตมาก็ขอแสดงความสงสาร เวทนาสมเพทไว้อย่างยิ่ง คือคนที่ไม่เชื่อว่าชาตินี้ ว่าชาติหน้า คนที่ไม่เชื่อบาปไม่เชื่อบุญ ไม่เชื่อนรกไม่เชื่อสวรรค์ นี่เป็นคนที่น่าสมเพทเวทนามาก เพราะเขาไม่รู้จักบาปจักบุญ เขาไม่รู้จักสิ่งดีสิ่งชั่ว เขาก็ทำชั่วอย่างที่กิเลสมันพา จะชั่วหรือไม่ชั่ว ฉันก็จะทำล่ะ เพราะฉันต้องการ เพราะฉันปรารถนา นั่นกิเลสแล้ว นั่นคือตัณหาแล้ว ฉันก็จะทำตามใจฉัน และเขาก็ได้บาปได้เวร ซึ่งเป็นทรัพย์แท้ อาตมาจะขอไขตรงทรัพย์แท้หน่อยหนึ่ง คนเรานี่ในขณะที่เป็นๆ เราไม่รู้ว่า เราทำกรรม สิ่งที่จะติดตัวเราไปคือกรรมชั่วกรรมดี กรรมชั่วก็เรียกว่าบาป กรรมดีก็เรียกว่าบุญ หรือกรรมชั่วก็เรียกว่านรก กรรมดีก็เรียกว่าสวรรค์ กุศลกรรมเรียกว่าสวรรค์ อกุศลกรรมเรียกว่านรก หรือเรียกว่ากุศลกรรม เรียกว่าเทวดา แต่เทวดาไม่ค่อยแท้หรอก อย่างอธิบายไปแล้ว มีแต่เทวดาสมมุติ ถ้าไม่มาเรียนจริง ไม่มีการเกิดเป็นเทวดาแท้ได้ จะมีแต่ผีหลอก เทวดาหลอกอยู่ตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น เมื่อไม่รู้เรื่องความจริงอย่างนี้แหละ น่าสมเพทเวทนา และคนส่วนมากเป็นปุถุชน เป็นผู้ที่ไม่รู้จักบาปจักบุญ ไม่รู้กิเลสตัณหาแท้พวกนี้ จึงบำเรอๆกิเลสตัวเอง แล้วก็เป็นสุขเทวดาหลอก เทวดายิ่งไปติดความเป็นเทวดาใหญ่เท่าไหร่ๆ เทวดาหลอกนี่นะ ยิ่งเป็นนรกลึกลงไปเท่านั้นๆ ยิ่งอยากได้จัด ยิ่งยึดมั่นจัด ยิ่งติดใจจัด มันก็ยิ่งทุกข์มาก ยิ่งเพ่งแรงกิเลสต้องการให้ตัวมากๆ มันก็ยิ่งทุกข์มาก มันก็ยิ่งนรกลึก แล้วก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เชื่อว่าเป็นจริง ทั้งๆที่ในขณะนี้เป็นจริง เอ้า ทีนี้อาตมาจะสรุป คนเรานี่ทำกรรม สมมุติว่าคุณไปคอรัปชั่นๆ คุณได้เงินไหม ได้ไหม นักเรียนทั้งหลาย ไปคอรัปชั่นนี่ได้เงินไหม ได้นะ แล้วได้กรรมเป็นอกุศลหรือกุศล เป็นบาปเป็นชั่ว ฟังให้ดีนะ คุณได้มา ๑ นัยของนามธรรม เรียกว่าบาปหรืออกุศล ๒ รูปธรรมเรียกว่าเงิน คุณได้เงินมานะ ได้มาในชาติจริง คุณก็ ใช่ปรีดิ์เปรมของคุณไป ใช่ก็บำเรอกิเลสนั่นแหละ แต่เป็นชั่วแล้ว คุณได้ชั่วด้วยนะ คุณได้เงิน เอ้า สมมุติอย่างเร็ว คุณตายลงปั๊บ คุณได้เงินไปด้วยไหม คุณได้บาปไปด้วยได้ไหม อันไหนไปกับคุณแท้ นี่แหละคนไม่รู้จักกรรมไม่รู้จักเวร จะบาปเป็นอย่างนี้ๆ น่ากลัวอย่างนี้ แล้วอีกชาติ คุณไม่รู้แล้ว แล้วไปทำชั่วอีก และคุณก็สะสมชั่ว อย่างนี้ไปเรื่อย ที่คุณได้แท้นั่น มันไม่ใช่เงินเลย มันบาป เอาละ คุณจะโกงอย่างสนิท คุณจะโกงอย่างเบา อย่างหยาบอย่างละเอียด อย่างบรรจุซอง อย่างยังไงก็ตามใจคุณเถอะ ถ้ามันเป็นบาป มันก็คือบาป ถ้ามันเป็นอกุศล ก็คืออกุศล สิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดเป็นดีก็คือดี ก็ต้องเรียนบาปบุญ กุศลและอกุศลให้แท้ สุจริตทุจริตให้แท้ นี่คือสัจจะ สุจริต ทุจริต กุศลอกุศลนี่คือสัจจะ ผู้ใดทำๆนั้น พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ากรรม เป็นกรรม การกระทำๆในใจเป็นแล้ว พูดก็เป็น ลงทำด้วยกายกรรมเลย ยิ่งเป็นเต็มรูป เพราะฉะนั้น ใครทำชั่ว-ชั่ว ใครทำชั่วได้ชั่ว ใครทำดีได้ดี นี่เป็นสัจจะอันตายตัว ศาสนาพุทธสอน แต่คนไม่เชื่อมีชาตินี้ชาติหน้า ไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อบาป ไม่เชื่อบุญ นี่ถามมาข้อนี้ อาตมาอุตส่าห์ตอบเสียนานเลย ไม่พอเวลาหรอกอันนี้ แต่นี่สำคัญถามมาดี หนูไม่ค่อยเชื่อนักเรื่องชาตินี้ชาติหน้า หนูคิดว่าตายแล้วตายเลย กรรมอะไรได้รับได้ ในชาตินี้เท่านั้น ท่านคิดว่ายังไงคะ นี่กรรมอะไรได้รับในชาตินี้ เท่านั้น คุณได้รับเงิน ไปโกงเขามา คุณก็ได้เงินในชาตินี้ แต่ชาตินี้คุณไม่ได้เป็นอะไรเลย ตายแล้วก็สูญไป นี่แหละ คนมักคิดอย่างนี้ เขาถึงทำชั่วในชาตินี้ได้ เพราะเขาไม่คิดอะไรว่า มันมีเนื่องต่อ มันมีอะไรสืบทอดอีกต่อ เพราะไม่มีดวงตา ไม่มีญาณปัญญา ไม่รู้จักสัจธรรม ก็เป็นอย่างนี้นะ เอาละ อาตมาตอบได้แค่นี้นี่นะ จะตอบมากกว่านี้ก็ได้ แต่ว่ามันไม่มีเวลาแล้ว ถ้าผีไม่มีจริง ก็คงจะไม่มีคนเชื่อมาจนถึงปัจจุบันนี้ หรืออาจจะเกิดจากจิตของคน หรือพลังจิตค่ะ แล้วก็อุปาทานความกลัว ความมืด เกรงสิ่งใหญ่ๆโตๆ หรือนับถือเจ้าป่าเจ้าเขานี้ มันเป็นความเชื่อของเขา หรือความรู้สึก หรือความนึกคิดของเขาเอง ท่านคิดว่าอย่างไรบ้างคะ สรุปรวมเลย อาตมาตอบไปแล้วเมื่อกี้นี้ และก็ขอขยายอีกนิดหนึ่งเท่านั้นว่า เจ้าป่าเจ้าเขา ที่บอกว่ามีผี มีวิญญาณสิงป่าสิงเขาสิงถ้ำ สิงอะไรต่างๆนานานี่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ต้นๆเลยว่า คนที่ไม่รู้เรื่อง เข้าไปกราบ เข้าไปบูชาแม่น้ำ ภูเขา พระอาทิตย์ พระจันทร์ ไปบูชาอะไรต่างๆนานา เพราะความไม่รู้จริง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเรื่องผีหลอก มันเป็นเรื่องไม่จริง ถ้าไม่เรียนรู้ อย่างที่อาตมากล่าวแล้ว จะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ แล้วจะแก้ไขเหล่านี้ไม่ออก ความเชื่อที่เชื่อมาอย่างงมงายนั้น เรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ มีมาก และเชื่อมา โบราณ นานโบราณกาลมากมาย ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ถึงจะเป็นสัจจะความจริง ถ้ายังไม่ศึกษา ก็จะเข้าใจเพี้ยนๆอยู่อย่างนั้นแหละ ใครเชื่ออย่างไรก็ได้อย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้น และก็นับกันมาอย่างนั้น อย่าว่าแต่พันปีเลย อย่าว่าแต่สองพันปีเลย ไม่รู้กี่แสนกี่ล้านปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน มีคำถามว่า ช่วยอธิบายเจ้าแม่กวนอิมให้ฟังหน่อย