เห็นอริยะ เห็นทุกข์ หน้า ๒
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
ทำวัตรเช้า เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๔ณ พุทธสถาน ปฐมอโศก

ต่อจากหน้า ๑

เพราะฉะนั้น จะศึกษาเรื่องของความจบความหยุด ความไม่เกิดอีกนี้ ปัญหาของการเป็นคู่ เมถุน หรือสิ่งที่จะต้อง สังเคราะห์กันเข้าไป เพื่อที่จะให้ มันเกิดเผ่าพันธุ์ ให้เกิดการสืบต่อ ต้องเรียนรู้จริงๆ เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธ นี่ยืนยันเลยว่า เรื่องเพศคู่นี่ จะต้องจบ ถ้าใครเพศคู่นี่ไม่ได้ ไม่ต้องขึ้นถึงอนาคามีหรอก อยู่แค่โสดานี่แหละ สกิทาก็ยังจะไม่ขึ้นนั่นน่ะ น้องๆ อยู่อย่างนั้นล่ะ ก็ไม่ได้ไปไหนๆหรอก ไม่มี ช้าอืดอาดอยู่นั่นแน่ะ มันต้องมาเรียนรู้ เป็นเรื่องต้น เรื่องกลาง เรื่องปลายอะไรให้ชัดเจน เพราะฉะนั้น จากอบายมุขนี่ จะเป็นการพนัน จะเป็นการที่ไปหวังได้เปรียบ โดยไม่เข้าเรื่องเข้าราวอะไร เล่นการพนัน มันมีอยู่สองอย่าง อย่างหนึ่ง ตะกละตะกลามสิ่งที่จะได้เป็นลาภ นี่การพนัน อีกอย่างหนึ่งก็คือ อัตตา อย่างที่อาตมาพูดแล้วว่า ทำไมกูไม่ชนะ เงินกูไม่ว่า ฉิบหายเท่าไหร่ก็ไม่ว่า ไม่ได้เสียดายเรื่องเงิน จะเอาชนะคะคาน นั่นก็เป็นเรื่องการพนันที่จะเอาชนะทางอัตตา ถ้าใครทั้งสองอย่าง เงินก็จะเอา อัตตาก็จะใหญ่นะ โอ้โฮ หนักเลยอีงวดนี้ แต่ถ้าใครอัตตาใหญ่ๆ เงินก็ฉิบหาย ผู้นั้นก็หมดแต่เงิน แต่อัตตาหมดเท่าไหร่ก็สู้เหมือนกันนะ ยืมหนี้ยืมสินเขามา ฉิบหายเงินน่ะ นั่น ก็เหมือนกัน จะเอาแต่เงิน เงินนี้ก็ไปยืมมาเหมือนกัน ติดเงินแล้วอยากได้เงิน แต่มันก็ยังหยุดยั้งกว่า ถ้าติดแต่เงินนะ คือเล่นการพนันเพื่ออยากได้เงิน แต่อัตตาไม่ค่อยมาก ไอ้พวกนี้ก็ไม่เท่าไหร่ หนักเข้าก็ไม่ค่อยสู้ ไม่ชนะช่างหัวมันเถอะ ไม่มีเงินแล้วนี่หว่า ไม่มีเงิน ไปกู้หนี้ยืมสินเขา มันก็ทุกข์ มันก็หยุด พวกที่ไม่อัตตานี่ เล่นการพนัน จะหยุดได้ง่ายกว่า พวกที่มีอัตตา พวกมีอัตตามานะ เล่นการพนันแล้วหยุดไม่ได้ง่ายๆ ยิ่งเคยเป็นเศรษฐี เป็นอะไร ต่ออะไรแล้วนะ โอ้โห พวกนี้ยิ่งมีอัตตา นะ เป็นเศรษฐี มีเพื่อนมีฝูงมีคนที่รวยมาก เคยพึ่งพา อาศัยกัน ใช่มั้ย ก็กู้หนี้ยืมหนี้ เป็นหนี้บ้านหนี้เมือง สุดท้ายก็ ฆ่าตัวตาย

เพราะฉะนั้น พวกที่ฆ่าตัวตาย การพนันที่ต้องการเอาชนะคะคานนี่ หุ้น คือการพนันชนิดหนึ่ง พอเล่นหุ้นแล้ว เอ๊ เราไม่ฉลาด เราไม่รู้เท่าทันได้อย่างไร เสร็จแล้วก็อยู่ในวงการมีเงิน คนที่มีเงิน มีทองมากๆ คนร่ำรวยนี่นะ ไปเล่นหุ้น เข้าไปหมดตัวนี่นะ แล้วมีเพื่อนที่จะยืมอะไรได้นะ ประเดี๋ยว มันก็ยืมได้ ยืมได้มันก็ไม่มีทางแก้แล้ว ทำอย่างไร ฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตาย เพราะไม่มีทางช่วย อัตตา พยายามที่จะนั่น เงินด้วย บางคนก็ติดว่า จะต้องได้เงินมาคืนด้วย เอาละ ไม่ขยายความมากนะ

สิ่งเสพย์ติดการพนัน บันเทิงเริงรมณย์ พวกเรื่องบันเทิงเริงรมย์ที่ทุกวันนี้ จัดจ้านมาก อาตมาพามา ให้บันเทิงเริงรมย์นี่ มันต้องเป็นฐานอาศัยของคน ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เป็นพวกคนป่า คนบึ่มๆๆๆๆ มีร้องมีรำมีเต้น มีอะไรเป็นเพื่อคลาย คลี่คลาย ให้ผ่อนคลาย การแสดงออก เป็นเรื่องของฐานอาศัยของมนุษย์ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงตั้งฐาน ศีลห้า มีร้องรำ ทำเพลง มีการบันเทิงเริงรมย์ได้พอสมควร ทีนี้พวกที่มีนิสัย หรือว่ามีจิตเจโตแก่กล้านะ (พ่อท่านหัวเราะ) ไปทาง อนุรักษ์นิยมเกินไป ก็จัดจ้าน หลง หลงฐาน คือตัวกูนี่ ถือศีลแปดได้ ถือศีลอะไรก็ใหญ่ เที่ยวมองคนอื่นเป็นพวกต่ำไปหมดเลย ดูถูกดูแคลน แล้วก็ไม่เอาเรื่อง ไม่เอาราว ไม่อนุโลมเขา พวกนี้แคบ พวกนี้มองอัตตาเป็นอัตตา ไม่มองผู้อื่น ไม่เห็นใจผู้อื่น ไม่เข้าใจฐานผู้อื่น พวกนี้ก็จะไม่อนุเคราะห์ ไม่อนุโลม แล้ว ดูถูกดูแคลนผู้อื่นด้วย ไม่เข้าใจฐาน ก็เป็นไปตามตัวเขา นอกจากตัวผู้ที่รู้ตัวเอง ว่าตัวเองไม่ได้ ถ้าขืนไปแตะต้อง สิ่งที่บันเทิง เริงรมย์พวกนี้ ตัวเองอ่อน จะถูกมอมเมา จะถูกดึงดูดไป ตัวเองก็ระวังตัวเองก็แล้วไป แต่คนอื่น เขาจะเป็นก็เข้าใจเขาก็ดีอยู่ สำหรับคนอย่างนั้น บางคนไม่เข้าใจเขาไปดูถูก ดูแคลน พวกนี้ นอกจากไปดูถูกดูแคลนแล้ว ต้าน กั้น ปิดป้อง อะไรต่ออะไรด้วย นั่นปิดคนอื่น อันนี้ ไม่ถูก อย่าไปปิดคนอื่นเขาซิ คนอื่นเขาก็ฐานของเขา แต่เราต้องมีวิธีการที่จะให้เขาได้ธรรมะ ขนาดนั้น ขนาดนี้ ทำไมอาตมาให้มาแสดงแต่แค่อายุ ตั้งแต่มันจะแสดงได้ ไม่รู้ละ มันจะกี่ขวบ ก็ช่างเถอะ หนึ่งเดือนมันจะแสดงได้ เอามันไปแสดงบนเวที ถ้ามันแสดงเป็นน่ะ ถึง ๑๓ ส่วนสูงไปก็ ๕๐ ขึ้นไป ถึงค่อยขึ้นไปแสดง ทำไมอาตมาทำอย่างนั้น หลายคนก็คงเข้าใจ อาตมาไม่ต้องการ การปรุงแต่ง ไอ้พวกนี้กำลังฟิตจัดๆ แหมเลือดฉีด ฮอร์โมนเต็มๆนี่มันก็ โอ๋ นักปรุงนักแต่ง มันก็อย่างนั้นแน่ะ มันซิ่งกันอยู่ทั้งนั้นแน่ะ ขนาดนี้ ที่ร่ำรวยกันอยู่ทุกวันนี้ มันก็ขาย ไอ้วัยรุ่นทั้งนั้นแหละ ร่ำรวย มันก็ปรุงแต่งในรสอย่างนั้น มันจัดจ้านเกินไปแล้ว มันก็แหม...แหลกราญ ไม่หวาดไม่ไหว อาตมาไม่เอาอย่างนั้นหรอก ให้มันพอมี รสชาติ พอมีฐานอาศัย พอเป็นพอไป ไม่ยั่วยุ ไม่เพิ่มใหัมันจัด ให้มัน อะไรเพิ่มขึ้น ก็แค่นี้

