องค์แห่งการตรัสรู้
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๓๔ ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก

นานๆ ได้มาพบกัน ได้มาคุยกันบ้าง ก็มีเรื่องเยอะ มีข้อมูลมากมาย ที่อาตมาได้รับข้อมูล ต่างๆ นานา ทางด้านศีรษะอโศกนี่ ที่ได้พูดได้บอกไปกับสมณะท่านบ้าง แนะนำมา แต่ว่าเรายัง ไม่ได้พบกัน ก็เลยยังไม่ได้พูดกันกับทุกๆคน

พวกเราชาวอโศกนี่ ก็กำลังขยาย โดยเฉพาะปี ๓๔ ขยายอะไรต่ออะไรมาก ขยายกิ่ง หรือว่าสาขา ขยายแผนก ขยายเรื่องของสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ พวกเราจะต้องเข้าใจ เรื่องมรรคองค์ ๘ การปฏิบัติธรรม ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ให้ดีจริงๆนะ การปฏิบัติธรรม จะต้องมีสติปัฏฐาน ๔ จะต้องมี สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ หรือมีโพชฌงค์ สำคัญ ต้องมีสติเป็นตัวที่จะต้อง ระลึกรู้ตัว ทั่วพร้อม ระลึกตัวอยู่ อาตมาเคยเน้นสติสัมโพชฌงค์ กับสติธรรมดา ของมนุษย์ นี่มันไม่เหมือนกัน สติสัมโพชฌงค์ คือสติที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ โพชฌงค์นี่หมายความว่า องค์แห่งการตรัสรู้ คือ สติที่จะต้องรู้ตัว ของเราอยู่เสมอ รู้ตัว ไม่ใช่รู้ว่า รู้ตัวอย่างเป็นคนมีจิตใจธรรมดา มีความรู้สึกนึกคิด มีความอยากอะไร ทำอะไร ก็มีตัวจิตเป็นตัวบงการ สั่งให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ มันอยากทำอะไรก็ทำ ที่คิดว่า มีตัวคัดเลือกเหมือนกัน คัดเลือกตามธรรมดาของคนโลกๆนะ

ปุถุชนคนโลกๆ นะ มีตัวตัดสินว่า ทำอย่างนี้เถอะดี ทำอย่างนี้ไม่ดี มันมีตัวตัดสินอยู่เหมือนกัน ยังงี้ควรทำให้ตัวเองนี่นะ อร่อยดี สนุกดี เพลิดเพลินดี ทำเพราะว่ายังงี้ ฆ่ามันเถอะ มันควรจะฆ่า ยังงี้จะเอามาให้แก่ตัวเอง ก็เอามาเถอะ เพื่อจะสมใจอยาก สมใจการโกรธ การโลภ ตามประสา ของคนธรรมดา ที่มีจิตอันประกอบไปด้วยกิเลส เป็นเจ้าเรือนบงการ นั่นเป็นธรรมดาของ ปุถุชน คนโลกๆ ทุกคนเคยเป็นมาทั้งนั้น มีสติแล้วก็ระลึก ตั้งสติอยู่ ก็ระลึกรู้ตัวอยู่ ก็มี สามัญสำนึกๆ มีความรู้สึกธรรมดา มีสติแล้วก็รู้ตัวอะไรควรทำ ไม่ควรทำ ก็ตัดสินไปตามอำนาจของกิเลส

ส่วนสติสัมโพชฌงค์นั้น เป็นสติที่รู้ตัวแล้ว ก็ยังคำนึงถึงศีล คำนึงถึงหลักเกณฑ์ของชีวิต ของตัวเอง ที่ได้สมาทานว่า เราสมาทานศีล สมาทานหลักเกณฑ์ต่างๆ ให้แก่ชีวิตไว้ว่า เราจะปฏิบัติ อยู่ในขอบเขต คุณงามความดี อย่างนี้ ละเว้นอันนี้ ไม่ทำอันนี้ หรืออันนี้ต้องทำให้ยิ่งๆ โดยเฉพาะ รู้ถึงจิต รู้ถึงจิตใจ อารมณ์ ว่าอันนี้เป็นอำนาจของความโกรธ อันนี้เป็นอำนาจของความโลภ อันนี้เป็น อำนาจของราคะ จะต้องพยายาม วิจัยให้ได้ เป็นโมหะ ไม่ให้หลงผิด ไม่ให้เป็นไปตามอำนาจ ของปุถุชนธรรมดาๆ เราจะเข้าใจเลยว่า อ๋อ ถ้าเป็นปุถุชน หรือว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ เราไม่ได้สังวรศีล เราไม่ได้มาตั้งใจปฏิบัติ ประพฤติธรรม สติของเราก็จะมีอย่างโลกๆ แล้วเราก็จะตัดสินไปเลย และก็จะทำตามใจ อย่างนั้นนะ แต่เมื่อเราปฏิบัติธรรมแล้ว สติของเรารู้ตัวแล้ว ไม่ทำตามใจอย่างนั้น เราจะระลึกถึง องค์ประกอบของศีล ที่สมาทานว่าเราเอง ในฐานนี้สมาทานศีล ๕ เป็นต้น

ความหมายของศีล ๕ เราก็พยายามเข้าใจอย่างจริงๆว่า ศีล ๕ มีความหมายขนาดนี้ เราจะต้อง ระมัดระวัง เว้นขาดขนาดนี้ คนไหนมีศีล ๕ ที่สูงขึ้นกว่านี้ มีความหมายที่อธิศีล สูงขึ้นกว่า ที่เราได้สมาทานเหมือนกัน เราก็จะทำตามที่เรากำหนดสมาทาน ถือศีลขนาดไหนๆ จนกระทั่ง ถึงอธิศีล ถึงศีล ๘ ไล่ขึ้นไปถึงศีล ๘ หรือจะขยายศีล ๕ ไปสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่พูดถึงคำว่าศีล ๘ ก็ได้ และความหมาย ของศีล ๕ ที่เป็นอธิศีล สูงขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะมีลักษณะที่สูง ลึกซึ้งขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้ตัวเรา ปฏิบัติตามศีลนั้นได้ แล้วขัดเกลากาย วาจา โดยเฉพาะขัดเกลาจิต จิตเราอันนี้ เป็นกิเลสธรรมดาของคน แต่ก่อนนี้ถ้าเป็นธรรมดา ไม่ได้ถือศีลนี่ เราไม่ขัดใจเราหรอก เราไม่ขัดเกลากิเลส ไม่ขัดเกลาจิตใจหรอก เราจะทำตามใจเราเลยแหละ

แต่เมื่อเราถือศีลแล้ว เราปฏิบัติธรรม เป็นโลกุตระแล้ว เราจะอ่านอาการของจิตออก เรียกว่า รู้รูปนาม อาการของจิต เครื่องหมายของจิต ว่าอย่างนี้เป็นกิเลสนะ ยังงี้นี่ มันกำลังบังคับเรา มันกำลัง จะเอาตามใจ มันจะเอาตามความอยาก ตามความโกรธ แต่เมื่อเราปฏิบัติแล้ว ชนะความอยาก ชนะความโกรธ ที่จะมาบำเรอตน ตามใจตน ขัดเกลาจิตอย่างนี้เรียกว่า กำลังทำอธิศีล อธิจิต ทำให้ศีล เกิดความขัดเกลา และจิตก็เกิดการขัดเกลา กาย วาจา นี่มันก็เกิดตามจิตที่เป็นประธาน เพราะจิตวิญญาณ เป็นประธานต่อสิ่งทั้งปวง มันจะสั่ง เราก็จะลดมันได้ ตามวิธีที่เราได้มี สมถภาวนา กับวิปัสสนาภาวนา มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีองค์แห่งการตรัสรู้ ที่จะธัมมวิจัย และจะต้องมี ความเพียรพยายามด้วย มีวิริยะสัมโพชฌงค์ เพียรที่จะกระทำให้ได้ ตามที่เราปฏิบัติ ตามที่เรารู้ทฤษฎีการปฏิบัติ ควบคุมความคิด ควบคุมวาจา ควบคุมการกระทำ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ ควบคุมการงาน การงานที่ทำประจำชีวิต มันจะสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกับผู้คน ต้องสัมผัส แตะต้อง ต้องได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัสทางรูป รส กลิ่น เสียง เกิดมันเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดอารมณ์ ทางจิต เกิดอารมณ์โกรธ เกิดอารมณ์โลภ อารมณ์ราคะ และเราก็จะต้องมี ธัมมวิจัยว่า ต้องให้ถูกต้อง ตามสัจจะ ไม่โมหะ ไม่หลงผิด เห็น ให้ถูกจริงๆ วิจัยลงไปจริงๆเลย จึงจะเรียกว่า มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ และมีสติที่ทำงานสติสัมโพชฌงค์ มีสติที่ทำงานวิจัยธรรมะ อันไหน เป็นสัมมา อันไหนเป็นมิจฉา หรืออันไหนเป็นบาป เป็นบุญ หรืออันไหนเป็นไปเพื่อ ตามใจกิเลส อันไหนเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส ไม่ให้ตามใจกิเลส รู้อาการของกิเลส กิเลสสายราคะ หรือ โลภ มีกิเลสสายโทสะ ราคะก็รู้ว่าราคะ อราคะก็คือลดมันลงมา โทสะก็รู้ว่านี่ กำลังเกิด อาการโทสะ เป็นอาการนิมิต เราจับอาการของมันได้ เครื่องหมายที่เราจับ รู้เกิดในจิตของเรา เราจะจับจิตเราได้ เรียกว่า ปรมัตถสัจจะ ผู้อ่านจิตได้ จับจิตได้ นี่แหละเป็นผู้ตาทิพย์ รู้จิตในจิต จิตในจิต มีองค์เจโตปริยญาณ ๑๖ รู้ ราคะ โทสะ โมหะ รู้ว่าตอนนี้เรากำลังประพฤติ เรากำลัง ลดราคะ ลดโทสะ ลดโมหะได้อยู่ กำลังลดได้ทีเดียว เราก็รู้ว่า นี่กำลังเป็นไปเพื่ออราคะ หรือ อโทสะ อโมหะ เราจะเข้าใจทิศทางของความเพิ่มความโลภ โกรธ หลง หรือเพิ่มราคะ โทสะ โมหะ หรือว่าไม่เพิ่ม หรือว่าเรากำลังทำให้ลด

