การตั้งท้องโลกุตระ
โดย สมณะโพธิรักษ์
ณ ปฐมอโศก พ.ศ. ๒๕๓๔

จะพูดกันวันนี้ คงมีอะไรๆ หลายๆอย่าง ที่เราจะต้องค่อยๆทำความเข้าใจ เข้าไปว่า ก็เพราะว่า เรากำลังเกิด กลุ่มคนนะๆ โดยเฉพาะ ปี ๓๔ นี่ มันงอกนั่นงอกนี่ มันเหมือนเด็กวัยรุ่น จริงๆนะ เด็กแตกพาน โอ๊ย ปุ่มนั่น ก็จะเกิด ปุ่มนี่ก็จะเกิด มันเกิดทั้งรูป มันเกิดทั้งนาม ตามกัน จนอาตมาก็คว้าจะไม่ทัน ดิ้นไปนั่น ดิ้นไปนี่ ไอ้โน่นออกมา ไอ้นี่ก็ไม่รู้เท่าทัน ไอ้นั่นก็ยังไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไรกันแน่ คล้ายๆกับว่า มันจะเกิดท่าที เหมือน จะมีโรค มีภัย มีโน่น มีนี่ ผิดปกติ อะไรขึ้นมาอย่างนั้นด้วยซ้ำ มันมีหลายๆอย่างด้วย ที่เราดูๆแล้ว อาตมา ก็เปรียบให้ฟังนะ ดูๆแล้ว มันก็เหมือนอย่างที่ว่านี่ มันก็เป็นไปตามธรรมชาติแหละนะ ธรรมชาติอันนี้ ไม่ใช่แท่งก้อนที่ดูได้ง่าย มันเป็นสิ่งรวม แต่รวมแล้ว มันก็คล้ายๆ กันกะหนึ่งเดียวแหละนะ ทีนี้มันก็ยัง ทำความไม่ได้ อาตมาก็จะขออธิบายให้ฟัง

ก่อนอื่น ก็เรื่องของเด็กๆ ของนักเรียน กศน. ที่มาเรียนกันกับเรานี่ อาตมาก็ได้พูดแล้วว่า แต่พวกเรา ก็ยังเข้าใจไม่ได้กัน เข้าใจยังไม่ดีพอ หรือแม้เข้าใจดีพอแล้ว ก็ยังปรับตัว กระทำการสัมพันธ์ ตอบรับ ให้อยู่ด้วยกัน อย่างที่มันเป็น อย่างที่อาตมาคิดว่า ควรจะเป็นนี่ มันยังไม่ได้ เด็กที่มาเรียน ในหมู่เรานี่ อาตมาเคยบอกแล้วว่า เป็นลูกเต้าของพวกเรานะ ไม่ใช่ลูกธรรมดานะ ลูกจริงๆ นะ ไม่ได้พูดโดยสมมุติ ขอยืนยันว่า อาตมาไม่ได้พูดโดยสมมุติสัจจะ อาตมาพูดโดยปรมัตถสัจจะ ลูกทางปรมัตถ์เลยนะ ถ้าเราไม่เข้าใจ ถึงขั้นนั้นแล้วละก็ ไม่ได้เรื่องแน่ ฟังให้ดีนะ มันกลับกัน สมมุตินี่คืออะไร ต่างๆนานาง่ายๆ แต่อันนี้ ถ้าเผื่อ เราหยั่งไม่ถึงปรมัตถสัจจะแล้ว เราจะไม่รู้สึกว่า เป็นลูก มิจฉาทิฏฐิข้อหนึ่ง ๒ ข้อ ๓ ข้อด้วย ไม่ใช่ข้อเดียว แม่มีพ่อมี สัตว์โอปปาติกะๆมี แม่พ่อ นี่ พวกเราคือแม่พ่อจริงๆ อย่างนี้นะ เราต้องรู้ได้ว่า เป็นแม่เป็นพ่อ อาตมาเป็นพ่อนี่ อาตมารู้ว่า เราต้องเป็นพ่อ ก็พ่อมีในโลก พ่ออย่างอาตมา ไม่ใช่พ่อ อย่างสมมุติสัจจะ ไม่ใช่พ่อที่จะมามีลูก ทางสมสู่กัน ออกมาแล้วมีลูก ไม่ใช่ อาตมาเป็นพ่อทาง ปรมัตถสัจจะ ทางจิตวิญญาณ ทางโอปปาติกะ เพราะฉะนั้น สัตว์โอปปาติกะ นี่แหละ เราจะต้องพยายาม เรียนรู้ แล้วก็แก้ไข ปรับปรุง ให้เป็นลูก ทางโอปปาติกะ นะ เป็นลูกทางจิตวิญญาณ โอปปาติกะนี้ผุดเกิด ทางจิตวิญญาณ

ขณะนี้พวกเรา กำลังตั้งท้องๆ กำลังจะมีเด็ก เด็กกำลังมาจุติแล้ว กำลังจะก่อเกิดแล้ว ถ้าไม่ดี ก็จะแท้ง กันไปหมดแหละ ถ้าพวกเรา รักษาท้องไม่ดี เด็กก็จะแท้ง หรือดีไม่ดี ออกมาเป็นลูกพิการ ออกมา เป็นลูก อีเดียต เป็นลูกโง่ เป็นลูกเกเร เป็นลูกผี เป็นลูกอะไรไปแล้วแต่ ถ้ามันออกมาไม่ดี มันก็จะเป็น อย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น ขอให้เรารับรู้ด้วยว่า ขณะนี้ เราไม่ได้ทำอะไรเล่นๆ ทำจริงๆ และทำกัน ไม่ใช่อย่างไม่ใช่ง่าย ไม่ใช่ธรรมดาหรอก มันเป็นเรื่องโลกุตระ เป็นเรื่องของมนุษย์นี่ มนุษย์พูดอย่าง ยกตัวอย่าง กันบ้างแหละนะ มันเป็นมนุษย์เหนือโลกน่ะ เป็นคนเหนือโลก เป็นมนุษย์โลกุตระ และเรากำลังทำกันจริงๆ จังๆ เราพยายาม ที่จะให้เกิด ให้เป็นให้มี เด็กนี่เราเลี้ยง อย่างเด็กของเรานะ เป็นเด็กที่ใช้ทุนใช้รอน ใช้อะไรของเราทั้งนั้น ให้มาอยู่ในนี้

ถ้าเผื่อว่า เด็กที่มาอยู่กับพวกเรา แกได้รับความอบอุ่น ได้รับความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน เด็กก็จะ ไม่คิดถึงบ้าน ได้รับความอบอุ่นนี่แหละสำคัญ ได้รับความอบอุ่น ได้รับความเป็นพี่ เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นแม่ ได้รับเป็น พี่ ป้า น้า อา ได้รับความเป็นญาติจริงๆ ถ้าเราเป็นได้ยิ่งกว่าญาติ หรือเป็นญาติ จริงๆนั่นแหละ ยิ่งกว่าญาติ หรือญาติจริงๆ ทุกวันนี้ มันจะไม่ใช่ญาติ มันยิ่งเข้าใจ ผิดๆ เพี้ยนๆ ไปมากมาย กิเลสมันมากเข้าแล้ว แม้แต่ลูกที่เป็นสายเลือด ที่เกิดกันออกมากันจริงๆ ก็ยังไม่ใคร่อบอุ่นเลย ทุกวันนี้ เพราะพ่อแม่ก็มีหน้าที่ธุระ ความสำคัญมันไปอยู่ที่ โลกภายนอกหมด ครอบครัวไม่เป็นครอบครัว ผู้หญิงก็จะต้องมีสิทธิ เสรีภาพเท่า ผู้ชาย จะต้องทำงานทำการ จะไปเป็น นายกผู้หญิงให้ได้ จะต้องไปหาซี ๑๒ ให้ได้ อะไรต่างๆ นานา ต้องไปเป็นคนนำธุรกิจ พ่อค้า แม่ค้าอะไร และ ก็จะต้องไปเป็นผู้อำนวยการ ประธานบริษัทอะไรให้ได้ ทำอะไรก็จะยิ่ง จะใหญ่ ไปหมด แย่งหน้าที่ของทางผู้ชาย ทางบ้านไม่เป็นแม่บ้านแล้วเดี๋ยวนี้ ผู้หญิง ก็ไม่เป็นแม่บ้าน อ้างว่าเศรษฐกิจมันสูง เศรษฐกิจอย่างนี้ ถ้าขืนปล่อยปละละเลย ไม่ช่วยกันหาเงิน ก็เลี้ยงลูกไม่ได้ อะไรต่างๆนานา ที่ข้อแก้ตัว ใช้ไม่ได้ทั้งนั้นแหละ แต่เขาก็อ้าง เพื่อจะต้องหาเงินหาทอง มาส่งเสียลูกเต้า ให้เล่าเรียนสูงๆ

ที่จริงนะ ส่งให้เรียนสูงๆ ที่จริงก็ส่งให้ไปแย่อีกเหมือนกัน เด็กที่ไปเรียนสูงๆ ตีนไม่ติดดิน กลายไปเป็น ศักดินาทุนนิยมใส่หัวจิตหัวใจ กลายไปเป็นคน ตีนไม่ติดดิน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ แล้วก็มีความรู้สึกว่า ฉันจะต้อง สร้างโลก หรือว่าสร้างชีวิตของฉัน ให้เป็นชีวิตที่สูง ชีวิตที่อยู่เหนือมนุษย์อื่น ไม่ใช่เหนือคน อย่างที่เราเป็นกันนะ เหนืออย่างที่เขาคิดน่ะ ทุกวันนี้ สังคมมันเป็นอย่างนั้น อาตมาพูดก็คงพอเข้าใจนะ แล้วก็กลายเป็นคนที่ มีการศึกษาแบบโลกๆ มีภูมิธรรมแบบโลกๆ แล้วก็ได้เปรียบมนุษย์อยู่ในโลก ได้เปรียบ แล้วก็ฉลาดแถมเข้าไปอีก มีความฉลาดที่ จะหาเหลี่ยม หาวิธีการ วิธีการนี่โลกเขาก็สร้างอยู่ในตัวอยู่แล้ว

สังขารธรรมในโลกนี่ คือวิธีการของมนุษย์ ที่ได้พยายามก่อให้เป็นกลไก อยู่ในโลกเสียแล้ว ก็ใช่ กลไก เหล่านี้แหละเอาเปรียบ เพราะฉะนั้น ผู้เรียนใดเรียนระบบของสังคมโลกทุกวันนี้ ปุถุชนนี่ ก็เป็นผู้ที่เรียนรู้ กลไกของสังคม ที่จะทำให้ตัวเองไต่ขึ้นไป เป็นผู้พบผลสำเร็จในชีวิต ก็คือรวยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข โดยกลไกของสังคมนั่นแหละ แล้วเขาก็รวยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขนั้น จริงๆ ผู้ใดประสบผลสำเร็จ ก็คือผู้ที่รวยลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นผู้เจริญทางโลกียะ หรือโลกธรรม ซึ่งมันเป็นสภาพที่ ยิ่งทำให้เกิด ความทุกข์ร้อน แตกแยก ตามที่เราก็ได้พูดไปแล้ว อาตมาไม่ขยายความต่อแล้ว ในทางโลกีย์