พวกเราดูๆแล้วไม่ค่อยติด ค่อยยึดกันเท่าไหร่หรอก ก็ดูไปอย่างนั้นน่ะ ก็ทำไป เด็กๆก็ทำได้ ประมาณนั้น ใครทำความสามารถ มีความสามารถทำได้ดีก็ เออ ก็ขนาดนี้แหละนะ ไม่ต้องไปยั่วยุกันเกินการ คนแก่ก็ทำไปตามประสาแก่ ๕๐ ขึ้นไปแล้ว ก็ทำได้ขนาดนั้นแหละ จะยังมีความสามารถอยู่ก็ทำไป บางคนก็แก่ ยังไม่ยอมหยุดไปบ้าง ก็อายุตั้งมากๆแล้วก็ เอ้า...ให้เขาหิ้วขึ้นไปก็เอาบ้าง...เอา ก็ตามแต่ บางทีก็ดูไปแล้ว ก็น่าสังเวชใจ บ้างเหมือนกันนะ เอ้า ก็จะได้รู้ แทนที่จะดูแล้วก็ติดก็ยึดก็เห็น แล้วก็ปลงสังเวช ก็ดีนี่ ใช่มั้ย มันเป็นวิธีการ ของอาตมา ไม่ใช่ทำง่ายๆนะ หลายคนก็เห็นว่า มันไม่มัน ก็ไม่มีกะใจ อย่างมาเล่น คนที่มาเล่นแล้ว ก็ไม่ค่อยมันเท่าไหร่ มันแหม ทำไมมันกดเอาไว้ ทำไมไม่ให้ซิ่งเต็มที่ ไม่ให้ดิ้น เต็มที่อะไรนี่ อาตมาต้องคุมไว้ เด็กๆก็ต้องรู้ตัวไว้เหมือนกันว่า อาตมาคุมไว้ ไม่ใช่ว่าอาตมา ไม่มีความเข้าใจ อาตมาเข้าใจ เพราะฉะนั้น เราก็ทำได้ ตามประสาของเรา ขนาดนี้ อาตมาก็ดูแลนโยบายอยู่ว่า ก็ต้องมีฐานให้แก่ศีลห้า มันจะได้วงจร สมบูรณ์ เราไปดูนี่ เราทดสอบตัวเราเอง หนึ่ง ตัวเราเองเราติดยึดมั้ย ไม่ติดก็ดีแล้ว ขณะนี้ไม่ติด แต่อาตมา ไม่อยากจะเอาที่แรงๆนั่นน่ะ มาจัดจ้านนั่นมายั่วยุ ว่าคุณจะติดมั้ย ไม่แน่นะ ขณะนี้ไม่ติดแล้ว ว่ารสไม่จัดไม่จ้านน่ะ แต่แรงๆจะติดมั้ย อาตมาต้องห้ามไว้ด้วย หลายๆ อย่าง ถ่ายทอดมา ทางโทรทัศน์ มันก็ต้องคอยควบคุมกันอีกด้วยซ้ำ บางทีก็ให้ปล่อยออกมา บ้างเหมือนกัน ลองดู แล้วเราก็ต้องมีสติ แว็บๆมา โอ้โห เรา...เอาเหมือนกันนะ โฮ้ เขาทรายชกนี่ อื้อฮือ ไอ้ตอนยกสอง วูบเหมือนกันนะเรา อย่างนี้เป็นต้น ปีนี้อาตมาดู เขาทรายชกนะ แหม...อาตมาไม่ได้ดูมา ตั้งแต่ไหน แต่ไหนแล้ว มันก็ดู แวบๆๆ แต่ไม่ได้เจตนาดู แต่ปีนี้เจตนาดู เจตนาดูเพราะอะไร เพราะถูกบังคับ -เหตุการณ์ อาตมาไปอัดเสียง ไอ้คนที่คุม เสียงเขาก็...โอ้โฮ มันก็ติดอยู่ มันก็อะไร อาตมาจะไปปิดกั้นเขาก็ไม่ได้ ก็ต้องอนุโลม ให้เขาเปิดโทรทัศน์ ก็ดู อาตมาก็จะไปทำอย่างไร ก็ดูกับเขาด้วยไปเลย (คนฟังหัวเราะ) ก็ดู เจตนาดู ตั้งใจดู ดูก็รู้ รู้เห็น ก็เข้าใจ แล้วก็พิสูจน์ตัวเองด้วย จริงๆอาตมาไม่มีรสกับมันหรอก แต่ก่อนอาตมา รู้นะว่ารส อาตมาก็เคยพยายามปรุงตัวเองนะ ชกมวย เล่นกีฬาอะไรนี่ มันสุขอย่างไร อร่อยอย่างไร อาตมาก็รู้รส แต่รสอย่างนั้นน่ะ คืออัสสาทะอย่างนั้นน่ะ มันเป็นอย่างไร อาตมาเข้าใจแล้ว อัสสาทะคือรสอร่อย แต่รสอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะรสอร่อย ทางลาภ ยศ สรรเสริญ อะไรก็แล้วแต่เถอะ อาตมาเข้าใจแล้ว แล้วรู้แล้วว่า รสอย่างนั้น มันเป็นอย่างไร แล้วมันมีมั้ย ในใจเรา มันมีจริงก็ต้องให้จริง ด้วยญาณปัญญา ไม่ใช่รู้ด้วยเฉโก นะ รู้ด้วยปัญญา รู้ด้วยญาณ ให้จริงเลยว่า เออ...มันมีนะ มี เราก็ต้องรับรอง ยอมรับของเราว่ามี เราก็ต้องล้างออก เหลือน้อยก็ต้องรู้ว่าน้อย มันมีมากก็ต้องรู้ว่ามาก มันมีมากก็ต้องรู้ว่า เรายังมีกิเลสนี้อยู่มากนะ ยังมีรสอร่อยพวกนี้อยู่นี่เป็นโลกๆ กับเขานะ นี่อย่างนี้ เป็นต้น เราก็ต้องรู้ จะเป็นเต้นระบำ ร้องเพลงกำลังฮิต กำลังอะไร มันอร่อยอย่างไร ก็เอา แวบๆ วาบๆ มาทางวิดีโอนี่ อาตมาก็ผ่าน ให้มาดูบ้าง บทหนังเหนิง มีบทรัก บทชื่น บทโศก บทเศร้า บทชิง บทดุ บทเดือด บททางโทสะ โลภะ ราคะ อะไรก็แล้วแต่ มันก็คือกรรมกิริยาของ มนุษย์ในโลก อาตมาก็ต้องประมาณ ประเมินมาให้เรานี่ได้ คนนี้ควรปล่อยออกไป มากแค่ไหน ไม่ปล่อยแค่ไหน เป็นวิธีการ นี่เป็นอุปกรณ์ โสตทัศนศึกษา ที่อาตมาเอามาใช้ ในการศึกษา ให้พวกเราได้สัมผัส แตะต้อง ศึกษา หลายคนก็รังเกียจรังงอน หลายคนรู้ ไม่เท่าไม่ทัน บางคนก็ใช้เป็นของ แอบพอกกิเลสก็มี ก็ระวัง แหม...พอถึงเวลา เย็นดูวิดีโอ มาแล้วมาแอบ พอกกิเลสก็ระวัง นึกว่าเรามันจะมาศึกษา ก็ระวัง ทั้งๆที่ตั้งกฎตั้งหลักเอาไว้ ไม่รู้ เรียนไปตามภาษา แต่ไม่เอามาใช้ ท่านบอกว่าดู ให้เกิดอริยญาณ ทำการปฏิบัติ อัดพลังกุศล ให้เกิด ฝึกฝนโลกวิทูอะไรก็ท่องได้ รู้ความหมาย แต่เวลาดูแล้วไปเลย ล่องค่อง (คนฟังหัวเราะ) ภาษาอีสาน ไปกับไอ้กิเลสนั่น ล่องค่องๆ เลย กิเลสมันเอาไป พอดูทีก็กิเลสบวมขึ้น กิเลส บวมขึ้นทุกวัน แบบนี้ก็เสียหาย ซึ่งอาตมาก็ปราม ให้วิเคราะห์วิจัยดูแล้วมาตั้งหลักสิ ต้องมาวิจัย วิจารณ์กันดูทีหนึ่ง เรื่องนั่นเรื่องนี่ก็วิจัย อะไรมันได้ผลได้ประโยชน์อะไร ก็ต้องเรียรรู้จริงๆ ศึกษาจริงๆ เป็นโสตทัศนศึกษาจริงๆ เพราะเราไม่มีเวลาหรอก เราไม่มีเวลาที่จะไป ได้เที่ยวสัมผัส เรียนรู้อะไรต่ออะไร แต่ก่อน ไม่ต้องเรียนรู้มากหรอก เพราะมันไม่มาก โลกยังไม่เยอะ เดี๋ยวนี้ไปดู มันก็ไม่หมดหรอก มันถ่ายย่นย่อมาให้เราดูนี่ โอ้โห ก็ยังไม่หมดเลย แต่ก็มากพอที่จะศึกษา สมัยโบราณ มันไม่มีอะไรมากหรอก จะไปดูละเม็งละคร มันมีไม่กี่โรง อย่างพระสารีบุตร อุปติสสะ กับโมคคัลลานะ อะไรนะชื่ออะไร ? (พ่อท่านถาม)

คนฟัง :โกลิตตะ

พ่อท่าน : โกลิตตะ เอ้า โกลิตตะ กับอุปติสสมานพ พากันไปดูละเม็งละคร เล็กน้อย... เล็กน้อย โล่ง สบาย รู้แล้ว รู้ทันแล้ว เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร ดูมันตั้งสิบโรง ยังไม่รู้เรื่องเลย ยังไม่เกิด อริยญาณเลย จะไปได้เรื่องอะไร มัน ดูบารมีต่างกัน แล้วคุณก็ไปดูไม่หวาดไม่ไหว มันมีแต่ปรุงเข้าไป ไอ้นี่ว่าจัดแล้ว ไอ้โน่นจัดกว่า ดูที่นี่ยังไม่เท่าไหร่หรอก ต้องไปดูไอ้โน่นนั่นน่ะ ไปดูมุขญี่ปุ่นโน่นแน่ะ มันมีโรงจ้ำบ๊ะ มันมีอะไรยิ่งกว่านี่ ดูได้สบายเลยใน...ไปลองดูซิว่า เราไปดูน่ะ มันจะกิเลสไหม จะไปได้เรื่องเหรออย่างนั้นน่ะ คุณก็ไปเที่ยวดูมันอย่างไร มันก็ไม่หมด ไม่มีเวลา แค่อายุร้อยปีตายนี่คุณยังดู เที่ยวไม่หมดเลย ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไอ้เครื่องมือวิทยาศาสตร์นี่ มันช่วยเราขนาดนี้ก็พอ ถ้าเรียนรู้ไปตามลำดับ เรียนรู้ไปตามจริงๆ ถูกเรื่องแล้ว ไม่จำเป็น จะต้องไปดูไปพิสูจน์อะไรหมดหรอก เข้าใจในแนวความคิด ในแนวความหมายอะไร พวกนี้ละเอียดลออก็รู้ได้นะ เพราะฉะนั้น ในอบายมุขต่างๆ

เอาละ อาตมาสรุป อาตมาก็พยายามมาวิเคราะห์ มาวิจัย มาบอกให้พวกเราได้เรียนรู้ พวกเรามี ภูมิปัญญาพอสมควร สำหรับแต่ละคนที่มีได้ เมื่อมาเรียนรู้ รู้ทิศรู้ทางได้ ก็มาพยายามพากเพียร ลดละกันจริงๆ เข้ามาใกล้มาชิดก็มี ไม่มีโอกาสเข้ามาใกล้มาชิด เราก็พยายามที่จะสื่อ เป็นหนังสือ เป็นเท็ป เป็นอะไรออกไป ก็เอาไปศึกษา เรามีอะไรมาทบทวน มาดูกัน เสร็จแล้วเราก็ เรียนรู้เลิกมาได้ ละมาได้ พวกเราหมดอบายมุข แม้ว่าจะยังไม่ละเอียดถึงขั้น ถอนอนุสัย ลดแค่กิเลสหยาบ วิติกมกิเลส กิเลสลดได้ขนาดกลาง ปริยุฏฐานกิเลส คุณก็จะเห็นผลได้สบาย ขึ้นเยอะเลย แต่อนุสัยกิเลสนี่ต้องใช้ญาณชั้นลึก ใช้ญาณชั้น ลึกที่จะมาเรียนรู้ตัว แล้วต้อง มีเจโต มีกำลังที่ดี มีกำลังที่ต้องฝึกจริงๆ เพื่อที่จะล้าง กิเลสอนุสัยอาสวะ มันดูเหมือนบางเบา มันดูเหมือนน้อย เหมือนเล็ก แต่ประมาทไม่ได้ มันก็ยากอย่างหนึ่ง แล้วมันก็ง่ายอย่างหนึ่ง เหมือนกัน อย่างหยาบนี่ก็ยากอย่างหนึ่ง แล้วก็ง่ายอย่างหนึ่ง ผู้ที่มีอินทรีย์พละมาก อย่างหบายนี่ง่าย ผู้ที่มีอินทรีย์พละน้อยอย่างหยาบนี่ยาก อย่างเบาๆบางๆนี่ง่าย มันกลับกันนะ แต่ไม่ลึกนะ เบาๆบางๆนี่ลึก...ลึก เพราะว่ามันหยาบมันยาก ผู้มีอินทรีย์พละน้อย มันก็ต้องได้ ผิวๆ เผินๆ ละเอียดลออละเอียดๆผิวๆ นี่ไปก่อน แต่ผู้ที่มีอินทรีย์พละมากๆ นี่นะ หยาบๆนี่เหรอ หักโค่น หักพอปึ๊งได้ คนไม่มีอินทรีย์พละมากๆนี่ โอ้โห ไม่ได้หรอก ไปสู้กิเลสหยาบๆ ค่อยๆ ทำไปนะ นี่มันมุมกลับไป...มุมมันกลับไปกลับมา อาตมาพูดแล้ว ประเดี๋ยวจะสับสน ก็เอา... ตัดไปก่อนนะ ประเดี๋ยวจะพูดเรื่องโลกนี่ไม่จบเลย พอโลกอบายมุข มันลดละได้แล้วนี่นะ เราได้พิสูจน์กัน คนเดียวดูไม่ชัดหรอก หลายคนมา ก็เห็นชัดขึ้น