การปฏิบัติธรรม ที่รู้ยิ่งเห็นจริงด้วยญาณ ด้วยปัญญา ที่มองเห็น อ่านเห็น มีญาณ หรือมีตาทิพย์ เห็นจริงๆว่า เรากำลังลด นั่นแหละเรากำลังเกิดทางสู่มรรคผล การลดกิเลส คือทางเดิน สู่มรรคผล นิพพาน สู่ผลเป็นนิพพาน รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ รู้ปรมัตถ์นี่คือเรารู้ รู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน จิต เจตสิก อาการของจิต ลักษณะของจิตทั้งหมดนั่นแหละ และมันมีอาการอย่างไร เราก็รู้ นั่นแหละสิ่งที่ถูกรู้ นั่นเรียกว่ารูป เราลดมันได้ ก็รู้มันเลยว่า เรารู้มรรครู้ผลไปเรื่อยๆ ว่าเราทำได้หรือไม่ได้ ต้องมีความเพียรพยายาม มีวิริยสัมโพชฌงค์ ความเพียรที่ตัดกิเลส เรียกว่า วิริยสัมโพชฌงค์ เพียรประพฤติ ทางกาย วาจา ใจ ประพฤติทางสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะนี่แหละ ทางความคิด ก็คิดมาในทางที่เจริญเป็นอริยะ ต่อสู้กับกิเลส ปรับปรุงให้เป็นสัมมา อย่าให้เป็นมิจฉา เป็นทางที่ถูกต้อง การพูดก็พูดให้เป็นสัมมา ไม่ใช่พูดเพื่อโลภ พูดเพื่อโกรธ พูดเพื่อสมใจในโลภ โกรธ หลง ไม่ใช่ แต่พูดเพื่อที่จะไม่เป็นโลภ ไม่เป็นโกรธ ไม่เป็นหลง อโลภะ อโทสะ อโมหะ เราทำให้ได้ จนจิตเราเก่งขึ้น ดีขั้น แม้มันจะได้บ้าง แต่มันยังไม่เก่ง มันยังเป็นสังขิตตะ หรือเป็นวิขิตตะ มันยังเป็นก้อน เป็นแท่ง มันยังหด มันหู่ เป็นสังขิตะ เป็นลักษณะได้เรารู้ว่า เราลดได้ แต่ว่ามันยังตื้อๆ มันยังหนักๆ มันยังหู่ ยังหด ยังแข็ง ยังกระด้าง ยังมึน ยังซึมอยู่ มันยังไม่โปร่ง ยังไม่โล่ง ยังไม่เบา ยังไม่ว่าง หรือมันยังกระเด็นกระดอน กระเซ็นกระสาย ฟุ้งๆ ขจรขจายอยู่แล้ว เรียกว่า วิขิตตัง จิตตัง เป็นจิตที่ยังกระเซ็น เขาแปลเอาง่ายๆว่า สังขิตตะ แปลว่าจิตหดหู่ วิกขิตตะ แปลว่า จิตฟุ้งซ่าน ก็ถูก แต่ลักษณะของมัน ต้องรู้จักสภาวะของมัน มันกระเซ็น มันยังซ่านอยู่ ยังฟุ้งอยู่ ยังไม่เป็นสภาพที่ไม่ลงตัว ที่โปร่ง ที่ว่าง ที่ชัด มองมีญาณอะไรเห็นอ่านรู้ มันยังปนๆ เปๆ อะไรก็แล้วแต่ ม้นยังจับไม่ติดก็ได้ วิกขิตตะ มันยังไม่แน่ไม่ชัด สังขิตตะ ก็เป็นก้อน ตีไม่แตกมั่ง แยกไม่ออกมั่ง มึนๆ ซึมๆ หนาๆ ทึบๆ มันไม่โปร่ง อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นลักษณะของจิต ที่เราเอง เรายังไม่ดี มันซึม มันมึน มันตื้อ มันไปในลักษณะที่ทึบ ที่ไม่ค่อยรู้

ส่วนวิกขิตตะ วิขิตตัง จิตตัง ก็เป็นจิตมันกระจาย มันกระเซ็น มันจางๆ มันยังไม่ชัด มันยังลางๆ เลือนๆ มันยังวุ่นวาย มันยังสับสน มันยังฟุ้ง ยังซ่าน อย่างนี้เป็นต้น เราลดกิเลสได้ แต่มันก็ยังไม่ชัด ไม่เจน ยังไม่ดี ต้องทำให้ดียิ่งขึ้น จึงเรียกว่า ให้เจริญขึ้น ไปสู่ทางสูง ทางเจริญ เรียกว่า มหรคตะ ในการพิจารณาจิตในจิต ๑๖ ระดับ สติปัฏฐาน ๔ นี่ พิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม จิตในจิต นี่ก็คือ ลักษณะ เจโตปริยญาณ ๑๖ นี่อาตมาไล่ไป ๘ แล้ว ราคะ โทสะ โมหะ อราคะ อโทสะ อโมหะ สังขิตตะ วิกขิตตะ จะต้องทำให้ดี ให้มันเจริญขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่า มหัคคตะ ให้มันได้ผล เรียกว่า มหัคคตะ หรือเราทำไม่ได้ ก็เรียกว่า อมหัคคตะ เรียกว่าจิตมันไม่เป็นไปในทางเจริญ มันไม่ดีขึ้น มันยังอยู่เท่าเก่า หรือแย่ลง เรียก อมหัคคตะ เราก็รู้จิตของเราว่า จิตของเรา นี่ทำได้อยู่หรือไม่ ตรวจตรา อ่านอย่างนี้ เรียกว่าสัมโพชฌงค์ เรียกว่า ผู้อยู่ในองค์แห่งการตรัสรู้ เป็นผู้ที่อยู่ใน ภาคปฏิบัติเสมอ จะทำงานทำการ จะคิดจะพูด จะทำอาชีพอะไรอยู่ มีสัมผัสแตะต้องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้จักกายกรรม รู้จักวจีกรรม รู้จักมโนกรรมของเรา รู้จักอิริยาบถของเรา รู้จักกรรมกิริยาของเรา กรรมกิริยาของกาย กรรมกิริยาของวาจา กรรมกิริยาของจิต ต้องอ่าน ต้องมี จิตตัวนี้ เข้าไปอ่านจริงๆ มีตัวแววไว มีตัวมุทุภูตธาตุ มีธาตุแห่งการรู้อย่างไว อย่างอ่อน อย่างแววไว อย่างฉลาด แล้วก็สามารถปรับได้ จึงจะครบคุณภาพ ของมุทุภูตธาตุ แล้วต้องรู้ด้วย เรียกว่า ปัญญา และต้องสามารถทำได้ด้วย เรียกว่า เจโต สามารถดัด สามารถปรับ เรียกว่าหัวอ่อน จิตหัวอ่อน จิตที่มีจิตไว อ่อน เร็ว แล้วก็ปรับมันได้ด้วย ปรับมันก็คือ พัฒนาให้มันเป็นภาวนามัย เป็นภาวนา จะเป็นสมถภาวนา หรือเป็นวิปัสสนาภาวนา สามารถลดกิเลสได้จริงอย่างไร เมื่อไร นั่นแหละ มันยิ่งถูกต้อง ตามหลักการ ในการปฏิบัติธรรมนั้น

และเราจะทำอะไรก็ดี มุทุภูตธาตุ และก็มุทุภูเต กัมมนิเย และเราจะทำอะไรอยู่ กรรมนี่คือ การกระทำทุกอย่าง เป็นการงานทุกอย่าง การงานทางคิด การงานทางพูด การงานทางกระทำ การงานทางอาชีพอะไรอยู่ ก็แล้วแต่ มันก็จะเหมาะควร ท่านเรียกว่า กัมมนิเย การงานอันเหมาะควร มันจะเหมาะ มันจะดี มันจะลงตัว เป็นไปได้อย่างถูกต้องอย่างดีงามทั้งข้างนอก ข้างใน เป็นไปได้ ทางโลกก็ดี ทางธรรมก็ดี จึงเป็นการเดินทางไปสู่มรรคผล เดินทางไปสู่นิพพาน โดยการเป็นชีวิต ธรรมดาๆ ทั้งคิดทั้งพูด ทั้งทำงานทำการ ทั้งทำอาชีพ มีชีวิตสัมผัสแตะต้อง ลืมตาธรรมดา มีชีวิตปกติ ธรรมชาติๆ นี่แหละ และเราได้มีการปฏิบัติธรรมที่เรียนรู้ มีสติปัฏฐาน ๔ รู้องค์ประชุม รู้ข้างนอกด้วย ข้างในด้วย กายะ กาโยนี่แปลว่าองค์ประชุม ประชุมมันมีสิ่งแวดล้อม มีวัตถุ มีดิน น้ำ ไฟ ลม มีต้นหมากรากไม้ มีดิน มีเขา มีน้ำ มีวัตถุธาตุ มีเครื่องใช้ไม้สอย มีบุคคล มีการกระทำ มีกิริยาของบุคคล เขาพูดก็ได้ยินเสียง เห็นก็ได้เห็นรูป ได้กลิ่น ได้ลิ้ม ได้รส มีทุกอย่าง ที่ประกอบเป็น เครื่องอุปโภค บริโภคใดๆ ด้วยประชุมอยู่กับเรานี่ ใกล้หรือไกล ประชุมอยู่จนกระทั่ง แม้การประชุม อยู่ใน เรียกว่า กายในกาย องค์ประชุมของจิตวิญญาณ มีกรรมกิริยาของ จิตวิญญาณ อ่านจิตในจิต ออก กายในกาย หรือ จิตในจิตนั่นแหละ อันเดียวกัน กายในกาย ก็คือ สภาพรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่มันอยู่ข้างใน เรียกว่า อายตนะ ๖ และเราก็รู้อาการของอายตนะ รูปมันเป็น อย่างไร ข้างในรูป แล้วมันก็มีอาการเวทนา มีรูปอย่างนั้น และมีเวทนา และมีความรู้สึก สุขทุกข์อย่างไร สุขทุกข์อย่างโลกียสุข หรือว่าทุกข์เพราะยังเป็นกิเลส ยังไม่สมใจในกิเลส เราจะอ่านออก สุขเวทนา ทุกขเวทนา และ เราก็พยายามปรับไม่ให้เป็นไปตามกิเลสอยาก ลดกิเลสได้ หรือจะบำเรอกิเลสเรา ก็จะรู้ว่า จะเป็นสุขบำเรอกิเลส เรียกว่าโลกียสุข ถ้าเราไม่บำเรอละ แต่เราจะ ลดความต้องการกิเลส ลดโลภะ โทสะ ในจิตลงได้ เรียกว่า ลดทุกข์สมุทัย ลดตัวการใหญ่ ได้ด้วยสมถะภาวนาก็ดี ด้วยวิปัสสนาภาวนาก็ตาม ลดลงได้จริงๆ นั่นแหละลดละ หรือ เว้นขาดออกมาได้ จะมากจะน้อย จะชั่วคราว เป็นตทังคปหาน หรือจะเป็น วิกขัมภนปหาน ทำได้อย่างกดอย่างข่ม ทำได้เก่งได้เร็วขึ้น เป็นปฏิปัสสัทธิปหาน หรือจะเป็นเก่งถึงนิสสรณปหาน ได้อย่างสลัดออกเลย เราก็จะรู้ความเก่ง ของเรา ความสามารถของเราว่า มีน้อยแค่ไหน มีปหานปธาน นั่นแหละ อย่างที่ว่าเมื่อกี้ ตทังคปหาน วิกขัมภนปหาน ปฏิปัสสัทธิปหาน นิสสรณปหาน หรือ สมุจเฉทปหาน ประหารอย่างเด็ดขาด เรียกว่า ขาดสูญอย่างต่อเนื่อง สมุจเฉทปหานได้อย่างดี จริงๆ เราก็ต้องรู้ว่า เรามี สังวรปธาน ปหานปธาน มีสัมมัปปธาน ๔ ภาวนาปธาน ก็คือ ได้ผลทำให้เกิดภาวนามัย ทำให้เกิดภาวนาปธาน เกิดได้ผล ภาวนาแปลว่า การเกิด ปฏิบัติธรรมมีมรรคมีผลมา สั่งสมผลขึ้นมาเรื่อยๆ และ อนุรักขนาปธาน มารักษาผลนั่นได้ ด้วยอิทธิบาท ๔ ด้วยความยินดี ด้วยความเพียร อิทธิบาท ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ด้วยความเพียร ด้วยความเอาใจใส่ ด้วยการรู้เลยกำลังพิจารณาวิเคราะห์ วิจัย ตัดสิน พิพากษา อะไรอยู่ทีเดียว พิพากษาตัวเราเอง พิพากษาสิ่งที่ได้ สิ่งที่ดีอะไรนี่ มีองค์ประกอบในการ ปฏิบัติธรรม จริงๆนะ