ทีนี้ กลับมาทางเรา เราจะให้เด็กเข้าใจอย่างนั้น ให้เป็นเด็กของเรา ให้เป็นเด็กที่จะต้องรู้ จะต้องเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะบอกให้พวกคุณไปบีบไปบี้ ไปถึงก็ไปจับเป็นเด็ก ตามที่เราเชื่อว่า นี่โลกุตระ เรามีโลกุตระแล้ว เราก็จะปั้นเด็กให้เป็นตามที่เราว่านี่แหละ ต่างคนก็ทีนี้ หันหน้าเข้าหาเด็กหมดเลยทีนี้ เด็กก็โดนจ้องหมดเลย ไม่เป็นเด็กโลกุตระไม่ได้แล้วตอนนี้ อย่าเพิ่งไปถึงขนาดนั้น นะ สำคัญก็คือ เป็นภาวะ ของการปฏิบัติตน

ทุกวันนี้ พวกเราก็กำลังมีลูกท้องแรก มีลูกท้องสาว ยังไม่ค่อยรู้หรอกว่า อะไรๆ ยังไงๆ ค่อยๆ ถามหมอตำแย ค่อยๆถามแม่ถามพ่อ ที่มีมาก่อนนา อย่างน้อย อาตมาว่า อาตมาเป็นพ่อ เป็นแม่มาก่อน ถามผู้ใหญ่เขาดู เสียก่อน อย่าเพิ่งคิดว่า เราเองนี่เราเข้าใจแล้ว มันเป็นเรื่องลึกซึ้ง ซับซ้อน ละเอียดลออนะ เป็นเรื่องที่ มันเป็นเรื่องเปราะบางเหมือนกัน ถ้าผิดๆ พลาดๆ มันก็กระทบ กระเทือน ทางจิตวิญญาณ บอกแล้วว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องของปรมัตถสัจจะ

ตอนนี้ เราจะต้องพยายามตั้งอกตั้งใจ พยายามศึกษา เป็นการศึกษาของเรา เหมือนแม่ลูกอ่อน ท้องแรก ที่เราจะต้องศึกษา โอ้ เราจะทำยังไง นี่เราจะเตรียมตัวยังไง อะไร นี่ คิดอะไรยังไง นี่ค่อยคิด มันจะมีอะไร เกิดขึ้นมา อาตมาไม่เคยท้องอย่างคนน่ะ แล้วหลายคน ในพวกเรา ไม่เคยท้อง แต่คนเคยท้องนี่ ท้องแรก จะเป็นยังไง มีไอ้โน่นไอ้นี่ เออ แปลกเว้ย เราก็ค่อยๆ ศึกษาไป มันจะมีโน่นมีนี่ไป แต่โดยธรรมชาติ มันไม่แปลกนัก แต่โดยอย่างนี้นี่ มันเป็นธรรมชาติ อีกลักษณะหนึ่ง เป็นโลกุตระ นี่มันแปลกกว่า และมัน จะต้อง เรียนรู้มากกว่า จะต้องฝึกฝนมากกว่า ไอ้นั่นธรรมชาติช่วยหมด ท้องมาแล้ว มันก็เป็นไปในท้อง ของเราเอง มันเกิดเอง เป็นเอง ปั้นเอง อยู่ในท้องของเราน่ะ เดี๋ยวนี้ ก็มีความรู้ ทางด้านท้อง จะต้องให้ไป ฝากท้องกับหมอ หมอต้องแนะนำ จะต้องอย่างโน้น จะทำอย่างนี้ อะไรไปตามเรื่อง ตามราว ตามวิทยาศาสตร์ เขาก็ว่ากันไป

เราก็ศาสนานี่แหละ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ และก็ธรรมะหรือพุทธศาสตร์นี่แหละ เราก็ใช้ พุทธศาสตร์ นี่แหละ เลี้ยงลูก จะพยายามดูแลครรภ์ให้ดี ให้เด็กเกิดมาดี ให้เด็กให้ได้รับ สุขภาพร่างกายอะไร ต่างๆนานา ขึ้นมาอย่างเจริญ อย่างเป็นเด็กโลกุตระ พยายามอย่างนั้น นะ

อย่างน้อยที่สุด เราต้องรับซับซาบอันนี้ก่อน ต้องเอื้อมเอื้อ ต้องพยายาม จะเกื้อกูล มีน้ำใจ ให้เข้าใจ ทำใจยังไงว่า เราก็คงพอ คงเข้าใจ แม้คุณจะไม่เคยมีลูก บางคนไม่เคยมีลูก ก็พอคงจะเข้าใจว่า เออ เราจะต้องมีหน้าที่แล้วนะ จะต้องทำให้ลูก คือผู้ที่เราจะต้องรับผิดชอบ ที่จะต้องดูแล และแล้ว ก็สร้างแก ให้แกโตทั้งร่างกาย และจิตใจ และความประพฤติ ร่างกาย จิตใจ ความประพฤติทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นคนดี คนเจริญทางโลก เขาบอกไปแล้วว่า เขาจะเจริญแบบนั้นแหละ และเขาก็พยายาม จะสร้างลูก ให้เจริญแบบปุถุชน คือแบบโลกียะ แต่ทางธรรม เราก็จะให้เจริญ ทางแบบที่เราเข้าใจเหมือนกัน เราก็เข้าใจ จะให้เด็กที่ขยันหมั่นเพียร ให้เป็นเด็กที่อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นเด็กที่ ไม่แข็งกระด้าง ไม่ดื้อ เป็นเด็กขยัน เป็นเด็กที่มีเมตตา เกื้อกูล เสียสละ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง น่ะ

สรุป เป็นเด็กที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ซึ่งเมื่อเราเอง เราเป็นพ่อเป็นแม่ เราจะให้เกิดโอปปาติกสัตว์ เกิดทาง โอปปาติกโยนิ แปลว่าการเกิดทางจิตวิญญาณ มันจะต้องช่วยกันดูแลไปทั้งหมด ไม่ใช่ว่า ปล่อยให้เป็น หน้าที่ของครู และครูก็ดูแลโดยหน้าที่ รับผิดชอบใกล้ชิด อะไรๆก็ค่อยจด คอยบันทึก คอยสังเกตการณ์ คอยจัดสรรจริงๆ คนอื่น ครูจริงๆ ใกล้ชิดเหมือนแม่ เหมือนพ่อจริงๆ

คนอื่นๆ ก็เหมือนพี่ เหมือนน้อง เหมือนตายาย เหมือนป้า น้า อา ลุง อะไรต่างๆนานา พวกนี้ ซึ่งจะคอยช่วย คอยสนับสนุนส่งเสริม เอาภาระ แกเป็นโน่นเป็นนี่ แกเป็นอะไรต่อมิอะไร แกจะช่วยเหลือเฟือฟายอะไรยังไง เราก็จะต้องช่วยเหลือกันยังงั้น เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เด็กได้รับ ไม่ต้องอะไรมากหรอก จะแค่ว่าใจ กิริยา ทางกาย วาจาก็ตาม แม้ใจเราจะฝืน ยังไม่ลงตัว ยังไม่เกิด จิตที่จะเกิดภราดรภาพ จิตที่จะเกิด ความเป็นญาติ เป็นญาติธรรมอย่างยิ่ง เป็นญาติจริงๆ มันยังไม่เกิดจริง ก็พยายามฝึก พยายามฝนพวกเรา นี่เป็นการพัฒนาพวกเรา เป็นการศึกษา เป็นการฝึกฝน อบรมตัวเรากันเองด้วย โดยมีอันนี้เป็นเหตุปัจจัยนำ เป็นแบบฝึกหัด เป็นส่วนของ แบบฝึกหัด ที่มาให้เราได้ศึกษาด้วย

ถ้าเผื่อว่า เด็กได้แค่ที่อาตมาบอกแล้ว ได้รับทั้งกิริยา พฤติกรรม ที่เป็นสภาพ มีความสัมพันธ์อันสนิท มีความเมตตาเกื้อกูล ช่วยเหลือดูแล เอาใจใส่ ไม่ได้เห็นว่า เด็กเป็นคนอื่น เด็กเกิดความอบอุ่น อาตมาว่า แต่โรคคิดถึงบ้าน นี่แกจะไม่เป็น ตอนนี้เด็กก็อยู่มาพอสมควร แกก็ชักคิดถึงบ้านกันมาก เพราะหลายด้าน ที่ทำให้แกคิดถึง เพราะอยู่ที่บ้าน แกอิสระกว่านี้เยอะ พ่อแม่ตามใจกว่านี้มาก แต่เราก็ไม่ใช่หมายความว่า เราจะตามใจแกแบบโลกๆ ไปทีเดียวนะ แต่ว่าก็ต้องเอื้อ ช่วยค่อยๆอธิบายอันโน้นอันนี้ ค่อยๆทำความเข้าใจ ซึ่งแกก็รู้บ้างแล้ว โดยสัมปชัญญะนะ โดยปฏิภาณ ก็รู้อยู่แล้วว่า แกมาที่นี่ แกมาฝึกหัดอบรม แกก็คงจะ ไม่ทำตน ให้เป็นเหมือนอยู่บ้านแน่ แกก็รู้ว่า จะต้องปรับ อยู่บ้านมันเอาแต่ใจตัว นั่นก็พ่อเรา นั่นก็แม่เรา ประเภทที่จะอะไรต่อมิอะไร ซึ่งแกจะเข้าใจอย่างนั้น มาที่นี่ เราก็ให้แกได้ ช่วยเหลือแกได้จริงๆ ที่นี้ปรารถนาดีจริงๆ มีความอบอุ่นให้ หรือว่าขัดแย้งก็ตาม ขัดเกลาก็ตาม ด้วยความรัก ความเอ็นดู ทำอย่างไร เวลาเราจะขัด จะติเตียนแก นี่ ให้แกรู้ว่า เราติเตียนด้วยความหวังดี ด้วยความเอ็นดู ด้วยความรัก ความอบอุ่น ติเตียนขัดใจ หรือว่าย้อนแย้งอะไรก็ตาม หรือบางทีจะกลายเป็น เชิงคล้ายๆ บังคับ อะไรไปในทีก็ตาม ก็เพื่อให้แกเจริญ ให้แกดี ให้แกพัฒนาขึ้นไปจริงๆ พวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องศึกษา จะต้องพยายาม ปรับปรุงตัวเรา ตัวเราจะต้องเป็นพ่อ เป็นแม่ ขึ้นมาให้ได้จริงๆ เป็นพ่อเป็นแม่ ที่มีประสิทธิภาพเชียวนะ ไม่ใช่พ่อแม่โลกๆหรอก