อย่างพวกเราชาวอโศกนี่ปฏิบัติตามลำดับมา ศีลก็คือหลักเกณฑ์ที่เราเอามาตั้ง ประพฤติ ถ้าคุณไม่มีศีล ไม่มีหลักอะไรที่เอามาตั้งให้แก่ตัวเองแล้ว ก็เลิกละมา หยุดมา

เพราะฉะนั้น ผู้ใดยังลดอบายมุขนี่ได้แล้วก็ตาม แต่ความโลภชั้นก็ยังจัดอยู่ ก็ยังอบายมุข หรือความโกรธ ความพยาบาทของเรายังจัดอยู่ ก็ยังอบายมุข เพราะผู้ใดยังพยาบาท ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง จะพยาบาทคนๆเดียวก็ตาม พยาบาทแรงอยู่นั่นแหละ ไม่ได้ล่ะ มองเขา อะไรก็ไม่ได้เลย แหม...มันริษยาไปหมด มันพยาบาทอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมปล่อย ยอมวาง นั่นคือ อบายมุขของกิเลสของตนเอง ยังหยาบอยู่ ยังไม่พ้นอบาย อย่านึกว่าตัวเองเป็น โสดาเลย ยังโซดาอยู่นั่นแหละ ยังซ่าอยู่นั่นแน่ะ โซดานี่มันซ่าใช่ไหม นั่นแหละ ยังซ่าอยู่ นั่นแหละยังไม่ได้ลดหย่อนอะไรหรอก ยังโซดาอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่ รู้...ไม่มีความรู้อย่างนี้แล้วนะ มันไม่พยายามทิ้ง พยายามวางนะ คุณจะปล่อยจะวางจะตัดนี่ มันต้องตัวคุณจริงๆ แล้วต้องเห็นโทษ เห็นภัยว่ามันทุกข์ นะ คนจะรู้ทุกข์ว่า มันทุกข์นี่ มันต้องรู้นะ โอ แล้วมันสุข ตรงไหน แล้วไปพยาบาท ไปริษยา ไปอะไรเขาอยู่นะ มันสุขตรงไหน คุณเลิกชังคนน่ะ ขออย่างเดียวเถอะ แหม ปีสามห้านี่ ขอให้เลิกชังกันให้หมด อย่าไปชังแม้แต่ศัตรู โอ้ โฮ โลกเรานี่นะ อื้อฮือ มีแต่น้ำผึ้ง มีแต่ความหอมหวน มีแต่แสงสว่าง มีแต่ความอบอุ่นเลย ดีไม่ดี มันจะรักกันมากด้วยซ้ำ ชังนี่มันคือความแตกร้าว ชังนี่คือ ความแต่ร้าว ชังคือความไม่ประสาน พวกเรานะ ยังมีโรคพวกนี้อยู่เยอะ โรคชิง โรคชัง ชิงนี่ก็คือข้าต้องแน่กว่า มีอัตตามานะ ชิง...ชิง ข้า...อัตตามานะ ชังน่ะคือขจัดเขา ชิงนี่ข้าจะต้องข้ามหัวแก ยังมีโรคชิงโรคชังอยู่ จะมากหรือ น้อยก็แล้วแต่ ถ้าเราล้างอันนี้ออกไปได้มากเท่าไหร่แล้ว เราจะรวมกันเป็นปึกแผ่น สนิทสนม กันดีมากทีเดียว

ในเรื่องความผูกพัน ในเรื่องของความรัก ที่รักกันจนกระทั่งกลายเป็นเมถุน กลายเป็นกามนั้น เชื้อมันก็มีอยู่บ้างหรอก ในพวกเราก็ไม่ใช่ว่าจะหมดกันง่าย เพราะว่ามันเป็นรากฐาน ของการเกิดในโลก การเกิดในโลกก็เกิดจากรากเหง้าของราคะนี่ ตั้งแต่เป็นสัตว์เซลเดียว ไปจนกระทั่งหลายเซล ไปจนกระทั่ง...ก็เกิดจากรากเค้าของการแตกตัว ผสมพันธุ์นี่แหละ ราคะ เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ง่ายนักหรอก เราก็ต้องรู้ความจริงว่า มันไม่ง่ายนักก็ต้องเข้าใจ แต่นั่นแหละ เราลดได้โดยค่าเฉลี่ย โดยค่ารวมแล้วนี่นะ ดูแล้วนะบทบาทของราคะ ของเรา ในหมู่กลุ่มของพวกเรา มีขนาดนี้นี่นะ อาตมาว่าดีมากแล้วละ แต่อย่าให้มันเลวกว่านี้ ก็แล้วกันนะ ให้มันมีน้อยลงไปกว่านี้ อย่าให้มันมีมากขึ้นละ แม้มันมีขนาดนี้ก็ดีอยู่ล่ะ แต่ว่าให้น้อยกว่านี้ได้ ก็ยิ่งดีกว่านี้ อย่าให้มันมากขึ้นกว่านี้ พอไป...ทุกวันนี้พอไป อาตมาว่า จุดที่ยังร้ายอยู่ ของๆเราก็คือพวกชิงกับพวกชังนี่ยังร้ายอยู่ ยังไม่ประสานกันสนิท ซึ่งมันก็จริง จริงตรงที่ว่า อัตตามานะนี่มันรู้ยาก กามมันรู้ง่าย เพราะฉะนั้น กามเราระวังกัน พอสมควร กามพวกเรานี่ระวัง กันพอสมควร แต่เรื่องชิงเรื่องชังนี่ยัง พูดก็พูดเถอะ แม้แต่ใน ระดับสมณะ พวกเรานี่นะ ในเรื่องสมณะนี่ เดี๋ยวนี้โรคของเกย์ โรคของตุ๊ดนี่นะ มันเยอะ

ในสมณะของพวกอาตมานี่ เรื่องเกย์เรื่องตุ๊ดนี่ แหม...แทบจะเรียกว่า เกือบไม่มีเลยล่ะ แต่อาจจะมี นิดๆหน่อยๆอารมณ์อะไรๆเล็กๆน่ะ ซัก .๐๑ เปอร์เซ็นต์อะไรนี่ก็ว่ากันไป อาจจะเป็นบ้างก็ได้นะ แต่ว่ามันไม่มีนะ ในเรื่องพวกนี้ไม่มี ในเรื่องผู้ชายกับผู้ชายนะ นี่อาตมาพูด เรื่องสมณะให้ฟังก่อน แต่เรื่องชิงเรื่องชัง เรื่องเด่นเรื่องอะไรกันนี่ ยังขบเหลี่ยมกันอยู่ มีอยู่ไม่ใช่เบา นี่ในสมณะ เห็นมั้ยสายราคะ ไม่ค่อยเลวร้าย ไปถึงขนาดนั้นไม่มี นี่พูดกันในเฉพาะพวกกลุ่มสมณะก่อนนะ เพราะในเรื่องรักกันนี่นะ อย่างนั้นไม่มี ผูกพันไปถึงขนาดเลยเถิดไม่มี แต่ในเรื่องอัตตามานะ หรือพยาบาท สายโทสมูลนี่ชิงชัง ชังดีชังเด่น ข่มเข่น อยากจะแก้แค้น อยากจะ...แหม อ้ายคนนี้แกล้งหน่อย ...มี มี มี...อาตมาเห็นอยู่ แต่ยังไม่เรียงตัวเท่านั้น (คนฟังหัวเราะ) เอาชนะคะคานกัน เอ็งใหญ่ เอ็งเล็ก เอ็งมาก เอ็งน้อย เอ็งเก่ง เอ็งเด่น เอ็งโน่น เอ็งนี่ ยังมี เพราะมันแนวลึก อัตตามานะนี่ แนวลึก แนวลึก แนวกว้าง นี่ก็พยายามอยู่ว่า พวกเราน่ะพยายาม ในสมณะก็ตาม ก็พยายาม ลดให้ได้ นี่อาตมายกตัวอย่าง ไม่ได้ละเว้นนะ ก็ว่าให้ครบนะ แต่พูดอย่างนี้ก็ไม่ใช่ว่า พวกคุณ หมดความเคารพสมณะ ไม่ได้นะ