ขออธิบายสักหน่อย เจ้าแม่กวนอิม คือจิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์ จิตวิญญาณของ พระโพธิสัตว์ ที่ตั้งชื่อเรียกว่า เจ้าแม่กวนอิม เป็นการประพฤติปฏิบัติ บำเพ็ญ และเมื่อมาเป็นปางใด ก็จะมีการเกิดมาอย่างปางนั้นปางนี้ แล้วแต่เกิดมาแล้ว ก็มาทำประโยชน์คุณค่าแก่มนุษย์ สังคมโลก อย่างเป็นผู้ที่ล้างกิเลสตัวเองจริงๆ เป็นโพธิสัตว์นี่ โพธิสัตว์ตรัสรู้ความจริง แล้วก็ล้างกิเลสออกจริงๆ ล้างกิเลสออก แล้วก็มาช่วยมนุษยชาติ มาเสียสละจริงๆนะ แล้วก็คุณลักษณะอย่างที่เรียกว่า เจ้าแม่กวนอิมนั่นแหละ เป็นลักษณะหนึ่ง ซึ่งมีมากมาย พระโพธิสัตว์มีมากมาย สรุปแล้ว พระโพธิสัตว์ ก็คือจิตวิญญาณที่มาเกิดในโลกเท่านั้นเอง อาตมาก็ขอตอบ ได้หน่อยหนึ่ง นี่นะ มันมีความลึกซึ้งมากมายกว่านี้ ถ้าจะเรียนรู้โพธิสัตว์ ก็จะยืดยาวมากเลยนะ การทรงเจ้าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ การทรงเจ้าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ตอบ ฟังดีๆนะ มันมี ๒ แง่ การทรงเจ้าเป็นเรื่องจริงของคนนั้น เขาทรงเจ้าจริงๆ แต่เรื่องเจ้านั้นเป็นของหลอก ฟังให้ชัด มันซ้อนกันอยู่ ๒ ประเด็น การทรงเจ้า เป็นเรื่องจริงของคนที่งมงายอยู่ในการทรงเจ้า เขาทรงเจ้าจริงๆ นะ ใช่ไหม อาตมาขอถามคุณก่อน คนโกหกมีจริงไหม มี และคำโกหกนั่นจริงหรือเท็จ นัยเดียวกัน คนโกหกนั่นมีจริง แต่ในคำโกหก นั่นเป็นคำไม่จริง เช่นเดียวกัน การทรงเจ้ามีจริงๆ เหมือนคนโกหก มีจริงในโลกนี้ แต่ในเนื้อของการทรงนั้น เป็นของหลอกทั้งหมด ไม่ใช่ของจริง แต่การทรงเจ้ามีใช่ไหม โอ้โฮ หากินกันเยอะแยะไป ทรงกัน จริงๆ อาตมาเล่นมาหมดแล้ว ทรงเจ้าเข้าผีมา เลอะเทอะ ตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาส ไม่ได้มาเล่นตอนบวชแล้ว จิตวิญญาณที่ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ และไม่ได้จุติในแดนสวรรค์ จะไปเกิดอยู่ ณ ที่ใด และทำกรรมเช่นใด ถึงได้ส่งผลให้เป็นเช่นนั้น คำถามอันนี้ก็คงจะสงสัยกันเยอะ แต่จิตวิญญาณนี่นะ ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ไม่ได้เกิด คงหมายความว่า ไม่ได้เป็นตัวคนนี่ สิ่งเหล่านั้นยังเป็นวิบากในช่วงที่ยังไม่เกิด ท่านมีภาษาเรียกว่า สัมภเวสี ในจิตวิญญาณนี่ จะต้องเกิด เกิดทันทีแหละ สัมภเวสี ก็เกิด แต่ว่ามันเกิดอย่างที่เรียกว่า หาที่เกิดยังไม่ถาวร สัมภเวสี แปลว่าจิตวิญญาณยังล่องลอยอยู่ ยังไม่ได้ที่เกิดถาวร เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณอย่างนั้นน่ะ มันชั่วคราว ถามว่าอยู่ที่ไหน บอกว่าอยู่ที่จิตวิญญาณ จิตวิญญาณไม่อาศัยที่เกิด ไม่อาศัยที่อยู่ ไม่อาศัยที่อาศัย ไม่กินที่ ไม่อาศัยสถานที่ จิตวิญญาณมันไม่ใช่ตัวแท่ง และมันก็ไม่ใช่คลื่น