ถ้าเรามีความรู้ทั้งกาย เวทนา จิต อธิบายไปแล้วเมื่อกี้นี้ แม้จะยังไม่ทะลุถึงวิมุติ อวิมุติ ก็ตาม อธิบายทั้ง สังขิตตะ วิกขิตตะ มหัคคตะ อมหัคคตะ สอุตตระ อนุตตระ อีกคู่หนึ่งเป็น ๑๐ เมื่อกี้นี้ ๖ ราคะ โทสะ โมหะ อราคะ อโทสะ อโมหะ ๖ แล้ว สังขิตตะ วิกขิตตะ ๘ มหัคคตะ อมหัคคตะ๑๐ สอุตตระ จิตตัง กับ อนุตตระ จิตตัง อีกคู่หนึ่ง จิตสอุตตระ จิตตัง คือ จิตที่ดียิ่งกว่านี้ยังมีอีก จิตดีขึ้น มหัคคตะนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเจริญขึ้น แต่มันยังรู้ เราจะมีญาณรู้ว่า ดีกว่านี้ยังมีอีก จิตที่ยังดี ยังไม่ถึงที่สุดหรอก ยังไม่จบ ยังดีกว่านี้ได้อีก เราจะมีญาณรู้ จริงๆ จึงเรียกว่า สอุตตรจิต แต่สูงขึ้นมาเรื่อยๆ เจริญอยู่เรื่อยๆ จนถึงขั้นอนุตตรจิต เป็นจิตที่ยิ่ง ไม่มีจิตใดเหนือกว่าอีก อนุตตรจิต แต่จิตอนุตตรจิตนี้ มีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นสมาหิตะ และเป็นวิมุติ มีเงื่อนไขอีก ๒ อย่าง ต้องเป็นสมาหิตจิต และมีทั้งสมาหิตจิต มีทั้งวิมุติจิตด้วย จึงเรียกว่าอนุตตรจิต จึงเรียกว่า จิตที่ยิ่ง จิตที่เหนือกว่าจิตใดๆ ไม่มีจิตใดยิ่งกว่านี้อีก เพราะฉะนั้น ในการพากเพียร ในการจะปฏิบัติให้เกิด อนุตตรจิต จะต้องเรียนรู้สมาหิตะ เรียนรู้ วิมุติด้วย เพราะฉะนั้น สมาหิตะ คือจิตประโยชน์ที่แข็งแรง ตั้งมั่น เป็นจิตที่อยู่เหนือโลกจริงๆ

เป็นจิตที่อยู่กับโลก มีการทำงาน มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ มีธาตุรู้ มีตัวรู้ๆ ในอายตนะทั้ง ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นทวารกระทบสัมผัส และก็เข้าไปรู้ๆ อยู่ข้างในจิตตัวเอง เป็นอายตนะ แล้วเราก็สามารถรู้อายตนะเหล่านั้นว่า รูปก็ดี รสก็ดี กลิ่นก็ดี เสียงก็ดี สัมผัสก็ดี ไม่มีกิเลสร่วม ทำงานอย่างแข็งแรง มีประโยชน์ต่อมนุษยโลก อย่างแข็งแรง ตั้งมั่น เรียกว่าสมาหิตะ เป็นสมาธิ

เขาแปลทับศัพท์ว่า สมาธิ สมาหิตะ นี่ สมาธิ ก็ภาษาบาลี สมาหิตะ ก็ภาษาบาลี เขาแปลทับศัพท์ สมาหิตะว่าสมาธิ และก็ไปแปลกันว่า ตั้งมั่นเฉยๆ จริง ตั้งมั่นก็ถูก แต่ตั้งมั่นอย่างไหนละ ตั้งมั่น อย่างที่เรียกว่า อยู่เหนือมัน เป็นจิตที่วิเศษ เป็นอนุตตรจิต เป็นสมาหิตะ เป็นสมาธิอย่างอนุตตรจิต สมาหิตะ คืออย่างที่มีคุณค่าประโยชน์ต่อโลก ต่อมนุษย์ เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ตน คือกิเลสหมด อนุตตรจิตคือ จิตที่ไม่มีกิเลสแล้ว กิเลสไม่มี และพร้อมกันนั้น ก็มีสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ มีบทบาทการงานอยู่ อย่างมีคุณค่า ประโยชน์ต่อโลก ต่อเป็นหิตประโยชน์ในมนุษยโลก เป็นหิตประโยชน์ โดยเฉพาะเป็น ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ และก็เป็นสัมปรายิกกัตถประโยชน์ด้วย

ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คืออะไร ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือมีความขยัน อุฏฐานสัมปทา และก็มา อารักขสัมปทา เข้าถึงเป็นความถึง ถึงความขยัน และก็ถึงการรักษา รักษาทุกอย่าง รักษาตนเอง รักษาผู้อื่น ช่วยรักษา รักษาไม่ใช่สะสม เขาไปแปลว่าสะสมเงินทอง สะสมทรัพย์ศฤงคาร แปลอย่าง ตื้นๆ เขินๆ แล้วก็เลย กลายเป็นขี้โลภ แล้วค้านแย้งกับอปจยะของพระพุทธเจ้าด้วยว่า ไม่สะสม นะ อารักขสัมปทา แปลว่าการรักษา ไม่ใช่สะสม ถ้าเรามีแผล เราจะรักษาแผล เราทำให้แผล นั่นน่ะ อยู่กับเรา สะสมแผลให้โตๆขึ้นใช่ไหม ไม่ใช่ ไม่เอานะ เรารักษาแผล เราก็เลย สะสมแผลไว้ ไม่ให้แผล หายจากเรา และให้แผลมันโตขึ้นด้วย สะสมใช่ไหม ให้แผลมันเยอะๆ ใช่ไหม รักษาแผล ไปแปลรักษาว่าสะสม ไปแปลรักษาว่า มีอยู่ ไม่ใช่ รักษาแปลว่าทำให้เจริญ ทำให้ดีงาม รักษานี่ ทำให้อยู่อย่าง สมเหมาะสมควร รักษานี่แปลว่า ทำให้ดี ดูแลให้ดีรักษา อันใดควรปราบ ก็ปราบ ผู้รักษานี่ อันใดปราบ ก็ปราบ อะไรทำให้ดียิ่งก็ดียิ่ง รักษานี่ ไม่ได้หมายความว่า สะสม มันละเอียดนะ มันลึกซึ้ง แปลว่าสะสม มันก็ค้านแย้ง พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอน ให้คนสะสม มาแปลกัน มานานแล้ว มาแปลกันมาก แปลมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ แล้วจะต้องร่ำรวย ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ คือประโยชน์ปัจจุบัน เป็นหัวใจเศรษฐี ต้องร่ำรวย แปล ทิฏฐธัม เอาเล็กๆ น้อยๆ แปลเอาความหมาย เออ อย่าหัดสุรุ่ย สุร่าย หัดประหยัด จะต้องรักษาดูแล สะสมทรัพย์ ศฤงคาร อย่าไปฟุ่มเฟือย สุรุ่ย สุร่าย ฟุ้งเฟ้อ อะไรก็ถูกในความหมายง่ายๆ แต่ความจริงแล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้น นะ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ก็เป็นประโยชน์ของปรมัตถ์ด้วย สัมปรายิกัตถประโยชน์ เป็นประโยชน์ของปรมัตถ์ด้วย แต่เขาอธิบายไม่ออก เขาอธิบาย ได้แต่ง่ายๆ แล้วก็ตีความเอาง่ายๆ เลยกลายไปเป็นโลภโมโทสัน