คุณไม่ได้มีลูกที่คลอดออกมาเป็นของตัวเองจริงๆ แต่คุณจะเป็นพ่อเป็นแม่ อย่างสัมมาทิฏฐิ อย่างที่ อาตมายกมาให้ฟังแล้ว ว่าเราจะเห็นว่า พ่อมี แม่มี เป็นพ่อแม่จริง ให้เกิดทางโอปปาติกะ สัตว์โอปปาติกะ คืออะไร เราจะได้เรียนรู้เองจริงๆเลยว่า แม้แต่ในตัวเรา ก็มีโอปปาติกะ มีสัตว์ มีจิตวิญญาณ ที่เราทำให้ มันเกิดดี เราทำให้จิตวิญญาณเราดีขึ้น เจริญขึ้น คลอดออกมา และเราก็รู้ อ้อ จิตโลกุตระ จะต้องเป็น อย่างนี้ เราช่วยตัวเราได้ เราทำให้จิตของเรานี่ คลอดออกมา เป็นโลกุตรจิต โดยเราทำนี่ เราฝึกฝน เราเรียนรู้ เราศึกษา จนกระทั่ง ทำคลอดจิตของเรา ให้เป็นจิตโลกุตระได้ สิ่งเหล่านั้น เป็นความรู้ที่เราจะมาช่วยคนอื่น ได้เหมือนกัน เป็นการให้การเกิด โอปปาติกโยนิ ให้การเกิดทางจิตวิญญาณ เราทำจิตวิญญาณของเรา เกิดได้ เราจะช่วยคนอื่นได้ ด้วยความจริง เพราะว่า เรามีจริงๆ เราทำได้จริงๆ แล้วก็เรารู้จักจิตวิญญาณ ได้จริงๆ ก็จะเกิด จะช่วยกันได้ รู้เรารู้เขา มันมีเจโตปริยญาณ รู้ผู้อื่น รู้ตน มีปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง มีการรู้ผู้อื่น เป็นอภิญญา เป็นความสามารถพิเศษที่จะรู้ไป จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่ ถ้าเราเกิดความจริง ในตัวเรา เราสามารถรู้จักโอปปาติกะจริงๆ แล้วก็เป็นแม่เป็นพ่อ ที่สามารถทำให้จิตของเรา เกิดบรรลุ พัฒนาขึ้นมาๆ ทางโลกุตรจิตนี่ พัฒนาขึ้นมาเป็นโสดาคุณ สกทาคามีคุณ อนาคามีคุณ อรหัตคุณขึ้นมา ได้จริงๆนี่ อันนี้เป็นเรื่องปรมัตถสัจจะ ที่เราทำให้เกิด อย่างนี้ได้ จึงทำคลอด หรือทำให้คนเกิด คนอันนี้ เอาจิตวิญญาณเป็นหลัก หน้าตาเนื้อตัว อาจจะไม่เปลี่ยนไปเลย แต่มันจะมีราศี ราศีนั่นในร่างเก่านี่แหละ แต่มีจิตใหม่เกิด ผุดเกิดในตัวนี่แหละ แท่งนี้ ร่างนี้จริงๆ

นี่เป็นเรื่องสำคัญ ที่จะกำชับกำชาชาวเราให้รู้ทั้งหมด เพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องเล่นแล้ว หลายคน พูดไปแล้ว หลายทีแล้วก็ยังเฉยๆ ยังไม่กระเตื้อง ยังไม่มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงว่า โอย เด็กก็เด็ก ก็ครูเขาดูแล อยู่แล้วนี่ เราก็ยังงั้น ดีไม่ดีก็ เออ มันเป็นภาระหนัก เราเองลูกเรายังไม่มี แล้วจะไป มีทำไม จะไปยุ่งๆทำไม เราก็พยายาม ทิ้งหนีทุกข์พวกนี้มาแล้ว ทุกข์ภาระพวกนี้

อาตมาก็เคยเทศน์ เรื่องภาระเหมือนกันว่า ภาระนี่มันก็ต้องมีแหละ เราไม่เอาภาระ มันก็คือ คนผู้ไม่เอาภาระ คือไม่ใช่คน ไม่ใช่คนน่ะ มันก็ต้องมีภาระ อย่างน้อยที่สุด คนจะทิ้งภาระ ไม่แบกภาระอะไร ไม่ได้หรอก ขันธ์ ๕ เรานี่ก็คือ ภาระที่จะต้องดูแล จะต้องรับภาระ เอาภาระ แม้แต่ขันธ์ ๕ ก็ยังเป็นภาระอันหนักอันหนึ่ง อื่นๆ เราก็จะต้องเป็นคนเอาภาระ ลงไปได้จริงๆ และจะเป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ก็เพราะว่า เรารู้จักภาระ เอาภาระ มีภาระมากๆ จนกระทั่งมี ภาระมากๆได้ แล้วก็ไม่ได้เป็นคนที่หนักในภาระเหล่านั้นเลย นี่เป็นการพัฒนา ทางด้านศาสนาพุทธ เป็นการพัฒนาขึ้นมา จนเป็นผู้ที่รู้จักภาระ แล้วก็รับภาระได้ อย่างเข้าใจ อย่างที่มีปัญญา อย่างที่เต็มใจสร้างสรร

พระพุทธเจ้านี่รับภาระ สร้างศาสนามาแสนหนัก อาตมาก็รับภาระ หรือใครว่า อาตมาไม่รับภาระ นี่ก็ๆดูๆ กันไปก็แล้วกัน อาตมาว่าอาตมารับภาระ อาตมาเข้าใจ มันเป็นทุกข์ก็จริงอยู่ แต่เป็นทุกข์ ที่มนุษย์ ยังไม่ได้ ปรินิพพานไปจากโลก ก็จะต้องรู้ว่านี่แหละคือคุณค่า ที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ จะพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ อยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ไปแย่งโลกียสุขกันอยู่ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกธรรม กันอยู่เท่านั้น เป็นเครื่องพิสูจน์มนุษย์ อันนั้น ปุถุชนเขาเข้าใจ แล้วปุถุชนเขาก็ทำกัน ยิ่งเดือดร้อน กันไปใหญ่แหละ ระบบของปุถุชนแหละ วิ่งเข้าหากลียุคไปเสมอ มันไม่มีอะไรไปแก้เลย นอกจาก โลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้า ก็ไปช่วยโลกทั้งโลกไม่ได้หรอก ท่านช่วยคนในโลกได้ เป็นที่พึ่งของโลกได้ ก็จริงอยู่ แต่ไม่ใช่ท่านคนเดียว ไม่ใช่ท่านจะเป็นผู้ไปแบก ไปหามโลก คนในโลกจะต้อง มาร่วมมือ และคนในโลก จะต้องมาแสวงหาเอา ก็เพราะว่า กรรมของใคร กรรมของมัน ปัญญาของใคร ปัญญาของมัน ผู้แสวงหา มีดวงตา มีปัญญาเอง และผู้แสวงหา เหล่านั้นน่ะ ใช้ดวงตาที่จะเลือกเฟ้น ที่จะจัดสรร จนตัวเองได้กลายเป็น ผู้มีโลกุตรธรรม เป็นโลกุตรบุคคลได้ ก็มีส่วนหนึ่ง พระพุทธเจ้าหลายพระองค์ จะรับผิดชอบ มาเป็นช่วงๆ รับผิดชอบแล้ว ท่านก็ช่วยคนได้เรื่อยๆ ตามลำดับ ผู้ยังไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่ใช่ง่ายๆ เป็นสิ่งวิเศษ ที่ให้คนประเสริฐ เกิดมาเป็น คนปุถุชน ไม่ได้ประเสริฐหรอก เพราะไม่ใช่อริยะที่แท้ [อริยะนี่แปลว่า ประเสริฐ] ไม่ได้ประเสริฐแท้หรอก ก็อยู่กันไปยังงั้นแหละ วนเวียนนรกสวรรค์ ไปตามเรื่อง ตามราว ได้รับความกล่อมเกลาศึกษา ก็พอเป็นไปได้ เท่านั้นเอง ก็ไม่ได้อะไรนักหนา (คนถาม) ก็เราก็จะต้อง รู้ว่า นี่เด็กของเรา มันไม่น่าเอ็นดู พอถึงปั๊บ คุณก็ได้เด็กดีๆมาเลยยังงั้นเหรอ มิได้ นี่ได้เด็กดีมา พอสมควร นี่พูดกันจริงๆ ถ้าคุณไปเจอเด็กข้างนอก ยิ่งแย่ขึ้นกว่านี้ นี่เราคัดเลือกมาแล้ว และแล้ว เด็กพอใช้ได้ จริงๆ อย่าไปตั้งค่าผิดซิ อย่าไปตั้งค่าเด็กนี่ต้อง แหม ยังกับเพชร ที่เราเจียระไนแล้ว นี่มันไม่ใช่นี่ เราจะเอามา กำลังเจียระไน แหม แต่ของเราได้ แต่จะว่าเทียบ ก็เหมือนเรากำลัง จะได้เพชร ที่มันเป็นก้อนเขรอะขระมา ทั้งดินทั้งโคลนอะไรมา ค่อยๆ มาล้าง ค่อยๆมาอะไร ต่อมิอะไรออก ค่อยๆมาเห็นรูปของเพชร ค่อยๆมาดูเหลี่ยม ดูมุม แล้วค่อยๆ มาเจียระไน ทีละเหลี่ยม ทีละมุมไปนะ ไม่ใช่ว่าขณะนี้ คุณได้ เพชรเจียระไน อย่างดีแล้วพร้อม ไม่ใช่นะ อย่าไปตั้งค่าในจิตใจ ไว้อย่างนั้นซิ เด็กก็คือเด็ก มีอะไรหลายๆอย่าง ที่จะต้องเรียนรู้ เด็กก็ไม่ใช่กิริยา อย่างผู้ใหญ่ เด็กมันอยากรู้ อยากเห็น เด็กมันซน เด็กมันก็จะต้อง อันโน้นอันนี้ อะไรต่ออะไรไป ต่างๆนานา เป็นธรรมดาเลย เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ เด็กซึมๆ เซื่องๆ ไม่กระปรี้กระเปร่า อืดๆ อาดๆ อะไรต่างๆ พวกนี้ เด็กอย่างนั้นต่างหาก ที่จะเป็น เด็กที่จะไม่ค่อย เข้าท่าอะไรเท่าไหร่

ลักษณะของเด็ก มันจะต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ซน ก็จะต้องคอยดู หลายหู หลายตา ต้องช่วย ดูแลกัน และจะต้องช่วยกันบอกไปด้วยความหวังดี ปรารถนาดี บางอย่างบางอัน เด็กไม่ศรัทธาเรา บางอย่างบางอัน บางคนเด็กไม่ศรัทธาเรา เราก็ต้องรู้ตัว นี่เป็นการศึกษาจริงๆ นี่เป็นการฝึกฝน ว่า เราต้องรู้ตัวเราว่า เออ เขาไม่ศรัทธานี่ เราจะสอนจะบอกอะไร ไม่ค่อยได้ดี เท่าไหร่หรอก แต่ก็ไม่ต้อง ไปเกลียดว่า เขาไม่ศรัทธาเรา เราก็เลยชังเขา เขาไม่นับถือเรา เขาไม่ยกย่องเรา แล้วเราก็เลย ช่างหัวมันเถอะวะ ไอ้คนๆ นี้นี่ ต้องเกลียด ต้องชัง ผิดนะ ใครเขาจะไม่ศรัทธาเรา อย่าไม่แต่ศรัทธาเลย เขาเป็นศัตรูเราก็ตาม เราไม่มีสิทธิ์เลย โดยภาษา โลกุตระๆนี่ เราไม่มีสิทธิ ที่จะไปโกรธ ไปเกลียด ไปชังเขาเลย ถ้าเราไปโกรธ ไปเกลียด ไปชังเขา ผิด โดยลักษณะของ โลกุตระผิด ถ้าทางโลกเขาพูดถูกนะ อย่างนี้ไม่ให้โกรธก็ผิดไปละ หรือ อะไรยังงี้ มันก็ต้องโกรธนะซิ ยังงี้มันต้องโกรธ อย่างนี้มันต้องแก้แค้น ไม่แก้แค้นก็ผิดไปละ ไม่ได้หรอก อกตัญญู ด้วยนะ ถ้าไม่แก้แค้น อกตัญญูด้วยนะ ก็ภาษาโลกเขาน่ะ แก้แค้นของเราก็จะฆ่า จะแกง จะทำลาย ทำร้ายกัน อะไรต่างๆนานา ซึ่งมันผิดมนุษย์โลกียะก็อย่างนั้น แต่เราไม่ใช่มนุษย์โลกียะ มนุษย์โลกุตระนี่ ไม่มีการที่จะโต้ตอบ ด้วยลักษณะเหลวไหล อกุศลต่างๆ ลักษณะเหลวไหล ไม่ให้ เกิดทั้งนั้นน่ะ