ใครก็ตาม มีอารมณ์ไม่ชอบใจหรือชังผู้ไม่ควรชัง ผู้นั้นเรียกว่า อภิบรมมหาซวย...เริ่มเพิ่มขึ้นแล้ว ชังคนที่ไม่ควรชัง ยกตัวอย่างเช่น เริ่มชัง พระพุทธเจ้าเป็นต้น เป็นอย่างไร เหอ คนนี้แหละ หมดหวัง (พ่อท่านหัวเราะ) หมดหวัง เริ่มชังพระพุทธเจ้านี่ก็ไม่ได้เรื่องแล้ว หนึ่ง เริ่มชังพระพุทธเจ้า สอง เริ่มชังผู้ที่ไม่ควรชังมาเป็นลำดับ พระโพธิสัตว์ พระอรหันต์เจ้า พระอริยเจ้า ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ อะไรก็แล้วแต่ หรือแม้มิตรสหายผู้มีความสามารถ ผู้มีคุณ ผู้มีอุปการคุณต่างๆ เริ่มชังผู้ที่ไม่ควรชังนี่ ฟังให้ดีนะ เริ่มโง่แล้ว ผู้ที่ไม่ควรชังนี่คือ ผู้ที่มีสิ่งที่ดี มากกว่าสิ่งที่ไม่ดี ฟังไว้ หมายความว่าอย่างไร ผู้ที่มีสิ่งที่ดีมากกว่าสิ่งที่ไม่ดี จะเอาคนที่ ดีพร้อมหมด นั้นน่ะ...ยาก ใช่มั้ย เพราะฉะนั้น เราจะเอาสิ่งที่ไม่ดีมาคิดชัง ทั้งๆที่ท่านมีดี อยู่ตั้งมาก มันเรื่องอะไร เหอ ที่ท่านมีดีอีกตั้งมาก ยกตัวอย่างอาตมาก็ได้ อย่าหาว่ายกตัว ยกตน อย่าหาว่า อวดอ้าง ยกตัวอย่างให้มันชัดๆ ขออนุญาตยกตัวอย่างชัดๆ อาตมานี่ก็มีดีอยู่มาก ไม่ใช่น้อยนะ อย่าใช้คำว่าคงนะ นี่ไม่ได้หมายความว่า หลงตัวหลงตน จนถึงขนาดว่า มีดีอยู่มากเต็มรูป (พ่อท่านหัวเราะ) คงจะมีดีอยู่มากนะอาตมานะ เสร็จแล้วอาตมามี ความบกพร่องบ้าง บางครั้งบางคราวบางอย่าง ก็ตามแต่ เสร็จแล้วก็ไปติดยึด เอาไอ้ข้อบกพร่อง อาตมาน่ะมา ชักเมินอาตมาแล้ว ชักชังอาตมาแล้ว คนนั้นเฮงหรือซวยแน่ เหอ เฮงหรือซวย คิดดีๆนะ อาตมาใช้คำว่า อย่าเอาขี้หมามาแลกทองคำ สำนวนนี้ก็พูดนะ ลักษณะนี้แหละ ให้รู้ว่าเรา อย่าโง่นะว่าเอาอะไรมา เอาไอ้สิ่งเล็กสิ่งน้อยนี่มาทำลายสิ่งใหญ่ ที่เราควรจะได้อยู่ มีอยู่ เป็นอยู่ แล้วเอามากั้นตัวเองนะ ถ้าเราบอกว่า เราชังผู้ที่เราควรจะได้สิ่งที่เราควรได้ แล้วเราจะได้ จากผู้นั้นหรือ เราจะได้เหรอ ขนาดคุณไม่ชัง คุณศรัทธา คุณตั้งใจรับนี่ รับได้มากพอมั้ย เหอ ยังรับไม่ได้มากพอเลย ขนาด ที่พยายามขจัดสิ่งที่จะมาต้าน มาบังอะไร เอาไว้นี่นะ ไม่ชังไม่อะไรนี่ แล้วก็ตั้งใจรับ รับนี่ ยังรับไม่ได้เต็มที่ ยังรับไม่ได้พอ แล้วเอาอะไร มากั้นด้วยนี่นะ มีคำอะไรที่ใหญ่กว่า อภิบรมมหามั่ง โง่ มีคำไหนใหญ่กว่านี้บ้าง ใหญ่กว่า อภิบรมมหาโง่นี่ ใส่เข้าไป นั่นล่ะคนนั้น เป็นอย่างนั้นแหละ

เอาละในปีนี้นี่นะ ปีใหม่ขึ้น ๒๕๓๕ ขึ้นปีใหม่ ขอให้พวกเราได้พิจารณาเรื่อง ความชัง เรื่อง ความชิง จะชิงดีชิงเด่นอะไรกันก็ตามแต่ พิจารณา เรียนรู้ให้ดีเลยว่า เราจะทำการก้าวหน้า ของเรา ถ้าเราจะแข่ง เราแข่งตนเอง อย่าไปแข่งคนอื่น โดยที่เอาคนอื่น มาเป็นคู่พยาบาท เราจะเอาชนะคะคานเขา เราเอามาเป็นตัวอย่างเท่านั้นว่า เขาดีเท่านี้ เออ...เราดีให้... อันนี้ละ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า โสดาให้เสมอโสดา สกิทาให้เสมอสกิทา อนาคาให้ เสมออนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ ท่านเอามาใช้อธิบาย แล้วเอามาใช้เรียก นี่ สำนวนนี้ ผู้เรียนเปรียญ อะไรต่ออะไรมา หรือพวกที่เรียนธรรมะมาในนี่มี จงพยายาม เข้าใจ สมานัตตตา นี่ก็คือผู้ที่เสมอ โสดาต้องให้เสมอโสดา สกิทาเสมอสกิทา อนาคาเสมออนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ สมานัตตตาอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า มาแข่งดีแข่งเด่น แต่ทำตน ให้เจริญ เมื่อผู้ใดเป็นโสดา เห็นเขาเป็นโสดาก็ยินดี อนุโมทนา เราก็ทำตัวให้เสมอโสดาขึ้นไป เมื่อเสมอโสดาแล้ว เราก็เรียนรู้สกิทา ผู้ใดเป็นสกิทา

ท่านเป็นอย่าง เราก็พยายามเรียนรู้ แล้วเราก็พยายามทำตาม อนุโมทนากับผู้ท่านเจริญ สกิทา อู๊ เราไล่ท่าน ไม่ค่อยทันเลยนะ สกิทาท่านขึ้นอนาคา อนาคาท่านขึ้นอรหันต์ แหม...ยินดีปรีดา อนุโมทนากับท่าน ไม่ใช่ว่า ไอ้นี่ไม่ได้ มันขึ้นสกิทา ฉันจะต้องกดให้มันลงโสดา ฉันจะต้องปีนขึ้น ไปอนาคาเหนือมัน ไอ้อย่างนี้ผิด ไม่ใช่สมานัตตตา ไม่ใช่เสมอสมาน สมานัตตานี่เสมอสมาน อย่างนี้ ทำตนให้เสมอความเจริญ เสมอขึ้นไปจากในความเจริญที่ยิ่งขึ้น... ยิ่งขึ้น...ยิ่งขึ้น... ไปเสมอๆ จึงเรียกว่า โสดาเสมอโสดา สกิทาเสมอสกิทา อนาคาเสมออนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ ไม่ชิง แต่เจริญขึ้นไปให้ได้ รู้คนอื่นว่าเจริญ รู้คนอื่นว่าดี เขาดีอย่างไร เขาเจริญอย่างไร เขาเป็นโสดา เขาเป็นอริยะ เขาเป็นผู้มีภูมิธรรม เขามีคุณงามความดีอะไร เรารู้แล้ว แล้วเราก็ไม่ใช่ไปริษยาเขา เขาไม่ดีอะไร อย่าไปชังเขา มันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่ชี้ ไปที่นี่ ที่คุณนะ (คนฟังหัวเราะ) คุณจะไม่ดี ขออภัยเถอะ มือมันก็ไปตามมือนะ ไม่ได้ว่าคุณ น่ะนะ เขาจะไม่ดีอะไรมันของเขา เราอย่าไปชังเขา ขังเขาน่ะ เรานั่นแหละเลวแล้ว เรานั่นแหละ ตกต่ำแล้ว เขาไม่ดีเป็นของเขา รู้เขารู้เราให้ชัดซิ แหม...ทำไมโง่นะ ไอ้คนที่มันโง่นี่ มันโง่จริงๆ น้า อาตมาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร เจ้าประคุณเอ๊ย ไปชังเขาให้เราต่ำทำไม เราชังใคร นี่เราต่ำทุกคน เราชังใครนี่เราต่ำทุกคน แม้แต่คนที่เขาต่ำ คนที่เขาชั่ว เราก็ควรจะสงสารเขา ควรจะเวทนาเขา ควรจะสมเพชเขา ควรจะเมตตาเขา ควรจะช่วยเขาใช่มั้ยละ เขาต่ำเขาทุกข์เขาแย่ เขาไม่ดี น้ำใจคน ควรจะเป็นอย่างนี้ ใช่มั้ย

มันจะต้องเป็นน้ำใจว่า ถ้าเขาต่ำ เออ...ดี ฉิบหาย ฉิบหายไปเลย เกลียดเขาเลย อย่าเข้ามาใกล้ อย่างนั้นเลยเหรอ จริง...เราอาจจะบอกว่า แหม...เข้าใกล้ประเดี๋ยวเราจะอ่อนแอ แล้วเขาจะ เอาเรา ไปต่ำด้วยก็เอ้า... ระวังหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นก็เป็นไรไปล่ะ เขาต่ำก็ไม่ถึง ขนาด แหม...มันจะติดง่ายถึงขนาด ไอ้เอดส์ก็ยังไม่ติดง่ายเท่าไหร่นะ ติดง่าย ขนาด...อะไร? เชื้ออะไรติดง่ายที่สุด เชื้อโรค เหอ (พ่อท่านถาม)

คนฟัง

พ่อท่าน : ไวรัสเหรอ แหม ติดง่ายอย่างไวรัสเชียวเหรอ ก็ยังไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก แหมใกล้ก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ เกินไปนะ เอาล่ะ...เพราะฉะนั้นสรุปง่ายๆ อ่านให้ได้ อ่านความหมาย จากคำว่าชัง หรือคำว่าชิงนี่ มันมีความหมายลึกซึ้งกว้างขวางอย่างไร เรียนรู้ แล้วเราประพฤติ ปฏิบัติให้สอดคล้องว่า เลิกละความชิงกับความชังให้มาก ให้ได้ ให้เจริญ แล้วพวกเราจะเจริญ พวกเราจะเจริญ แล้วสังคมของพวกเรานี่ ขอต่อถึงครึ่งได้ไหม หกครึ่งนะ อย่างไรก็... เอาน่า ของขอต่อกันได้น่า มัน...เวลาก็ผ่านไป ผ่านไป แหม...ไอ้เราก็อยากจะให้รู้นะ ไม่ใช่อะไรหรอก ทั้งที่ไม่ได้ตังค์นะนี่ เทศน์นี่ไม่ได้ตังค์

เพราะฉะนั้น กรรมฐานปีนี้ อาตมาอยากให้พวกเราได้เรียนรู้ความชิง ความชัง ออกจากในหัวใจ อย่างน้อยที่สุด คุณก็มีความสบายใจ ไม่ทุกข์ ชังคนอื่นนี่ ชังอยู่นี่มันทุกข์ คุณไปเห็นโทษ ของความชังให้ได้ว่า ชังใครทุกข์ ยิ่งมาเจอหน้า ไอ้คนที่เราชัง อื้อฮื๋อ มันทุกข์จริงๆ จริงๆ ยิ่งคุณมีความพยาบาท ความชังมากเท่าใด คุณยิ่งทุกข์มากเท่านั้น ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากเห็นหลัง ไม่อยากได้ยินเสียง ไม่ได้อยากคบอยากเจอ อยากจะห่างไกล เขาทำอะไร เขาพูดอะไร ดูมันขวางหูขวางตา ขวางกิเลสเราไปหมด ขวางกิเลสนะ ไม่ใช่ขวางปัญญา ขวางความโง่ ขวางไปหมด มันโง่ดักดานจริงๆ คนนั้นน่ะ แล้วมันทุกข์จริงๆ นะ ใครไม่เชื่ออย่าเชื่อ จงโง่ต่อไป ไปเรียนรู้ดีๆเลย หมดชัง นะมีแต่การอภัย เออ...เอาละ เขาคือเขานะ เขาก็เป็นอย่างนี้ของเขา เราช่วยเขาไม่ได้แล้วนะ เออ...น่าสงสารนะ เขาไม่ดี เขาทำไม่ถูกอะไรล่ะ จริงๆเราก็ไม่แน่ใจเลยว่า เราจะไปตัดสินเขาว่า เขาทำถูก หรือว่าไม่ถูก ไอ้ความชังนี่ มองผิดหมด เอียงไปหมดเลย เขาทำดีก็เห็นว่าเขาชั่ว เขาทำถูกก็ว่าเขาไม่ถูกหมด น่ะ เขาทำดีขนาดไหน ก็เห็นว่าเขาทำไม่ดีทั้งนั้น ไอ้คนลำเอียงนี่น่ะ ไอ้จิตเอียงๆนี่ มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่า เราลดความชัง ลดความไม่อะไรนะ เราก็จะมองตรงขึ้น มองฉลาด หรือว่ามองถูกต้องสัจจะขึ้น อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องไปทุกข์ของตัวเอง พยายาม พยายามจริงๆ นี่อาตมาก็ขอแวะๆ ให้ไปเป็นเรื่องๆ เรื่องๆไป เราเรียนรู้ความรวมๆ ในเรื่องหลักๆ โลกอบาย โลกกาม โลกธรรมอะไรเราก็เรียน ก็พูดกันมามากแล้ว โลกอัตตาก็พูดกันมามากแล้ว เจาะลงไปในส่วนนี้ ซึ่งเป็นหลักใหญ่เหมือนกัน ก็เรื่องหลักของโลภะ โทสะ โมหะนี่แหละ กามพยาบาทนี่แหละ มันไม่อื่นหรอก รากเหง้าก็นิวรณ์ ๕ นิวรณ์ห้านี่เป็นอาหารของอวิชชา อวิชชาไม่มีอื่นหรอก อวิชชามีอาหารสาม...ห้าอย่างนี่เท่านั้นน่ะ กาม พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะ วิจิกิจฉา นี่เท่านั้นน่ะ ไม่มีอื่น อธิบายตัวชิงตัวชังนี่ ตัวสำคัญ นี่ก่อน