จะมีมิตรดี มีกัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เรียกว่า เกิดเข้าถึงกัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก มีมิตรดี สหายดี มีสังคม สิ่งแวดล้อมดี มีจริงๆ กัลยาณมิตรนี่มี กัลยาณมิตร คือมิตรที่ปฏิบัติไปทางเดียวกัน มีทิฏฐิเดียวกัน มีศีลสามัญญตา มีความเข้าใจในศีล มีความเข้าใจในความเห็น ความเข้าใจในที่เรารู้ว่า ไปอย่างนี้ เป็นความเจริญของมนุษย์ มนุษย์ไม่สะสม เป็นมนุษย์เจริญกว่ามนุษย์สะสม มนุษย์กอบโกย เอาเปรียบ เอารัด มนุษย์มักน้อยนี่ เจริญกว่ามนุษย์มักมาก มีความโลภ มีความมาก สะสมมากๆ เป็นมนุษย์ไม่เจริญ เท่ามักน้อยหรอก แต่มันยาก มันทวนกระแสธรรมะของพระพุทธเจ้า

ซึ่งเรามาปฏิบัติ ขณะนี้ แม้แต่นักเรียน ก็คงพอเข้าใจบ้างแล้ว จะโตๆ ที่เรามาปฏิบัติธรรมกัน จนลด จนละ จนเลิก จนทิ้งโลกียะมาตั้งเยอะ ตั้งแยะ นี่ ฟังที่อาตมาพูดนี่จะเข้าใจ และจะรู้ว่า ตัวเรา ปฏิบัติได้ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง หรือว่าดีมากขึ้น ดีกว่าเก่าเยอะแยะอะไร เราจะรู้ความจริง ตามความเป็นจริง ที่เราได้ฝึกฝนอบรมตัว และใจเราก็สบายขึ้นด้วยปัญญา เราก็เห็นชัดเจน ด้วยอย่างนี้แหละ เป็นความเจริญที่เป็นไปได้ยาก ไม่ง่ายจริงๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ และ เป็นประโยชน์ต่อตนและท่าน มันเป็นวูปสโมสุข คือ สุขที่สงบระงับ ไม่ใช่ สุขัลลิกะ ไม่ใช่กามสุขัลลิกะ ไม่ใช่สุขอย่างโลกๆ ไม่ใช่โลกียสุข แต่เป็นวูปสโมสุข สุขอย่างจิตมันระงับกิเลส สุขอย่างระงับกิเลสมาจริงๆ มันเป็นความสุขอย่างไร เราจะอ่านอาการ ลิงคะ นิมิตของมันออกจริงๆ อ่านออกจริงๆ และเราจะปฏิบัติได้ถูกสอดคล้อง ตามที่อาตมาได้หยิบมาอธิบายนี่ ก็สอดคล้อง ว่าเราจะมีมิตร สังคมชาวอโศกเรานี่ มีกัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย ซึ่งอาตมา เรียกว่า ญาติธรรมด้วยซ้ำ ไม่ได้เรียกแค่มิตร เรียกญาติธรรม ได้เกิดๆเรื่อยๆ

ตอนนี้ กำลังมีลูก ตอนนี้กำลังตั้งท้องปฏิสนธิ ตอนนี้นี่มีลูก ที่นี่เกิดก่อน นะ ที่นี่มีลูกก่อน ที่นี่ตั้ง กศน. แล้วก็มีเด็ก มีลูกตั้งครรภ์ การตั้งครรภ์ นี่คือชาวอโศกตั้งครรภ์นะ ทั้งวัด ชาวอโศกที่นี่ตั้งครรภ์ ฟังให้ดีนะ การตั้งครรภ์นี่ อย่าคิดแต่เป็นพ่อเป็นแม่ ตั้งครรภ์คือ อยู่ในมดลูกนี่ เอาเชื้อเข้าไปแล้ว ก็ผสมไข่อยู่ในมดลูกนี่เท่านั้น อันนั้น เป็นการเกิดทางร่างกาย ไม่ใช่การเกิดทางสัตวโลก โอปปาติกะ สัมมาทิฏฐิ หรือมิจฉาทิฏฐิ ข้อที่ ๗,๘,๙ มีว่า แม่มี พ่อมี สัตว์โอปปาติกะมี ข้อ ที่ ๗,๘,๙ มิจฉาทิฏฐิ ถ้าเผื่อว่า เห็นว่ามีต้องเห็นด้วยญาณปัญญาเห็น จะบอกว่า แม่มี คือคนที่ให้กำเนิดเรามานี่คือแม่ อย่างนั้นไม่ใช่ปัญญาพระพุทธเจ้าสอนหรอก อั๊ยใครๆ มันก็สัมมาทิฏฐิอีกแบบนั่นน่ะ แต่สัมมาทิฏฐิ ของพระพุทธเจ้า มันลึกซึ้ง แม่มี พ่อมี อาตมาพูดมามากมายว่า ไม่ได้หมาย แม่ที่คลอดปู๊ด ออกมา อย่างนั้น พ่อที่คลอดปุ๊ดออกมาอย่างนั้นไม่ใช่ อย่างนั้นสัตว์โลกเดรัจฉาน มันยังรู้เลย นี่เป็นแม่ เป็นพ่อ ถ้าแบบนั้น จะเอาปัญญาพุทธเจ้าตรัสรู้ มาสอนคนทำไมแบบนั้น

แม่คำนี้ จึงเป็น เรื่องลึกซึ้ง ต้องเข้าใจเป็นนามธรรม การเกิดทางโอปปาติกะ แม่พ่อที่ให้เกิด ทางสัตว์ โอปปาติกะ ไม่ใช่แม่พ่อ ที่ให้เกิดทางเนื้อหนังมังสาตัวตน เป็นแม่เป็นพ่อ ที่ให้เกิดสัตว์โอปปาติกะ เพราะฉะนั้น มิจฉาทิฏฐิ หรือจะเกิดสัมมาทิฏฐิ ใน ๓ หลักนี้จะต้องรู้ว่า แม่คืออะไร พ่อคืออะไร เห็นว่า โอ แม่มีแล้ว นี่แหละคือ เราอยู่ด้วยกัน ศีล ก็เป็นแม่ การประพฤติการปฏิบัติเป็นแม่ พวกเราแต่ละนี่เป็นแม่เป็นพ่อ ที่เป็นแม่ช่วยกันฟูมฟัก นี่ พระเจ้านี่ เป็นแม่ เป็นพ่อได้ทั้งนั้นแหละ อาตมานี่เป็นพ่อ และอาตมาก็เป็นแม่ด้วย อาตมากำลังเป็นแม่เป็นพ่อในตัว เป็นพ่อลูกอ่อน ที่มือหนึ่ง ถือดาบ มือหนึ่งป้อนนมลูก ก็เคยพูดให้ฟัง เปรียบเทียบให้ฟัง และทำงานทั้งบุกบั่น สู้รบ ทั้งต้องเลี้ยงลูกให้โตนะ ให้มีชีวิตการงาน ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่เป็นสัมมา ที่เป็นสุจริต หรือ เป็นกุศล เจริญงอกงามอยู่ในสังคมจริงๆ

นี่ขณะนี้ ของเรา กำลังมีลูกจริงๆ กำลังตั้งครรภ์ เด็กที่อยู่กับหมู่เรา เป็นลูกของเราทุกคน ต้องเมตตา เกื้อกูล เอ็นดู เลี้ยงดูจริงๆกัน อย่าเข้าใจว่า เป็นเด็กมาเรียนหนังสือ เป็นเด็กมาอยู่กัน อย่างไม่ใช่หน้าที่ของเรา อยู่ด้วยกันทุกคน โดยเฉพาะอยู่ในวัด นี่เป็นลูก

แม้แต่จะเป็นชาวอโศก ก็เหมือนกัน ต้องเข้าใจให้ได้ว่า ผู้ใดที่มีคุณวุฒิ มีวัยวุฒิด้วยก็ตาม ต้องดู วัยวุฒิก็คือ เราอายุมากกว่าเด็ก คุณวุฒิก็คือ มีคุณธรรม ถ้ามีคุณธรรมอยู่ตัวเราแล้ว เราจะต้อง เอื้อเฟื้อเจือจาน เลี้ยงดูมีอะไรแนะนำกัน หวังดีต่อกัน นี่แหละเรียกว่าเรากำลังมีลูก เป็นญาติธรรม หรือเป็นกัลยาณมิตร ที่แท้ๆ แล้วจะเกิดสมชีวิตา จะเกิดการยังชีพ จะเกิดการเลี้ยงชีพที่ดี จะเกิดมี ชีวิต เป็นสัมมาอาชีวะ เป็นสมชีวิตา เป็นการยังชีพเลี้ยงชีพที่เป็นคุณค่าประโยชน์ มีบุญ เป็นการเลี้ยงชีพ อย่างบุญ ไม่ใช่ได้บาป ทุกวันนี้ เลี้ยงชีพกันอย่างบาป เอาเปรียบเอารัด

อาตมาอธิบาย ซ้ำซาก ถึงทฤษฏีกำไรขาดทุนของอารยชน ไปทำงาน แล้วก็เอาค่าแรงงานหมด มันมีบุญตรงไหน ดีไม่ดีเอาค่าแรงงานเกิน ทำอะไรขึ้นมาเอาไปขาย ขายเกินราคาทุน ก็ได้บาป ทั้งนั้นแหละ ไม่ได้บุญหรอก ไม่ได้เป็น สมชีวิตา ไม่ได้เลี้ยงชีพชอบอะไร เป็นความโลภ แล้วโลภ อย่างไม่มีสิ้นสุดด้วย เพราะมีหลักทฤษฏี ออกนอกรีตพระพุทธเจ้า ค้ากำไรเกินควร เอาเปรียบ เอารัด ตลอดเวลา และหลงว่าเป็นกำไรนะ แต่เกินทุนนะว่าเป็นกำไร ที่แท้นะมันขาดทุน โดยสัจธรรม ฟังสัจธรรมให้ออก เพราะเราไม่เอาเกินทุนละ อาตมาจะไม่วิเคราะห์อันนี้ต่อ ในพวกเราในขณะนี้ เพราะไม่มีเวลามากมายนักนะ จะไม่วิเคราะห์ตัวนี้ต่อละ เป็นกำไรขาดทุน อย่างไร และโลก เขาไม่รู้ขาดทุน ไปล่าลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุขให้แก่ตัวเองนะ เขาขาดทุนได้บาป เขาไม่ได้บุญ อะไร มีชีวิตไม่ได้เจริญ ไม่ได้เป็นสมชีวิตา ไม่ได้เลี้ยงชีพชอบอะไร เป็นการเลี้ยงชีพ อย่างขาดทุน เป็นการเลี้ยงชีพอย่างเป็นหนี้

พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสว่า คนเราเกิดมา จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกยากกว่ายาก หรือว่า เป็นเทวดา จะได้กลับมาเป็นเทวดาอีกยากกว่ายาก ส่วนมากตกนรก ตกนรกก็เพราะเขาไม่รู้ อย่างที่อาตมากล่าวนี่แหละ ไม่รู้สัจธรรม ที่เขาสร้างแต่หนี้อย่างนี้ จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ใหม่ มันจะได้มาเกิด เป็นเทวดาอีกได้ยังไง มีแต่ลงนรกขาดทุน ไปใช้หนี้ใช้สิน เขาอีกหลายชาติ ละอีกนานเลย แต่ละคนๆ นี่ เพราะฉะนั้น ผู้ไม่ได้พบสัจธรรมที่แท้จริง นี่จนกระทั่ง มีทิฏธัมมิกัตถประโยชน์ที่แท้ เป็นคนขยันหมั่นเพียรสร้างสรร แล้วก็เสียสละ เป็นกำไร สร้างสรร เสียสละเป็นกำไร อุฏฐานสัมปทา อารักขสัมปทา ได้รักษาศีลนั่นแหละ ถ้าอารักขสัมปทา ได้เจริญ ในศีล ได้อธิบายไปแล้ว เมื่อกี้นี้ มีสัมโพชฌงค์ หรือว่ามีโพชฌงค์ ๗ มีสติสัมโพชฌงค์ มีธัมมวิจัย สัมโพชฌงค์ มีวิริยะสัมโพชฌงค์จริงๆ มันเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เราก็รักษาศีล รักษา กาย วาจา รักษาใจ รักษาไม่ให้เกิดโลภ โกรธ หลง นี่เรียกว่ารักษา ให้ลดโลภ โกรธ หลง นี่แหละ ให้รักษา ไม่ใช่รักษาคือ สะสมกิเลส รู้ว่ามีกิเลส ก็เอามันออกด้วยซ้ำไป ไม่ใช่สะสมมา รักษานี่ เหมือนกับ เราเป็นแผล อย่างที่ว่านี่ ให้แผลมันหายไป ให้เชื้อโรคมันออกไปด้วยซ้ำ ไม่ใช่ว่า จะไปสะสม มันเรื่อยไป ไปแปลรักษาว่าสะสม ก็ไปรักษาแผลให้โตใหญ่ไปเท่านั้นเอง รักษากิเลสไว้ โตใหญ่ เท่านั้นเอง ไม่ใช่รักษา นี่คือทำให้ดี อะไรควรละๆ กิเลสควรละละ สิ่งที่เป็นอกุศลใด พฤติกรรมที่เป็น อกุศลทุจริต หรือว่าไม่สัมมา เป็นมิจฉาใดๆละ รักษานี่ ทำให้ดี ทำให้เจริญ มีการรักษาอย่างนั้นจริงๆ มีการเจริญอย่างนั้นจริงๆ จึงเรียกว่า ปฏิบัติธรรมถูกแนว ถูกทาง จึงจะเกิด กัลยาณมิตตตา เป็นประโยชน์ที่แท้ เป็นปรมัตถ์ที่แท้ เกิดสมชีวิตา เกิดการมีการงาน มีกรรม มีการงานเลี้ยงชีพอยู่ ยังชีวิตอยู่ อย่างเป็นสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ไม่ขัดแย้งกัน เลี้ยงชีพชอบ เลี้ยงชีพเจริญ เลี้ยงชีพพัฒนาไปสู่อริยบุคคล ไปสู่ความเป็นสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เป็นพระโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ขึ้นไปตามลำดับจริงๆ

สัมปรายิกัตถประโยชน์ ก็ได้ด้วย ถ้าเข้าใจแล้ว เมื่อกี้ว่า อารักขสัมปทา คือรักษา ได้รักษาศีล ได้รักษาจิต ได้รักษาปัญญา ที่แท้จริงก็จะเกิดสัมปรายิกัตถประโยชน์ มีศรัทธาสัมปทา มีศีลสัมปทา มีจาคสัมปทา มีปัญญาสัมปทา เกิดประโยชน์ทั้งทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ทั้งสัมปรายิกัตถประโยชน์

ยิ่งเราเข้าใจปรมัตถ์ ก็นั่นแหละ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ของเราได้พัฒนาสู่มรรค สู่ผล มีพร้อมกันหมด มีทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์มีพร้อมกันหมด ทั้งสัมปรายิกัตถประโยชน์ เป็นประโยชน์ เกิดโลกนี้โลกหน้า ซึ่งอาตมาอธิบายโลกนี้ โลกหน้า ให้ฟังมามากแล้ว ใครพูด หรือว่าใครอธิบาย โลกนี้ โลกหน้าไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ โลกหน้ามี โลกนี้มี โลกหน้ามี อยัง โลโก ปโร โลโก กรรมมีผล กัมมานัง ผลัง วิปาโก อย่างที่อธิบายมิจฉาทิฏฐิในข้อที่ ๔, ๕, ๖ และเราก็รู้เป็น สัมมาทิฏฐิว่า โลกนี้คือยังไง โลกหน้าคือยังไง เพราะฉะนั้น การรู้โลกนี้โลกหน้า สัมปรายิกัตถประโยชน์ ก็ประโยชน์ ในโลกหน้า ก็คือ โลกที่เจริญขึ้น เดี๋ยวนี้แหละ

ไม่ต้องไปตายแล้วค่อยไปเกิด กิเลสตาย จิตวิญญาณโอปปาติกะเกิด เดี๋ยวนี้แหละ เกิดโอปปาติกะ คือจิตวิญญาณที่มันผุดเกิด ในร่างกายเดิมนี่แหละ ไม่ใช่ไปเอาความเกิด จากท้องพ่อ ท้องแม่ ตายไปแล้วค่อยไปเกิดในโลกโน้น แล้วมันจะไปรู้ได้ยังไง มีญาณปัญญาได้ยังไง รู้ว่าเราเข้าถึงได้ยังไง สัมปทา นี่เข้าถึงเดี๋ยวนี้ รู้เลยว่าเรามีศรัทธา เข้าถึงความศรัทธาเดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งที่เป็น ปัจจัตตัง เดี๋ยวนี้ พิสูจน์ได้ สันทิฏฐิโก เห็นได้เดี๋ยวนี้ เข้าถึงได้เดี๋ยวนี้ รู้ได้ด้วยตนเองนี่แหละ ว่ามีศรัทธาสัมปทา เข้าถึงศรัทธา แต่ก่อนนี้ไม่ศรัทธาหรอก ศาสนาเป็นยังไง ธรรมปฏิบัติแล้ว มันได้เจริญอย่างไร ไม่ศรัทธา ไม่เข้าใจ ไม่เชื่อ มีศรัทธา มีศรัทธินทรีย์ มีศรัทธาผล มีปัญญาประกอบ ในศรัทธานั้นๆ ไม่ใช่ศรัทธาอย่างงมงายด้วย มีศีลสัมปทา ยิ่งศรัทธา ศีลก็ยิ่งเจริญ เข้าถึงศรัทธา เข้าถึงศีล เข้าถึงการสละออก จาคะเข้าถึงจริงๆนะ เพราะยิ่งสละออก ยิ่งลด ยิ่งละ ยิ่งปลด ยิ่งปล่อย ยิ่งละโลภ โลกียะออกไปมากเท่าไหร่ๆ ยิ่งเจริญโลกุตระมากเท่านั้นๆ มีปัญญารู้เห็น มีญาณรู้เห็น เข้าถึงปัญญาสัมปทา เกิดเดี๋ยวนี้ เป็นสัมปรายิกัตถประโยชน์ เป็นประโยชน์ที่พิสูจน์ได้ เป็นประโยชน์ที่รู้แจ้งเห็นจริง มีของจริง

โลกหน้าคือ โลกแห่งโลกุตระ ไม่ใช่โลกหน้าคือตาย แล้วไปค่อยไปโลกหน้า อย่างนั้น ก็อธิบายได้ ถ้าได้ตั้งแต่ปัจจุบัน นี่มีญาณปัญญา เห็นโลกหน้าเดี๋ยวนี้ ตายแล้วก็ไปสู่โลกหน้าทางวิญญาณ โอปปาติกะของเรา ถ้าเราตาย จากรูปนามขันธ์ ๕ ตายจากร่างกายชีวิตนี้ มันก็เหลือแต่ โลกจิตวิญญาณ ก็ไปสู่อย่างนั้น ความเป็นจิตวิญญาณ ที่เราได้สร้างตัวแต่เดี๋ยวนี้ รู้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ตายแล้วเป็นอยู่อย่างนั้นแหละ คนเห็นตั้งแต่ จิตวิญญาณของเรา วิญญาณทิพย์ มีตาทิพย์ เห็นเดี๋ยวนี้ ตายแล้วไม่ต้องไปกังวลเลย จะเป็นผู้รู้แจ้งเลยว่า ที่เราทางเดินในอนาคตของเรา จะสุคติ หรือทุคติ จะรู้เลย ว่าเราจะตกนรก หรือขึ้นสวรรค์ จะรู้ว่า เราจะเจริญ หรือจะตกต่ำ มันจะรู้แจ้ง ด้วยญาณทิพย์จริงๆ ได้ความมีญาณปัญญา เข้าถึงปัญญาสัมปทา เข้าถึงปัญญาที่แท้ เรียกว่า ปรมัตถประโยชน์ ประโยชน์ที่รู้ปรมัตถ์ ก็คือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้จักจิต เจตสิก จริงๆ อย่างนี้ เข้าใจว่า ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์คือ อย่างนี้ ประโยชน์ที่เป็นปรมัตถ์ด้วย ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ที่เป็นปรมัตถ์ด้วย สัมปรายิกัตถประโยชน์เป็นอย่างนี้ ที่อาตมากำลังอธิบาย จะรู้แจ้ง เห็นจริง