เราจะต้องเรียนรู้สัจจะความจริงเลยว่า กุศล อกุศล สุจริต ทุจริต เป็นอย่างไร ถูกต้องเป็นอย่างไร แท้ๆ ไอ้ไม่ถูกต้อง ไม่สั่งสม ไม่ก่อให้เกิด เพราะฉะนั้น ต้องทำใจในใจ ต้องเกิดปัญญาญาณ รู้ว่าอะไรเกิด อ้อ ยังงี้มันไม่ถูกต้อง อย่าให้เกิดมาในใจในกาย กายก็ไม่เกิด วจีก็ไม่ให้เกิด ใจหรือมโน ก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องตอบรับ เป็นฝึกหัด ต้องฝึกหัด นี่ต้องเป็นบทเรียน ของเราเพิ่มขึ้น เป็นบทเรียนจริงๆ ไม่ได้เล่นๆ ต่อไป

ตอนนี้อาตมา ยังไม่ได้ให้พวกเราส่งเสริมสนับสนุน ปล่อยไป จนกระทั่ง คุณจะแต่งงง แต่งงาน จะมีลูก มีเต้า รุ่นเรานี่อย่าหวัง อาตมาเอง อาตมายังคุมกำเนิดอยู่ ยังเข้มงวดกวดขัน เรื่องพวกนี้อยู่ ไอ้ที่ทะเล็ด ทะเล็ดออกไปบ้าง ก็เอาเถอะ นั่นถือว่า ereor ถือว่ามันเป็นส่วนที่ลอด มันลอดๆๆ ตะแกรงไปบ้าง ลอดตะแกรงไปบ้าง บางคนก็เอาๆ อนุโลมตั้งอกตั้งใจกันใหม่ มันไปยังโน้น ยังงี้บ้าง ก็พอรับกันได้ก็รับ รับกันไม่ได้ก็หอบกันไปอยู่ข้างนอก โน่น ก็เป็นของมันมาอยู่นี่ มันมีอยู่เรื่อยๆ มันเป็นๆไปอยู่ยังงี้ ก็ไป ตามเรื่องตามราว แต่โดยเจตนารมณ์แล้ว ก็ยังไม่ส่งเสริมสิ่งเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้ หมายความว่า แข็งกระด้าง นะ แข็งกระด้างจนทะเลาะวิวาท เกลียดชังกัน ก็ไม่ได้ เราก็จะต้อง รู้วิธีการ รู้ลักษณะที่เราจะต้องทำยังไง ที่เราจะประสาน คนในโลกนี้จะไม่ให้ แต่งงานเลย ไม่ได้ ศาสนาพุทธเราก็ให้แต่งงานอยู่เหมือนกัน มีคู่ มีอะไรต่อมิอะไรกัน บ้างเหมือนกัน ผัวเดียวเมียเดียว ในระดับที่เรานี่ในโสดาบัน นี่มีลูกมีเต้า มีอะไร ต่ออะไรก็ได้ แต่ว่า อาตมายังอยู่ ในลักษณะ อยู่ในฐานะที่จะให้ทำอย่างนั้นไม่ได้

อาตมาจะต้องปั้นจากสูงไปหาต่ำ วิธีการของอาตมา ต้องทำอย่างนั้นไป เพื่อเป็นแกน เป็นแกนแข็งแรง เอาสภาพคนที่มีตัวอย่าง มีลักษณะมีวัฒนธรรม มีกลไกของสังคม ที่เป็นรูปของ เมืองพระศรีอาริย์ หรือเมืองโลกุตระ ให้ได้เสียก่อน ได้เท่าไหร่ อาตมาพยายามอยู่ พยายามที่จะปั้น พยายามที่จะทำอะไร ต่ออะไรขึ้นไป เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะต้องตกร่วง หรือตกหล่นลอดตะแกรง ออกไปยังงั้น เขาก็จะต้องย่อมรับ อย่างพวกเรานี่ จะรู้ว่า เออ มันตกต่ำนะ

นี่เล่าประกอบให้ฟังว่า พวกเราก็ตกก็หล่นไปได้ เป็นเรื่องเป็นราวตัวเองบ้าง ไม่ใช่เป็นเรื่อง ของวิบากบ้าง อะไรนี่ เหมือนเราดูหนังหลายๆเรื่อง นะ โอ้ มีไอ้นั่น ไอ้นี่ประกอบ อย่างโน้นอย่างนี้ ไปมาต่างๆ นานา หลายอย่างหลายอันอยู่ นะ เราก็จะต้องเข้าใจ

ที่ในๆพวกเรานี่ ตอนนี้กำลังพยายามพัฒนา อย่างน้อยเรื่องที่ว่านี่ ให้เข้าใจกันได้ และเด็กๆ ที่อยู่ที่นี่ แกก็ซน แกก็ทำโน่นทำนี่อะไร มีอยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือ เรื่องที่เด็กขับรถ ขับราอะไรพวกนี้ต่างๆนานา ช่วยกันเป็นหู เป็นตา กันนะ แล้วก็ปรึกษาหารือ เพราะว่าจะมีผู้ดูแลอยู่ เด็กบางคนก็ต้องเรียนนะ ต้องให้แกขับได้นะ คนไหน ที่พอเป็นไปได้ และมีนิสัยที่จะขับ บางคนอยากขับ ขับเป็นแต่ว่า คะนอง หรือว่าเป็นอะไรต่ออะไร พอดูแล้ว นิสัยเป็นอย่างนี้ ขับแล้วเดี๋ยวจะไปกันใหญ่ จะพัง เดี๋ยวก็จะเสียหาย จะถึงตายเอา ก็ไม่เข้าเรื่องเข้าราว เราก็ให้ขับไม่ได้ละ หมายความไม่ผ่าน ไม่ผ่านกฎจราจร ไม่ผ่านใบขับขี่ ขับได้นะ แต่ไม่ผ่านใบขับขี่ ก็ไม่ให้ขับ หลายคนขับได้ดี ให้เป็นไป ต้องให้ศึกษา ต้องให้แกพัฒนา ให้แกขับรถขับรานี่ยังไม่เท่าไหร่ ตอนนี้ ก็มีรถมีรา เจ้าตี๋ เจ้าตั๊ม พวกนี้ เด็กแกจะคว้าง่ายๆ และก็มันไม่มีกุญแจ ควงปื๊ดๆๆๆ ขึ้นขับอะไร ต่ออะไรนี่ ต้องช่วยดูกันนะ

นี่ก็กำชับกำชา ก็ต้องดู จะให้เด็กคนไหนขับได้ พอได้ก็หัดก็ฝึกไปบ้าง แล้วก็ช่วยกัน ดูแลพอเป็นไป อันไหนมันไม่สมควรก็ต้องห้าม ต้องปรามกันไปก่อน นี่ก็เป็นเรื่องๆหนึ่ง ในเรื่องเด็ก ขับรถอะไร ก็เพราะว่า เรื่องนี้ สำคัญนะ มันถึงตายได้นะ ขับรถ นี่มันถึงตายได้ ดีไม่ดี ก็ไปชนคนอื่นตาย ดีไม่ดี ก็ทับตัวเองตาย เครื่องกลหนักหลายๆอย่าง ที่พวกเรามีอยู่นี่ แม้แต่เครื่องกล ที่อยู่กับที่ เครื่องยนต์ เครื่องกลอะไรพวกนี้นี่ ก็กำชับกำชากันอยู่ โดยเฉพาะผู้ที่ดูแล มันเผลอไม่ได้ พวกนี้ๆ ต้องระมัดระวัง นา ผู้ดูแลอยู่กับพวกเรา ที่อยู่ทำงานช่วยเหลือทำอะไรอยู่ ก็บอกไปแล้ว แม้แต่ไอ้เครื่องใช้ ที่จะประกอบ อย่างเด็กพวกที่มาทำงาน มาศึกษา มาฝึกฝน นี่ในโรงงานนี่ อะไรพวกนี้ ซึ่งเป็นกิจการของการศึกษาด้วย เป็นเด็กนักเรียนช่าง เราก็จะมี เครื่องมือให้หมด มีรองเท้า มีเสื้อหมี ไม่ใช่ว่าเสื้อหมีมีชายครุย เดี๋ยวก็ดึงเข้าไปหาเครื่อง ประเดี๋ยวก็จะวุ่นวาย ไม่ปลอดภัย มีถุงมือ มีหมวก มีอะไรต่ออะไรที่จะใช้อะไร เราก็จะต้องซื้อเครื่องไม้ เครื่องมือ เราก็จะ ต้องประกอบ เครื่องไม้เครื่องมือพวกนี้มาให้ ก็ให้เด็กใช้ มีจริงๆ จังๆนะ ทำให้ถูกลักษณะ ก็เพราะว่า เรื่องนี้มันมีประสบการณ์อะไรๆมาแล้ว คนก็ได้ศึกษา คนก็ได้มีสิ่งเหล่านี้เข้ามา ต้องให้ได้นา และเราก็จะมีอะไรต่อมิอะไร ต่อๆกันไปอีก ไม่ใช่ว่าเราทำเล่น