ไม่ใช่โฟตอน (Photon) ไม่ใช่ควอนตั้ม (Quantum) อาตมาอธิบายไม่ไหว วันนี้ไม่มีเวลา เคยยกตัวอย่างคล้ายๆ เสียงนี่ มันก็ไม่ใช่กระแส และมันก็ไม่ใช่แท่งก้อน ไม่ใช่ แต่มันก็เกิดพลังงานชนิดหนึ่ง จิตวิญญาณมันก็มีพลัง ที่ละเอียดยิ่งกว่าพลังงานใดๆ พลังงานๆ ที่วิทยาศาสตร์ จับเอามาใช้ได้ มันยังหยาบอยู่ แต่จิตวิญญาณนี่ นักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ทุกวันนี้ ก็ยังไม่สามารถจับจิตวิญญาณ ที่มีพลังงานชนิดหนึ่ง ออกมาใช้ได้ ทุกวันนี้ยังทำไม่ได้เลย ยังทำไม่ได้ เพราะละเอียดยิ่งกว่านั้น เพราะอาตมาจะบอกว่า จิตวิญญาณนั้น เป็นลักษณะอย่างไร ก็ยังอธิบายยังไม่ได้ แต่คุณก็เดาไม่ได้อีกเช่นกัน ตอบได้แต่ว่า จิตวิญญาณนั้น อยู่ที่วิบากกรรม ถ้าวิบากกรรมเราทุกข์ก็เป็นนรก วิบากกรรมเราเป็นสุขก็เป็นสวรรค์ ถ้าเป็นสวรรค์ ก็อย่างที่กล่าวแล้ว มันก็เป็นนรกสวรรค์ๆๆ อยู่อย่างนั้นนะ อยู่ที่จิตวิญญาณของคุณ ที่ยังไม่บรรลุเป็นปรินิพพานนะ อีกหนึ่งนาที ๖ โมง แต่ปัญหาอยู่นี่ตั้งเป็นกอง ขอให้ท่านอธิบายความเป็นจริงของไสยศาสตร์ เป็นสิ่งที่เป็นความจริงหรือไม่ หรือจิตของคนอุปาทานขึ้นมา ไสยศาสตร์ ไสยะแปลว่านอนหลับ พุทธะแปลว่าตื่น ไสยะกับพุทธะจึงตรงกันข้ามกัน อันหนึ่งของคนหลับ อันหนึ่งของคนตื่น ไสยศาสตร์นี่เป็นศาสตร์ของคนหลับ พุทธะจึงเป็น ศาสตร์ของคนตื่น เพราะฉะนั้นไสยศาสตร์ จึงเป็นศาสตร์ที่มันลึกลับและมันก็งมงาย และมันก็ไม่แจ้ง ไม่ชัด ก็เพราะเป็นลักษณะของคนหลับนะ คลุมๆเครือๆ สิ่งเหล่านี้มีมานาน คนที่โง่ นี่ยังมีโง่อยู่ตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น คนโง่ก็ยังมีอยู่ในโลกอยู่เยอะ คนที่ยังอวิชชายังโง่อยู่ ยังไม่เข้าใจสัจธรรมชัดเจน ก็จะหลงในสิ่งนี้ ว่าเป็นความจริง จะเรียกว่าทั้งอุปาทาน จะเรียกว่าสิ่งที่สร้างขึ้นมา เป็นกิเลสตัณหา อะไรก็ได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นไสยศาสตร์ จึงเป็นวิชชาที่คนใช้เหมือนกันกับ วิชาที่ใช้อยู่ เหมือนกันทุกวันนี้ วิชาทุกวันเป็นวิชาที่โลกศึกษาอยู่ แม้อยู่ในมหาวิทยาลัย รามคำแหงนี่ก็ตาม เรียนกันอยู่ต่างๆนานาเหล่านี้ วิชาความรู้เหล่านี้ เราเรียกว่าศาสตร์ ศาสตร์เหล่านี้ ถ้าคุณเอาวิชาความรู้เหล่านี้ไป คุณได้วิชาความรู้เหล่านี้ แล้วก็นำมันไปใช้อย่างงมงาย คือใช้อย่างเป็นบาป ใช้อย่างเป็นกิเลสให้ตัวเอง ก็เรียกมันว่าไสยศาสตร์ เช่นเดียวกัน ฟังให้ดีนะ ต่อให้คุณมีความรู้ เรียนมาจาก มหาวิทยาลัยรามคำแหงนี้ไป เรียนไปแล้ว ก็เอาไปใช้เกิดกิเลส โลภโกรธหลง มากยิ่งขึ้นๆ ก็เรียกมันว่า ศาสตร์ของผู้หลับไหล หรือผู้หลงไสยศาสตร์ ไม่ใช่ศาสตร์ของ พุทธ ไม่ใช่ศาสตร์ของผู้ตื่นเลย เพราะฉะนั้น ความรู้ที่ได้มา ด้วยกระแสอย่างไร ก็แล้วแต่ จะเป็นไสยศาสตร์ ที่เราเข้าใจว่าเป็นเรื่องลึกๆลับๆก็ตาม แม้คุณจะรู้แจ้ง ในศาสตร์เหล่านี้ก็ตาม ศาสตร์ของผู้ที่ไม่ทำให้ตัวเองตื่น และเป็นผู้เจริญที่แท้ เป็นผู้ที่มีความลดโลภโกรธหลง ช่วยมนุษยชาติ เป็นคนที่ไม่เอาเปรียบเอารัด เป็นคนเสียสละ สร้างสรร เป็นคนที่มีคุณค่าประโยชน์อย่างแท้จริง มันก็ไม่ใช่พุทธศาสตร์ แต่มันเป็นไสยศาสตร์ทั้งนั้น พุทธศาสตร์ ยังจำเป็นต้องใช้ไสยศาสตร์ด้วยคู่ไป สำหรับเป็นสื่อ นำพาคนมาสู่พุทธะหรือไม่ ไม่จำเป็นเลย ขอยืนยัน และทุกวันนี้คนก็หลงงมงาย แม้ในศาสนาพุทธกระแสหลัก ในศาสนาพุทธ ที่เป็นอยู่ในเมืองไทยทุกวันนี้ ก็ยังเอาไสยศาสตร์มาปนอยู่ แล้วก็อ้างว่า เพื่อเรียกคนเข้าวัด เพื่อเรียกคนมาสอน ขนาดคนตั้งใจมาเรียน โดยบอกตรงๆเลยว่า จะไม่สอนเรื่องไสยศาสตร์ ยังบรรลุได้ยาก แล้วให้เขามาเอาไสยศาสตร์ และเขาก็ตั้งใจจะมาเอา เขาไม่ได้สนใจจะเอา อะไรเขาได้ มันไม่ใช่เรื่องง่าย อาตมาเล่นไสยศาสตร์มามาก เล่นไสยศาสตร์มาเยอะ มีคนแนะนำ ยุแหย่ให้อาตมาใช้ไสยศาสตร์ ว่าให้ได้รับคนม๊ากมาก จะได้สอนคนให้ม๊ากมาก อาตมาไม่ทำ ตั้งแต่มาทำศาสนาพุทธร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่เคยทำ ไม่เคยเอาไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ขนาดนั้น อาตมายังสอนกันไม่หวาดไม่ไหวเลย แล้วจะไปเอาที่มอมเมาลึกๆลับๆ งมๆงายๆ ก็ตายกันพอดี ขนาดมาตื่นๆอย่างนี้ ยังจะล้างกันไม่หวาดไม่ไหว คนที่อ้างเอาไสยศาสตร์มานั่น คนยังติด เป็นคนยังหลงอยู่ แล้วก็อ้างแก้ตัวอยู่ เพื่อตัวเองจะได้ทำสิ่งนั้นเท่านั้นแหละ โดยความจริงแล้วไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ให้ทำ การเกิดทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นตอนไหน ถามพยายามจะชี้เข้าไปตรงจุดสำคัญ เกิดขึ้นตอนที่คุณละกิเลส ล้างกิเลส ทำลายกิเลสได้ กิเลสตาย จิตวิญญาณเกิดเป็นเทวดา ความตายของกิเลส จิตวิญญาณสะอาดขึ้นนั่นแหละ เป็นเทวดา ความตายหรือความหมดออกไป หรือล้างออกไปจากจิตวิญญาณของเรา ความลดออกไปจากจิตวิญญาณของเรา นั่นแหละคือ การเกิดแท้ทางจิตวิญญาณ เกิดตอนไหน เกิดตอนไหน เกิดตอนที่คุณทำได้ ต้องมีฌาณปัญญา อ่านรู้ แจ้งจริงเลย นั่นแหละจะชัด แต่เวลาปฏิบัติจะยังไม่รู้ชัด คุณจะค่อยๆรู้ไปเรื่อยๆ ถึงเรียกว่า ค่อยสร้างตาทิพย์ เมื่อรู้แจ้งเห็นจริง แล้วคุณล้างได้จริง คุณจะไม่งมงาย คุณจะไม่สงสัย แล้วคุณจะไม่กลัวคนหลอก คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ตัวคุณเองจะเป็นผู้วินิจฉัย และตัดสินว่า นี่จริงหรือไม่จริง อาตมาแนะนำ สั่งสอนพวกเรานี่ ผู้ที่มาเรียนกับอาตมา อาตมาไม่เคยกลัวว่า พวกคุณจะไม่เชื่ออาตมาเลย เพราะอาตมาไม่จำเป็นจะต้องให้คุณเชื่ออาตมา คุณไปเชื่อความจริงที่คุณพิสูจน์นั่น