นี่พูดถึงเนื้อหาสาระชัดๆ กันให้ฟังเสียก่อน แม้อาตมาจะไม่ได้อธิบายไปจนหมด เมื่อกี้นี้ อธิบาย เจโตปริยญาณ ๑๖ ไปถึงสมาหิตะ อสมาหิตะ สมาหิตะคือจิตมันมีประโยชน์ ตั้งมั่น แล้วก็ขยาย มาถึง ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ขยายมาถึงสัมปรายิกัตถประโยชน์ หิตะแปลว่า ประโยชน์เกื้อกูล สมาหิตะ นี่เป็นภาษาบาลี ที่สนธิกันอยู่กับสมะ และเราก็มาแแปลเป็นสมาธิก็ได้ ถูกต้องตั้งมั่น แข็งแรง มีคุณลักษณะตั้งมั่นแข็งแรงด้วย สมาหิตะ นี่เป็นสมาธิตั้งมั่นแข็งแรง แต่มีคุณค่า ประโยชน์ และเป็นประโยชน์ที่เป็นประโยชน์ถึงขั้นปรมัตถประโยชน์ มีทั้งทิฏฐธัมมิกัตถ ประโยชน์ มีทั้งสัมปรายิกัตถประโยชน์ อย่างที่ว่านี้ จิตใจของเราสะอาดๆขึ้น จริงๆ เป็นวิมุติ เราจะอ่านรู้เลยว่า วิมุติคืออะไร อวิมุติคืออะไร ที่ไม่ใช่วิมุติ เป็นอวิมุตินี่คือยังไง วิมุติเป็นยังไง มีคุณลักษณะยังไง ชัดเจนเลย จะอ่านชัดเจนเลยนะ

จะอ่านด้วยญาณของเรา ตาทิพย์ของเราจะเห็นแจ้ง โอ๊ อย่างนี้มันยังไม่วิมุติ ยังมีกิเลสนิดๆ หน่อยๆ จรมา ยังไม่ใช่วิมุติแท้ มันจะตรวจตราตัวสุดท้าย ตัวละเอียดลออ นี่ขั้นวิมุตินี่ไม่ใช่ขั้น ธรรมดา หรอกมนุษย์ ยิ่งเป็นวิมุติขั้นสูงสุด จะเป็นสมุจเฉทวิมุติ หรือเป็นวิมุติที่ยังจะต้อง ดูอนุสัย ดูอาสวะ ดูถึงขั้นญาณสุดท้าย อาสวักขยญาณๆ ที่จะตรวจตราส่วนเศษ ส่วนมันยังมีกิเลส ส่วนเหลือ เล็กๆ น้อยๆ อะไร ตรวจตราถึงขั้นสุดนี่ โอย มันยิ่งสำคัญหนัก เพราะฉะนั้น จะต้องมีญาณปัญญา มีเจโตปริยญาณลึกซึ้ง ตรวจวิมุติ อวิมุติ อย่างนี้ มันยังไม่วิมุติ แท้นะ ยังมีส่วนของอวิมุตินิดๆ หน่อยๆ จึงจะเรียก อนุตตรจิต จิตที่ยิ่ง จิตที่ยอด จิตที่ไม่มีจิตใด เหนือกว่านี้อีกแล้ว อนุตตรจิตนี่ เรียกว่า เหนือกว่าเหนือ มันสุด มันจบ มันสมบูรณ์ จึงจะต้องมี เงื่อนไข ของสมาหิตะ กับวิมุติ นี่เป็นตัวประกอบ เป็นตัวยืนยันชัดเจน เป็นสภาพที่ จะต้องเข้าใจ สภาวธรมพวกนี้ อย่างชัดเจน

นี่ อาตมาก็เทศน์เรื่องอภิธรรม เทศน์เรื่องธรรมะที่เราปฏิบัติกัน สู่โลกุตระให้ฟังก่อน เป็นหลักวิชา

เอาทีนี้ ก็จะขยายความเข้ามาสู่สภาพธรรมดาที่พวกเราได้ปฏิบัติธรรมกันแลัว จนกระทั่ง ได้มีกัลยาณมิตร มีมิตรมีสหาย ที่อาตมาว่าเป็นกัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก มีมิตร มีสหาย มีสังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นคณะเป็นหมู่เป็นกลุ่ม นี่เป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นคณะ ที่เกิดวัฒนธรรม เกิดพุทธบริษัท มีทั้งสมณะ และมีทั้งอุบาสก อุบาสิกา มีศีลจริงๆ เป็นคนมีศีลจริงๆ แม้แต่เด็กที่ อาตมาพูดว่าเมื่อกี้นี้ กำลังเป็นลูกนะ อันนี้จะขอเน้นตรงนี้ก่อน กำลังเป็นลูกที่เรา จะต้องดูแลเลี้ยงดูกัน ไม่ใช่ลูกธรรมดา ลูกทางจิตวิญญาณ ลูกทางโอปปาติกะ และเราต่างคน ช่วยเป็นแม่เป็นพ่อ อย่าหลงตัวมากละ บางคนภูมิธรรมยังไม่ถึงเป็นแม่เป็นพ่อ เอาแต่ใจตัว ไปบังคับเด็ก ไปจัดการกับเด็กจนเกินเรื่องเกินราว และเลี้ยงดูหรือว่าให้การคลอดไม่ดี เด็กแท้ง ขณะนี้ยังไม่ได้คลอดนะ กำลังอยู่ในครรภ์นะ กำลังปฏิสนธิ เด็กศรีษะอโศก นี่เป็นปีที่สองขึ้นมา มีโรงเรียน ทางสันติฯ กับปฐมอโศก เริ่มต้นมีนักเรียน กำลังอธิบายเรื่องพวกนี้ อาตมาก็ต้องอธิบาย เรียกว่า เรากำลังมีลูกนะ ทุกคนจะต้องเข้าใจ จะต้องเลี้ยงดู ไม่ใช่ว่าเด็กมาแปะๆ อยู่มาเรียน เหมือนโรงเรียนธรรมดาทางโลกเขา เด็กมาเรียนกับเรานี่ ไม่ใช่เด็กนักเรียนธรรมดาทางโลก เหมือนธรรมดานะ เป็นลูก เป็นเด็กนักเรียนทุนเลย กินอยู่หลับนอนอยู่ในนี้ แล้วนักเรียนทุน มันเหมือนพ่อแม่ให้ทุน ทุนพ่อแม่เลี้ยงส่งเสียให้เล่าเรียนแล้ว ลูกเรียนจบ ไม่ต้องมาใช้ทุน พ่อแม่หรอก ไม่ต้องเอาหนี้สินมาคืนหรอก

แต่ถ้าเด็กดี เราสอนเด็กดี เลี้ยงเด็กของเราดี เลี้ยงลูกดี ลูกจะกตัญญูกตเวทีเอง แต่ถ้าเราเลี้ยงไม่ดี เลี้ยงไม่สำเร็จนะ ลูกไม่กตัญญูกตเวที เด็กก็ไม่ดี พ่อแม่ก็เก๊ สอนลูกไม่กตัญญูกตเวทีอย่างนี้ เป็นต้น นี่มันกินความแล้ว มันลึกซึ้งซับซ้อน อยู่อย่างนี้จริงๆ เพราะฉะนั้น ทุกคนต้องรู้ตัวนะนี่ ในนี้ว่าไม่ใช่เด็กคนอื่น เป็นลูกเต้าเหล่าหลานเราจริงๆ ที่เราจะดูแล เลี้ยงดู เหมือนกับเรามาเรียน ธรรมะ เราก็มาเป็นลูกพระพุทธเจ้า มาเป็นลูกอาตมา มาเป็นลูกสมณะ ที่ได้กล่อมเกลาเลี้ยงดูกันมา ได้พัฒนาทางกาย วาจา ใจ โดยเฉพาะ เกิดทางวิญญาณ โอปปาติกะโยนิ เกิดทางจิตวิญญาณ เป็นสัตว์โอปปาติกะ ที่ผุดเกิดเป็นอริยะ หรือเป็นเทวดาแท้ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ ไม่ใช่เทวดาปลอม ไม่ใช่สมมุติเทพ ไม่ใช่เทพที่ไปหลงสุข หลงทุกข์ อยู่อย่างโลกๆ เป็นเทวดาแท้ ต้องให้เกิดทาง จิตวิญญาณอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จะต้องดูแลเอาใจใส่ ต้องพยายามเลี้ยงดูกัน

อาตมาเอง อาตมาขอเตือน อยู่อย่างหนึ่งว่า พวกเรา เป็นนักเรียน กศน.นี่ ได้รับคำนิยมชมเชยมาก ระวังจะหยิ่งผยอง มีมานะ ถือดี ข้าทำงานเก่ง ข้าเลี้ยงวัดไว้นี่ หาเงิน หาทอง ข้าใหญ่นะ ระวัง มานะกิเลสพวกนี้ นี่ดูนี่ซิ ฉันหาเงินใช้สอยอยู่นะในวัด หาเงินมาส่งรถเจ้าช้างเผือกเจ้าขาวๆ นี่ฝีมือฉันนะ ระวัง จะหยิ่งผยอง จะหลงตัวหลงตน เป็นมานะกิเลส ถ้ามันเป็นบุญ ก็เป็นของเรา โดยสัจจะ เราไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่น สำคัญหมายว่าเป็นเรา ว่าเป็นของเราหรอก ไม่ต้องหรอก ถ้ายิ่งไป ยึดมั่นสำคัญหมายว่า เป็นเรา เราหาเงินนะนี่ เราเลี้ยงดูนะ แล้วมันก็จะมีกิเลสมานะ อัตตาถือดีถือตัว หยิ่งผยอง และ จะไปกันใหญ่เลย เพราะฉะนั้น เวลาเราจะบอกจะกล่าว ก็อย่าไป ปลุกเร้ากันเกินไป