ถ้าเราสามารถล้างตัวนี้ได้ ความเจริญของเราจะเข้าสู่ความเป็น สหสังคมเสรีบุญนิยม พวกเรา หลายคน คงไม่ชำนาญภาษา แต่เอาเถอะ ค่อยๆได้ยินไป รู้ไปตามความหมาย ผู้ที่เรียนรู้ มาใช้ภาษาพวกนี้มากมาย ก็คงจะได้ นะ

สหนี่แปลว่ารวม สังคมนิยม นิยมตัวนี้ตัวใหญ่นะ มันไม่ใหญ่พอ อาตมาให้เขียนตัวใหญ่ ให้คลุมไปทั้ง ๓ คำนี่ สังคมนิยม เสรีนิยม บุญนิยม ตอนแรกไปทำไว้ได้แค่ตัว...ตัวแค่นี้ แค่สังคมนิยม เสรีนิยม อาตมาว่ามันไม่พอ เดี๋ยวคนเข้าใจผิด สังคมนิยม มันเคยมีกันมาก่อน ตอนนี้กำลังพัง พวกคอมมิวนิสต์เป็นต้น สังคมนิยม เสรีนิยมก็พวกทุนนิยม พวกประชาธิปไตย ที่เป็นทุนนิยม ก็กำลังทำทีว่าจะใหญ่ ที่จริงมันก็พังอยู่ในตัวของมันเองอยู่เรื่อยๆนะแหละ แต่มันไม่รู้ตัวนะ เพราะมันทำบาปทำเวรอยู่ ทุนนิยม เสรีนิยมที่ประชาธิปไตยทุนนิยมนี่ ทำบาป ทำเวรอยู่

ทีนี้ระบบบุญนิยม เป็นระบบใหม่ ที่จริงเป็นระบบเก่าตั้งแต่พระพุทธเจ้า ท่านประกาศมา แล้วก็มีมาตามยุค ตามสมัย ซึ่งมันยังไม่โดดเด่น แต่มันก็เป็นไป ตามควร

ทีนี้ยุคนี้มันจะทันสมัยมาก บุญนิยมนี่ บุญนิยมนี่มีข้อดีของสังคมนิยม มาอยู่ด้วย มีข้อดีของ เสรีนิยม นี่มารวมอยู่ด้วย และมีตัวดีแท้ๆของบุญนิยม ที่สังคมนิยมไม่อาจจะมีได้ เช่น สังคมนิยม เขามีกองกลาง แต่กองกลางของสังคมนิยมนี่บังคับ แกได้แกต้องแบ่ง มาให้กองกลาง ตามอัตราเท่านั้นเท่านี้ นี่สังคมนิยม เป็นกองกลางนี่ดี อย่างสแกนดิเนเวียนนี่ เขาทำเป็นกองกลางเขา แต่ก็ถูกบังคับจิตใจ ถึงเกิดการฆ่าตัวตายกันเยอะ แล้วก็... เดี๋ยวนี้ ก็แย่ลงไปทุกทีแล้ว แต่ก็ยังพอได้นะ เสร็จแล้ว เหอ? (รู้สึกจะมีคนถามพ่อท่าน) ได้เป็นภาษี เป็น... นั่นแหละก็คือภาษี เขาเรียกกันก็ ภาษีนั่นแหละ ก็คือรัฐแบ่งมา ต้องแบ่งมาให้รัฐ นั่นแหละ ก็คือภาษีนั่นแหละ เสร็จแล้วรัฐก็มาเป็นตัวกลาง จัดแจงแจกจ่าย ทำการให้ แจกแผ่กระจายไป เป็นเรื่องของหลักเศรษฐศาตร์นะ อาตมาขยายความไม่หมดหรอก พูดคร่าวๆ ในหลักใหญ่ๆ เท่านั้น

สังคมนิยมมีจุดดี มีกองกลาง แล้วคนที่จะมาทำงานจัดแจงเรื่องกองกลางนี่ ต้องเป็นคน ที่เป็นอริยะนะ บุญนิยมมีคนที่ไม่เป็นอริยะนี่ อย่าเข้ามาเลย ประเดี๋ยวก็เอียง เดี๋ยวก็มาคอร์รัปชั่น ไม่ได้เรื่อง เพราะฉะนั้น เราจะต้องได้ คนที่เป็นอริยะเข้ามาจัดการของกองกลาง แล้วก็แจกจ่าย เจือจาน เป็นผู้มักน้อย สันโดษได้มากที่สุดเท่าไหร่ยิ่งดี เป็นผู้ที่ลดละกิเลสได้หมดตัว หมดตน ได้เท่าไหร่ยิ่งดี แล้วก็มีปัญญาที่จะแจกจ่ายแบ่งแจก การแบ่งแจกคือการบริหาร เป็นการจัดแจง อะไรต่ออะไร ซึ่งยาก สังคมนิยมเอาหลักรวมกลาง แล้วก็มาแบ่งแจกกันให้ทั่วถึงนี่ เอามาใช้ เป็นจุดเด่นจุดดี เสรีนิยมนี่อิสระ พอใจ ใครดีใครได้ ใครดีก็มันเป็นสิทธิ์ของใคร จริง เสรีนี่ จะทำมาค้าขาย ก็จะมาขยันขันแข็งสร้าง เป็นสิทธิของฉัน ฉันไม่ให้ใคร ก็เป็นสิทธิของฉัน จริง แต่มันไม่เสียสละ มันไม่ใช่ความเจริญงอกงามของคน เขาก็สอนกันเหมือนกัน ความเสียสละ แต่ซ้อนเชิง เสรีนิยม ทุนนิยมนี่ ซ้อนเชิง เสียสละ สละแล้วก็เป็นเล่ห์ สละแบบเล่ห์ เล่ห์เพื่อดึงดูด เข้ามาให้แก่ตัวกูของกูมากเข้าไปใหญ่ แล้วก็สร้างอำนาจ ตัวปลาใหญ่ กินปลาเล็ก ผู้มีอำนาจมาก ก็ปกครองข่ม ตัวน้อยก็เป็นบาทบาทาเขาไป ก็คนต่ำนี่ ที่จริงโดยสัจจะ ก็ถูกนะ คนที่มีบารมีนี่นะ มีบารมีเขาก็จะมีมาก คนมีบารมี มีมากนี่นะ ถ้ามีบารมี ตามกุศลแบบโลกียะ เขาก็จะได้ทรัพย์สิน ศฤงคารมาก ถ้าไม่มีบารมีทางธรรมนะ ก็จะสร้างบาปต่อ คนนี้มีบารมีมาก มีเงิน มีทอง มีอะไรมาก เสร็จแล้ว ก็อยู่เหนือคนอื่น เอาเปรียบ เอารัดคนอื่นพอสมควร ไม่ถึงกับจัดจ้าน สมมุติว่าไม่ถึงกับจัดจ้านนะ เอาเปรียบ เอารัด ผู้อื่นพอสมควร เขาก็จะไม่ทำบุญ ไม่มีบุญ บุญก็หมดลงๆๆ ชาติหน้าก็ไปตีลังกา ลงไปเป็นหนี้เขา ก็ให้เขามาเหยียบใหม่ ก็เป็นเวรานุเวร เป็นบาปเป็นเวรกันอยู่อย่างนี้ ตลอดนาน นับกัปป์กาล นั่นมีบุญ

อีกคนไม่มีบุญ เล่นบาปเลย ขี้โกงเอาเปรียบเอารัดตะพึด จนกระทั่งร่ำรวยได้ โดยไม่ใช่บุญนะ บาป ไอ้คนนี้ไม่ต้องพูดเลย คุณก็ยกไว้ได้แล้ว เข้าใจแล้วว่าแน่นอน ดักดานนานับชาติ เป็นบาปนานับชาติ ไม่มีบุญตัว ขนาดมีบุญ ตัวนี่โดยไม่มีภูมิธรรม ก็ยังต้องตกนรก เพราะฉะนั้น คนที่เกิดมาแล้วเป็นคน ตายแล้วจากความเป็นคนหรือเทวดา คนที่มีบุญ อาศัยว่ามีกิน มีอยู่ร่ำรวย ด้วยบุญของตัวเองก่อนนี่นะ เราเรียกว่าเทวดา สมัยนี้เป็นสมมุติสัจจะ เป็นเทวดา สมมุติเทพใช่มั้ย ซึ่งเกิดมามีบุญอันนี้ แม้เป็นเทวดาอย่างนี้ตามโลกียะนี่ ตายจากเทวดา นี้ไปแล้ว จะเกิดมาอีกทีหนึ่ง ไม่ได้เป็นเทวดาอย่างนี้อีกหรอก เป็นนรก ผี นรกแน่ๆ ตามพระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้จริงๆเลย จริงๆเลย