อาตมาก็ยัง แหม มันอยากจะได้สร้างศาลาช่างขึ้นมาจริงๆ คิดตั้งนานแล้วละ ไอ้เรื่องนี้ อาตมาเชื่อว่า เรื่องศาลาช่างนี่นะ มันจะผลิตคนได้ อีกเยอะเลย แม้แต่เด็กๆ แถวนี้ อาตมาเชื่อว่า เราตั้งศาลาช่างขึ้นมา แล้วรับ ศึกษาเด็กเทคนิค เด็กเรียนช่างพวกนี้ จะได้เด็กมาสอนแก แล้วก็เอาเถอะ ยังไง ก็เรื่องของทาง จริยธรรม เราก็จะได้สอน แม้แต่เด็กเหล่านี้ ไม่ใช่เด็กประจำ ไม่ ใช่เด็กสายในก็ตาม ถ้าเราได้เอื้อพอเพียงนะ เราก็จะได้ช่วยแกได้จริงๆ สอน แล้ว แกจะไปทำมา หากินข้างนอก อย่างน้อยก็อบรมทางจิตใจของแก ก็จะได้ไม่เป็นไป อย่างโลกๆเขา ปล่อยให้ไป เรียนทางโลก ไปเรียนช่างทางโลกมา แกก็มาเที่ยวได้รีดนา ทาเร้นมนุษย์เขา อยู่อย่างเดิมแหละ เพราะโลก เขาเป็นอยู่อย่างนั้น เขาไม่ได้เคยสอนว่า มีความสามารถ แล้ว มีความรู้แล้ว แล้วก็อย่าไปเที่ยวได้รีดนา ทาเร้นคนนะ เขาไม่เคยสอนกันหรอก มีแต่ไปเถอะ รีดนาทาเร้น ร่ำรวย ได้มากๆ แล้วก็อย่าลืมครูอาจารย์นะ ร่ำรวยได้ก็มาหาอาจารย์มาช่วยอาจารย์บ้าง อย่างน้อย ก็มาตอบแทนบุญคุณอาจารย์บ้าง มีแต่ยังงั้นแหละ นะ ในที มีในทียังงั้นใช่ ไหม ไม่เคยเลย จะไปช่วยเหลือเฟือฟายเขา เรียนเข้าแล้วก็สั่งสอนคนอื่น ช่วยเหลือสร้างสรร อย่าไปโลภโมโทสันมา คิดราคาต่ำๆนะ หรือไม่ก็ทำให้ฟรีไปเลย เขาไม่สอนหรอกยังงี้ใช่ไหม มีแต่ที่นี่แหละสอน แล้วเขา จะเชื่อเราบ้าง ไม่เชื่อเราบ้าง อาตมาก็คิดว่า อย่างน้อย เขาก็มีสำนึกรับไป มันจะได้เรียนจาก โรงเรียนของเรานี่ จะดีกว่า และจะได้เป็นการสัมพันธ์กับญาติโยมทางด้านนี้ สอน วิชาอื่น ก็ไม่หรอก สอนเกษตรหรือ เขาไม่มาเรียนหรอกที่นี่ สอนทำเห็ดเขาก็ไม่มาเรียน สอนอะไร มาทำยา สอนอะไร เขาไม่มาเรียนหรอก แต่อาตมาเชื่อว่า สอนช่างนี่ ลูกเต้าเหล่าหลาน เด็กแถวนี้ จะมาเรียน นี่อาตมา เห็นอย่างนั้นนะ ศาลาช่างที่นี่ อาตมาคิด แต่ก่อนที่ยังไม่คิดมี กศน. คิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น

เดี๋ยวนี้ มีเด็ก กศน. เห็นไหม พอมีเด็ก กศน. นี่ หน่วยช่างนี่มี ๘ คน เด็กเด็กเท่าไหร่ เด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง ไม่มีหรอก มีเด็กผู้ชาย๑๐ กว่าคน ๑๔-๑๕ คน มาฝ่ายช่างเสีย ๘ คน นอกนั้น ก็แยกไป ฝ่ายอื่นบ้าง หลายๆหน่วย เด็กมันชอบ มันสนุก ไอ้เรื่องช่างนี่ มันชอบ เด็กนะสนใจ ไม่ใช่แต่เด็ก เท่านั้นหรอก พวกที่ทำอะไร ก็รู้สึกว่า มันไม่ง่วงดี หลายๆอย่างนะ ช่างนี่ มันมีอะไรแปลกๆ มัน ลองซอง แหม ลองความสามารถ อะไรหลายอย่าง มันหวือหวาหลายอย่างน่า ไปนั่ง นับเม็ดยานั่น นับไปหลับไป แกก็ไม่อยาก ไปนั่งนับ แต่ก็พยายามบอกแก นั่นเป็นเรื่องดี นะ นับเม็ดยา บางคนมีนิสัยนะนี่ ปรากฏว่า ไปเรียนทำเห็ด มีอยู่คนเดียวนะ ไปโรงเห็ดเรียนเห็ด มีอยู่คนเดียว ผู้หญิงคนเดียวนะ ดินไท มีลูกศิษย์ อยู่คนเดียว นะอ๋อ มีผู้ชาย ๓ นึกว่ามีแต่เด็กผู้หญิงคนเดียว โรงเห็ดทั้งโรงเห็ด เด็ก กศน. นึกว่ามีแต่เด็ก ผู้หญิงคนเดียว ไม่มีเด็กผู้ชายเลย มีเด็กผู้ชาย ๓ เด็กผู้หญิง ๑ เอา นี่ ข้อมูงเพิ่มเติมนะ

เอาละ ก็สรุปนะว่า เด็กก็จะไปทำหน่วยต่างๆ อะไรนี่ การศึกษาหรือ ว่า การที่จะสร้าง เด็กของเราขึ้นมานี่ ให้เด็กมีความสามารถ การศึกษาของเรา นี่จะไม่เหมือนทางโลก

เมื่อวานนี้ มีพวกฝรั่งเขามา เขาถามเรื่องพวกนี้เปรยๆ ปรายๆเหมือนกัน โรงเรียนของเรานี่ อาตมาไม่อยาก พูดมาก ไม่อยากคุยโม้ แต่ก็โม้ไปบ้างแล้ว คำโตๆ ด้วยแต่น้อยคำนะ ไม่ได้หลายคำนัก เพราะมีเวลา ไม่มากนัก ก็พูดให้ฟังว่า เราศึกษา เราสอนเด็กที่นี่ เราไม่สอนอย่างคนโลกๆหรอก แต่เราไม่ได้ไปดูถูก ดูแคลน อะไรมากมายหรอกนะ เราก็บอกว่า เราจะสอนให้เด็กนี่ เน้นไปในด้านศีลธรรม เน้นในด้านศีลธรรม กับการทำเป็น ไม่ใช่เอาแต่ความรู้ เขาก็บอกเหมือนกันว่า ไม่เน้นความรู้ในเรื่องความรู้ ไอ้รู้ๆเป็นนักรู้ แต่เราจะเน้นนักทำ เน้นเป็น การเด็กที่จะกระทำเก่งๆ อะไรนี่ เราก็บอกเขาไปบ้างอย่างนี้ เป็นต้น และจริงๆ เราจะทำอย่างนั้น ให้เด็กมีฝีมือ ความสามารถ ถ้าเด็กเข้าใจ ทางด้านอุดมการณ์ของชีวิต เออ เราสร้างสรรเป็น และเราก็ไม่ใช่ว่าจะสร้างสรร เพื่อที่จะเอาไปล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อย่างน้อย เด็กเข้าใจ อันนี้จริงๆ ไป แม้แกจะฝึกตนเองจะโลภโมโทสันอยู่บ้างก็ยังดี แต่ยิ่งแกลดความโลภ ความเห็น แก่ตัวอะไรได้มากดัวย มันก็จะไปเป็นทรัพยากรของประเทศของโลกที่ดี ไม่ใช่เป็นผู้ที่ ไปผลาญ ไปเอาเปรียบ เอารัด แล้วตัวเองก็ไปเป็นหนี้สิน ตัวเองก็เป็นบาป เป็นเวร แทนที่จะเป็นคนได้บุญ ไม่ได้บุญยังงี้เป็นต้นนะ มันจะไม่เป็นอย่างนั้นจริงๆเลย จะได้มากจะได้น้อย เราก็เจตนารมณ์อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น แกจะไปศึกษาอะไรก็แล้วแต่ ก็ช่วยกันดูแล ช่วยกัน พยายามสอดส่อง เป็นหูเป็นตา เหมือนเด็กเรา ลูกเราหลานเราจริงๆ อาตมาว่าไม่ใช่เหมือนละ เป็นของจริงเลย เป็น ไม่ใช่เหมือน เป็นลูก เป็นหลานของเราจริงๆ ที่เราจะต้องช่วยดูแล ช่วยพยายามอะไรต่ออะไรกันให้ดี

นี่เป็นบทเรียนนะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา เป็นบทเรียนของพวกเรา ทุกคนเลยนะ ไม่ใช่ เด็กแกก็ มาเรียนเรา เรียนบทฝึกหัดของเรา เป็นโจทย์ เป็นสิ่งที่เราจะอบรมฝึกฝนตัวเอง ต้องปรับปรุงตัวเราเองว่า เออ ตอนนี้เราก็กำลังจะเป็นแม่ลูกอ่อนนะ กำลังตั้งท้องๆแล้วนะ นี่ท้องแรกนะ นี่ท้องสาวทุกคนนี่ด้วยนะ ผู้ชายก็มีท้อง ตอนนี้กำลังตั้งท้องแล้วนะ นี่ ทุกคนกำลังตั้งท้อง เข้าใจไหมนะที่พูดนี่ โยมเคลือบเข้าใจไหม เอ่อ โยมเคลือบก็เข้าใจนะ เก่งจัง นี่ เรากำลังตั้งท้อง และลูกนี่เป็นลูกจริงๆ ไม่ใช่ลูกนอกไส้ด้วยนะ ลูกในจิตวิญญาณ เลยนะ ไม่ใช่ลูกนอกไส้นะ ลูกในจิตวิญญาณเลยนะ จึงไม่ได้คลอดในมดลูกเราหรอก ไม่ได้มาเกาะ อยู่ในมดลูกเราก็จริง แต่มาเกาะในมดลูกใจเลย เกาะในมดลูกจิตวิญญาณเลย เกาะอยู่ใน มดลูก จิตวิญญาณของเราเลย นี่กำลังตั้งท้อง เกิดมาเลยนี่ อาตมาไม่ได้เปรียบเทียบนะ ที่จริงอาตมาพูด ภาษาปรมัตถ์ เรื่องจริงนะ ไม่ใช่เรื่องเปรียบเทียบ

ฟังให้ดีนะ และจริงๆ มันจะเอาเด็กเข้าไปยัดไว้ในตรงมดลูกหัวใจ ตรงไหน ถ้าเป็นรูปธรรม มันไม่มีหรอก ใช่ไหม มันนามธรรมทั้งนั้นแหละ มันเป็นเรื่องจิตวิญญาณจริงๆเลย ถ้าเราทำให้ได้ ว่าเด็กที่นี่กำลัง มาก่อเกิดกะเราน่ะ กำลังตั้งท้อง กำลังตั้งก่อปฏิสนธิในมดลูกเราแล้ว มดลูกหัวใจ แหม ภาษานี้ทาง ด้านข้างนอกเขาฟัง ไอ้พวกนี้ มันพิสดารมันพูดอะไรกันวะ มันคงจะว่ายังงั้นนะ เขาคงว่ายังงั้นแหละนะ อะไรวะ มีมดลูกหัวใจด้วย มีการเกิด อาตมาว่า อาตมาพูดถึงนะ อาตมาสื่อ หรือใช้ภาษา เพราะมันไม่มี ภาษาทางนามธรรมน่ะ เข้าใจไหม ในนามธรรม มันไม่มีภาษา ก็ต้องใช้ภาษาทางรูปธรรม ใช้ภาษาวัตถุ ไปขานเรียก ความจริงอันนี้ สัจจะอันนี้ ปรมัตถสัจจะ อันนี้ นี่ก็ให้รู้เรื่อง รู้ราวกัน พวกเรานี่ มีแบบฝึกหัด เพิ่มเติมขึ้นมาหลายเรื่อง นี่เรื่องของเด็ก เรื่องของ การเกิด เด็กที่จะเกิด ที่จะพยายามรังสรรค์ พยายาม ช่วยเหลือเฟือฟายให้แกเกิด จริงๆ นั่นหนึ่ง

อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ เรื่องการเป็นอยู่ในพวกเรา ระบบของพวกเรา เพิ่มเติมกันขึ้นมา ตอนนี้ โภชเนมัตตัญญุตา นี่เป็นแบบฝึกหัดที่พวกคุณยังไม่รู้ตัว มันกำลังเกิดโภชเนมัตตัญญุตา การกิน ตอนนี้เราก็จะกินพืช ผัก อะไรต่ออะไร ของพวกเราเอง มีขบวนการทำผัก ทางด้านแม่ครัวก็หนัก ยิ่งตอนนี้ โอย จะทำอะไร ให้กิน กันหวานี่ผัก ประเดี๋ยวก็ผักซ้ำ มาแล้ว ผักบุ้ง อ้าว เดี๋ยวก็ผักขา อ้าว มาอีกแล้ว วันไหนก็ผักบุ้ง วันไหน ก็ผักโขม อาตมาพูดแล้วทางโลกเขาวันนี้ ก็ผักกาด ประเดี๋ยวก็กวางตุ้ง ประเดี๋ยวก็ผักคะน้า ประเดี๋ยวเขาก็ วนเวียนกินซ้ำซากอยู่นั่นแหละ เหมือนกัน คิดให้ออก เห็นให้ได้ เราก็เหมือนกะเขานั่นแหละ และเราผัก อาตมาว่าของเรามันดีกว่านะ ผักกาด คะน้า กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง อะไรของเราในตลาดนั่น กะหล่ำปลี ก็หน้าแล้ง มันก็ไม่ค่อยมีหรอก ไปมีเอาหน้าหนาว โน่นแหละส่วนมาก หน้าแล้งก็ลูกเท่านี้ ปลูกมาขายทำไม เสียเวลา มันก็มียังงั้น ก็กินซ้ำเหมือนกันจริงๆ นะไม่มีผักมากเท่าเราด้วยซ้ำ ถ้าว่ากันจริงๆนะ แต่อย่างว่า พวกเรายังมี ปริมาณยังไม่มากพอเหมือนเขาของเขาทำ เป็น โอ้โฮ เรียกว่าทำกันอย่างมาก เพียงพอจริงๆ ก็เพราะว่ามันยังงั้น มันทำแล้ว และมาก แล้วก็ ซ้ำซากอยู่อย่างนั้นแหละ ไปตลาดเมื่อไหร่ จะพบผักกาด ไปตลาดเมื่อไหร่ ไม่ มีผักคะน้า อาตมานี่เคยเป็นแม่ครัวมานะ ไม่ใช่แม่ เป็นผู้ชาย ต้องเรียกพ่อ แต่ตอนนั้น ก็ยังเด็ก โตมาแล้วไม่ได้เป็นพ่อครัวเท่าไหร่หรอก แต่อยู่บ้าน อาตมาก็ทำ บ้างทำครัว อยากจะทำกินเองก็ทำ อาตมาทำเป็น จ่ายตลาด อาตมาทำกับข้าวเป็นนะ ไปตลาดก็รู้ก็ซื้อ แหม ไปตลาดก็เดิน ก็มีแต่กองผักกาด กองผักคะน้า จะกินอะไรว้า วันนี้จะซื้อไปทำอะไรกิน อาตมาทำให้คุณล้วนกิน แกติดใจอันหนึ่ง ก็คือ ผักกาดขาวนี่นะ เอามาผัดน้ำมัน ผัดกะเทียมหอมๆ ผัดน้ำมัน แล้วก็ทำแจ่วๆ อีสานนี่ น้ำพริกขี้กาเผ็ดๆ แซ่บๆ รสจัดๆ แกไม่ต้องทำอะไรมากเลย มื้อนั้นมีน้ำแกงให้แกซดอย่างดี อาตมาก็ต้มโคล่ง ให้แกอีก ชามหนึ่ง เพื่อซดแก้เผ็ดนี่นะ ต้ม โคล่ง ก็ยังต้องพริกแห้งนี่นะ ปิ้งหอมๆ แล้วก็โขลกตำๆ เอาลงใส่ในแกง ด้วยนะ ต้มยำ บางทีก็หลายๆอย่าง บางทีก็เป็นกุ้ง เป็นปลาอะไรก็ตามใจเถอะ มันครั้งคราว ต้มโคล่ง ต้มยำพวกนี้ ให้แกซดชามหนึ่ง กะผักกาดขาว ผัดน้ำมัน กระ เทียมหอมๆ นี่กับน้ำพริก นี่ กินข้าว หมดหม้อเลย ชอบนัก วันไหนทำให้กินเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ชอบนัก ชอบนัก ไม่มีคิดอะไรออก ก็ผักกาดขาว ผัด แกก็กินซ้ำ กินซากอยู่อย่างนั้น พุงเท่านี้คุณล้วน อาตมาเป็นแม่ครัว ทำกินจริงๆ เลี้ยงลูก เลี้ยงเต้าของแกมา นะ เลี้ยงทุกอย่างละ เป็นแม่ครัว ก็เป็นชีวิตอย่างนั้นนะ เหมือนแม่บ้าน ตอนเมียแกหนีทิ้งลูกไว้ และแกก็ ไม่เลี้ยงลูก อาตมาก็ไปเลี้ยงแทนก็ไปเลี้ยง อาตมาก็ไปโรงเรียนนะ ทำให้เสร็จเรียบร้อย โอ๊ย ชีวิตเร่งรัดมาก เพราะต้องเลี้ยงเด็ก ต้องทำบ้านทำเรือน ต้องโอ้สารพัดนะ ก็ดูแลบ้านช่องนะ เสร็จแล้ว เราก็ต้องไปโรงเรียน ไปโรงเรียนธรรมดานี่ แกก็ให้จักรยานคันหนึ่งเหมือนกันนะ ถีบไป ไม่ยังงั้นมันไม่ทันการหรอก และเราก็ขี่ จักรยานไป จักรยานของแก จักรยานคันใหญ่ ขี่สเตอริงด้วย โอ๊ ขี่เบี้ยวอยู่ในและไกลนะ แต่คลองหลอด ไปเรียนสีตบุตรเจริญผล ย่านเจริญผลโน่นนะ ไม่ใช่ใกล้ๆนะ ถีบจักรยานไปเรียนทุกวันน่ะ เอาละ ก็เล่าอะไร ประกอบเล็กๆน้อยๆ

สรุปแล้วนี่การกินการอยู่นี่ ผักมันก็ซ้ำก็ซาก อาตมาไปตลาดนี่ อาตมาก็เห็นใจแม่ครัวว่า เอ๊อ จะทำอะไร ให้กินนะ ผักมาอีกแล้วนี่ ผักกาด เราก็ต้องทำโน่นบ้าง ทำนี่บ้าง หมุนเวียนไป ข้อสำคัญคนกินน่ะ ทีข้าว กินได้ทุกวัน ซ้ำทุกวัน ไม่เห็นจะมีอุปาทานอะไรเลย ทีกับข้าว กินซ้ำทุกวัน จริงๆนี่ อาหารอาตมานี่ ถามหน่อยซิ ปัจจัย ๔ ทำอาหารให้อาตมากินนะ ถามหน่อยซิ แกงอะไรผัดอะไรไหม ทำให้กิน เปลี่ยนมา ให้กินบ้างหรือเปล่า ซ้ำซากอยู่นั่นแหละ อาหารนั่นน่ะ นั่นแหละ ก็ต้มมา ตำลึงก็ต้มอย่างนั้นน่ะ บวบก็ต้อง ต้มอย่างนั่นน่ะ ให้อาตมาซดทุกวันนี้ นะ กินมากี่ปีแล้วนี่ ก็กินอย่างนั้นน่ะนะ เราต้องฝึกนะ กินซ้ำซาก ก็เป็นไรไป มันก็ใช้ธาตุพวกนี้เป็นอาหาร นั่นนะ มันก็องค์ประกอบปรุงแต่งบ้าง ที่จริงพวกเรา ไม่ซ้ำซาก เท่าไหร่หรอก พวกเรานี่จะมีผักธรรมชาติ อาตมาว่าแล้ว เมื่อวานนี้ เมื่อวันก่อน ว่าพวกเรานี่ จะมีผักกิน มากกว่าชาวโลกเขานะ ชาวในเมือง ในอะไร เขานี่ เขาแคบ เขามีผักกินไม่กี่อย่าง เขาไม่รู้เรื่องหรอก ผักพวกเรานี่จะศึกษา เพิ่มเติมขึ้น แล้วเราก็จะต้องผลิตขึ้น จริงของเรา ยังไม่มีมากเท่าไหร่ บางอย่าง มันไม่มากพอที่จะเก็บมากิน แต่มีหลายอย่าง ที่เรายังเก็บไม่เป็น ผักที่กินได้ นี่ อยู่ในสวนธรรมชาติเรานี่ อาตมานึกว่า อยากจะได้ตำรามา ตำราที่ให้อรุณเดช ที่พูดถึงไปแล้ว เออ เอามาดู ผักหลายๆ อย่างนี่ เราเปิดจะเอามาทำอะไรกิน อะไรอย่างไร เราเรียนรู้เป็นคนๆ ที่เป็นคนธรรมชาติ เป็นคนที่มีความรู้ ทางธรรมชาติ เอามากินอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างน้อยที่สุด ก็อาตมาว่า ลวกไว้ก่อน จิ้มน้ำพริกนี่ เอาเถอะ อาตมาว่ายังไงๆ มันก็กระเดือกลงนะ ไม่มีอะไร ผักกะน้ำพริกไปก่อนนา มันก็พอไปแล้วนะ ผักน้ำพริก ว่ากันไปเรื่อยๆอย่างนี้ ถ้ามันไอ้นั่นหน่อย ก็ทำไง มีเต้าหู้แกล้ม เหมือนกะกินน้ำพริก แล้วก็มีอะไรนิดหน่อย ใช่ไหม เหมือนกะมีปลาดุกย่าง ของพวกเราก็มีเต้าหู้ น้ำพริกปลาดุกย่าง เราก็น้ำพริกเต้าหู้ ไปก่อน เต้าหู้ย่าง เต้าหู้ทอด เต้าหู้อะไรบ้าง หรือว่ามีอะไรอีกบ้าง นอกจาก เต้าหู้แล้ว มีอะไรอื่นอะไรพวกนี้ ส่วนมาก ก็จากถั่วเหลือง ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองทำมา ก็ทำกันไป

อาตมาก็เห็นใจนะ ที่เรากินซ้ำซาก มันยังติดมันยังวางไม่ได้ ก็เป็นการฝึกหัดนะ จะซ้ำยังไง เราก็ค่อยๆ กินกันไป คนกินก็อย่า แหม อย่าเลือกเกินการนัก มาซ้ำซากก็กินไม่ลง คนครัวก็กลุ้มใจ โอ้ ทำมาดูซิ ทำมา ก็เหลือเบะเลย