เรียกว่าเอหิปัสสิโก เรียกว่าสันทิฏฐิโก คือไปเอาตัวเข้าไปพิสูจน์เอง เอหิปัสสิโก ก็คือตัวที่ได้แล้ว ท้าคนอื่นพิสูจน์ ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ตัวเองจะแจ่มแจ้งเอง จะรู้แจ้งเห็นจริงเอง แล้วเชื่อเอง ไม่ใช่เชื่ออาตมา เชื่อของตนเอง เพราะฉะนั้น อาตมาไม่กลัวใครไม่เชื่ออาตมา เพราะใครไม่เชื่ออาตมาก็ไม่เป็นไร แต่คุณจะเชื่อตัวคุณเอง เมื่อคุณพิสูจน์ถึงสัจธรรมพวกนี้ นั่นนะ คุณจะเห็น ผีกับวิญญาณ ต่างกันตรงไหน ผีกับวิญญาณ ต่างกันตรงที่ว่า จิตวิญญาณ นี่มันเป็นอาการชั่ว เป็นอาการกิเลสตัณหา อาการอย่างนั้น เรียกมันว่าผี ก็คืออาการของวิญญาณนั่นเอง ต่างกันตรงนี้ เพราะฉะนั้น ฆ่าอาการตรงนั้นให้ตาย จนไม่เกิดอาการนั้นอีกในจิตวิญญาณ เราเรียกว่าอรหันต์ ไม่เกิดอีกเลย เรียกว่าอรหันต์ ยังเกิดอยู่ก็ยังมีเศษน้อย เศษส่วนของความยังไม่สมบูรณ์อยู่ ไปตามขั้นตามลำดับนะ ท่านคิดว่า วิญญาณมีตัวตนไหม เพราะอะไร วิญญาณที่เป็นผีเป็นเทวดาอยู่ เรียกว่ามีตัวตน วิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาดหมดแล้ว ไม่เป็นผี ไม่เป็นเทวดา ไม่เป็นสุขไม่เป็นทุกข์เลย สูญ เรียกว่าสุญญตา ว่าง นั่นแหละคือจิตวิญญาณบริสุทธิ ไม่มีตัวตน อย่าเข้าใจผิดว่า จิตวิญญาณไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไปเรียนตำรามา จิตวิญญาณไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จิตวิญญาณที่บริสุทธิเท่านั้น ที่ไม่ใช่ตัวตน จิตวิญญาณที่ยังไม่บริสุทธิ์ ยังเป็นผีอยู่ เป็นตัวตน ยังเป็นกิเลสอยู่ ก็เป็นตัวตน เป็นเทวดาก็เป็นตัวตนเลย แม้เป็นเทวดาแท้ แต่คุณยังติดเทวดาอยู่ ยังเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งอยู่ แม้จะเป็นเทวดาองค์ใหญ่ที่สุด เป็น God ก็ยังเป็นตัวตน เพราะฉะนั้น ในศาสนาที่มีเทวดา มี God จึงไม่มีนิพพาน เพราะยังไม่หมดตัวตน คนเราเมื่อตายแล้วไปไหน คนเรา เมื่อตายแล้ว เขาก็เอาไปวัด หรือไม่ก็เอาไปกองฟอน บางคนไม่เอาไปวัด อย่างภาคเหนือนี่ ไม่เอาไปวัดหรอก เอาไปเผา ที่เขามีที่กองฟอนนะ มีที่เผา อยู่ข้างทาง อยู่ข้างถนน ไปอยู่เมืองเหนือ มีอยู่ อย่างต่างจังหวัดทางภาคอีสาน นี่มีเป็นที่เผา คนที่ตายแล้วเขาก็เอาไปเผา หรือเอาไปฝัง หรือเอาไปที่ๆ ควรเอาไป ถามว่า คนเราเมื่อตายแล้วไปไหน ถ้าคุณถามว่า วิญญาณเมื่อตายแล้วไปไหน อาตมาตอบแล้ว มีคำถามถามมาแล้วว่า วิญญาณตายแล้ว มันไปไหน เมื่อกี้ตอบแล้ว มันก็เป็นกรรมเป็นวิบาก มันไม่ไปไหน ไม่อยู่ที่ไหน อยู่กับกรรมเท่านั้น เป็นความทุกข์และความสุข แล้วมันไม่กำหนดที่อยู่ มันเป็นอาการความรู้สึก จิตวิญญาณคือความรู้สึก อยู่กับเราเดี๋ยวนี้ มันรู้สึกอยู่ในนี้ เรียนรู้มันซิ ส่วนมันจะตายแล้ว มันไม่มีที่อยู่ มันไม่มีที่อะไรหรอก