เพราะฉะนั้น การเสียสละการสร้างสรรบุญนี่ พวกเราเข้าใจจึงได้มาทำ เมื่อมาทำ เราก็มีจุดเด่น ของเสรีนิยมนี่ เราขยัน เสรีนิยมของตัวใครๆ ก็จะต้องสร้างสรร ไม่ใว่าไปนั่งกินกองกลาง สังคมนิยมนี่เอาไป...พวกขี้เกียจ รัฐก็ช่วยนะ เหลาะแหละ มีรายได้ทุกคน เสร็จแล้ว ก็เป็นบาป ของตนเอง เสร็จแล้วมันก็ไม่มี มันมีลึกๆตรงที่ว่า มันไม่มีค่า ตัวเองได้แต่กินๆนอนๆ แล้วไม่มีค่า มันก็อยู่ได้ เพราะอย่างนั้นพวกนี้มันไม่มีค่า มันไม่มีอะไรน่าภาคภูมิใจเลยนะ คนเหล่านี้ ก็เลยไม่รู้ จะทำอะไรกิน อยู่ก็เท่านั้นน่ะ ไม่ได้ทำงานทำการ ขี้เกียจก็แล้ว แกพออยู่... มีอยู่มีกิน อย่างสแกนดิเนเวียนี่นะ ประเทศสแกนดิเนเวีย ฆ่าตัวตายมากที่สุด ก็เพราะว่า มันมีอยู่ มีกิน มันไม่มีคนจน ถึงขนาดที่ว่าจะต้องไม่มีอะไร เพราะรัฐบาลเลี้ยงทุกคน รัฐบาลเลี้ยงทุกคน แต่เสร็จแล้ว ทำไมมันฆ่าตัวตาย นี่แหละมันไม่มีความภาคภูมิใจ นี่เป็นเรื่อง ของจิตวิทยา มันไม่มี ความมีคุณค่าประโยชน์ แหม...มีอะไรนี่น่า...เกิดมา เป็นมนุษย์ทั้งที สู้หมาก็ไม่ได้ มันไม่ได้ น่าภาคภูมิใจอะไรเลย มันก็อยู่ไปทำไมละ กินก็กิน กินก็ขี้ก็เยี่ยวเข้าไปเท่านั้นเอง ก็จะทำอะไร ก็คนน่ะ มันก็เลยไม่มีอะไรน่าบันเทิงเริงรมย์ น่าชื่นชมอะไรเลย ภาคภูมิตัวเองไม่ได้ ฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ฆ่าตัวตายเพราะ ไม่มีอยู่ไม่มีกิน แล้วญี่ปุ่นก็ร่ำรวยฆ่าตัวตาย มันเครียด มันเอาชนะคะคานอะไร โอ้โฮ นี่เป็นอันดับสอง ตอนนี้จะขึ้น อันดับหนึ่งแล้ว ญี่ปุ่นรวยนะ สิ่งเหล่านี้ลึก อาตมาก็ไม่เก่ง ที่จะสามารถบรรยายให้พวกคุณฟัง แต่อาตมารู้ๆทั้งนั้นน่ะ อยู่ในนี้ รู้เพราะไม่ใช่ว่า มาแกล้งรู้ อาตมาสั่งสมบุญบารมี มาหลายชาติๆ แล้วก็เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ของโลกียะ แล้วก็เข้าใจอันนี้ เอามาขยายให้คุณ ยาก ขยาย...รู้หลายๆอย่าง ที่พูดให้คุณฟัง ยังไม่ไหว ยังไม่เก่ง ยังรู้สึกว่าเราไม่เก่ง ที่จะบรรยายให้พวกคุณฟัง ทำไมเป็นอย่างนี้ อาตมาเข้า ใจหมดน่ะ

ทีนี้บุญนิยมนี่มีจุดดีของสังคมนิยมมา มีจุดดีของเสรีนิยมมา สิ่งร้ายของเสรีนิยมก็คืออย่างนี้ เป็นนายทุน ระบบข่มขี่เอาเปรียบเอารัดอะไรต่างๆนานาพวกนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็กอยู่นี่ อย่างที่เขา เป็นกันอยู่นี่ อำนาจบาตรใหญ่กันอยู่นี่ มันไปไม่รอด เพราะไม่เข้าใจว่า ต้องมามีความเสียสละ สร้างสรร อันนี้ละเป็นตัวดี ไม่ต้องไปร่ำไปรวย เดี๋ยวต้องไปเป็นนายทุน มาเป็นนายบุญ น่าจะเรียกคำว่า นายบุญขึ้นมานะ พวกเรานี่ พวกนี้นายบุญ แหม...น่าชื่นชม ที่เรียกนายบุญ โอ้...เป็นนายบุญ เป็นภาษาเรียก เขาเรียกนายทุน เดี๋ยวนี้พวกนายทุนเองก็ ไม่อยาก ให้เรียกนะ รู้เหมือนกันว่า มันถูกประชด เรียกนายทุน มันว่ากูนี่หว่า มันด่ากูนายทุน ไม่ค่อยชอบ เรียกนายบุญกันพวกเรา ว่าอย่างไรนายบุญ ผู้ใดมีบุญมากๆนะ แต่อย่าไปเรียก แกล้งว่า ไม่มีบุญก็ไปเรียกท่านนายบุญเลย ไม่มีค่านะ ต้องเรียกคนจริงๆนะ คนนี้เป็นนายบุญ อาตมานี่ เป็นนายบุญคนที่หนึ่ง แน่ะ นายบุญ บุญนิยมนี่มีลักษณะรวมทุกคน เหมือนกองกลาง แล้วก็พวกเรา ก็ใช้ก็จ่าย ก็กินก็เรียน เรากำลังรวมเป็นสังคม เป็นสห (เป็นสังคมที่มีประชาชน มีระบบจารีตประเพณีวัฒนธรรม) มีกรรมการงาน มีอาชีพ มีกิจกรรมกิจการอะไร ตอนนี้

ปีนี้ปี ๓๔ นี่ เรางอกมากเหลือเกิน แหม...เหมือนกับไอ้เด็กแตกเนื้อหนุ่ม มีฮอร์โมนฟู เอ๊ะ ตรงนั้นก็จะขึ้น ตรงนี้ก็จะงอก ตรงนั้นก็จะ อือ แหม...โรงเรียนก็จะขึ้น โรงพยาบาลก็ทำท่าที จะแอ๊คขึ้นมานะ ร้านค้าก็ดู แหม ทะมัดทะแมงขึ้นมา การค้าการขาย การอะไรต่ออะไร การเกษตร ก็ทำแอ๊คใหญ่เลยนะ โรงสีก็กำลังจะทำแอ๊คเกิด นี่ตอนนี้โรงสีก็ชักจะมีบทบาทนะ มี คือมันกิจกรรม สัมมาอาชีพ ศาสนาพระพุทธเจ้านี่ ในอริยมรรคองค์แปดนี่ สัมมาอาชีพ เป็นหลัก คนต้องอาศัยสัมมาอาชีพ ต้องมีการงาน ไม่มีการงานไม่ได้ ยิ่งโลกพร่อง อย่างทุกวันนี้แล้ว เราไม่รังสรรช่วยโลกแล้วโลกมันงอกให้เรากินที่ไหน อะไรก็ไม่มีกิน ไม่มีใช้ แล้วต้องปลูกต้องฝัง ต้องสร้างต้องปรุงต้องแต่ง ต้องสังเคราะห์ ขึ้นมาทั้งนั้น ตาย... ยิ่งทุกวันนี้ สัมมาอาชีพยิ่งสำคัญ สมัยพระพุทธเจ้ามันไม่เท่าไหร่ สมัยคนเกิดมากินง้วนดินนี่ พระพุทธเจ้า ท่านว่าไว้ ในพระไตรปิฎก ไม่ต้องอะไรหรอก เช้าๆเย็นๆ ก็เดินไปเก็บเอาข้าวสาลีมา ก็มาหุงกิน หนักเข้าขี้โลภ เอามากองไว้ที่บ้านดีกว่า ขี้เกียจเดินไปหลายเที่ยว หนักเข้าก็ขี้โลภ ของกูหมด ข้าวสาลีไม่มีเกิดเอง ต้องปลูกเองแล้วตอนนี้

นี่ก็สรุปพูดให้ฟังง่ายๆ ไม่มีแล้ว โลกอย่างนั้น ไม่มีแล้ว อุดมสมบูรณ์อย่างนั้น ไม่มีแล้ว เดี๋ยวนี้ มีแต่โลกแล้งๆ น้ำยังต้องทำกินเลย น้ำสะอาด ไม่มีให้กิน ดินสะอาดยังไม่มีให้ปลูกผักเลย ต้องทำดินให้สะอาด ทำให้ดินอุดม นี่ไปกันอย่างนี้แล้ว เพราะฉะนั้น คนต้องทำงานหนัก ทุกวันนี้ เพราะโลกพร่องเป็นนิจ ไม่ใช่ว่า พร่องทีละนิดนะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โลกพร่อง อยู่เป็นนิจ นิจจะนี่แปลว่าเสมอๆ มันพร่อง มานานเนแล้ว พร่องทีละมาก เป็นอัตราการก้าวหน้า ในการพร่อง ทุกวันนี้มันพร่อง ทีละมากฮวบ พร่องทีละฮวบๆๆๆๆแล้วมันพร่องมากๆเลย มันทรุดเสื่อมนั่นเอง โลกมันทรุด เสื่อมเอามากๆเลย เราต้องมาสร้าง เพราะฉะนั้น เราจะต้อง แบกโลกไว้เลย เอาละ.. ท่านไหนละ ท่านจันทเสฏโฐ ใช่มั้ย ที่เอามาพูดน่ะ คำใครเขาพูดน่ะ โลกมีไว้ให้เหยียบ ไม่ใช่มีไว้ให้แบก นั่นก็ตามเถอะเราต้องแบก คุณจะเหยียบ ก็เหยียบไปเถิด (คนฟังหัวเราะ) นั่นโลก ในความหมายอีกอย่างหนึ่ง โลกียะน่ะ เราเหยียบมันไว้ แต่โลกนี่ ในความหมายว่า สิ่งที่เราอาศัย โลกคือสิ่งที่เราอาศัย ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่โลกโลกียะ ที่ไปหลง ไปแบกมันไว้ ไม่หรอกโลกียะเราไม่ เราจะรังสรรโลกียะให้เขา เอาละ...เราก็แบก มันต้องแบก มันเหมือน เวียนกลับ พูดไปเหมือนวนๆ เราวาง แต่ทำไมเราต้องกลับมาแบก แบกนี่ในระดับ ของพวกเรา เราก็ทำในระดับของพวกเรา เราไม่ไปอ้าขาผวาปีก เที่ยวไปแบกโลกทั้งโลก ใครต่อใครทั้งหมด เราจะช่วยเขาไปหมดทั้งโลก แหม...ไม่ใหญ่ถึงขนาดนั้นหรอก ใครจะไปใหญ่ ขนาดนั้น ไม่ใหญ่ขนาดนั้น เราทำในสัดส่วนที่เราทำได้

เราต้องรังสรร เพราะโลกมันพร่อง จนไม่เหลืออะไรแล้วทุกวันนี้ เพราะฉะนั้น การงานอาชีพอะไร ที่เราจะต้องรังสรรขึ้นมาอาศัย เราต้องช่วยกันทำ หนัก ในรุ่นแรกๆพวกเรา รุ่นหัวหอก เราเรียกว่า รุ่นหัวหอก มันหนักก็ต้องทำ เราจึงจะได้สร้าง สหสังคมเสรีบุญนิยม จะเรียกลัทธิหรือว่า จะเรียกระบอบ หรือว่าจะเรียกคณะก็ได้ เราก็คือระบอบบุญนิยม เรียกสั้นๆ เรียกเต็มคำ ก็เอาเขามาหมดน่ะ สังคมนิยม เสรีนิยม เอาเขามาด้วย ก็เลยต้องเรียก สหสังคมเสรีบุญนิยม นั่นเป็นเรื่องชื่อเต็มยศ ถ้าเรียกชื่อสั้นๆ กะทัดรัด พวกเราก็ระบอบบุญนิยม บุญก็คือเสียสละ บุญคือชำระกิเลส บุญคือ ตัวปัญญา ที่จะต้องรู้จักความจริงตามความเป็นจริง แล้วเราก็มาขจัด มากระทำ