นักเรียนก็ต้องรู้ตัว ผู้ใหญ่ก็อย่า ไปเที่ยวได้ใช้นี่เป็นยาชูกำลังเด็ก ก็เลยเอานี่ พวกเธอมีคุณค่านะ พวกเธอยิ่งใหญ่นะนี่ ใหญ่นะ หาเงินเลี้ยงวัด หาเงินซื้อรถ หาเงินใช้สอยนั่นนี่อะไร ต่างๆนานา พวกเธอมีคุณ มีความยิ่งใหญ่ มีคุณค่า ประโยชน์จริง และอย่าไปพยายามปลุกเร้ากัน ให้หลงตัว หลงตน ถ้าหลงตัวหลงตน แล้ว ก็เป็นอัตตามานะ ลำบากลำบนกันต่อไปในอนาคต มันก็มีภาวะ ซ้อนอย่างนี้ กิเลส มันจะทำให้เรา ตกต่ำ จะเสื่อม อย่าไปหลงตัวหลงตนอย่างนั้น ต้องสังวร ระวังจริงๆ กิเลสมานะ ไม่ใช่จะรู้ตัว ได้ง่ายๆ เรื่องนี้เรื่องหนึ่ง

ทีนี้ เรื่องค้าเรื่องขาย ที่เราทำงานอะไรพวกนี้ อาตมากำลังจะสร้าง ระบบบุญนิยม กับทุนนิยมนี่ แหม่ มันไม่ใช่ง่ายนะ คนเรามีสัญชาติของทุนนิยมมาก่อน ไม่ใช่มีสัญชาติแห่งบุญนิยมหรอก ไปค้าขาย ไปโลภโมโทสัน เอาเปรียบเอารัด หรือแม้แต่มักมาก ทำงานทำการนี่ ก็จะทำให้ได้ จะเอาไปค้าไปขาย จะทำเอาไป ได้เงินได้ทองอะไรมามาก เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปหาเรื่องจะต้องมีหนี้ หรือมีภาระ เดี๋ยวเงินจะต้องเอามาสร้างโรงเรียน เดี๋ยวเงินจะต้องเอามาสร้างไอ้นั่น เดี๋ยวเงินจะต้องมาก่อไอ้นี่ มันก็จะทำใจเราเห่อเหิม อยากจะได้เงินมามาก มันจะออกไปหาทุนนิยมตามหลักของโลก ไม่มีใครค้านด้วย ถ้าเราจะเอากำไรแบบโลกๆ จะต้องบวกส่วนเกินมาเรื่อยๆ แล้วมันจะเป็นยังไง มันก็จะกลายเป็นหนี้ จะกลายเป็นบาป ออกนอกขอบเขตหลักการของบุญนิยม เราจะขาย ต่ำกว่าทุนไม่ได้ เพราะมัน เดี่ยวค่าต้องเอามาทำไอ้นี่ เดี๋ยวเงินจะต้องเอามาใช้ไอ้นี่ เดี๋ยวเงินจะต้อง เอามาทำไอ้นั่น มันก็จะต้องบีบคั้น เราจะต้องไปบวกเกินมา ไปตั้งราคาแพง ไปหาเงินมามากๆ เสร็จแล้ว พอเราเอาแต่งานที่จะหาเงินมากๆ เราก็จะกลายเป็นนักธุรกิจ เป็นนักธุรกิจอย่างทุนนิยม เราก็จะทำงานฟ่าม สติ สัมปชัญญะปัญญา ก็จะไม่เป็นสัมโพชฌงค์ เพราะไปหลงงาน

อันนี้แหละ จะเป็นกัมมรามตา จะเป็นการหลงใหลนะ จะเป็นหลงใหลในการงาน กัมมรามตา จะยินดี ในการงานจนเกินไป จนไม่มีสติสัมโพชฌงค์ ไม่มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ไม่มีวิริยสัมโพชฌงค์ องค์แห่งโพชฌงค์ตกต่ำ หรือโพธิปักขิยธรรม สัมมัปปธาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ ก็ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่รู้กาย ไม่รู้เวทนา ไม่รู้จิต ไม่รู้ธรรม จะสังวรปธาน ก็ไม่ได้สังวรกันแล้ว มีแต่ไปเพ่ง อยู่ที่การงานผลผลิต ไปเพ่งอยู่ที่ได้ ที่จะผลได้ จะกลายเป็นโลกๆ สังวรปธาน ก็ไม่เป็นสังวรปธาน ปหานปธานไม่ต้องมีเลย ภาวนาปธานก็ไม่เกิด อนุรักขนาปธาน ก็ไม่เกิดแน่ อิทธิบาทก็กลายเป็น การพยายามเป็นวิริยะความเพียร หรือเป็นอิทธิบาท ยินดีในการงาน ทำการงาน เพื่อเงิน เพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ เพื่อที่จะได้สิ่งเป็นธุรกิจแบบโลกๆมา จะโลภโมโทสันมา มันจะแปรปรวน มันจะกลายมาเป็นทุนนิยมอย่างนั้น เพราะเหตุปัจจัยมาเร่งรัดเรา เพราะเรา จะก่องานนั้น จะขยายกิจนี้ จะต้องการเงินเป็นหลัก จะต้องขยายการค้าก็กว้างขวาง จะต้องทำกิจนี้ ให้ใหญ่โตขึ้นมา โดยไม่รู้ตน ไม่ดูตัวไม่รู้ฐานะของตัว มันโลภมาก มันมักมาก ไม่ใช่มักน้อยแล้ว มันไม่สันโดษ มันไม่มักน้อย มันไม่สอดคล้องกับธรรมะ ของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ทุนนิยมกับ บุญนิยม อาตมาพยายามอธิบายนี่ คิดว่า อธิบายได้ พอสมควรแล้วนะ แต่ยังไม่ถึงใจอาตมา

อาตมาคิดว่า ยังมีอะไรอยู่อีก ตั้งละเอียดลออ ยิ่งกว่านี้ ที่อาตมาอธิบาย มันไม่ใช่ง่าย ทุนนิยม กับบุญนิยม นี่มันไม่ใช่ง่าย เพราะฉะนั้น คนเคยค้าเคยขาย จะเอานิสัยค้าขาย มาเพ่งกิจธุรกิจ แล้วก็ลืมปฏิบัติธรรม หลุดร่วงไม่เป็นสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ หรอก หรือสติไม่ เป็นโพชฌงค์ ธัมมวิจัยไม่เป็นสัมโพชฌงค์ ความเพียรไม่เป็นโพชฌงค์ ก็เป็นความเพียร ที่จะก่อร่าง สร้างเงิน สร้างทอง สร้างลาภยศสรรเสริญ หาเงินหาทอง ปฏิภาณ ปัญญา หรือว่า สิ่งที่จะเกิด เป็นคุณธรรม ของเราเอง จะเกิดตัวมุทุภูตธาตุ เกิดจิตที่แววไว อ่านกาย เวทนา จิต ธรรมแววไว ไม่เกิดแววไว แล้วก็ไม่เกิดกำลังของจิต มุทุภูตธาตุนี่ สามารถที่จะอ่านจิตเจตสิก ที่รู้แล้ว แล้วเราก็รู้กิเลส แล้วก็ลดละกิเลสของเรา รู้กาย วาจา ควรทำ ควรพูด เป็นสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ หรือ สัมมาสังกัปปะก็ไม่ทัน มุทุภูตธาตุ ไม่ได้ฝึกฝนธาตุจิต ภูตะนี่คือจิตวิญญาณ มัน จะไม่เกิดมุทุ มันจะไม่เกิดแววไว ไม่เกิดการดัดได้ง่าย ปรับได้ง่าย มันจะไม่เป็นฌาน ปฏิบัติจิต จะไม่เข้าสู่ สภาพฌาน ฌาณ ๔ นี่มีมุทุภูเต กัมมนิเย ฐิเต อาเนญชัปปัตเต มีคุณลักษณะ ๔ จะไปไม่เป็น มุทุภูตธาตุ จะไม่มีกัมมนิเย กัมมนิยะจะไม่เหมาะแก่การงาน กลายเป็นการงานโลก เป็นงานที่ เหมาะควร เพราะได้ทั้งทางธรรม ได้ทั้งทางโลก มันจะไม่เป็นการงาน ที่เป็นธุรกิจ ทางโลกธรรมดา เป็นเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข

ตัวเราเอง ไม่ได้เกิดการปฏิบัติธรรม ไม่ได้เป็น พระโยคาวจร ไม่ได้เป็นนักปฏิบัติธรรม ไม่ได้เป็น ความเพียรอย่างปฏิบัติธรรม แต่เป็นความเพียร อย่างโลกๆ มันจะออกนอกทาง อย่างนี้จริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่เข้าใจในลักษณะมุทุภูตธาตุๆ ที่ยังเป็นฌาน ได้โดยง่าย โดยไม่ยาก โดยไม่ลำบาก ในฌาน ๔ แล้วก็มีองค์ธรรม มุทุภูเต กัมมนิเย ฐิเต อาเนญชัปปัตเต มีลักษณะ ที่จิตแววไว รู้มีญาณปัญญารู้สภาพของปรมัตถ์ รู้สภาพของจิตเจตสิก รู้กรรมของกิริยา กาย วาจา ใจ เข้าใจว่าเราจะพยายามทำให้เป็นสัมมาอย่างไร ทางสังกัปปะก็ไม่ให้เกิดกาม ไม่ให้เกิดพยาบาท ไม่ให้เกิดการเบียดเบียน ไม่ให้เกิดมิจฉาสังกัปปะ ๓ ไม่ให้เกิดกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ไม่ให้เกิด มิจฉาวาจา ๔ ไม่ให้เกิดเป็นมุสา เป็นปิสุณวาจา เป็นผรุสวาจา เป็นสัมผัปลาป ไม่ให้เป็น มิจฉา ๔ ของวาจา ไม่ให้เป็นมิจฉา ๓ ของกัมมันตะ คือ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร ไม่ให้เป็นมิจฉา ๓ ของกัมมันตะ ไม่ให้เป็นมิจฉา ๔ ของอาชีวะ ก็คือไล่อาชีพขึ้นไป ตั้งแต่ กุหนา ลปนา ไม่โกง ไม่หลอกลวง ไม่เอาเปรียบ ไม่ตลบแตลง จะต้องซื่อสัตย์ต่อตน พยายามจะเสียสละ ก็เสียสละให้จริง ไม่ใช่ว่าตอนนี้เสียสละ ตอนนี้ เอาหน่อย โลภ ตอนนี้ ต้องการมาก กลับไปกลับมา อยู่นั่นแหละ ไม่มีทิศทางที่แน่นอน ไม่เอา หรือถือมอบตน อยู่ในทางผิด นิปเปสิกตา จนสุดท้าย ทำงานฟรี ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา เป็นอาชีพที่เลื่อนฐานะ ขึ้นไป จนกระทั่ง แม้จะทำการค้า ก็ลด ฐานะที่จะแลกเปลี่ยนมาได้เรื่อยๆ ถ้าจะทำก็ทำเป็นกองกลาง เราไม่ทำเป็นของตน