อาตมาถึงบอกว่า ตอบยากที่สุดเลย อาตมาคว้ามาอย่างนี้ เอาละ ไม่อธิบาย ก็ต้องอธิบายประกอบบ้าง คว้ายังงี้ นะ เหมือนอาตมากำเอาอากาศอะไรมาอันหนึ่ง หรือว่า อาตมาชี้ดีกว่า ตรงนี้มีเสียงไหม มีไหม คุณเอาเครื่องมาเปิดจับตรงนี้ ก็มีเสียง อยู่ตรงมุมโน้น มีเสียงไหม มี คุณเอาเครื่องมาจับมันมี แล้วมันก็ไม่ใช่ก้อนแท่ง และมันก็ไม่ใช่คลื่น และมันก็ไม่ได้อยู่กับที่ตรงนี้ เอามาเปิดตรงนี้ ถ้าองค์ประกอบอันนั้นเหมือนกัน ตรงนั้นเหมือนกันไหมกับอันนั้น เอ้า สมมุติง่ายๆ คุณเอาวิทยุมาเปิดตรงนี้ขึ้น จนเสียงอันนั้น ตรงนั้นกับตรงนี้ และมันก็ไม่อยู่ที่นั่น และมันก็ไม่อยู่ที่นี่ นี่แค่พลังงานเสียงนะ จิตวิญญาณพลังงานนี่ วิจิตรกว่านี้ ไม่กินที่อยู่ ไม่มีทิศ ไม่มีสถานที่ เอาละ นี่เทียบให้ฟังแค่นี้นะ เวียนว่าย ตายแล้วเกิด มีจริงหรือ นี่แหละ น่าสมเพทเวทนามาก โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ไม่เชื่อว่าตายแล้วจะต้องเกิดอีก จึงกล้าทำชั่ว เพราะถือว่า ก็ตายแล้วไม่มีอะไรนี่ ทำชั่วยังไงก็ไม่เห็นมีปัญหา เพราะไม่เชื่อว่ามันมีอะไรต่ออีก มันมีวิบาก มันมีกรรม มันทุกข์ มันมีร้อน มันมีความซวยๆ ต่อไปอีก นักหนาสากรรจ์กว่าเก่า ไม่เชื่อจริงๆนะ อาตมาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เวียนว่ายตายเกิดไม่มีนี่แหละ ศาสนามันเสื่อมถึงขนาด ทั้งๆที่ศาสนาพุทธ สอนสังสารวัฏ สอนการเกิดการตาย สอนกรรม สอนความชั่วความดี สอนกันเรื่อง จิตวิญญาณ ขนาดอภิธรรม ปรมัตถ์นะ แต่เสร็จแล้ว ก็ไม่ยอมศึกษากัน จนกระทั่ง เพี้ยนกัน จนกระทั่งไม่เชื่อถือ สังคมจึงเดือดร้อน คนเราประกอบไปด้วยร่างกาย จิตใจ เมื่อเวลาคนเราตาย จิตวิญญาณอยู่ที่ไหน หรือว่าตายไปพร้อมกับร่างกาย วนอยู่ที่เก่า ถามเรื่องเก่า อาตมาก็ตอบไปแล้ว เอาละ คุณถามมา บอกทั้งร่างกาย และจิตใจ บอกแล้ว ร่างกายก็เอาไปเผาไปฝัง ส่วนจิตวิญญาณนั้น อยู่ที่ไหนตอบไม่ได้ แต่มีกรรมของคุณอยู่ มีวิบากของคุณอยู่ และวิบากนั้นยังไม่สุดสิ้น ถ้าตายไปแล้วสูญ พระพุทธเจ้าจะไม่ต้องมาสอนเรา เสียเวลาช้านาน สอนศีล ๕ ก็พอ ไม่ต้องไปสอนถึงปรมัตถ์ จะต้องมาพากเพียรให้เป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ โสดาบัน มีศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่ทำบาปทำชั่วอยู่ในสังคม นี่ก็บุญแล้ว สังคมไม่เดือดร้อนหรอก เป็นแค่โสดาบัน ที่นั่งอยู่ทั้งหมดนี้ เป็นโสดาบันนะ ไม่เดือดร้อนแล้ว สังคมไม่เป็นอย่างทุกวันนี้หรอก ทีนี้โสดาบันก็ไม่ได้ เป็นผีกันเสียส่วนใหญ่ มันจึงเดือดร้อน แต่โสดาบันก็ยังไม่สิ้นสุด ยังไม่ได้ล้างกิเลสหมดนะ เพราะฉะนั้น ต้องมาพากเพียรจนกระทั่ง เป็นพระอรหันต์ให้ได้ ชาติเดียวนี่ มันไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ เป็นอรหันต์ เพราะพวกเราเกิดมา เป็นพวกเนยบุคคลเสียส่วนใหญ่ เอาละ อาตมาไม่มีเวลาพอขยายความมากกว่านั้น เอาอีกแผ่นหนึ่ง ๓ ข้อเหมือนกัน พวกที่บอกว่า ผีเข้าแล้วไปหาพระ แล้วก็พอหมอหรือว่าพระนั้นปัดเป่าให้แล้ว อาการก็ดีขึ้น นั่นก็เป็นโรคจิต เป็นอาการทางจิต เป็นอุปาทาน พอไปรับความเชื่อถือว่าพระ หรือว่าหมอปัดเป่าให้แล้ว เกิดอุปาทานไปได้บ้าง ก็หาย มันเป็นเรื่องทางจิต ภาษาทางแพทย์ เขาก็รู้ เป็นนิวโรซีส เป็นโรคชนิดหนึ่ง ทรงเจ้า เข้าผี มีจริงหรือไม่ ตอบไปแล้ว ที่สวดภาณยักษ์ มีความคิดเห็นอย่างไร นอกรีตพระพุทธเจ้า สวดภาณยักษ์ ไอ้ที่ไปสวดแล้วก็พรึมๆ แล้วก็ไล่ผี ไล่ยักษ์อะไรนั้น ไอ้อะไรต่ออะไรต่างๆ สวดภาณยักษ์นั่นก็คือ เอามาจากที่ใช้ภาษา แทนสภาพของสัจธรรม แทนลักษณะของพวกผีชนิดหนึ่ง ที่บอกยักษ์ บอกผี บอกมารอะไรพวกนี้ เป็นอาการของผี เป็นอาการของในตัวเรานี่แหละ แต่เสร็จแล้ว ก็มาปั้นเป็นรูปเป็นตัวเป็นตน อะไรต่ออะไร มาเป็นแบบ เหมือนอย่างที่เขามาปั้นว่า ยักษ์มีเขี้ยวงอก แล้วก็มีตาโปนๆ มีลักษณะต้องโหดร้าย ถือกระบอง เที่ยวได้ทิ่มแทง ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ เขียนเป็นยักษ์ เดี๋ยวนี้จะต้องใช้ปืนเรเซอร์ ไปใช้ตะบองไม่ทันกินหรอก มันต้องดุเดือดอย่างนั้น หรือไม่อย่างนั้น ก็ต้องแบกอาวุธ มันต้องแบกลูกระเบิดนิวเคลียร์ อย่างนั้น เป็นลูกระเบิดชนิดสมัยใหม่ นั่น ยักษ์เดี๋ยวนี้มันดุร้ายถึงขนาดนั้น เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องละเอียด เป็นเรื่องจริง ยักษ์เป็นภาษาแทนๆ และมีสภาวะจริงในจิตวิญญาณของคน เพราะฉะนั้น การมาเขียนรูปประกอบไปเท่านั้น ก็เป็นปุคคลาธิษฐานเท่านั้นเอง อธิบายลักษณะ สมัยก่อนเขาก็อธิบายไว้ รูปลักษณะอย่างสมัยก่อน อย่างที่กล่าวแล้ว ที่เขียนเอาไว้หน้าดุๆ อย่างตาโปน แยกเขี้ยวยาวอะไรอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันก็มีเขี้ยวกันลากดิน เขาก็บอกอยู่แล้ว พวกยักษ์พวกอะไรนี่ มีอยู่ในสังคม ในระดับพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด ก็คือยักษ์คือมาร ทั้งหลายแหล่ทั้งนั้นแหละ นั่นเป็นความจริงนะ ไม่ใช่ว่าสมมุติเรียก แต่เขาเรียกด้วยภาษาสมัยใหม่ สมัยเก่าเขาเรียกกันยักษ์ สมัยนี้เรียกเสือสิงห์กระทิงแรด เรียกอะไรต่างๆนานานี้ พวกเขี้ยวลากดิน อะไรพวกนี้ นั่นแหละคือลักษณะของกิเลส ลักษณะของจิตวิญญาณที่ชั่วต่ ำทั้งนั้นเลย ศึกษาธรรมะดีๆ แล้วคุณจะรู้ แล้วเอามาใช้กับชีวิตได้ และก็รังสรรชีวิตได้ แล้วก็พัฒนาชีวิตของตนเองได้ เอ้า เรื่องนี้ก็หมดเวลาแล้ว ถอดโดย
ยงยุทธ ใจคุณ ๓๐ ส.ค.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑. โดย สม.จินดา พิมพ์โดย สม.นัยนา ตรวจทาน ๒. เมื่อ ๙ มิย. ๒๕๖๗ |