กินได้ๆ ถ้าเป็นนักมังสวิรัติ ไม่กินถั่วเหลือง ไม่ช้าก็ตาย ไม่อยู่ อายุไม่ยืน อ้าว จริงๆนี่ พูดเรื่องจริงนะ มันไม่เคย ตอนแรกๆ มันก็เป็นบ้าง ถ้าใจเรายิ่งผลัก ยิ่งอืดเก่ง ไม่ต้องหัดกินทีละน้อยๆ ไป ค่อยๆเถอะ กินแล้วอย่าเพิ่งไป จิตมันผลัก จิตมันไม่ชอบ มันไม่ได้ฝึกปรือมา ไอ้เรื่องนี้ เป็นเรื่องจิตเลย อาตมาขอ ยืนยันว่า มันเป็นเรื่องจิต ถั่วเหลืองไม่มีพิษภัยต่อมนุษย์ ไม่มี ไอ้ที่เขาบอกว่าอืดท้องนั่นน่ะ อาตมาเข้าใจ กินถั่วเหลืองนี่คือ ท้องมันอืดหน่อย ใหม่ๆมันจะอืดหน่อย มันไม่ได้เป็นจากถั่วเหลืองหรอก ไม่ใช่เป็นจาก ถั่วเหลือง ค่อยๆกินไป เอาละ อย่าพึ่งกินทีละมากๆ กินทีละพอสมควร กินไปเรื่อยนะ

เอาละ ก็ต้องพูดกันต่ออีก เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราเข้าใจ ผู้ที่ไปช่วยกันดูแล ช่วยเก็บ ช่วยอะไรต่ออะไร เดี๋ยวนี้ก็มีได้ข่าวว่า มีคณะเก็บผักแล้ว มีทีมหมุนเวียนกันเก็บผัก ก็ดีแล้ว นี่เราจะต้องศึกษา แม้ผู้เก็บ ก็ศึกษา แม้ผู้จะทำกับข้าวก็ศึกษา ต้องให้เป็นความรู้ แล้วจะได้ถ่ายทอด ความรู้นี้ไปต่อไปชั่วอายุคน ไปอีกเท่าไหร่ๆ กลายเป็นคนที่มีปัญญา มีความรู้ ทุกวันนี้ บอกแล้วคนในเมือง ไม่มีความรู้แล้ว มันไม่รู้จักผัก จักพืชอะไรจะกิน มีแต่เขาเอามาให้กิน ยอดคะน้า อะไรล่ะ ทำให้มันอวบๆ ฉีดยาใส่ยาให้มันยอดอวบๆ แล้วก็มาคัดเลือกขายจานละ ๑๐๐ จานละ ๘๐ ไม่กี่ยอด ให้พวกที่โง่ๆหน่อย จ่ายตังค์น่ะ มันล้วงกระเป๋า คนโง่นะ มาทำเป็นเบ่ง มาทำเป็นอวดอ้าง มาทำเป็นร่ำรวย มาอวดร่ำอวดรวย ฉันต้องกินของที่หายากๆ ฉันจะต้องกินของที่คัดเลือก เอาชนิดวิเศษยอดๆ ยอดๆ อย่างที่เขาเข้าใจแหละนะ ไม่รู้ว่าเขาฉีดหยูกฉีดยา เร่งฮอร์โมนมากๆอวบๆ ฟ่ามๆ กินอย่างนั้น กินสวกๆ เขาก็บอกว่านุ่มดี สวกๆ นุ่มดี มันไม่เหนียวดี ก็ถูก เหมือนเขาเหมือนกัน ถูก แต่เสร็จแล้ว มันก็ได้ของ มันเหมือนกะของปลอมนะ เป็นของที่ไม่สมบูรณ์ แต่เขาก็เข้าใจมันดี ยังงี้เป็นต้น หลายๆอย่างนะ

อาตมาก็ค่อยๆ อธิบายไป ก็คงพอเข้าใจ ทางคนในเมืองมันไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนักแล้ว แคบกว่าเรา อย่านึกว่า เราแคบนะ ของเรานี่ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ต่อไป เราจะเรียนรู้บ้าง หลายอย่าง แล้วก็พยายามสร้างขึ้นมาให้เป็นสวนธรรมชาติ ให้เป็นดงธรรมชาติ จะมีผักนานาชนิด หลายอย่างหมุนเวียน เก็บมาอะไรมา ก็ต้องเข้าใจกัน ต่อไปก็มีวัฒนธรรม มีการสัมพันธ์กัน ที่รู้ว่า เออ วันนี้เอาเก็บผักอันนี้เอามาดีไหม คนครัวอาจจะบอกคนเก็บ คนเก็บอาจจะบอกว่า อันนี้มีมาก เอาอันนี้ไหม อะไร โอภาปราศรัยอะไรกัน มันก็จะถ้อยที ถ้อยประสาน ถ้อยทีถ้อยสนิทเนียน ถ้อยทีถ้อยเข้าใจกัน ต่อไป ไม่ต้องพูด ก็รู้แล้วว่า เออ วันนี้ๆ อันนี้ นะ อะไร มันจะสนิทเนียนของมันเข้าไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้ เรากำลังฝึก วัฒนธรรมพวกนี้กัน ให้เป็นระบบ ของชุมชนสังคมมนุษย์อย่างพวกเรา เพราะฉะนั้น ทุกคนก็ต้องฝึก ตอนนี้ แม้จะกินอาหารซ้ำผักซ้ำๆ ก็ต้องฝึกๆกิน นี่โภชเนมัตตัญญุตา บอกแล้วบทเรียน โภชเนมัตตัญญุตา นี่ไม่เบาแล้วนะ อาตมาว่า มันหนักพอควรเหมือนกัน สำหรับคนที่ยังติดยึด ในอาหารมากๆนี่นะ ยังละยังลด ปรุงแต่งอะไรก็ยากอยู่แล้วนี่ หน็อยยังมาให้กินผักซ้ำอีก แต่งอะไรก็ไม่แต่งแล้ว ไอ้ปรุงมากก็ไม่ให้ปรุงมาก ลวกมาตะพึด มีน้ำพริกมา อาจจะเปลี่ยน น้ำพริกบ้าง น้ำพริกวันนี้รสยังงี้ รูปยังงี้บ้าง มีน้ำพริกอย่างโน้น อย่างนี้ไปนิดๆหน่อย แต่ ไอ้ผักนี่ เป็นถาดมายังงี้ อาตมาว่าพวกเราก็ยังกินได้ ไอ้นี่มันเลือดคนไทย มันกินผัก น้ำพริกนี่เลือดคนไทย มันก็กินกันมาแต่ไหนๆ ในกรุงในเมืองเท่านั้น เขาไม่ค่อยกินน้ำพริก จะกินน้ำพริกกะปิ น้ำพริกอะไรนี่บ้าง ก็นานๆที นอกนั้นก็มีแต่ผัด แต่แกงกัน เป็นใหญ่ ทอดออะไรยังนี้ ในเมืองเขาจะกิน อาหารไปยังงั้น

ที่จริงอาหารที่กินทั้งทอดทั้งอะไรทอดนี่เป็นภัยนะ ทอดนี่ แล้วทอดอะไร รู้ไหม น้ำมันหมู คลอเรสเตอรอล ยิ่งคลอเรสเตอรอลทำให้มันไหม้ เป็นอะไรต่ออะไรไปด้วย ทอดนี่จะมีน้ำมัน บอกแล้ว น้ำมันเวลาไปทอดนี่ แหม อาตมาสาธยายพวกนี้ไปก็เสียเวลานิดหน่อย น้ำมันใช้ทอดแล้ว นี่นะ เขาจะทอดได้ในระดับหนึ่ง มันแตกตัว แล้วมันก็ทำปฏิกิริยาดูดซึม ทำอะไรต่ออะไรเข้าไปนี่ น้ำมันทอดพวกนี้ จะทอดเกินกำหนดนั่นไป ไปทอดแล้วถือว่าเป็นน้ำมันที่จะอิ่มตัว ที่จะเป็น คลอเลสเตอรอล ร้ายกาจ ทำพิษให้แก่ชีวิต เพราะฉะนั้น พวกที่ไปทอดของขายนี่ น้ำมันที่เกินขนาด เกินมาตรฐาน ที่เขาจะต้องทอดได้เท่านี้ครั้งกับความร้อน และมันจะต้องมีอะไรต่อมิอะไร เข้าไปผสมผเสแล้วนี่ น้ำมันนี้ถือว่าเป็นน้ำมันเสียแล้ว ถ้าทอดต่อไปแล้ว นี่ไม่ดีแล้ว ตามหลักวิทยาศาสตร์ เขาไม่แคร์หรอก ก็มันเปลืองตาย เปลืองน้ำมันแย่ ใช่ไหม เขาขาดทุน

เพราะฉะนั้น พ่อค้าแม่ค้า ก็ลุยแหลกเลย ทอดไปจนกระทั่ง ถ้ามันไม่ดำปี๋ ฉันก็ไม่หยุดละ ถึงดำปี๋ ฉันก็จะ เอาน้ำมันอื่น เติมเข้าไปๆ ไม่มีการถ่ายเท ไม่มีการเอาทิ้ง ไม่มีการเปลี่ยนหรอก เพราะฉะนั้น คนก็จะได้รับ สารพิษพวกนี้ จากน้ำมันที่เป็นคลอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นธาตุพิษอะไร ซึ่งจะมี คลอเลสเตอรอล อย่างเดียว มีอย่างอื่นอีก อาตมาจำไม่ได้หมด นี่ผิดพลาดพวกนี้ไปอีก เรื่องของทอดนี่ จึงเป็นพิษ เป็นภัยมหาศาลเลย คนไม่รู้ตัวนะ ไม่รู้ตัว ตื่นเช้ามาก็เล่นปาท่องโก๋ทอดนี่ นั่นน่ะ เอามาแล้วและอะไรอื่นทอด กับข้าวอาหาร อะไรก็ทอดๆ ที่ไปซื้อมาจากที่ไหนๆ ที่เขาทำขายนั้นน่ะ ทอดพวกน้ำมัน ของตัวเองทอดเอง ยังค่อยยังชั่ว หรอก พอทอดแล้ว น้ำมันก็เลิกกันไป ก็ทิ้งและเราก็ไม่ไอ้นั่นนัก แต่บางคนทอดแล้วก็เทใส่หม้อ ไว้เก่า แล้วเอามาทอดอีก ทอดจนดำปี๋เหมือนกันแหละนะ บางบ้านน่ะน้ำมัน นี่มันเป็นภัย นี่ก็เล่าให้ฟังนิดหน่อย

มันมีรายละเอียดอีกเยอะแยะเลยคนในกรุงนี่ ที่ถูกทรมานถูกทำให้ตัวเอง เสื่อมจากสารพิษต่างๆ จากไอ้ตัว ที่มันเสียหายพวกนี้ และเขานึกว่าเขาฉลาด นึกว่า เขาเข้าใจ รู้จักทำกินทำอยู่อะไร ต่างๆนานา ซึ่งที่จริง มันไม่ค่อยเข้าท่าอะไรนะ พวกเรานี่มาให้เป็นธรรมชาติมากขึ้นนะ ใส่อะไรต่ออะไร ก็ตามเรื่องของธรรมชาติ ปรุงอะไรไปตามเรื่องของธรรมชาติมากขึ้นนี่ มันจะบริสุทธิ์มากขึ้นกว่านะ เพราะฉะนั้น ยิ่งไปทำอะไร ยิ่งปรุงแต่งมากๆ ไปทำอะไรต่ออะไร พิสดารบ้าๆบอๆไป อีกเยอะๆ มันก็ยิ่งไปกันใหญ่นะ