และแม้การเงิน ถ้านักศึกษา กศน. ที่นี่จะยินดีเข้าทาง กศน. ของทางด้านรวมกันเป็น กศน.หลัก เป็นการศึกษาหลัก มีสัมมาสิกขา เป็นกองทุนใหญ่ จะจัดสรรอย่างนั้น ก็เอา จะไม่จัดสรร จะดูแล กองทุน กศน. ของตัวเอง ก็จัดสรรไป ทุนสัมมาสิกขาของที่นี่เอง ไม่เป็นกองใหญ่ ของทางโน้น จะทำอย่างนั้นก็เอา หรือว่าจะเอาไปรวมกันกับกองใหญ่ และพวกศึกษา พวกนักเรียนที่นี่ ก็ทำกันไป ทุนต่อไปนี่ไม่ใช่เล่นๆ อาตมาบอกให้ว่า การเรียนของพวกเรา กศน. นี่ถ้าเผื่อว่า เรียนไปแล้ว มีปัญญาเรียน ผู้ใดที่เรียนจบมัธยมปลายแล้ว แล้วสมควร ที่จะเข้า มหาวิทยาลัย ก็ส่งเสียเรียน มหาวิทยาลัย ใครสามารถ จบด็อกเตอร์ ก็ให้ส่งไปถึงด็อกเตอร์ โดยทุนส่วนกลาง คนจะจบ มหาวิทยาลัย คนจะเรียนปริญญาตรี ต้องเป็นพระโสดาบัน คนจะมาเรียนปริญญาโท ต้องเป็น สกิทาคามี คนจะไปเรียนปริญญาเอก ต้องเป็นอนาคามีถึงจะส่ง

บอกไว้ก่อนเลย ถ้าไม่ยังงั้น ไม่ส่ง ต้องมีภูมิธรรมว่าจะเอาวิชาความรู้นี้ มาสร้างสรร มาช่วยโลก ไม่ใช่เอาวิชาความรู้ มาล่าลาภยศให้แก่ตัวเอง ยิ่งมีวิชาสูง ยิ่งมีความรู้สูง ยิ่งมาเอาเปรียบ เอารัด ทางโลก ไม่ส่งละ อยากจะไปดิ้นรนเองเชิญ แล้วก็ไปหาเงินหาทองไปสร้างบาปของตัวเอง เชิญ ถ้าจะสร้างบุญ ก็ต้องสร้างบุญอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราจะดูภูมิธรรม เราเชื่อภูมิแล้วว่า ผู้นี้ ภูมิถึง โสดาบัน พวกนี้ไปแล้ว ไม่ไปเอาหรอกโลก เรียนมาแล้ว ได้ความสามารถความรู้ก็ ไม่เอาไป ล่าลาภ ล่ายศ ล่าสรรเสริญหรอก พวกนี้ เสร็จแล้วก็ไม่อยากไปเรียนเองน่ะ ให้ไปเรียนซิ ไปเรียน ไม่ไปหรอก พอแล้ว ทำงานในนี้ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว ไม่ไปทำงานอื่นด้วย ก็จะทำงานในนี้ พวกเราก็จะทำงาน อย่างพวกเรา เรื่องอะไรเราจะไปเป็นทาสมอบตนในทางผิด ของคนโลกๆ ไม่ไปหรอก ในการศึกษา ก็บอกให้ฟัง เพราะฉะนั้น พวกเราจะต้องดูแลทั้งการเงิน ทั้งการศึกษา

การศึกษาก็บอกแล้ว จะไปไม่ใช่เรื่องเล็กๆ การศึกษา อย่างระบบของพวกบุญนิยม เราก็จำเป็น เป็นการศึกษา และการศึกษาของทุกวันนี้ ที่อาตมาเรียกมันว่า การศึกษาล้มเหลว ก็เพราะว่า มันยิ่งได้เปรียบ ยิ่งไปล่าเอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วมีวิธีการซับซ้อน มันก็ล้มเหลวนะซิ มันไม่ได้ช่วยคนจริงๆ ทุกวันนี้ มันไม่ได้ช่วยคน แล้วมันไม่ได้สร้าง นักเรียนออกไป เพื่อที่จะไปช่วย สังคม ถ้าสร้างนักเรียนออกไป มีแต่เก่งๆ ออกไป เพื่อที่ ข้าจะได้ใหญ่ได้โต ข้าก็จะได้ร่ำได้รวย ข้าก็จะได้มีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ยิ่งใหญ่ ของทุกคน เสร็จแล้ว รุ่นเดียวกัน ก็ไปแย่งชิง ตำแหน่งกัน ข้างนอกเขาก็มารยาท เอ๊ย เพื่อนกัน แต่เอ็งรองข้านะ ข้าใหญ่กว่า เองดี และมีท่าทีนะ ฉันไม่เอาๆ ถ้าไม่ให้แล้ว ระวังเถอะ มีทีท่า ซ้อนเชิงกันอยู่ๆ ยังกะอะไรดี มันไม่จริงใจหรอก มันลาภ ยศ สรรเสริญ มันโลกียะ และมันเป็นกิเลส เอาเชิงฉลาดที่ ข้าจะต้องได้ด้วยวิธี ไม่เอาไม่เอา เลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ลงจากหลังเสือ ระวังนะ เตะเสือก็ได้นะ มันอย่างนี้แหละนะ มันๆ ลำบาก นะ

อาตมาพูดไปแล้วนี่ ก็จะต้องไปกระทบ กระเทือนทางโน้นเขา ซึ่งพวกเราก็อยู่ อย่างอยู่แล้ว ไม่รู้เขา จะบีบเราเมื่อไหร่ แต่ก็ช่างเถอะ เราก็ว่าเราจริงใจ ที่จะสร้างสังคม เพราะฉะนั้น สังคมของทาง บุญนิยมนี่ ถ้าเผื่อว่าแก้ไขทางปัญหาสังคม โดยการสร้างคนให้เป็นอริยะต่อไปไม่ได้ สังคมก็ล้มเหลว แล้วยุ่งยากมาก เพราะฉะนั้น เราจะต้องมาประกาศศักดาว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเรา สามารถที่ทำให้คน แก้ปัญหา โครงสร้างไม่ได้ แก้ปัญหาระบบไม่ได้ เพราะคนมันเลว เพราะฉะนั้น เราต้องสร้างคนให้ดี และคนให้ดีนี่ทำไป จะได้เล็กได้น้อย ก็ขอให้เป็นองค์ประกอบของกลไกสังคม สังคมที่มีกลไก มีพฤติกรรม มีจารีตประเพณี วัฒนธรรม มีกิริยากรรมการงาน อะไรต่างๆ การงาน อาชีพอะไร ก็เป็นแบบบุญนิยมไปหมด การกระทำอย่างบุญนิยม อาชีพอย่างบุญนิยม พูดอย่าง บุญนิยม คิดอย่างบุญนิยม มีสังกัปปะ กัมมันตะ อาชีวะ อย่างบุญนิยม อย่างไปในทางศาสนา ไม่ใช่ ไปอย่างโลกียะ ไม่ใช่อย่างทุนนิยม ไม่ใช่อย่างโลกๆ

เดี๋ยวนี้ ล้มเหลวหมดแล้ว ทุนนิยม ในระดับคอมมิวนิสต์ก็ล้มเหลว อย่านึกว่า สังคมนิยม หรือ ทุนนิยม หรือว่าคอมมิวนิสต์นี่ไม่ใช่ทุนนิยมนะ ทุนนิยม เป็นนายทุนน้อย แล้วก็มีระบบวิธีการ อย่างนั้น เท่านั้นแหละ และบังคับจิต เสร็จแล้ว คนไปจัดสรรจัดการ มันก็มีอำนาจ ระวัง พวกเราจะซ้อนเชิง มันจะคล้ายๆคอมมิวนิสต์ มีพรรค ที่ควบคุมตลอดการ เรียกว่าพรรค หนักๆเข้า จะกลายเป็นพรรคบุญนิยม แต่แท้จริงไม่ใช่บุญนะ เป็นพรรคอัตตานิยม อัตตนิยม เป็นพวกกู หมู่กู กูควบคุมอำนาจอยู่หมด เหมือนพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ไม่เรียกว่าสืบทอดกันเอง เป็นเผ่า คอมมิวนิสต์ นั่นเอง ใครจะขึ้นมาเป็นใหญ่ ต้องมีตระกูลอยู่ในพรรคคอมมิวนิสต์ นั่นเอง และพวกเรา ก็ไม่มีตระกูลบุญนิยม ระวังเถอะ ใครจะเป็นสืบทอดจากองค์นี้ จะนำสืบทอดใครต้องหาซี ใครอย่างนี้ เล่นเป็นแบบสังคมนิยม แบบคอมมิวนิสต์เขา ประเดี๋ยวก็จะเป็นอย่างนั้น ซึ่งที่จริง จะไม่ใช่เลย พวกเราจะช่วยกันจัดสรรของเราเอง และจะเป็นไปตามธรรมองค์นั้น องค์นี้ คนนั้นคนนี้ จะมาดูแล ทั้งสมณะ ที่อาตมายกตัวอย่าง ทั้งพวกเราในฆราวาสด้วย

เราก็จะมีการเข้าใจ และแบ่งแจกกัน อย่างได้สัดส่วนจริงๆ

นี่ก็พูดยังไม่หมด เอาไว้ก่อนฉัน เราก็จะได้พูดกระจายส่วนที่เหลือ ส่วนอะไรต่ออะไรอีก


ถอดโดย นายยงยุทธ ใจคุณ ๒๗ ส.ค.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑.โดย สม.ปราณี
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒. โดย สม.จินดา ๗ ก.ย.๒๕๓๔
FILE:1786.TAP