ทุกวันนี้ เราอบอุ่นนะ อาตมาอบอุ่น แม้จะน้อยลง ทุกวันนี้มันกำลังเฟ้น เฟ้นคัดแก่น เพราะฉะนั้น แก่นมันจะตีเข้า ตีเข้า ใครแข็งจริง ใครแน่นจริง จะเข้าไปเป็นแก่น ใครไม่แน่นจริง ก็จะต้องถูกรีด รีดออกไปเป็นเปลือก แล้วก็จะหลุดออกไป มันจะต้องมีสิ่งหลุด แล้วก็จะมี สิ่งแน่น เรื่อยเข้าเรื่อยไปอย่างนี้ มันเป็นธรรมดาธรรมชาติของสิ่งที่สังเคราะห์ มันจะต้อง สังเคราะห์ กันอย่างนี้ มันจึงจะเกิดความจริง พวกแน่นๆน่ะ พวกที่แน่นๆจริงเลย พวกที่ เข้ากระแสจริงแล้วนี่ จะชัด ไม่มีทางหลุดออกไปจากแก่นนะ พวกที่เข้ากระแส กระแสที่จริงเลย เกิดญาณปัญญา แล้วเห็นความจริงตามความจริงแล้วนี่นะ มันจะเข้าแก่นแล้วยิ่งแน่น พระพุทธเจ้า ถึงได้ยืนยันว่าเที่ยงแท้ต่อนิพพาน ไม่ตก ไม่ร่วง ไม่ไปอื่น ไม่จริงๆเลย ญาณปัญญาแน่ชัด มีสิ่งที่รองรับ เราเห็นจริงเป็นจริง เราเอา ไม่มีถอดมีถอนหรอก ส่วนพวกที่ ยังไม่แน่ ไม่ชัด วิจิกิจฉาลังๆ เลๆ ไอ้ที่จับแน่ จับมั่นคั้นตาย ไอ้ที่จริงที่ชัดอะไรก็ไม่ ไอ้ได้... อะไรได้ ได้อะไร ไม่ได้อะไร ก็ไม่รู้เรื่อง มานี่ได้อะไรว่ะ ไม่รู้ ไม่เห็นได้อะไร ไม่ได้อะไรก็ไป ก็ถูกแล้ว (คนฟังหัวเราะ) มันไม่ได้อะไร มันก็ไปก็ถูก แต่คนที่ได้ เขาจะรู้ว่าได้อะไร คุณไม่ได้ความร่ำรวย คุณไม่ได้มานั่ง เป็นเสพโลกียอะไรอยู่ แน่นอนเลย อาตมาพูดชัดนะ อาตมาพูดลัด พูดแข็ง พูดเร่ง พูดเร่ง พูดตีหัวแรงๆ

เพราะฉะนั้น คนที่ทนอาตมาได้นี่ คือคนทนได้ ต้องรู้ว่าเขาทน เพราะอะไร เขาต้องมีสิ่งที่ แลกเปลี่ยน ใช่มั้ย อย่างพวกคุณที่ต้องรู้ว่า ทนให้อาตมาโขก อาตมาสับ คุณจะต้องรู้ว่า คุณได้สิ่งที่เหนือกว่า อาตมาบอกตรงๆนะว่า ฝีมือไม่เบานะ ในการโขกสับนี่ เพราะฝีมือไม่เบา ในการโขกสับนี่ ถึงได้ ตัดเอาไอ้สิ่งที่โลกมันเหนียว มันแรง มันดึงดูดไว้เยอะเหลือเกินนะ ออกมาได้ ที่อาตมาให้พวกเรา ลาออกจากงานมาได้ ทิ้งทรัพย์ศฤงคารมาได้ ทิ้งลาภยศได้ ขนาดที่มีทุกวันนี้ ในพวกเรา มันไม่ใช่เรื่องง่าย อาตมาไม่อยากชมตัวเอง คุณช่วยชมหน่อยเถอะ ไปคิดจริงๆนะ อาตมาไม่ได้แกล้งพูด คุณกล้าทิ้งเงิน ทองออกมานี่นะ บางคนทิ้งออกมา เป็นล้านๆ หลายล้าน บางคนเป็นแสน เอาเถอะไม่เป็นล้าน ไม่เป็นแสน เป็นแค่หมื่น แค่พัน ก็ตามเถอะ ขอท่านนี่ โถ...เงินบางเงินเบี้ย มันยิ่งจน มันยิ่งไม่มี มันจะหายไปห้าบาท สิบบาทนี่ มันก็จะร้องไห้ตายเลยนะ ฉันใดก็ฉันนั้น มันก็หวงแหนสิ่งที่ตัวเองเห็นสำคัญทั้งนั้น จะมีน้อย ก็เห็นสำคัญน้อย จะมีมากมันก็เห็นสำคัญ... ไอ้ที่มากเหมือนกันทิ้งลาภ ทิ้งยศ ออกมาได้ ขนาดนี้ เสร็จแล้วมาโดนเร่งใช้ เอ้า...ไปทำงาน พยาบาลก็ไปพยาบาล ครูก็ไปครู เกษตรก็ไปเกษตร ช่างก็ไปช่างซิ โอ้โห แต่ละคนนี่ ซอกๆๆๆๆ ทำเข้าไปเถิด บางคนยังไม่รู้ตัวเอง ว่ากูเป็นอะไรว่ะ โดนใช้ตะพึดเลย อะไรก็จะให้ทำทุกอย่าง ยังไม่รู้ตัวเลย แหม...ทำไมมัน งานจั้งเลย แล้วก็ทำกันอยู่นี่ ไม่ได้บาทได้เบี้ย ได้แต่ถูกว่าถูกด่า วันแล้ววันเล่า ทำอะไรอย่างนี้ ดูซินี่ ผิดแล้วเสียแล้ว เออ...โดนนะนั่นน่ะ เงินก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ กินก็ยังโดนว่าเลย กินมาก (คนฟังหัวเราะ) เลือก กิน...แน่ะ โดนว่า กินก็ยังโดนว่าเลยนะ แต่ก็ทนอยู่ได้ แต่ก็อยู่กันได้ เอาเถอะน่า สังคมไหนโลกไหน เขากระเบียดกระเสียน ถึงขนาดอย่างที่อาตมาพาเป็นนี่ แล้วก็ยังอยู่ได้ ยังยิ้มออกนี่ลองดูเถอะ สังคมไหนที่ว่าแน่ๆ เอามาแข่งกัน แข่งกันทำดี ไม่ใช่มาแข่งกัน เอาใหญ่เอาโตอะไรหรอก ใครดีอาตมาก็จะอนุโมทนา ใครทำได้ก็อนุโมทนา ทั้งนั้น มาทำอย่างนี้ซิแข่งกัน แข่งกันทำดี ไม่ริษยานะ อาตมาไม่ริษยาใคร ที่ทำให้ได้ดีได้ก็เชิญ อนุโมทนาสาธุ ทำกันได้

ที่อาตมาทำงานมานี่ ปีนี้ อาตมาบวชมาปีนี้ ย่างขึ้นปีที่ยี่สิบสอง แต่อาตมาทำงานศาสนา มาก่อนบวช เพราะอาตมาปฏิบัติธรรมมา ก็เริ่มรู้สึกตัว ไม่ใช่รู้สึกตัว มันเป็นตามธรรมชาติ มาก่อน มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป เหมือน...มันก็ตามบารมีน่ะ มันมาแล้วก็ เอ้า... สอนธรรมะมา ...อะไร...เผยแพร่ ขยายความมาก่อนที่จะบวช จนกระทั่งมาบวช อ๋อ ถือตอนบวชก็แล้วกัน ไอ้ตอนโน้น ไปนับมันก็ ไม่เป็นอะไรเป็นหลัก ยี่สิบสองปีย่าง หรือตั้งคณะ อาตมาถือปีหนึ่งหก เป็นหลัก ตั้งแต่ปีหนึ่งหกนี่ รวมพรรคกันตั้งแต่เดือนกุมภานะ ไปรวมกันที่ แดนอโศก มีคณะตั้งกัน เป็นหลักฐานเลย แดนอโศก แล้วก็มีเหล่ามีกลุ่ม ถือว่า หนึ่งหกเป็นหลัก มาถึงปีนี้ จะสิ้นสามสี่ มันก็สิบแปดปี ขึ้นปีที่สิบเก้า สิบแปดปีขึ้นปีที่สิบเก้า ถ้านับที่ปีบวชอาตมา ก็ขึ้นปียี่สิบสอง

ได้ขนาดนี้ อาตมาว่า...อาตมาตายวินาทีนี้ อาตมาก็ไม่กลัว แต่ยังไม่ทันตาย ดีกว่า ก็ยังมีความปรารถนาจะแนะนำ พากเพียรสั่งสอน ทำรวบรวมให้คนมีแก่นมีสาระ พวกนี้ต่อออกไปอีก ให้มันได้มากที่สุดที่จะทำได้ ตามฐานะที่อาตมาว่าจะต้องมาทำงานนี้ บอกได้เลยว่า อาตมาจะไม่ทำงานอื่น ไม่ว่าชีวิตของอาตมาจะถูกแปรสภาพ นี่ตอนนี้ มาลดบทบาทมา จนกระทั่งนุ่งขาวห่มขาวไปแล้วนะ ต่อไปจะต้องให้ไว้หนวด ให้ไว้ผมหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้นะ ซึ่งอาตมาก็ไม่เอา ไว้ผมมันรุงรัง ไอ้หนวดอาจจะไว้ได้ เพราะว่ามัน แหม ก็ขี้เกียจโกน เหมือนกันน่ะ หนวดน่ะนะ แต่ว่าพอไว้หนวดยาวหน่อย ก็ทักจังเลย อาตมาเคยลองไว้หนวด ให้มันยาวๆ มากพอสมควรหน่อยนะ ทักจังเลย อาตมาก็ต้องโกน ไอ้ผมนี่ไม่ต้องบอกหรอก อาตมาไม่เอาไว้หรอก รุงรัง ยังภาวนาให้ตัวเองหัวล้าน ให้หมดเลย (คนฟังหัวเราะ) มันจะได้ ไม่ต้องโกน พอถึงวันโกนก็ไม่ต้องโกน เพราะหัวมันล้านหมด มันไม่ขึ้นเองแล้ว ก็ แหมจะดีมากทีเดียว แต่มันก็ยังขึ้น นี่ก็ล้านน้อยเหลือเกินนะ มันล้านอยู่บ้าง แต่มันน้อย

อาตมายังไม่รู้ว่า จะต้องเป็นอย่างไร ตามสภาพของโลก ซึ่งมันอจิณไตย เหลือเกิน อาตมาไม่เคย ไปพยากรณ์ ไม่เคยทำนาย ไม่เคยดูว่าตัวเอง จะไปเป็นอย่างไร มุ่งมั่นอยู่แต่ว่า เรากระทำอะไรกับสังคม มีความปรารถนาดี แล้วจะอนุโลมปฏิโลมกับเขา คนที่เขาพุ่งเพ่ง อาตมาอยู่ เขาไม่เข้าใจ แล้วอาตมาก็เห็นอยู่ ก็เวทนาเขาอยู่นะ แต่หลายอย่าง เราไม่สามารถเอื้อ ไม่สามารถ ที่จะเอื้อมไปถึงเขา ช่วยเขาไม่ได้ ไม่มีบารมีร่วมกัน มันมีบารมีร่วมกันเหมือนกัน ร่วมกันจะมาทะเลาะกันน่ะ บารมีร่วมกัน ทะเลาะกัน เหมือนกับ พระเทวทัตกับ พระพุทธเจ้า มีบารมีนะ ต้องทะเลาะกัน มันก็ต้องว่ากันไป มันก็เหมือนกัน คู่อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน แต่อาตมา ไม่ทุกข์ อาตมาไม่ไปทำให้เขาชั่วนะ ถ้าเขาเองเขาจะเป็นอยู่ อาตมาก็ไม่ไปพยายามที่จะ ๑.เห็นดีกับเขา แล้วก็ให้เขาทำอย่างนั้นตลอดไป ไม่ขัดเขาไว้บ้าง แต่ขัดมากก็ไม่ได้ ขัดมาก ก็จะโกรธ เอา แหม...ยากเหลือเกินนะ ว่ามากก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ใครพอว่ามากได้หน่อย อาตมาก็ว่า แต่ขนาดนั้นก็ยังเห็นนะ แหม...ขนาดนี้ก็จะทนไม่ได้แล้ว ฯลฯ...