คิดให้ดีนะว่าในกรุงฯ นี่ได้กินผักมากอย่างกว่าเรา หรือเราได้กินผัก มากอย่างกว่าในกรุง จริงนะ ตอนนี้ ของพวกเรา อาตมาก็พูดซ้ำซาก จริงพวกเรายังไม่มีผักมากอย่างนัก แต่มันมีมากอย่างแล้ว แต่มันยังไม่มี ปริมาณมาก แล้วทีนี้ คนของพวกเราก็ทำครัวรวมใช่ไหม ทำครัวรวม มันก็เลยทำเป็นปริมาณมาก ครัวกลาง ครัวรวม มันก็เป็นปริมาณมาก ก็ต้องมีผักชนิดที่มากๆ มาทำกับข้าว เป็นชิ้นเป็นอัน ขึ้นมา ถ้าสมมุติว่า พวกเรานี่ต่างคนต่างแต่ละครัว ก็ทำกับข้าวเองนะ โอ๊ย สบายเลย ผักพวกเรานี่ได้เจ้านี้ ก็ไปเอาผักของเรา มาทำอันนี้ เจ้านี้ก็ไปเก็บผักของเรา เก็บผักต่างกัน ใช่ไหม จำนวนปริมาณนิดๆหน่อย ก็ทำกับหม้อหนึ่ง ได้ถ้วยหนึ่งชามหนึ่งของเรา กินของเรา มันก็พอใช่ไหม มันทำได้สารพัดสารเพ มันก็ไม่ชนกัน ทีนี้พอดี พวกเรามากลายเป็น มนุษย์ส่วนรวม แล้วการโตก็ไม่ทัน ผลิตพืช ผักธรรมชาติขึ้นมา ก็ไม่มีปริมาณมากทัน มันก็เลย กะเหย่งเก็งก็อย อยู่หน่อยหนึ่ง ก็ขออภัยละ อาตมาก็ว่ามันเป็นแบบฝึกหัดที่ดีนะ มันเป็นแบบฝึกหัด ที่ดี เพราะเรายังงี้ เราถึงมีแบบฝึกหัดอย่างนี้ และเราก็ได้ฝึกหัด โภชเนมัตตัญญุตายังงี้ เรามองไปในมุมดีสิ อย่าไปตั้งจิตไว้ผิด แหม เจออีกแล้ว ยังงี้ ถ้าเราเผลอตัว เราเผลอไผล เราก็จะตั้งรับ ไม่ถูก เพราะฉะนั้น ตั้งจิตไว้ให้ดี โยนิโสมนสิการ ต้องแยบคาย ต้องทำใจในใจให้ดี ตอนนี้เรามีแบบฝึกหัด พระพุทธเจ้าส่งโจทย์ใหม่มาให้อีกแล้วหนอ เอาแล้วโจทย์นี้ โภชเนมัตตัญญุตานี้ ก็ต้องเรียนรู้อีกเรื่องหนึ่ง ทั้งผู้ทำกับข้าว ก็เป็นโจทย์เหมือนกัน ก็ต้องคิด เอาละก็ช่วยเขาหน่อย ทำยังไงได้เล่า ก็พวกเขาก็ต้อง เข้าใจนะก็ ต้องกินมันก็กิน คนทำครัวนี่ ทำไปให้กินแล้วก็เหลือกลับมาเบะๆนี่ หมดใจเหมือนกันนะ คนทำนี่นะ โอ้โฮ ทำให้กิน สุดฝีมือแล้วนะนี่ ทำอย่างสุดๆไปเลยแล้วนะ เสร็จแล้วก็ส่งกลับมาสุดๆ ไปเลยเหมือนกัน มันก็เศร้าเหมือนกันนะ คนครัวนี่เห็นของกลับคืนมา แหม เป็นยังไง ฝีมือเรามันไม่เข้าท่า หรือยังไง ไปพูดไปอย่างโลกๆๆ เขาก็เป็นอย่างงั้น ยังชาวธรรมเราก็ต้องเข้าใจ เราก็ต้องเป็นบ้าง แม้ยังไงๆ มันก็ยังมีลักษณะนี้ บ้างเหมือนกัน แต่คุณทำให้อาตมากิน ไม่มีปัญหาหรอก คุณทำมาเลย ยังไงก็ได้ ต้มมา ลืมใส่เกลือ ก็มีบางที จริงๆนะอาตมาพูดตรงๆต้มมานี่ อาตมาก็ซดโอ คราวนี้เขาให้กิน ต้มแต่ผักกับน้ำ ให้กินเฉยๆนะ เอากิน จริงๆบางทีลืมใส่เกลือ ลืมใส่ซีอิ๊วมาให้จริงๆ เราก็ซดไป ก็ไม่ได้บ่นหรอกนะ ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้ต่อว่าเลยนะ ครวนที่ไม่ได้ใส่เกลือใส่ซีอิ๊ว อาตมาก็ไม่เคยต่อว่า ก็กินต้มมาบางครั้งบาง คราว ไม่รู้ลืมได้ยังไง อาตมางงเหมือนกัน เอ๊ เผลอยังไง ลืมไม่ชิมหรือยังไงไม่รู้ มี แต่ว่าก็ไม่บ่อยหรอก น้านนานจะเผลอสักครั้ง โอ้ คงลืมจริงๆ ไม่ใส่เกลือมาเลย มันก็มีรสของผักที่ต้มมานั่นแหละ ไม่มีปัญหานะ ฝึกต้องฝึกจริงๆ มีคนบอกว่า ฝึกอย่างไร จะลดให้ฝึกหัดกินทีละอย่างบ้าง กินข้าวเปล่าๆ แล้วก็กินผักเปล่าๆ กินน้ำพริกเปล่าๆ แหม มันต่างกันนะ กินน้ำพริกเปล่าๆให้มันได้ปริมาณที่เราต้องการ แหม มันไม่ใช่เล่น เหมือนกันนะ กินผักเปล่าๆ แต่ก่อนก็เคยกินแต่แกล้ม ไอ้โน่นแกล้มไอ้นี่ คละเคล้ากันไป เพราะฉะนั้น จะฝึกยังไง ต้องฝึกกลับไป กินคลุกก็แล้วอะไรๆเปรี้ยวหวานมันเค็ม มาคลุกเคล้ากันกิน มันกลับอร่อย ไปลองอย่างแยกบ้าง อาตมากินฝึกมาจนกระทั่งแม้แต่ เอ้อ เราจะกินอันนี้ให้ได้เท่านี้ พริกขี้หนู เปล่าๆ ก็ต้องกิน ถึงเวลาแล้วกินเปล่าๆลองเคี้ยวทีละคำโต ก็ไม่ได้มันเผ็ดมาก กัดทีละนิดๆ ค่อยกินช้าๆ เร็วก็ไม่ได้ พริกขี้หนู ขืนป้อนเร็วๆ มันก็ไปทันกันแหละนะ อย่างนี้ เป็นต้น เขาก็มีวิธีกิน เรากินถ้ากัดได้คำโตหน่อย ค่อยๆกินคำโตหน่อย พอถึงเวลามันมีพริกขี้หนู ก็ต้องกินพริกขี้หนู นี่นะแยกกิน หัดบ้างซิ หัดกินรวม หัดกินแยก หัดกินทีละอย่าง อะไรต่างๆนานาพวกนี้ฝึกไป

การกินนี่บอกแล้ว แม้พระอรหันต์ก็ต้องกิน เรื่องอาหารนี่เป็นหนึ่งในโลกนะ อาหารนี่ต้องฝึกมัน จนกระทั่ง เราต้องอยู่เหนือมันจริงๆ ไม่ใช่อยู่เหนือง่ายๆนะ เรื่องอาหารนี่ เพราะฉะนั้น มันเป็นบทหัด โภชเนมัตตัญญุตา อนันต์ เสนาขันธ์ ว่าไอ้พวกนี้มันตระกละพูดแต่เรื่องกิน ธรรมะอะไรของมันวะ พูดแต่เรื่องกิน อาตมาถึงบอกว่า อนันต์ไม่ได้เป็นนักปฏิบัติธรรม ไม่ได้เป็นนักศึกษาทางธรรมะ ของพระพุทธศาสนา

คำสอนของพระพุทธเจ้านี่ให้พิจารณาอาหาร โอ้โฮ! ตั้งแต่อาหาเรปฏิกูลสัญญา โภชเนมัตตัญญุตา มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง อะไรนี่ มีแต่เรื่องกิน ศึกษา พิจารณาเรื่องอาหาร อาหารเป็นหนึ่งในโลก ต่างๆนานา มีอาหารสัปปายะด้วย ในระดับเรื่องของอาหาร ทำอย่างไรมันถึงจะเป็นสัปปายะ มันถึงจะเจริญ ทำอย่างไรถึงจะมีอาหารที่เจริญ อาหารเจริญนี่มันเกี่ยวข้องขนาดไหน ตั้งแต่ กวฬิงกราหาร กินเข้าปาก ลงท้องไปนี่ เป็นอาหารคำข้าวนี่ ต้องศึกษาทั้งนั้น มีคำสอนในด้าน เรื่องอาหาร มีตั้งมากตั้งมาย อาตมา เท่าที่จำได้ คิดออกมาพูด เดี๋ยวนี้มีตั้งกี่สูตร กี่แขนงกี่อย่างแล้ว ต้องศึกษา กวฬิงกราหารก็ต้องศึกษา แม้จะศึกษาผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหารต่อไปก็เถอะ ยังงี้เป็นต้น เขาไม่เข้าใจ ฝึกหัด ก็ได้เอาไปปฏิบัติ กันนั้น มันเพี้ยนไปหมดแล้วศาสนา และมันไม่ค่อยรู้เรื่อง สารัตถะของการปฏิบัติตน ให้ลดละกิเลส เหมือนเรา กินอาหารนี่ เราปฏิบัติได้อย่างไร แล้วปฏิบัติเพื่อลดละกิเลสในอาหารขนาดไหน เราเรียนรู้กัน จริงๆ ต้องฝึกปรือกันจริงๆ ความเข้าใจก็ยังไม่เข้าใจ รู้ก็ยังไม่รู้เลย ไม่มีทางหรอก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามนี่ก็ไม่ได้ออก เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าพระ ไม่ว่าพระกัมมัฏฐานขนาดไหน ก็ยังบอก แหม อาหารนี่ ก็อร่อยนะ โอ๊ยน่าอายตายเป็นพระ ไปชมอาหารอร่อย พระกัมมัฏฐาน อาจารย์ใหญ่ๆ ด้วยนะ โอ๊ย อาหารโน่นอาหารนี่ ถูกปากถูกคอนะ ก็กินกันไปอยู่อย่างนั้น อย่าว่าแต่ติดอาหารเลย แม้แต่รสของหมาก ของบุหรี่ ก็ยังไม่รู้เรื่องเลย จะต้องละ จะต้องลด ต้องเลิกลด ยังสูบยายังกินหมาก ยังเป่ายานัตถุ์ ยังถุน ยาดมอะไรก็แล้วแต่ ทั้งรูป รส กลิ่น ก็ไม่เข้าใจกาม ไม่เข้าใจรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ปฏิบัติกัมมัฏ ฐาน เป็นพระปฏิบัติกัมมัฏฐานอาจารย์ใหญ่ๆ อะไรก็ตาม อิเละเขะขะนุงนังไปหมด ติดยึดอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่เข้าใจนะ


ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ ผู้ถอด ๒ ส.ค.๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๒๕ ส.ค.๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา ๑๓ ก.ย. ๓๔
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๑๔ ก.ย. ๒๕๓๔

การตั้งท้องโลกุตระ/FILE:1799.TAP