เอาละ...อาตมาก็คงจะไม่ต่ออะไรอีกมากมาย ก่อนปีเก่าจะสิ้นไปนะ มันก็จะหยุดปีเก่าแล้ว อาตมาก็ขอสรุปให้เราไป พิจารณาเรื่องความชิงกับความชังให้มาก ชิงดีชิงเด่น ริษยา อาฆาต อะไร พวกนี้ให้ชัดเจน ให้รู้สภาวะที่จริงนั้น แล้วเลิกละลดจริงๆ เราจะประสานกันได้ เป็นพลังรวม พลังรวมคือศาสนา แล้วเป็นพลังรวม ที่เป็นตระกูลเดียวกัน ทิฐิ สามัญตา ศีลสามัญตา เป็นตระกูลเดียวกัน มันจะเป็นพลังรวม ที่มีการรังสรรมหาศาล แล้วเราจะกอบก่อ จะเกิด เราได้ขนาดนี้ก็เป็นบุญนักหนาแล้ว ท่ามกลาง สังคมอันวิปริต ใกล้กับกลียุคนี้ มันได้ขนาดนี้ ก็เป็นบุญแล้ว บุญจริงๆนะ อาตมาไม่กลัวนะว่า พวกคุณจะหล่น ออกไปมากกว่านี้ ไม่กลัว อาตมาเหลือจริงๆเก้าคน อาตมาจะอยู่ด้วยกันเก้าคนนี้สบาย แล้วอาตมา จะไม่ไปโลกีย์อีกเลย จริงๆ จะอยู่อย่างนี้ ไม่มีอะไร ก็ปลูกเผือก ปลูกมันล้อมๆ ไว้ตรงนี้ พรุ่งนี้เช้าขุดกอนี้กิน ปลูกกอนี้ใหม่ พรุ่งนี้เช้าปลูกกอนี้กิน กินอยู่นี่ เอ้า...ปลูกข้าว ธรรมชาติกิน สักแปลงหนึ่ง รับรองอยู่ได้ จริงๆ อาตมาว่าอาตมาปลูกข้าวได้ ถึงวันนี้อาตมาจะ ทำนาไม่เก่ง ก็ตาม อาตมาเชื่อว่ารอด อายุ ๘๐ พอปลูกได้ก็จะปลูก ถ้ามันปลูกไม่ได้เลย ก็นอนตาย มันเฉยๆ ไม่ต้องมาทำอะไรให้อาตมา อาตมาขอตายไปดื้อๆ เพราะว่าอยู่ ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ไม่มีประโยชน์ก็อยู่ไป ก็หนักแผ่นดินเปล่าๆ ไม่มีท่าอะไรหรอก

ขอให้พวกเรา พยายามสร้างสรร เกิดมาแต่ละชาติ แต่ละชาตินี่ ไม่เพื่ออะไรเลย เพื่อเรียนรู้ กิเลสอันนี้ ไม่เช่นนั้นจะทุกข์จะสุข อย่างกับธรรมดาของโลก จะอยู่อย่างนี้ละ หมุนเวียนอยู่กับ ไอ้โลกียะนี่ ตกนรก ขึ้นสวรรค์ สวรรค์หอฮ้อนะ สวรรค์โลกีย์ ไอ้ที่สมสุขสมเสพ นั่นนะ อยู่อย่างนั้นแหละ ไม่มีอื่นหรอก คุณอยากจะอยู่กับโลกเขาก็ขอให้เป็น มนุษย์โลกุตระ แล้วคุณจะเป็นโพธิสัตว์ เกิดมาอีกกี่ชาติ เป็นพระอวโลกิเตศวร องค์ที่สองก็เชิญเลย ซึ่งเขาบอกว่า พระอวโลกิเตศวรนี่ไม่ยอมปรินิพพาน จะขนคนออกให้พ้นทุกข์ให้หมด ปรินิพพาน หมดโลกเสียก่อน แล้วท่านจะปรินิพพานเป็นองค์สุดท้าย นิมนต์...ท่านผู้พี่... เชิญ (คนฟังหัวเราะ) ผู้น้องไม่เอาด้วย อาตมาเป็นโพธิสัตว์ผู้น้อง อาตมาไม่เอานิยายอันนั้น อาตมาไม่เอา เชิญเถอะ อาตมาจะเอาพอสมควร จะรื้อขนสัตว์พอสมควร แล้วอาตมาก็จะขอ บ๊ายบาย เหมือนกันนะ ทำนี่มันก็ทุกข์ อาตมาก็รู้ทุกข์ แต่ว่าอาตมายังทนได้ และอาตมา รักที่จะทุกข์อย่างนี้ อยู่ต่อไปก่อน อาตมาก็จะทุกข์ รักจะทุกข์อย่างนี้ เพราะว่า อาตมาว่า อาตมาทุกข์อย่างนี้ อาตมาไม่ได้ไปเอามาให้แก่ตัวเอง อาตมาทุกข์เพื่อผู้อื่นนี่ อาตมาจะมี ปัญหาอะไร อาตมาจะทุกข์เพื่อผู้อื่น จริงๆ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะฉะนั้น อาตมาจะทนทุกข์ อันนี้ไป จนกว่าอาตมาจะพอ แล้วอาตมาก็บ๊ายบาย อาตมาไม่ตั้งใจ จะไปอยู่จนนิรันดร์ ...ไม่ ไม่จริงๆ สักวาระหนึ่งก็พอแล้ว สักขนาดหนึ่งพอแล้ว และอาตมาก็ว่า อาตมาเรียนรู้ว่า อาตมานี่จะพอหรือจะหยุด จะปรินิพพาน จะไม่มีเกิดอีกจริงๆได้ อาตมาต้อง ทำให้ได้ เมื่ออาตมาทำได้แล้ว อาตมาก็รู้ว่า อาตมาทำได้ ทำได้แล้วจะปรินิพพาน ได้เองแล้วนี่ อย่ามายุ่งกับอาตมา อย่ามายุ่งกับกู (คนฟังหัวเราะ) เรื่องของอาตมา ทำได้แล้วจะปรินิพพาน ได้เองแล้วนี่ อย่ามายุ่งกับกู ไอ้เรื่องนี้ของกูจริงๆ ของใครของมันจริงๆ พระอรหันต์เจ้า ทุกองค์ ของท่าน ท่านจะไม่ตั้งจิตโพธิสัตว์ต่อ มันเรื่องของท่าน อย่าไปยุ่งกับท่าน ไปยุ่งของท่านน่ะ โง่ตาย

เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเรามาเรียนรู้แล้วก็พากันเป็นไปเถอะ โลกจะมีความหวัง ประเทศไทย นี่แหละ ศาสนาพระพุทธเจ้านี่แหละ จะช่วยโลกให้ไป สู่กลียุคได้อย่าง ค่อยยังชั่ว ถ้าไม่มีศาสนา พระพุทธเจ้านี่ กลียุคไวกว่านี้ แล้วเราจะเดือดร้อนกว่านี้ อีกมากกว่ามากเลย เรายังเกิดอยู่ พวกคุณยังไม่ปรินิพพาน คุณต้องช่วย ไม่ช่วยคุณก็ยังอยู่ ร่วมกับทุกข์นั้นด้วย คุณอยากอยู่หรือ อยากอยู่กับไอ้ความวิปริตทั้งหลายแหล่หรือ ไม่ใช่คุณทำคนเดียว สิ่งอื่น มันก็ต้องทำมา คุณจะเลี่ยงอย่างไร คุณก็เลี่ยงไม่ออก ไอ้ทอร์นาโดมันมา อย่างฉายเมื่อวานนี้ เป็นอย่างไร คุณวิ่งหนี ยังวิ่งไม่ทันเลย อะไรต่างๆพวกนี้ มันวิปริตหมด เราจะต้องอยู่ เพราะฉะนั้น เราจะต้องอยู่อย่างที่ ใจของเรานี่ไม่ทุกข์ ทอร์นาโดมันมาได้ไม่ทุกข์ อะไรมันมา ก็ไม่ทุกข์ พายุใหญ่มาอย่างไรก็ไม่ทุกข์ ตายก็ตายกัน เพราะว่าการตายไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไร เปลี่ยนขันธ์ เปลี่ยนภพเท่านั้นเอง ถ้าเรามีบุญบารมี มีวิบากดีไว้แล้ว ดี...เกิดมาชาติหน้า หล่อกว่า จะไปกลัวอะไร รวยกว่าเก่าด้วย จริงๆ คุณมีวิบากดี แต่ถ้าคุณไม่มีวิบากดี คุณจะตาย คุณก็ไม่อยากตาย โอ๊ย อย่างน้อยอย่างนี้ยังดีกว่า ถ้าตายแล้วมันทรุดกว่าเก่า ชาติหน้า มันแย่กว่าเก่า ใครอยากตาย ทุคติแหงๆ ใครอยากไป แต่ถ้า สุคติ ตายแล้วไปสุคติ ใครก็อยากตาย ใช่มั้ย ถึงไม่อยากตายก็ยังไม่เป็นไร ก็ยังมีที่หวังว่า เราก็ยังเจริญกว่าเก่า จะไปมีปัญหาอะไร นี่มันเรื่องจริงอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้แหละ ทิศนี่แหละ เป็นสิ่งที่ดีที่สุด ของมนุษยชาติ ไม่มีทางอื่น พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ผู้มีปัญญาสูงสุดของเรานี่ ตรัสรู้เรื่องนี้ เกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ จะต้องเอาอันนี้ ไม่เอาอันนี้ ก็เรื่องของใครของมัน อาตมาก็ บังคับไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์ไปบังคับใคร ไม่มีสิทธิ์หรอก ก็ได้แต่แค่อย่างนี้ สิทธิของใครของมัน เอาละ... อาตมาพูดไปก็ซ้ำซาก หยำแหยะอีก เอาไว้โอกาสให้ผู้อื่นบ้าง ว่าไปว่ามา ก็เลย พูดไปได้อีก ไม่มีปัญหาหรอก ยังแข็งแรง เอ้า เอวังมีด้วยประการฉะนี้

คนฟัง : สาธุ


ถอดโดย ศิริวัฒนา เสรีรัชต์ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๑๐ มีนาคมา ๒๕๓๕
พิมพ์โดย อนงค์ศรี ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๕
ตรวจทาน ๒ โดย โครงงานถอดเท็ป ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๕
FILE:2278B.TAP